????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
กฏการใช้บอร์ด
บอร์ดสำหรับ นักปั่นทัวร์ริ่ง นักปั่นระยะทางไกล พูดคุยเรื่องอุปกรณ์ เทคนิตการปั่น ที่พัก หรือการกินอยู่
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:lol: :lol: ปั่นออกจากวัดเทพหิรัณย์ย้อนกลับทางเดิมผ่านวัดไกลกังวล วัดพิชัยนาวาส เข้าหันคา อากาศร้อนมาก ๆ แวะร้าน Amezon สั่งเย็น ๆ มาดับกระหาย ช่วงนี้ก็คิดขึ้นได้ยังมี unseen อีกที่หนึ่งไปไม่ไกลแค่ ๕ กม.จาก อ.หันคา แต่คุณนายรู้ได้ไม่สนใจแล้ว อยากตรงเข้าสรรคบุรีเลย แต่ขัดผมไม่ได้สุดท้ายก็พากันไปต่อที่ บึงกระจับใหญ่ ซึ่งเป็นอันซีนที่แต่ก่อนนั้นขึ้นชื่อครับ (ย้ำแต่ก่อนนั้นนะ ๕๕)

ปั่นไปถึงที่หมาย คุณนายขอพักรอที่ล่มไม้ป้ายบึง ปล่อยให้ผมปั่นเข้าไปชมบึงคนเดียว ก็ถือว่าคุณนายสังหรณ์ใจถูกต้องเพราะไม่เหลือคำว่า unseen แล้วมีแต่ป่ารก เห็นร่องรอยของการเป็นแหล่งท่องเที่ยว สะพานไม้ไผ่ที่ตรงเข้าเกาะเดี๋ยวนี้เป็นถนนแล้ว สรุปไม่มีแล้ว unseen
:( :(
ไฟล์แนบ
cats๖๗.jpg
cats๖๗.jpg (148.03 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๖๘.jpg
cats๖๘.jpg (171.31 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
บึงกระจับใหญ่ (เกาะเมืองเท้าอู่ทอง)เป็นเกาะอยู่กลางบึงขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่นอกเมืองชัยนาท และเป็นที่อยู่ของนกเป็ดน้ำและนกปากห่างเป็นจำนวนมาก เหมาะสำหรับล่องเรือชมนกยามเย็น และใช้เป็นที่ประกอบประเพณีลอยกระทงอีกด้วย<br /><br />  เกาะเมืองท้าวอู่ทองเป็นเกาะมีเนื้อที่ ๑๒๐ ไร่ ตั้งอยู่กลางบึงกระจับใหญ่ ซึ่งมีเนื้อที่ ๑,๑๑๖ ไร่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ที่รักธรรมชาติ โดยเฉพาะเกาะเมืองท้าวอู่ทอง มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน และชาวบ้านเคารพนับถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์<br /><br />ชาวบ้านที่นั่งตกเบ็ดริมบึงเล่าให้ฟังว่าที่บึงนี้ลักษณะจะเป็นที่ลุ่ม แต่เชื่อไหมน้ำไม่เคยท่วมเลย ชาวบ้านเชื่อในเรื่องความศักดิ์ของเมืองอู่ทองครับ
บึงกระจับใหญ่ (เกาะเมืองเท้าอู่ทอง)เป็นเกาะอยู่กลางบึงขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่นอกเมืองชัยนาท และเป็นที่อยู่ของนกเป็ดน้ำและนกปากห่างเป็นจำนวนมาก เหมาะสำหรับล่องเรือชมนกยามเย็น และใช้เป็นที่ประกอบประเพณีลอยกระทงอีกด้วย

เกาะเมืองท้าวอู่ทองเป็นเกาะมีเนื้อที่ ๑๒๐ ไร่ ตั้งอยู่กลางบึงกระจับใหญ่ ซึ่งมีเนื้อที่ ๑,๑๑๖ ไร่ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิด เป็นสถานที่พักผ่อนของผู้ที่รักธรรมชาติ โดยเฉพาะเกาะเมืองท้าวอู่ทอง มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมายาวนาน และชาวบ้านเคารพนับถือว่าเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ชาวบ้านที่นั่งตกเบ็ดริมบึงเล่าให้ฟังว่าที่บึงนี้ลักษณะจะเป็นที่ลุ่ม แต่เชื่อไหมน้ำไม่เคยท่วมเลย ชาวบ้านเชื่อในเรื่องความศักดิ์ของเมืองอู่ทองครับ
cats๗๐.jpg
cats๗๐.jpg (177.04 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๑.jpg
cats๗๑.jpg (123.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๒.JPG
cats๗๒.JPG (80.55 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๓.jpg
cats๗๓.jpg (209.8 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๔.jpg
cats๗๔.jpg (160.73 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๕.JPG
cats๗๕.JPG (141.1 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๖.jpg
cats๗๖.jpg (186.42 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๗.jpg
cats๗๗.jpg (125.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
ตามรอยเสือ(เดินหน้าไม่ถอยหหลัง) ขากลับเราไม่เข้า อ.หันคาแล้ว แต่ตรงไปสรรคบุรีเลย โดยอาศัย GPS.นำทาง ท่านที่เคารพ จีพีเอส พาเราลัดเลาะไปในทุ่งนา ป่าละเมาะลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอย เหมือนเดิม ก็ได้อารมณ์ครับบางจุด ชาวบ้านต้องบอกอย่าไปทางนี้ให้เปลี่ยนไปทางโน้น แล้วเลี้ยวมุมนั้น นี่คือน้ำใจของชาวบ้าน ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
ตามรอยเสือ(เดินหน้าไม่ถอยหหลัง) ขากลับเราไม่เข้า อ.หันคาแล้ว แต่ตรงไปสรรคบุรีเลย โดยอาศัย GPS.นำทาง ท่านที่เคารพ จีพีเอส พาเราลัดเลาะไปในทุ่งนา ป่าละเมาะลัดเลาะเข้าตรอกซอกซอย เหมือนเดิม ก็ได้อารมณ์ครับบางจุด ชาวบ้านต้องบอกอย่าไปทางนี้ให้เปลี่ยนไปทางโน้น แล้วเลี้ยวมุมนั้น นี่คือน้ำใจของชาวบ้าน ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
cats๗๘.jpg (129.23 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๙.๑.jpg
cats๗๙.๑.jpg (134.34 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๗๙.JPG
cats๗๙.JPG (103.29 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
cats๘๐.jpg
cats๘๐.jpg (166.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
ในที่สุดเราก็มาถึง อ.สรรคบุรี สอบถามร้านค้า พ่อค้าแม่ค้า เรื่องที่พักที่หลับนอน ก็ได้รับคำแนะนำต่าง ๆ เป็นตัวเลือก คุณนายเลือกซื้ออาหารติดมือไปด้วยเผื่อเราไม่ต้องออกมาอีกแล้ว เย็นมากแล้ว ในที่สุดเราก็ได้ที่พักเป็นรีสอร์ทที่ถูกใจเรามาก อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยเราก็ทานมื้อเย็นในรีสอร์ท คุยกันวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ไม่ลืมก่อนนอนสวดมนต์ ภาวนาเป็น รปจ.(ระเบียบประจำ) ติดตามเป็นกำลังใจนะครับ ที่ สรรคบุรีมีของดีและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไม่แพ้ที่ใดเช่นกัน
ในที่สุดเราก็มาถึง อ.สรรคบุรี สอบถามร้านค้า พ่อค้าแม่ค้า เรื่องที่พักที่หลับนอน ก็ได้รับคำแนะนำต่าง ๆ เป็นตัวเลือก คุณนายเลือกซื้ออาหารติดมือไปด้วยเผื่อเราไม่ต้องออกมาอีกแล้ว เย็นมากแล้ว ในที่สุดเราก็ได้ที่พักเป็นรีสอร์ทที่ถูกใจเรามาก อาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยเราก็ทานมื้อเย็นในรีสอร์ท คุยกันวันรุ่งขึ้นจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ไม่ลืมก่อนนอนสวดมนต์ ภาวนาเป็น รปจ.(ระเบียบประจำ) ติดตามเป็นกำลังใจนะครับ ที่ สรรคบุรีมีของดีและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไม่แพ้ที่ใดเช่นกัน
cats๘๑.jpg (224.82 KiB) เข้าดูแล้ว 1041 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: เกร็ดประวัติศาสตร์ครับ ตามหลักฐานของกรมศิลปากร จังหวัดชัยนาทเป็นเมืองสำคัญ เมืองหนึ่ง ในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อ พ.ศ. 2319 ตรงกับวันเสาร์ เดือน 9 ขึ้น 12 ค่ำ (วันที่ 25 กรกฎาคม 2319) เจ้ากรุงธนบุรี ได้ยกทัพ ขึ้นมาขับไล่ ซึ่งกำลังรบติดพันกับไทยที่ นครสวรรค์

เมื่อ พระเจ้ากรุงธนบุรี เสด็จมาถึงเมืองชัยนาทแล้ว ทัพพม่าได้ข่าวก็ตกใจเกรงกลัว จึงละทิ้งค่ายที่นครสวรรค์แตกหนีไปทางเมืองอุทัยธานี พระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกกองทัพติดตามข้าศึก จนถึงบ้าน เดินบางนางบวชแขวงเมืองสุพรรณบุรี และเข้าโจมตีข้าศึกจนแตกยับเยินด้วยเหตุนี้ ทางจังหวัดชัยนาท จึงถือว่า วันที่ 28 กรกฎาคม เป็นวัน สถาปนา จังหวัด
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๘๒.jpg
cats๘๒.jpg (185.77 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๓.๑.jpg
cats๘๓.๑.jpg (118.27 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๓.๒.jpg
cats๘๓.jpg
cats๘๓.jpg (145.01 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๔.JPG
cats๘๔.JPG (81.78 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๕.jpg
cats๘๕.jpg (176.43 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
ออกจากรีสอร์ทเพื่อไปตลาดไปเก็บภาพอนุเสาวรีย์ขุนสรรค์ซึ่งเราผ่านมาเมื่อวานตอนเย็นก่อนเข้ารีสอร์ท และชมวัดพระมหาธาตุช่วงข้ามสะพานจะเห็นเจดีย์ยอดสีขาว อยู่ไม่ไกลกัน ผ่านวัดวิหารทองไม่แวะไม่ได้ครับ เพราะเตะตาและน่าเป็นัดเก่าแก่ด้วย<br /><br />วัดวิหารทอง ตั้งริมแม่น้ำน้อย เดิมเป็นวัดโบราณอยู่ในกำแพงเมืองสรรค์ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อมากลายสภาพเป็นวัดร้าง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ปกครองเมืองสรรค์ ชื่อหลวงวัง และนายสอน ได้นำวัวมาเลี้ยงในบริเวณนี้และพบองค์พระเจดีย์เก่าแก่ ภายหลังนายสอนได้บวช และมาจำพรรษาที่องค์พระเจดีย์ร้าง แล้วก็ได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์จนเป็นวัดขึ้น และมีเจ้าอาวาสสืบต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้<br /><br />โดยรวมภายในบริเวณวัดวิหารทอง มีบรรยากาศร่มรื่น มีอุโบสถ ศาลาวัดที่สวยงาม อารยธรรมโบราณ ร่มรื่น อีกทั้ง วัดวิหารทอง มีการอนุรักษ์ ต้นไม้ใหญ่ มีต้นยางนา และต้นสักทอง ที่มีลำต้นสูงให้บรรยากาศดูร่มเงาอย่างมาก บริเวณหน้าวัดมีสะพานแขวนทำด้วยไม้ ที่ปัจจุบันหาชมได้ยากแล้ว (ปัจจุบันสะพานนี้อยู่ระหว่างปรับปรุง) โดยมีสะพานแขวนเพื่อใช้สัญญารจรไปมา และต่อมาจึงสร้างสะพานเพื่อให้รถยนต์ได้(สะพานเหล็ก) มีพระอุโบสถทรงเรือสำเภาโบราณ สร้างสมัยอยุธยา มีลักษณะคล้ายกับอุโบสถวัดมหาธาตุ แต่มีสภาพอาคารที่สมบูรณ์มากกว่า <br /><br />มีพระเกจิอาจารย์ที่มีผู้เคารพนับถือเลื่อมใสท่านมาก คือหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เป็นอดีตเจ้าอาวาส หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เกิดปี พ.ศ. ๒๔๐๑ เป็นบุตรของนายเงิน ยอดดำเนิน มรณภาพ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ รวมสิริอายุ ๘๓ ปี ๕๓ พรรษา เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดชัยนาท ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
ออกจากรีสอร์ทเพื่อไปตลาดไปเก็บภาพอนุเสาวรีย์ขุนสรรค์ซึ่งเราผ่านมาเมื่อวานตอนเย็นก่อนเข้ารีสอร์ท และชมวัดพระมหาธาตุช่วงข้ามสะพานจะเห็นเจดีย์ยอดสีขาว อยู่ไม่ไกลกัน ผ่านวัดวิหารทองไม่แวะไม่ได้ครับ เพราะเตะตาและน่าเป็นัดเก่าแก่ด้วย

วัดวิหารทอง ตั้งริมแม่น้ำน้อย เดิมเป็นวัดโบราณอยู่ในกำแพงเมืองสรรค์ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ต่อมากลายสภาพเป็นวัดร้าง ในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้ปกครองเมืองสรรค์ ชื่อหลวงวัง และนายสอน ได้นำวัวมาเลี้ยงในบริเวณนี้และพบองค์พระเจดีย์เก่าแก่ ภายหลังนายสอนได้บวช และมาจำพรรษาที่องค์พระเจดีย์ร้าง แล้วก็ได้ช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์จนเป็นวัดขึ้น และมีเจ้าอาวาสสืบต่อๆ กันมาจนถึงปัจจุบันนี้

โดยรวมภายในบริเวณวัดวิหารทอง มีบรรยากาศร่มรื่น มีอุโบสถ ศาลาวัดที่สวยงาม อารยธรรมโบราณ ร่มรื่น อีกทั้ง วัดวิหารทอง มีการอนุรักษ์ ต้นไม้ใหญ่ มีต้นยางนา และต้นสักทอง ที่มีลำต้นสูงให้บรรยากาศดูร่มเงาอย่างมาก บริเวณหน้าวัดมีสะพานแขวนทำด้วยไม้ ที่ปัจจุบันหาชมได้ยากแล้ว (ปัจจุบันสะพานนี้อยู่ระหว่างปรับปรุง) โดยมีสะพานแขวนเพื่อใช้สัญญารจรไปมา และต่อมาจึงสร้างสะพานเพื่อให้รถยนต์ได้(สะพานเหล็ก) มีพระอุโบสถทรงเรือสำเภาโบราณ สร้างสมัยอยุธยา มีลักษณะคล้ายกับอุโบสถวัดมหาธาตุ แต่มีสภาพอาคารที่สมบูรณ์มากกว่า

มีพระเกจิอาจารย์ที่มีผู้เคารพนับถือเลื่อมใสท่านมาก คือหลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เป็นอดีตเจ้าอาวาส หลวงพ่อโต วัดวิหารทอง เกิดปี พ.ศ. ๒๔๐๑ เป็นบุตรของนายเงิน ยอดดำเนิน มรณภาพ ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ รวมสิริอายุ ๘๓ ปี ๕๓ พรรษา เป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดังที่เป็นที่เคารพนับถือของชาวจังหวัดชัยนาท ท่านเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
cats๘๖.jpg (147.16 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๗.๑.JPG
cats๘๗.๑.JPG (74.49 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๗.๒.JPG
cats๘๗.๒.JPG (83.84 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๗.JPG
cats๘๗.JPG (86.24 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
cats๘๘.jpg
cats๘๘.jpg (163.16 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
‘ขุนสรรค์ วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย’ ผู้นำชาวบ้านบางระจันต่อสู้กับพม่าเพื่อแผ่นดินเกิด<br /><br />ย้อนไปใน สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่รวบรวมไพร่พล หาญกล้าลุกขึ้นต่อต้านกองทัพพม่า ด้วยความรักชาติและแผ่นดินเกิดที่เราท่านรู้จักกันดีในชื่อ “ชาวบ้านบางระจัน” โดยมี “ขุนสรรค์”เป็นหัวหน้ากลุ่ม “บ้านบางระจัน”<br /><br />“ขุนสรรค์” เป็นชาวเมืองสรรคบุรี เดิมมีตำแหน่งเป็นกำนันอยู่ในตำบลหนึ่ง ในเมืองสรรคบุรี เป็นผู้มีฝีมือสูงในการใช้ดาบ และมีความสามารถในการยิงปืนที่แม่นยำราวจับวาง เป็นคนกล้าหาญยอมสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับข้าศึกจนได้รับการยกให้เป็นหัวหน้าคนไทยของค่ายบางระจัน ในการต่อสู้กับพม่าในสงครามก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2<br /><br />ยืมความจากหนังสือ “ไทยรบพม่า” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ชาวบ้านรวบรวมชายฉกรรจ์ไว้ได้ 400 คน มีหัวหน้าชื่อ ขุนสรรค์ นายพันเรืองเป็นกำนัน นายทองเหม็น นายจัน นายเขี้ยว นายทอง แสงใหญ่ ช่วยกันตั้งค่ายขึ้น ได้นิมนต์พระอาจารย์ ธรรมโชติ วัดเขาบางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งชาวบ้านนับถือว่าเป็นผู้รู้วิชาอาคม มาเป็นขวัญและกำลังใจ ซึ่งหลักฐานยังปรากฏอยู่ให้เห็นคือ ซากโบสถ์วิหาร และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ยามชาวบ้านบางระจันจะออกรบพระอาจารย์ธรรมโชติ จะให้ทุกคนลงอาบน้ำในสระนี้ซึ่งถือว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์ ปรากฏว่าชาวบ้านบางระจันสามารถต่อสู้พม่าเอาชนะได้ถึง 7 ครั้ง 7 หน จนพม่าหวั่นไหวเกรงกลัวฝีมือคนไทยในการรบพุ่งของชาวบ้านบางระจัน”<br /><br />ชาวบ้านบางระจันสามารถต่อสู้ชนะพม่าได้ถึง 7 ครั้งเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่ามีความหนักใจมากที่คนไทยเพียง 400 คน ชนะพม่าผู้ที่มีอาวุธและกำลังพลที่เหนือกว่าหลายเท่าจึงได้เปลี่ยนกลศึกใช้การตั้งรับแล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงชาวบ้านค่ายบางระจันจนล้มตาย เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านบางระจันขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเมืองหลวงจึงหล่อปืนใหญ่ขึ้นใช้เองแต่ก็ไม่เป็นผล ผู้นำชาวบ้านระดับหัวหน้าออกรบก็ถูกพม่าฆ่าตายไปทีละคนสองคนเหลือเพียง“ขุนสรรค์”ที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับอริราชศัตรูอย่างพม่าโดยไม่เคยหวั่นไหวถึงแม้รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะพม่าได้ ประกาศขอสู้ตายจนวาระสุดท้ายเพื่อชาติไทยและแผ่นดินเกิด ได้นำชาวบ้านบางระจันที่เหลืออยู่ปีนค่ายพม่าบุกเข้าไปถึงภายในค่ายจนตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาและถูกพม่ารุมฆ่าตายในที่สุดเมื่อสิ้น “ขุนสรรค์” ต่อมาไม่นานค่ายบางระจันก็เสียแก่พม่า เมื่อเดือน 7 ปีจอ พุทธศักราช 2309<br /><br />จากความกล้าหาญ ยอมเสียสละชีวิตต่อสู้กับข้าศึกเพื่อชาติบ้านเมืองของ “ขุนสรรค์” ชาวไทยและชาวชัยนาทจึงยกย่องเทิดทูนว่า “ขุนสรรค์” เป็น “วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย”และต่อมาชาวชัยนาทได้ร่วมกันสละทรัพย์เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ “ขุนสรรค์”ขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2525 และอัญเชิญมาประดิษฐาน ไว้ ณ หน้าที่ว่าการอำเภอสรรคบุรี และมีพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณ “ขุนสรรค์ วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย” ใน วันที่ 19 มกราคม ซึ่งได้กระทำสืบทอดกันมาทุกปี ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสรรคบุรี ที่ตั้งปัจจุบัน<br /><br />ในปี 2556 จังหวัดชัยนาท นายจำลอง โพธิ์สุข ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ได้กำหนดการจัดงานขึ้น ในวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยในวันที่ 19 มกราคมพ่อเมืองชัยนาทจะเป็นประธานในการบวงสรวง ทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ ภายในงานพบกับการออกร้านจำหน่ายสินค้าโอท็อป เทศกาลอาหารอร่อย และกิจกรรมขบวนแห่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ อ.สรรคบุรี มาตุภูมิถิ่นกำเนิดของ “ขุนสรรค์” เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้เป็นวีรบุรุษของชาวชัยนาทและชาวไทย “ด้วยความสำนึกในพระคุณ ของบรรพชนอย่างมิเคยสร่างซา”<br /><br /> Cr.ชูเดช สีหะวงษ์
‘ขุนสรรค์ วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย’ ผู้นำชาวบ้านบางระจันต่อสู้กับพม่าเพื่อแผ่นดินเกิด

ย้อนไปใน สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานี ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งที่รวบรวมไพร่พล หาญกล้าลุกขึ้นต่อต้านกองทัพพม่า ด้วยความรักชาติและแผ่นดินเกิดที่เราท่านรู้จักกันดีในชื่อ “ชาวบ้านบางระจัน” โดยมี “ขุนสรรค์”เป็นหัวหน้ากลุ่ม “บ้านบางระจัน”

“ขุนสรรค์” เป็นชาวเมืองสรรคบุรี เดิมมีตำแหน่งเป็นกำนันอยู่ในตำบลหนึ่ง ในเมืองสรรคบุรี เป็นผู้มีฝีมือสูงในการใช้ดาบ และมีความสามารถในการยิงปืนที่แม่นยำราวจับวาง เป็นคนกล้าหาญยอมสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับข้าศึกจนได้รับการยกให้เป็นหัวหน้าคนไทยของค่ายบางระจัน ในการต่อสู้กับพม่าในสงครามก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2

ยืมความจากหนังสือ “ไทยรบพม่า” ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า “ชาวบ้านรวบรวมชายฉกรรจ์ไว้ได้ 400 คน มีหัวหน้าชื่อ ขุนสรรค์ นายพันเรืองเป็นกำนัน นายทองเหม็น นายจัน นายเขี้ยว นายทอง แสงใหญ่ ช่วยกันตั้งค่ายขึ้น ได้นิมนต์พระอาจารย์ ธรรมโชติ วัดเขาบางบวช แขวงเมืองสุพรรณบุรี ซึ่งชาวบ้านนับถือว่าเป็นผู้รู้วิชาอาคม มาเป็นขวัญและกำลังใจ ซึ่งหลักฐานยังปรากฏอยู่ให้เห็นคือ ซากโบสถ์วิหาร และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ยามชาวบ้านบางระจันจะออกรบพระอาจารย์ธรรมโชติ จะให้ทุกคนลงอาบน้ำในสระนี้ซึ่งถือว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมหัศจรรย์ ปรากฏว่าชาวบ้านบางระจันสามารถต่อสู้พม่าเอาชนะได้ถึง 7 ครั้ง 7 หน จนพม่าหวั่นไหวเกรงกลัวฝีมือคนไทยในการรบพุ่งของชาวบ้านบางระจัน”

ชาวบ้านบางระจันสามารถต่อสู้ชนะพม่าได้ถึง 7 ครั้งเนเมียวสีหบดี แม่ทัพพม่ามีความหนักใจมากที่คนไทยเพียง 400 คน ชนะพม่าผู้ที่มีอาวุธและกำลังพลที่เหนือกว่าหลายเท่าจึงได้เปลี่ยนกลศึกใช้การตั้งรับแล้วใช้ปืนใหญ่ระดมยิงชาวบ้านค่ายบางระจันจนล้มตาย เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านบางระจันขอปืนใหญ่จากกรุงศรีอยุธยา แต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเมืองหลวงจึงหล่อปืนใหญ่ขึ้นใช้เองแต่ก็ไม่เป็นผล ผู้นำชาวบ้านระดับหัวหน้าออกรบก็ถูกพม่าฆ่าตายไปทีละคนสองคนเหลือเพียง“ขุนสรรค์”ที่ยังยืนหยัดต่อสู้กับอริราชศัตรูอย่างพม่าโดยไม่เคยหวั่นไหวถึงแม้รู้ว่าไม่มีทางเอาชนะพม่าได้ ประกาศขอสู้ตายจนวาระสุดท้ายเพื่อชาติไทยและแผ่นดินเกิด ได้นำชาวบ้านบางระจันที่เหลืออยู่ปีนค่ายพม่าบุกเข้าไปถึงภายในค่ายจนตกอยู่ในวงล้อมที่แน่นหนาและถูกพม่ารุมฆ่าตายในที่สุดเมื่อสิ้น “ขุนสรรค์” ต่อมาไม่นานค่ายบางระจันก็เสียแก่พม่า เมื่อเดือน 7 ปีจอ พุทธศักราช 2309

จากความกล้าหาญ ยอมเสียสละชีวิตต่อสู้กับข้าศึกเพื่อชาติบ้านเมืองของ “ขุนสรรค์” ชาวไทยและชาวชัยนาทจึงยกย่องเทิดทูนว่า “ขุนสรรค์” เป็น “วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย”และต่อมาชาวชัยนาทได้ร่วมกันสละทรัพย์เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ “ขุนสรรค์”ขึ้นเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2525 และอัญเชิญมาประดิษฐาน ไว้ ณ หน้าที่ว่าการอำเภอสรรคบุรี และมีพิธีบวงสรวงดวงวิญญาณ “ขุนสรรค์ วีรบุรุษแห่งลุ่มน้ำน้อย” ใน วันที่ 19 มกราคม ซึ่งได้กระทำสืบทอดกันมาทุกปี ณ บริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอสรรคบุรี ที่ตั้งปัจจุบัน

ในปี 2556 จังหวัดชัยนาท นายจำลอง โพธิ์สุข ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท ได้กำหนดการจัดงานขึ้น ในวันที่ 18-20 มกราคม พ.ศ. 2556 โดยในวันที่ 19 มกราคมพ่อเมืองชัยนาทจะเป็นประธานในการบวงสรวง ทั้งพิธีสงฆ์ และพิธีพราหมณ์ ภายในงานพบกับการออกร้านจำหน่ายสินค้าโอท็อป เทศกาลอาหารอร่อย และกิจกรรมขบวนแห่เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของ อ.สรรคบุรี มาตุภูมิถิ่นกำเนิดของ “ขุนสรรค์” เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของผู้เป็นวีรบุรุษของชาวชัยนาทและชาวไทย “ด้วยความสำนึกในพระคุณ ของบรรพชนอย่างมิเคยสร่างซา”

Cr.ชูเดช สีหะวงษ์
cats๘๙.JPG (119.02 KiB) เข้าดูแล้ว 1016 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: นำชมโบราณสถาน วัดมหาธาตุ เมืองสรรคบุรี :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
4083983.jpg
4083983.jpg (55.68 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๒.jpg
cats๙๒.jpg (147.47 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๓.jpg
cats๙๓.jpg (160.74 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๔.jpg
cats๙๔.jpg (116.92 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๕.jpg
cats๙๕.jpg (137.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
เราปั่นไปเก็บภาพขุนสรรค์ที่หน้าที่ว่าการอำเภอเสร็จก็ปั่นไปวัดพระมหาธาตุ ไปเข้าทางด้านหลังวัด เลาะริมน้ำน้อย เจอภาพข้างกำแพงฝาบ้าน สวยงามอดที่จะเก็บภาพไว้ เหมือนเป็น Art Community หรือเปล่าไม่แน่ใจ
เราปั่นไปเก็บภาพขุนสรรค์ที่หน้าที่ว่าการอำเภอเสร็จก็ปั่นไปวัดพระมหาธาตุ ไปเข้าทางด้านหลังวัด เลาะริมน้ำน้อย เจอภาพข้างกำแพงฝาบ้าน สวยงามอดที่จะเก็บภาพไว้ เหมือนเป็น Art Community หรือเปล่าไม่แน่ใจ
cats๙๖.jpg (134.5 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๑.jpg
cats๙๑.jpg (123.13 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๗.jpg
cats๙๗.jpg (176.66 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๘.๑.JPG
cats๙๘.๑.JPG (83.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๘.jpg
cats๙๘.jpg (150.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๙๙.jpg
cats๙๙.jpg (136.35 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๑๐๒.๑.jpg
cats๑๐๒.๑.jpg (119.8 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๑๐๒.jpg
cats๑๐๒.jpg (165.96 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
cats๑๐๓.JPG
cats๑๐๓.JPG (113.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
วัดมหาธาตุ (จังหวัดชัยนาท)  วัดมหาธาตุเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เป็นวัดเก่าแก่โบราณคู่เมืองแพรกหรือเมืองสรรค์ เดิมมีชื่อว่า “วัดพระธาตุ หรือ วัดหัวเมือง” สร้างขึ้นมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา<br /><br />วัดมหาธาตุ มีพื้นที่รวม 16 ไร่ 2 งาน 47 ตารางวา<br /><br />อาณาเขต<br /><br />ทิศเหนือ ยาว 120 ม. ติดต่อกับวัดพญาแพรกและถนนสาธารณะ(ซอยหน้าพระลาน 4 )<br /><br />ทิศใต้ ยาว 110 ม. ติดต่อกับถนนสาธารณะ (ซอยหน้าพระลาน2)และหมู่บ้าน<br /><br />ทิศตะวันออก ยาว 63 ม. ติดต่อับแม่น้ำน้อย<br /><br />ทิศตะวันตก ยาว 63 ม. ติดต่อกับ ถนนหน้าพระลาน(ซอยหน้าพระลาน3และ5)<br /><br />ที่น่าสนใจคือ เจดีย์ทรงปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง สิ่งก่อสร้างสำคัญวัดมหาธาตุ  พระปรางค์กลีบมะเฟือง สร้างด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ พระปรางค์มีลักษณะคล้ายกลีบมะเฟือง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมเป็นศิลปะสมัยลพบุรี รวมทั้งพระวิหาร และหมู่เจดีย์ต่างๆสร้างด้วยศิลปะที่งดงามมาก
วัดมหาธาตุ (จังหวัดชัยนาท) วัดมหาธาตุเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท เป็นวัดเก่าแก่โบราณคู่เมืองแพรกหรือเมืองสรรค์ เดิมมีชื่อว่า “วัดพระธาตุ หรือ วัดหัวเมือง” สร้างขึ้นมาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา

วัดมหาธาตุ มีพื้นที่รวม 16 ไร่ 2 งาน 47 ตารางวา

อาณาเขต

ทิศเหนือ ยาว 120 ม. ติดต่อกับวัดพญาแพรกและถนนสาธารณะ(ซอยหน้าพระลาน 4 )

ทิศใต้ ยาว 110 ม. ติดต่อกับถนนสาธารณะ (ซอยหน้าพระลาน2)และหมู่บ้าน

ทิศตะวันออก ยาว 63 ม. ติดต่อับแม่น้ำน้อย

ทิศตะวันตก ยาว 63 ม. ติดต่อกับ ถนนหน้าพระลาน(ซอยหน้าพระลาน3และ5)

ที่น่าสนใจคือ เจดีย์ทรงปรางค์ยอดกลีบมะเฟือง สิ่งก่อสร้างสำคัญวัดมหาธาตุ พระปรางค์กลีบมะเฟือง สร้างด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ พระปรางค์มีลักษณะคล้ายกลีบมะเฟือง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมเป็นศิลปะสมัยลพบุรี รวมทั้งพระวิหาร และหมู่เจดีย์ต่างๆสร้างด้วยศิลปะที่งดงามมาก
cats๙๑.๑.jpg (118.58 KiB) เข้าดูแล้ว 1015 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ธรรมะสร้างสุขเพื่อชีวิตที่ดี [พึ่งตน - ตน-พึ่งธรรม]

#หลงรูป_รส_กลิ่น_เสียง_สัมผัส

รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เป็นสิ่งครอบงำ ดั่งมนตร์เสน่ห์
ที่ดึงดูดมัดใจชาย และหญิง
ให้หลงติดอยู่ในวังวนนี้ . . .

กาม เป็นการขยายเผ่าพันธุ์
เป็นเรื่องของธรรมชาติที่มีคู่กับโลกอยู่แล้ว

เมื่อปะทะกับเหตุการณ์จริง คงต้องหยุดและพาตัวเองถอยให้ห่าง ออกมาจากสิ่งเร้าที่อยู่ตรงหน้านั้นให้เร็วที่สุด . . . เพราะ แรงดึงดูด ที่จะทำให้เราพลาดท่าเสียทีนั้นมีมากโข . . .

เมื่อถอยออกมาตั้งหลักแล้ว จิตใจยังว้าวุ่น อยู่กับความคิดอารมณ์ ที่กระเจิดกระเจิงนั้น ก็เบนความสนใจไปอย่างอื่นเสีย อสุภะ ลมหายใจ พุทโธก็ได้ จนกระทั่งสงบลง . . .

เพราะ เราจะไปตัดทิ้งไป ระงับให้สิ่งนั้นไม่มีไม่ได้ . . . ยิ่งอด ทับไว้มากๆก็ยิ่งหิว เมื่อไม่ได้เสพสัมผัสกาย โดยตรง ก็ออกไปทางด้านอื่น คือ.. หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ . . .

การที่ตา..มองไปเห็นชายหล่อ หญิงงาม ก็ต้องชื่นชมพอใจเป็นเรื่องธรรมดา อันนี้คือ...โลกแห่งความเป็นจริง
จะไปควักลูกตาไม่ให้มองเห็นนั้นไม่ได้ . . .

โลกภายในก็ปรุงแต่งจินตนาการไป ตามความต้องการของเรา มันห้ามไม่ได้ . .ขอเพียงแต่เห็นมันเอาไว้ หากไปตามดูและให้ความสำคัญกับความคิด เรา จะกระโดดกระโจนเข้าไปตระครุบ ทำให้เราเป็นผู้...#หลงโลก
#หลงความคิด #หลงอารมณ์ โดยที่ไม่รู้ตัว . . .

เมื่อเราหยุด ไม่พาแขน ขา กาย วาจาไป เป็นเครื่องมือ ของพญามาร ปล่อยให้เขาล่อหลอก และ ก็ชวนเราอยู่อย่างนั้นแหละ..! เดี๋ยวเขาก็เบื่อ เพร่ะเราไม่ผสมโรงไปด้วย เขาก็ตายไปเองนี้จากเราไปเอง . . .

เมื่อเราไม่ได้ไปหลงกับตัวหลอก หรือ...#พญามาร #ใจเรานั้น ก็จะบีบคั้นเดือดร้อนอยู่หิว และเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส . . . เมื่อถูกขังเอาไว้ได้ด้วยศีลภายใน ความเกรี้ยวกราดของจิตใจ ก็จะแสดงตัวตนออกมา เผลอ ๆ เราก็จะได้เห็นสัตว์ ที่อยู่ภายในจิตใจขิงเรา แสดงธาตุแท้ ตัวตนที่แท้จริง ความอัศจรรย์ใจก็จะบังเกิดขึ้น . .

ฆราวาส หญิง - ชาย ผู้อยู่เรือน ก็ปฏิบัติธรรมได้ เจริญอสุภะกรรมฐาน(ปลงซากศพ) หรือ ภาวนา พุท - โธ กำหนดลม หายใจเข้าออก . .

.#เห็นทุกข์ #เห็นธรรม ดับทุกข์ด้วยธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า : สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ : : การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั่งปวง :
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๑๐๔.JPG
cats๑๐๔.JPG (98.89 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๐๕.๑.jpg
cats๑๐๕.JPG
cats๑๐๕.JPG (98.8 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๐๖.JPG
cats๑๐๖.JPG (120.04 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๐๗.JPG
cats๑๐๗.JPG (115.39 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๐๘.JPG
cats๑๐๘.JPG (79.49 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๐๙.jpg
cats๑๐๙.jpg (174.66 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๑๐.jpg
cats๑๑๐.jpg (178.15 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
cats๑๑๑.JPG
cats๑๑๑.JPG (80.7 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
เราสองคนอยู่เก็บภาพหารายละเอียด เกี่ยวกับวัดมหาธาตุเรียกว่าจุใจ แต่ในความจุใจมันก็ยังคาใจอีกหลาย ๆ เรื่องต้องกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่บ้านครับ สังเกตุวัดทุกวัดเราไม่ค่อยเจอพระที่พอจะสนทนาได้  ความสงสัยใด ๆ ต้องไปค้นคว้าเอง แต่ก็ไม่เสียใจที่ได้มาชมด้วยตา<br /><br />เราอำลาพระมหาธาตุเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดพระแก้วที่วัดพระแก้วก็ทราบว่าไม่ธรรมดาเป็นวัดเก่าแก่ร่วมสมัยพระมหาธาตุนะครับ
เราสองคนอยู่เก็บภาพหารายละเอียด เกี่ยวกับวัดมหาธาตุเรียกว่าจุใจ แต่ในความจุใจมันก็ยังคาใจอีกหลาย ๆ เรื่องต้องกลับไปค้นคว้าเพิ่มเติมที่บ้านครับ สังเกตุวัดทุกวัดเราไม่ค่อยเจอพระที่พอจะสนทนาได้ ความสงสัยใด ๆ ต้องไปค้นคว้าเอง แต่ก็ไม่เสียใจที่ได้มาชมด้วยตา

เราอำลาพระมหาธาตุเพื่อเดินทางต่อไปยังวัดพระแก้วที่วัดพระแก้วก็ทราบว่าไม่ธรรมดาเป็นวัดเก่าแก่ร่วมสมัยพระมหาธาตุนะครับ
cats๑๑๒.jpg (141.93 KiB) เข้าดูแล้ว 966 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ก่อนจะไปเที่ยววัดพระแก้ว มีเรื่องสำคัญที่จะนำเรียนบันทึกไว้ ณ ที่นี้คือ ยูเนสโก้ประกาศรับรองเมืองศรีเทพเป็นมรดกโลกแล้ว ขอแสดงความยินดีกับชาวเพชรบูรณ์ด้วยครับ เป้าหมายนี้อยู่ในบัญชีเมืองรองของเราที่ต้องไปอยู่แล้วแต่เราเปลี่ยนไปภาคกลางก่อน ให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติแล้วค่อยไป ไปช่วงนี้คงไปแย่งที่อยู่ที่กินแน่นอน เราไม่ "ตามกระแสครับ" :lol: :lol:

:) :D คนไทยเฮ! ยูเนสโกประกาศ “เมืองศรีเทพ” มรดกโลกทางวัฒนธรรม :) :D


:idea: :idea: รู้จัก "เมืองโบราณศรีเทพ" สู่มรดกโลกทางวัฒนธรรม :idea: :idea:


:idea: :idea: สแกน "เมืองศรีเทพ" กับโดรนไลดาร์ "ศรีเทพ" รัฐแรกเริ่ม หรือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณ (Si Thep) :idea: :idea:


:idea: :idea: "ศรีเทพ" รัฐแรกเริ่ม หรือ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณ (Si Thep) :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
473051.jpg
473051.jpg (89.79 KiB) เข้าดูแล้ว 965 ครั้ง
473047.jpg
473047.jpg (140.35 KiB) เข้าดูแล้ว 965 ครั้ง
473048.jpg
473048.jpg (102.56 KiB) เข้าดูแล้ว 965 ครั้ง
กลับจากชัยนาท เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้าซ่อมสุขภาพ &quot;กายเป็นของหมอ ใจเป็นของเรา&quot; ไม่ปฏิเสธที่จะรับการรักษา ทั้ง ๆ ที่ใจคิดว่าน่าจะถึงเวลาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไป แต่สภาวะทุกข์ทรมานน่าจะเกินทน เมื่อไปหาหมอแล้วการวินิจฉัยโรคเป็นหน้าที่หมอ คำวินิจฉัยและสั่งการของหมอจึงต้องให้ความสำคัญ (แม้จะไม่ต้องรักษาก็ได้) อีกอย่างเรายังไม่บรรลุเป้าหมายและอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ ให้เป็นหน้าที่หมอดูแลร่างกายเพื่อให้ได้ดำรงค์ความมุ่งหมายที่ยังค้างคาจะได้บรรลุสิ่งที่เรียกว่า &quot;ฝันให้ไกลไปให้ถึง&quot; ไม่ใช่แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เป็นคนสติเลื่อนลอย &quot;น่าอาย&quot; <br /><br />จากวันนี้คงต้องห่างหายการท่องเที่ยวไปอีกนาน แต่จะนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกว่าการรักษากายจากหมอจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ก็จะพากันเดินทางตามฝันต่อไป
กลับจากชัยนาท เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้าซ่อมสุขภาพ "กายเป็นของหมอ ใจเป็นของเรา" ไม่ปฏิเสธที่จะรับการรักษา ทั้ง ๆ ที่ใจคิดว่าน่าจะถึงเวลาปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไป แต่สภาวะทุกข์ทรมานน่าจะเกินทน เมื่อไปหาหมอแล้วการวินิจฉัยโรคเป็นหน้าที่หมอ คำวินิจฉัยและสั่งการของหมอจึงต้องให้ความสำคัญ (แม้จะไม่ต้องรักษาก็ได้) อีกอย่างเรายังไม่บรรลุเป้าหมายและอุดมการณ์ที่ตั้งไว้ ให้เป็นหน้าที่หมอดูแลร่างกายเพื่อให้ได้ดำรงค์ความมุ่งหมายที่ยังค้างคาจะได้บรรลุสิ่งที่เรียกว่า "ฝันให้ไกลไปให้ถึง" ไม่ใช่แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ เป็นคนสติเลื่อนลอย "น่าอาย"

จากวันนี้คงต้องห่างหายการท่องเที่ยวไปอีกนาน แต่จะนานเท่าไหร่ไม่รู้ จนกว่าการรักษากายจากหมอจะกลับมาสู่ภาวะปกติ ก็จะพากันเดินทางตามฝันต่อไป
473049.jpg (68.4 KiB) เข้าดูแล้ว 965 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ภาพจำที่จะไม่เกิดขึ้นอีกแน่นอน :( :(

:) :D สวัสดียามสาย ๆ ของศุกร์ที่ ๒๒/๙/๖๖ หนนี้น่าจะมาแปลกนะครับ ที่นำภาพอดีตของการปั่นพร้อมจ่อหัว "ภาพจำในอดีตที่จะไม่เกิดขึ้นอีก" ไม่มีอะไรนะครับเพียงแต่จะมาบอก fc. ว่าแต่ก่อนเราจะไปกันในแบบพระธุดงค์(ของเราจักรยานธุดงค์) คือ การมุ่งเข้าไปหาแดนดินถิ่นที่ไม่ศิวิไลซ์ เราจะเจอะเจอกับความทุกข์ ความลำบาก ตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า "เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม"

บัดนี้เวลาได้ล่วงเลยไป อายุ สังขารของสมาชิกก็ สว.ขึ้น สมาชิกหลายท่านก็เลิกลาสาเหตุจาก โรคภัยไข้เจ็บ บางรายก็ได้ล้มหายตายจากกันไป สุดท้ายเหลือเท่าที่เห็น โดยใจจริงผมเองยังมั่นคงใน "จักรยานธุดงค์" แต่คุณนายเริ่มมีปัญหาด้วยสาเหตุของสตรีเพศนั่นแหละ คุณนายก็เลยขอทดลองไปแบบสบาย ๆ ทัวร์ ซึ่งเดินทางมาแล้ว ๒ ทริป (พิจิตรที่แรก ตามด้วยชัยนาท)

ผล..คือ คุณนายสามารถที่จะดำรงค์การปั่นต่อไปได้(อย่างมีความสุข) ก็คุยกันฉันท์เพื่อนร่วมโลก( :lol: :lol: ) ว่า ๒ ทริปที่ผ่านมา เรามีความสุข สนุกสนานกับการปั่นท่องเที่ยว happy happy มาก ๆ ๆ ในขณะเดียวกันเราก็ยังคงเห็นความทุกข์ของเพื่อนร่วมโลก(ชาวบ้านตาดำ ๆ ) ที่ต้องหาเช้ากินค่ำ เห็นน้ำตาของคนจน ๆ ไม่แตกต่างกับที่เราปั่นในแบบจักรยานธุดงค์เลย มองให้ลึกลงไปในขณะที่เราสบาย สนุก เพื่อนร่วมโลกของเรา ทุกข์ ไม่สนุกเหมือนเรา

เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม....๒ ทริปที่ผ่านปัญญาได้เพิ่มขึ้นว่า แม้จะเห็นสุขก็ยังเห็นทุกข์ตามมา(สุขในทุกข์..ทุกข์ในสุข)...สรุปได้ โลกนี้ไม่มีความสุขแน่นอน มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น จะไปในรูปแบบใด "ทุกข์ก็ตามเราไปทุกหนทุกแห่ง" พระพุทธองค์ทรงสอนไว้แล้วว่า "ทุกข์เท่านั้นเกิด ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป"

บทสรุป..จึงเป็นที่มาของคำว่า "ภาพจำในอดีตจะไม่กลับมาอีก" ด้วยประการะฉะนี้แล เอวัง
:lol: :lol:
ไฟล์แนบ
473049.jpg
473049.jpg (89.21 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
ชีวิตจริง<br /><br />   เราเกิดมาเพื่อพัฒนาศักยภาพ<br />ไม่ได้เกิดเพื่อเป็นทาสความยึดถือ<br />ชอบหรือชังยังไม่แน่แค่ปล่อยมือ<br />นั่นแหละคือสิ่งที่เราสมควรทำ.<br /><br />   ชีวิตของเรา เราย่อม เกิดเพื่อเป็นเจ้าของ เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเองในปัจจุบันนี้ เพื่อที่จะก้าวข้ามไปสู่อนาคตภายภาคหน้าได้ เพราะฉะนั้นการกำหนดชะตาชีวิตของเรานี้ เราย่อมต้องเป็นผู้กำหนดด้วยตัวของเราเอง หาใช่ว่าให้คนอื่นมากำหนดชะตาให้เราไม่ เพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดมาเพื่อชอบหรือชังใครหรือให้ใครชอบหรือชังเรา เพราะสิ่งเหล่านั้นมันล้วนเป็นเพียงสภาวะสภาวะหนึ่งที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไปจากชีวิตเราในที่สุด เพราะมันไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้าได้ หรือจะอยู่กับสภาวะสภาวะใดคงเส้นคงวาตลอดไปได้ <br /><br />เมื่อมีพบต้องมีจาก มีชอบก็ต้องมีชังเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ของทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจะต้องมีด้วยกันเป็นคู่เสมอ เพียงแต่เราดำรงจิตใจเราให้เป็นหนึ่งไว้ ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆทั้งสิ้น เห็นอะไรที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำก็ทำไปเลย ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังใดๆทั้งสิ้น การลังเลสงสัยไม่แน่ใจนั่นแหละมันจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเราก้าวเดินต่อไปอย่างยากลำบากขึ้นนะ ชีวิตเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตเรานี้ เพื่อเป็นการปูทางเดินให้กับชีวิตเรา ในภายภาคหน้าต่อไป นั่นแหละคือสิ่งที่เราสมควรทำที่สุด.<br /><br />   เรานั้นเกิดมาเพื่อใครเอาให้ชัด<br />เราก็มีหลักของเราเอาให้เต็มที่<br />ไม่จำเป็นว่าต้องมีเหมือนใครมี<br />เราก็ยังมีดีอยู่เดี๋ยวรู้กัน<br /><br />   ไม่ได้มาเพื่อต้องการให้ใครชอบ<br />หรือมีใครจะมันบอกไม่ชอบฉัน<br />เพราะชีวิตนั้นตัวใครก็ตัวมัน<br />อย่าเพ้อฝันต้องเอาอกเอาใจใคร<br /><br />   แค่อยู่ให้มีความสุขก็พอแล้ว<br />เป็นแนวทางที่สังคมยอมรับได้<br />ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเบียดเบียนใคร<br />รับไม่ได้ก็ไม่ต้องเจอหน้ากัน<br /><br />   ทำหน้าที่ของตนนั้นจะดีกว่า<br />ไม่ต้องมาอ้างสรรพคุณเพื่อหนุนหลัง<br />จะดีชั่วตัวรู้อยู่ในปัจจุบัน<br />จะกำหนดชีวิตนั้นให้เป็นไป<br /><br />   ใครจะชอบเราหรือไม่ใช่ปัญหา<br />ไม่ต้องมีใครศรัทธาเราก็ได้<br />เราก็ยังเป็นเราอยู่ดูท้าทาย<br />เพราะสุดท้ายชีวิตนี้มีเพียงเรา<br /><br />   อย่าคิดเอาการคาดเดาเข้ามาใช้<br />ชีวิตนี้จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า<br />กรรมกำหนดบทชีวิตสิทธิ์ของเรา<br />หมั่นขาดเกลาจิตใจนี้ดีนักแล.<br /><br /> ขอความสุขความเจริญจงมีแต่ทุกๆท่านเทอญเจริญพร.........
ชีวิตจริง

เราเกิดมาเพื่อพัฒนาศักยภาพ
ไม่ได้เกิดเพื่อเป็นทาสความยึดถือ
ชอบหรือชังยังไม่แน่แค่ปล่อยมือ
นั่นแหละคือสิ่งที่เราสมควรทำ.

ชีวิตของเรา เราย่อม เกิดเพื่อเป็นเจ้าของ เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของเราเองในปัจจุบันนี้ เพื่อที่จะก้าวข้ามไปสู่อนาคตภายภาคหน้าได้ เพราะฉะนั้นการกำหนดชะตาชีวิตของเรานี้ เราย่อมต้องเป็นผู้กำหนดด้วยตัวของเราเอง หาใช่ว่าให้คนอื่นมากำหนดชะตาให้เราไม่ เพราะเราไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดมาเพื่อชอบหรือชังใครหรือให้ใครชอบหรือชังเรา เพราะสิ่งเหล่านั้นมันล้วนเป็นเพียงสภาวะสภาวะหนึ่งที่ผ่านเข้ามาและผ่านออกไปจากชีวิตเราในที่สุด เพราะมันไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้าได้ หรือจะอยู่กับสภาวะสภาวะใดคงเส้นคงวาตลอดไปได้

เมื่อมีพบต้องมีจาก มีชอบก็ต้องมีชังเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ของทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจะต้องมีด้วยกันเป็นคู่เสมอ เพียงแต่เราดำรงจิตใจเราให้เป็นหนึ่งไว้ ไม่มีความลังเลสงสัยใดๆทั้งสิ้น เห็นอะไรที่เราคิดว่าเป็นสิ่งที่ดี สมควรทำก็ทำไปเลย ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังใดๆทั้งสิ้น การลังเลสงสัยไม่แน่ใจนั่นแหละมันจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตเราก้าวเดินต่อไปอย่างยากลำบากขึ้นนะ ชีวิตเราเกิดมาเพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตเรานี้ เพื่อเป็นการปูทางเดินให้กับชีวิตเรา ในภายภาคหน้าต่อไป นั่นแหละคือสิ่งที่เราสมควรทำที่สุด.

เรานั้นเกิดมาเพื่อใครเอาให้ชัด
เราก็มีหลักของเราเอาให้เต็มที่
ไม่จำเป็นว่าต้องมีเหมือนใครมี
เราก็ยังมีดีอยู่เดี๋ยวรู้กัน

ไม่ได้มาเพื่อต้องการให้ใครชอบ
หรือมีใครจะมันบอกไม่ชอบฉัน
เพราะชีวิตนั้นตัวใครก็ตัวมัน
อย่าเพ้อฝันต้องเอาอกเอาใจใคร

แค่อยู่ให้มีความสุขก็พอแล้ว
เป็นแนวทางที่สังคมยอมรับได้
ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเบียดเบียนใคร
รับไม่ได้ก็ไม่ต้องเจอหน้ากัน

ทำหน้าที่ของตนนั้นจะดีกว่า
ไม่ต้องมาอ้างสรรพคุณเพื่อหนุนหลัง
จะดีชั่วตัวรู้อยู่ในปัจจุบัน
จะกำหนดชีวิตนั้นให้เป็นไป

ใครจะชอบเราหรือไม่ใช่ปัญหา
ไม่ต้องมีใครศรัทธาเราก็ได้
เราก็ยังเป็นเราอยู่ดูท้าทาย
เพราะสุดท้ายชีวิตนี้มีเพียงเรา

อย่าคิดเอาการคาดเดาเข้ามาใช้
ชีวิตนี้จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า
กรรมกำหนดบทชีวิตสิทธิ์ของเรา
หมั่นขาดเกลาจิตใจนี้ดีนักแล.

ขอความสุขความเจริญจงมีแต่ทุกๆท่านเทอญเจริญพร.........
470814.jpg (58.31 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
cats๑๐๔.JPG
cats๑๐๔.JPG (98.89 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
cats๑๐๕.๑.jpg
วิหารวัดมหาธาตุ สภาพทั่วไปชำรุดไม่มีหลังคาคงปรากฏด้านหน้าเป็นรูปแปดเหลี่ยมแบบเสาวิหารในสมัยอยุธยา มีบัวหัวเสาเป็นบัวกมล มีทางขึ้นด้านหน้าทางเดียว ด้านหลังพระวิหารมีทางเดินเชื่อมกับระเบียงคดออกไปสู่ล่นพระธาตุได้ มีพระพุทธรูปปูนปั้นเป็นพระประธาน 1 องค์ เป็นลักษณะช่างสกุลเมืองสรรค์ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ อายุ 700 ปี
วิหารวัดมหาธาตุ สภาพทั่วไปชำรุดไม่มีหลังคาคงปรากฏด้านหน้าเป็นรูปแปดเหลี่ยมแบบเสาวิหารในสมัยอยุธยา มีบัวหัวเสาเป็นบัวกมล มีทางขึ้นด้านหน้าทางเดียว ด้านหลังพระวิหารมีทางเดินเชื่อมกับระเบียงคดออกไปสู่ล่นพระธาตุได้ มีพระพุทธรูปปูนปั้นเป็นพระประธาน 1 องค์ เป็นลักษณะช่างสกุลเมืองสรรค์ ชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อใหญ่ อายุ 700 ปี
cats๑๐๕.JPG (98.8 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
พระปรางค์กลีบมะเฟือง (พูมะเฟือง) สร้างด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ องค์พระปรางค์มีลักษณะคล้ายกลีบมะเฟือง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม (ฐานเขียง) เป็นศิลปะสมัยลพบุรี กรมศิลปากรได้บูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2526เมื่อ พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสและทรงมีลายพระหัตถ์บันทึกไว้
พระปรางค์กลีบมะเฟือง (พูมะเฟือง) สร้างด้วยอิฐถือปูน 3 องค์ องค์พระปรางค์มีลักษณะคล้ายกลีบมะเฟือง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม (ฐานเขียง) เป็นศิลปะสมัยลพบุรี กรมศิลปากรได้บูรณะปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ. 2526เมื่อ พ.ศ. 2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จประพาสและทรงมีลายพระหัตถ์บันทึกไว้
cats๑๐๖.JPG (120.04 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
cats๑๐๗.JPG
cats๑๐๗.JPG (115.39 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
cats๑๐๘.JPG
cats๑๐๘.JPG (79.49 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
เมื่อเข้ามาถึงวัด อันดับแรกต้องเข้ามากราบไหว้ขอพร หลวงพ่อหลักเมือง หรือหลวงพ่อหมอ พระพุทธรูปโบราณที่เรียกท่านว่าหลวงพ่อหลักเมืองนั้นก็เพราะเบื้องหลังของท่านมีแผ่นศิลาสองแผ่นสลักลายเทวรูปปักอยู่คู่กัน ชาวบ้านต่างพากันเรียกว่าหลักเมือง จึงเรียกหลวงพ่อองค์นี้ว่า หลวงพีอหลักเมืองด้วย ส่วนชื่อ หลวงพ่อหมอนั้นมาจากที่ชาวบ้านในแถบนั้นเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจะพากันมาบนบามศาลกล่าว หรือขอน้ำมนต์กันไปรักษากันตามความเชื่อ
เมื่อเข้ามาถึงวัด อันดับแรกต้องเข้ามากราบไหว้ขอพร หลวงพ่อหลักเมือง หรือหลวงพ่อหมอ พระพุทธรูปโบราณที่เรียกท่านว่าหลวงพ่อหลักเมืองนั้นก็เพราะเบื้องหลังของท่านมีแผ่นศิลาสองแผ่นสลักลายเทวรูปปักอยู่คู่กัน ชาวบ้านต่างพากันเรียกว่าหลักเมือง จึงเรียกหลวงพ่อองค์นี้ว่า หลวงพีอหลักเมืองด้วย ส่วนชื่อ หลวงพ่อหมอนั้นมาจากที่ชาวบ้านในแถบนั้นเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยจะพากันมาบนบามศาลกล่าว หรือขอน้ำมนต์กันไปรักษากันตามความเชื่อ
cats๑๐๙.jpg (174.66 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
cats๑๑๐.jpg
cats๑๑๐.jpg (178.15 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
ออกจากวัดมหาธาตุเราก็มุ่งตรงไปวัดพระแก้วซึ่งเป็นวัดเก่าแก่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระมหาธาตุครับ
ออกจากวัดมหาธาตุเราก็มุ่งตรงไปวัดพระแก้วซึ่งเป็นวัดเก่าแก่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับพระมหาธาตุครับ
cats๑๑๑.JPG (80.7 KiB) เข้าดูแล้ว 912 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: วัดพระแก้ว (จังหวัดชัยนาท)จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ดพระแก้ว เป็นวัดที่เก่าแก่ เดิมเรียกว่าวัดแก้วหรือวัดพบแก้ว ตั้งอยู่ที่ บ้านบางน้ำพระ ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท ทางด้านทิศใต้ นอกกำแพงเมืองโบราณสรรค์บุรี ห่างจากวัดมหาธาตุประมาณ 3 กิโลเมตร เดิมมีทางน้ำเชื่อมไปทางเมืองโบราณดงคอนที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตกของวัด แต่ปัจจุบันบริเวณนั้นเป็นทุ่งนาไปแล้ว เป็นวัดเก่าแก่รุ่นเดียวกับวัดมหาธาตุ เมืองสรรคบุรี

วัดแห่งนี้ไม่มีประวัติความเป็นมาที่แน่ชัด แต่จากหลักฐานทางโบราณคดี สามารถระบุได้ว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น น.ณ ปากน้ำ สันนิษฐานว่าเดิมเรียกว่า วัดป่าแก้ว อันเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระฝ่ายอรัญวาสี หรือวิปัสสนาธุระ ซึ่งเป็นคณะพระสงฆ์โบราณคณะหนึ่ง ที่อาศัยอยู่ในป่าห่างไกลจากเมือง ต่อมามีคนพบพระพุทธรูปองค์เล็กเท่าปลายนิ้วมือจากในเจดีย์ เป็นพระที่ทำด้วยแก้วมีหลากสีส่องประกายสายงามเมื่อต้องแสงไฟ จึงเรียกติดปากกันมาว่าวัดพบแก้ว หรือวัดพระแก้วตั้งแต่ตอนนั้น

ในสมัยรัตนโกสินทร์ วัดแห่งนี้มีสภาพเป็นวัดร้าง เต็มไปด้วยป่าไผ่ จนเมื่อ ตาเปรื่อง ตาแหยม ตาโป๋ ได้ชักชวนชาวบ้าน มาช่วยกันถากถางป่า แล้วสร้างกุฏิสงฆ์ขึ้น ประมาณปี พ.ศ. 2450 จากนั้นได้อาราธนาหลวงพ่อสอนให้มาเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัดตั้งแต่เริ่มปฏิสังขรณ์ใหม่ [1]

ภายในวัดมี "ราชินีแห่งเจดีย์ในเอเชียอาคเนย์" ซึ่งเป็นเจดีย์แบบละโว้ทรงสูงผสมกับศิลปะทวารวดีตอนปลาย ฐานเรือนธาตุแบบลดท้องไม้เป็นศิลปะสุโขทัยและศรีวิชัยผสมกัน บริเวณหน้าเจดีย์มีวิหารหลวงพ่อฉาย ซึ่งที่ด้านหลังของพระพุทธรูปมีทับหลังแกะสลักติดอยู่ โดยสันนิษฐานว่าน่าจะขนย้ายมาจากปราสาทแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ วัดนี้จึงเป็นอีกวัดหนึ่งที่เป็นวัดสำคัญของจังหวัดชัยนาท
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๑๑๒.jpg
cats๑๑๒.jpg (141.93 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๓.๑.jpg
cats๑๑๓.๑.jpg (157.53 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๓.JPG
cats๑๑๓.JPG (90.07 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๔.๑.JPG
cats๑๑๔.๑.JPG (123.57 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๔.๒.JPG
cats๑๑๔.๒.JPG (103.75 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๔.jpg
cats๑๑๔.jpg (150.63 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๕.jpg
cats๑๑๕.jpg (140.62 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๖.JPG
cats๑๑๖.JPG (139.05 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๗.jpg
cats๑๑๗.jpg (195.34 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๑๘.JPG
cats๑๑๘.JPG (130.82 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
เจดีย์ประธาน ที่วัดพระแก้วมีรูปแบบเดียวกันกับเจดีย์บางองค์ในเมืองสุพรรณบุรี เช่นเจดีย์วัดพระรูป แสดงถึงการเกี่ยวข้องระหว่างสองเมืองอย่างใกล้ชิด เจดีย์ในกลุ่มนี้คงไม่มีเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งที่เป็นต้นแบบให้สร้าง หรือไม่ได้อยู่ในสายวิวัฒนาการของเจดีย์แบบใดแบบหนึ่ง แต่สร้างขึ้นโดยถอดองค์ประกอบเจดีย์จากเจดีย์ต่างๆมาปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์เดียวกัน <br /><br />องค์ประกอบเจดีย์พระพุทธรูปและลวดลายยังแสดงรูปแบบที่สัมพันธ์กับศิลปะในชุมชนต่างๆ ได้แก่ ศิลปะสุโขทัยเช่นซุ้มหน้านาง แต่เด่นชัดที่สุดคือศิลปะหริภุญชัยและศิลปะล้านนา โดยเฉพาะองค์ประกอบเจดีย์เช่นรูปแบบของเรือนธาตุสี่เหลี่ยมและส่วนยอดรวมทั้งพระพุทธรูปภายในจระนำ แต่แสดงรูปแบบที่คลี่คลายมาจากต้นแบบแล้วการกำหนดอายุของเจดีย์วัดพระแก้วสรรคบุรีจึงน่าจะอยู่ในช่วงระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ 19 หรือต้น 20<br /><br /><br />ภาพถ่ายโฟโตแกรมมิตทรี เจดีย์ประธานวัดพระแก้วเมืองสรรค์ ด้านทิศเหนือ<br />ลักษณะของเจดีย์ฐานล่างสุดเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นที่ 3 เป็นแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูง มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 4 ด้าน ในซุ้มตรงกลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางถวายเนตร คือพระหัตถ์ซ้อนกันอยู่เหนือพระชงฆ์ ท่าทางประทับยืน ขนาบสองข้างด้วยพระพุทธรูปปางประทานอภัย ลักษณะพระพุทธรูปปูนปั้นจัดเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น เพราะมีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยเข้าผสมอยู่แล้ว เช่นมีรัศมีเป็นเปลวเพลิง ถัดจากแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูงขึ้นไป เป็นแท่งแปดเหลี่ยม มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตรประทับยืนทั้ง 4 ทิศอีก แต่ไม่มีพระพุทธรูปขนาบข้าง คงมีแต่เพียงด้านละองค์ <br /><br />เหนือนั้นขึ้นไปก็เป็นย่อเหลี่ยมอีกชั้นหนึ่ง บางทีอาจจะมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งอยู่ตอนบนด้วยก็ได้ แต่ปรักหักพังไปหมดแล้ว ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นรูปซุ้มคล้ายหน้าต่างรูปโค้งเกือกม้า หรือ กูฑุในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ ต่อจากนั้นจึงเป็นลาดบัวกลม ก่อนถึงองค์ระฆังทรงกลม ลักษณะองค์ระฆังเป็นแบบที่เรียกกันว่าทรงลังกา เหนือองค์ระฆังตรงส่วนบัลลังก์ เป็นรูปแปดเหลี่ยมอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงถึงปล้องไฉนและปลียอด แต่ส่วนบนสุดได้หักหายไปเสียแล้ว<br /><br />ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล สันนิธฐานว่า “เจดีย์ที่วัดพระแก้วนี้ คงสืบต่อลงมาจากเจดีย์สูงทางด้านทิศตะวันออกนอกเมืองสุโขทัยเก่า เจดีย์สูงมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมลังกา ตั้งอยู่เหนือฐานแปดเหลี่ยม และฐานสี่เหลี่ยมสูง อันอาจจัดอยู่ได้ว่า สร้างขึ้นในสมัยปลายสุโขทัย เหตุนั้นเจดีย์ที่วัดพระแก้วนี้ จึงอาจจัดอยู่ได้ในตอนต้นสมัยอยุธยา เพราะมีวิวัฒนาการเครื่องตกแต่งมากยิ่งกว่าเจดีย์สูง ในขณะนั้นแม้ว่า ณ. พระนครศรีอยุธยา จะนิยมสร้างพระปรางค์เลียนแบบลพบุรีก็จริง แต่แถบเมืองสรรค์อยู่ใกล้สุโขทัยมากกว่า เหตุนั้นจึงนิยมเลียนแบบสุโขทัยยิ่งกว่าแบบลพบุรี …เช่นเดียวกันกับเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดมหาธาตุเมืองสรรค์บุรีที่ปรักหักพังไปแล้วนั้น ก็คงมีรูปร่างเหมืองกับเจดีย์วัดพระแก้วนี่เอง”
เจดีย์ประธาน ที่วัดพระแก้วมีรูปแบบเดียวกันกับเจดีย์บางองค์ในเมืองสุพรรณบุรี เช่นเจดีย์วัดพระรูป แสดงถึงการเกี่ยวข้องระหว่างสองเมืองอย่างใกล้ชิด เจดีย์ในกลุ่มนี้คงไม่มีเจดีย์องค์ใดองค์หนึ่งที่เป็นต้นแบบให้สร้าง หรือไม่ได้อยู่ในสายวิวัฒนาการของเจดีย์แบบใดแบบหนึ่ง แต่สร้างขึ้นโดยถอดองค์ประกอบเจดีย์จากเจดีย์ต่างๆมาปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์เดียวกัน

องค์ประกอบเจดีย์พระพุทธรูปและลวดลายยังแสดงรูปแบบที่สัมพันธ์กับศิลปะในชุมชนต่างๆ ได้แก่ ศิลปะสุโขทัยเช่นซุ้มหน้านาง แต่เด่นชัดที่สุดคือศิลปะหริภุญชัยและศิลปะล้านนา โดยเฉพาะองค์ประกอบเจดีย์เช่นรูปแบบของเรือนธาตุสี่เหลี่ยมและส่วนยอดรวมทั้งพระพุทธรูปภายในจระนำ แต่แสดงรูปแบบที่คลี่คลายมาจากต้นแบบแล้วการกำหนดอายุของเจดีย์วัดพระแก้วสรรคบุรีจึงน่าจะอยู่ในช่วงระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ 19 หรือต้น 20


ภาพถ่ายโฟโตแกรมมิตทรี เจดีย์ประธานวัดพระแก้วเมืองสรรค์ ด้านทิศเหนือ
ลักษณะของเจดีย์ฐานล่างสุดเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัสซ้อนกัน 2 ชั้น ชั้นที่ 3 เป็นแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูง มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง 4 ด้าน ในซุ้มตรงกลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางถวายเนตร คือพระหัตถ์ซ้อนกันอยู่เหนือพระชงฆ์ ท่าทางประทับยืน ขนาบสองข้างด้วยพระพุทธรูปปางประทานอภัย ลักษณะพระพุทธรูปปูนปั้นจัดเป็นศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้น เพราะมีอิทธิพลของศิลปะสุโขทัยเข้าผสมอยู่แล้ว เช่นมีรัศมีเป็นเปลวเพลิง ถัดจากแท่งสี่เหลี่ยมทรงสูงขึ้นไป เป็นแท่งแปดเหลี่ยม มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปางถวายเนตรประทับยืนทั้ง 4 ทิศอีก แต่ไม่มีพระพุทธรูปขนาบข้าง คงมีแต่เพียงด้านละองค์

เหนือนั้นขึ้นไปก็เป็นย่อเหลี่ยมอีกชั้นหนึ่ง บางทีอาจจะมีซุ้มพระพุทธรูปประทับนั่งอยู่ตอนบนด้วยก็ได้ แต่ปรักหักพังไปหมดแล้ว ที่ยังคงเหลืออยู่เป็นรูปซุ้มคล้ายหน้าต่างรูปโค้งเกือกม้า หรือ กูฑุในศิลปะอินเดียแบบคุปตะ ต่อจากนั้นจึงเป็นลาดบัวกลม ก่อนถึงองค์ระฆังทรงกลม ลักษณะองค์ระฆังเป็นแบบที่เรียกกันว่าทรงลังกา เหนือองค์ระฆังตรงส่วนบัลลังก์ เป็นรูปแปดเหลี่ยมอีกครั้งหนึ่ง แล้วจึงถึงปล้องไฉนและปลียอด แต่ส่วนบนสุดได้หักหายไปเสียแล้ว

ม.จ. สุภัทรดิศ ดิศกุล สันนิธฐานว่า “เจดีย์ที่วัดพระแก้วนี้ คงสืบต่อลงมาจากเจดีย์สูงทางด้านทิศตะวันออกนอกเมืองสุโขทัยเก่า เจดีย์สูงมีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมลังกา ตั้งอยู่เหนือฐานแปดเหลี่ยม และฐานสี่เหลี่ยมสูง อันอาจจัดอยู่ได้ว่า สร้างขึ้นในสมัยปลายสุโขทัย เหตุนั้นเจดีย์ที่วัดพระแก้วนี้ จึงอาจจัดอยู่ได้ในตอนต้นสมัยอยุธยา เพราะมีวิวัฒนาการเครื่องตกแต่งมากยิ่งกว่าเจดีย์สูง ในขณะนั้นแม้ว่า ณ. พระนครศรีอยุธยา จะนิยมสร้างพระปรางค์เลียนแบบลพบุรีก็จริง แต่แถบเมืองสรรค์อยู่ใกล้สุโขทัยมากกว่า เหตุนั้นจึงนิยมเลียนแบบสุโขทัยยิ่งกว่าแบบลพบุรี …เช่นเดียวกันกับเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดมหาธาตุเมืองสรรค์บุรีที่ปรักหักพังไปแล้วนั้น ก็คงมีรูปร่างเหมืองกับเจดีย์วัดพระแก้วนี่เอง”
cats๑๑๙.JPG (108.12 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
cats๑๒๐.JPG
cats๑๒๐.JPG (114.77 KiB) เข้าดูแล้ว 911 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สารภี วันนี้ได้เข้ามาเยีอนเยียนห้องนี้ ได้เห็นสิ่งดีๆมากมายทั้งภาพและข้อความที่มีประโยชน์ทำให้ได้ทราบสิ่งที่ไม่ทราบ ทำให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ลึกๆนึกเสียดายสิ่งดีๆประดามีที่ท่านนำเสนอไว้ ณ ที่นี้ ที่มาอยู่ในสื่อที่ตกยุคสมัย เนื่องจากสื่อปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนช่วนให้หลงไหลได้ปลื้มและสะดวกสบายต่างๆมากมายนั่นแล จงทำต่อไปครับ ท่านที่มีจิตวิญญาณเหนือมนุษย์คงเห็นการทำดีของท่านน้องแดงฯ อย่างน้อยๆขณะที่ท่านทำก็คงรู้สึกดีๆไม่น้อยมังครับ..

..๓ ตค.๖๖ พบหมอเกี่ยวกับ "ต้อกระจก" มังครับ. จงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะครับ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ลุงเนตร เขียน: 23 ก.ย. 2023, 16:17 "..สวัสดีครับ ท่านน้องแดง สารภี วันนี้ได้เข้ามาเยีอนเยียนห้องนี้ ได้เห็นสิ่งดีๆมากมายทั้งภาพและข้อความที่มีประโยชน์ทำให้ได้ทราบสิ่งที่ไม่ทราบ ทำให้ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็น ลึกๆนึกเสียดายสิ่งดีๆประดามีที่ท่านนำเสนอไว้ ณ ที่นี้ ที่มาอยู่ในสื่อที่ตกยุคสมัย เนื่องจากสื่อปัจจุบันมีสิ่งยั่วยวนช่วนให้หลงไหลได้ปลื้มและสะดวกสบายต่างๆมากมายนั่นแล จงทำต่อไปครับ ท่านที่มีจิตวิญญาณเหนือมนุษย์คงเห็นการทำดีของท่านน้องแดงฯ อย่างน้อยๆขณะที่ท่านทำก็คงรู้สึกดีๆไม่น้อยมังครับ..

..๓ ตค.๖๖ พบหมอเกี่ยวกับ "ต้อกระจก" มังครับ. จงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะครับ.."
:) :D สวัสดีครับ ท่านพี่ที่เคารพอย่างสูง ขอบพระคุณท่านพี่ที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมเยียน และให้กำลังใจ ผมได้แบบอย่างมาจากท่านพี่ จะไม่เสียกำลังใจและจะทำต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดแรงครับ ไม่คิดอะไรมาก แต่ได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ที่ให้มาเผยแพร่สิ่งที่ตนเห็น ตนมี และตนเข้าใจ ในทางธรรมะเพื่อยกระดับจิตวิญญาณของคนทั้งหลาย ให้เกิดเป็นบุญบารมีของตนเองและเผื่อแผ่ไปยัง ผู้มีบุญทั้งหลายให้ดำรงไว้ซึ่งคำว่า "ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาจะวินาศ" ของหลวงปู่พุทธทาสครับ

น้อมรับและขอบคุณคำอวยพร ใน วันที่ ๓ ต.ค.๖๖ ที่ต้องนอน รพ.เตรียมตัวผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ในวันที่ ๔ ต.ค.๖๖ ขอให้ผ่านพ้นด้วยดี สาธุ สาธุ สาธุ
:D :D
ไฟล์แนบ
มรดกโลก นิยามและความหมาย<br /><br />มรดกโลก (World Heritage) หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่มีความโดดเด่นเป็นเลิศในระดับสากล เมื่อได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่ง “มรดกโลก” แล้ว ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในขอบเขตดินแดนของประเทศใด ถือได้ว่าเป็นมรดกของมนุษยชาติทั้งปวงในโลก<br /><br />มรดกโลก ยังเป็นมรดกอันทรงคุณค่าที่มนุษย์ได้รับจากอดีต ได้ใช้และภาคภูมิใจในปัจจุบัน และถือเป็นพันธกรณีในการทำนุบำรุงดูแลรักษา เพื่อมอบให้เป็นมรดกอันล้ำค่าแด่มวลมนุษยชาติในอนาคต มรดกโลก แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ มรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage) และมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage)<br /><br />อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ<br /><br />อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ หรือเรียกสั้นๆ ว่า &quot;อนุสัญญาคุ้มครอง มรดกโลก&quot; (The World Heritage Convention) เป็นความตกลงระหว่างรัฐภาคี (States Parties) ในการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินการต่างๆ เพื่อการคุ้มครองและอนุรักษ์แหล่ง มรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติทั้งที่มีอยู่ในประเทศตนและประเทศอื่น ให้ดำรงอยู่เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติตลอดไป<br /><br />วัตถุประสงค์สำคัญของอนุสัญญาฯ คือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการคุ้มครอง และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติให้ดำรงคุณค่าความโดดเด่นเป็นมรดกของมวลมนุษยชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตตลอดไป<br /><br />พันธกรณีของรัฐภาคี ได้แก่ การกำหนดนโยบายและวางแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และจัดการมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ การกำหนดมาตรการเพื่อการศึกษาวิจัย การปกป้องคุ้มครองการอนุรักษ์และการฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และละเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจจะทำลายมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของรัฐภาคีอื่นๆ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แต่จะสนับสนุนและช่วยเหลือรัฐภาคีอื่น ในการศึกษาวิจัยและปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติในประเทศนั้น ๆ<br /><br />อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ ได้รับการรับรองจากรัฐสมาชิกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ในการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ ๑๗ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ โดยอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๑๘ เป็นต้นมา<br /><br />หมวดที่ ๑ นิยามของมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ<br /><br />มาตราที่ ๑<br /><br />ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา &quot;มรดกทางวัฒนธรรม&quot; มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้<br /><br />- อนุสรณ์สถาน : ผลงานทางสถาปัตยกรรม ผลงานทางประติมากรรมหรือจิตรกรรม ส่วนประกอบ หรือโครงสร้างของโบราณคดีธรรมชาติ จารึก ถ้ำที่อยู่อาศัย และร่องรอยที่ผสมผสานกันของสิ่งต่างๆ ข้างต้น ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์<br /><br />- กลุ่มอาคาร : กลุ่มของอาคารที่แยกจากกันหรือเชื่อมต่อกันโดยลักษณะทางสถาปัตยกรรม หรือโดยความสอดคล้องกลมกลืน หรือโดยสถานที่จากสภาพภูมิทัศน์ ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์<br /><br />- แหล่ง : ผลงานที่เกิดจากมนุษย์ หรือผลงานที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ และบริเวณอันรวมถึงแหล่งโบราณคดี ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์สุนทรียศาสตร์ ชาติวงศ์วิทยา หรือมานุษยวิทยา<br /><br />มาตราที่ ๒<br /><br />ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา &quot;มรดกทางธรรมชาติ&quot; มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้<br /><br />- สภาพธรรมชาติที่ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพและทางชีวภาพ หรือกลุ่มของสภาพธรรมชาติดังกล่าว ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางสุนทรียศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์<br /><br />- สภาพองค์ประกอบทางธรณีวิทยา หรือธรณีสัณฐาน หรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์สัตว์และพืชที่กำลังได้รับการคุกคาม ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ หรือการอนุรักษ์<br /><br />- สภาพธรรมชาติหรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่ามีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ และความงดงามตามธรรมชาติ<br /><br />ขอขอบพระคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจาก ศูนย์มรดกโลกกระทรวงวัฒนธรรมครับ
มรดกโลก นิยามและความหมาย

มรดกโลก (World Heritage) หมายถึง มรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติที่มีความโดดเด่นเป็นเลิศในระดับสากล เมื่อได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่ง “มรดกโลก” แล้ว ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในขอบเขตดินแดนของประเทศใด ถือได้ว่าเป็นมรดกของมนุษยชาติทั้งปวงในโลก

มรดกโลก ยังเป็นมรดกอันทรงคุณค่าที่มนุษย์ได้รับจากอดีต ได้ใช้และภาคภูมิใจในปัจจุบัน และถือเป็นพันธกรณีในการทำนุบำรุงดูแลรักษา เพื่อมอบให้เป็นมรดกอันล้ำค่าแด่มวลมนุษยชาติในอนาคต มรดกโลก แบ่งออกเป็น ๒ ประเภทคือ มรดกโลกทางวัฒนธรรม (World Cultural Heritage) และมรดกโลกทางธรรมชาติ (World Natural Heritage)

อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ

อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ หรือเรียกสั้นๆ ว่า "อนุสัญญาคุ้มครอง มรดกโลก" (The World Heritage Convention) เป็นความตกลงระหว่างรัฐภาคี (States Parties) ในการยอมรับและให้ความร่วมมือในการดำเนินการต่างๆ เพื่อการคุ้มครองและอนุรักษ์แหล่ง มรดกโลกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติทั้งที่มีอยู่ในประเทศตนและประเทศอื่น ให้ดำรงอยู่เป็นมรดกของมวลมนุษยชาติตลอดไป

วัตถุประสงค์สำคัญของอนุสัญญาฯ คือการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศในการคุ้มครอง และอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติให้ดำรงคุณค่าความโดดเด่นเป็นมรดกของมวลมนุษยชาติ ทั้งในปัจจุบันและอนาคตตลอดไป

พันธกรณีของรัฐภาคี ได้แก่ การกำหนดนโยบายและวางแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และจัดการมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ การกำหนดมาตรการเพื่อการศึกษาวิจัย การปกป้องคุ้มครองการอนุรักษ์และการฟื้นฟูมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ และละเว้นการดำเนินการใดๆ ที่อาจจะทำลายมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติของรัฐภาคีอื่นๆ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม แต่จะสนับสนุนและช่วยเหลือรัฐภาคีอื่น ในการศึกษาวิจัยและปกป้องคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติในประเทศนั้น ๆ

อนุสัญญาฯ ฉบับนี้ ได้รับการรับรองจากรัฐสมาชิกขององค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติหรือยูเนสโก (UNESCO) ในการประชุมใหญ่สมัยสามัญครั้งที่ ๑๗ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ โดยอนุสัญญาฯ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๕๑๘ เป็นต้นมา

หมวดที่ ๑ นิยามของมรดกทางวัฒนธรรมและทางธรรมชาติ

มาตราที่ ๑

ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา "มรดกทางวัฒนธรรม" มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้

- อนุสรณ์สถาน : ผลงานทางสถาปัตยกรรม ผลงานทางประติมากรรมหรือจิตรกรรม ส่วนประกอบ หรือโครงสร้างของโบราณคดีธรรมชาติ จารึก ถ้ำที่อยู่อาศัย และร่องรอยที่ผสมผสานกันของสิ่งต่างๆ ข้างต้น ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์

- กลุ่มอาคาร : กลุ่มของอาคารที่แยกจากกันหรือเชื่อมต่อกันโดยลักษณะทางสถาปัตยกรรม หรือโดยความสอดคล้องกลมกลืน หรือโดยสถานที่จากสภาพภูมิทัศน์ ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์

- แหล่ง : ผลงานที่เกิดจากมนุษย์ หรือผลงานที่เกิดจากมนุษย์และธรรมชาติ และบริเวณอันรวมถึงแหล่งโบราณคดี ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางประวัติศาสตร์สุนทรียศาสตร์ ชาติวงศ์วิทยา หรือมานุษยวิทยา

มาตราที่ ๒

ตามวัตถุประสงค์แห่งอนุสัญญา "มรดกทางธรรมชาติ" มีความหมายครอบคลุมถึงสิ่งต่างๆ ดังนี้

- สภาพธรรมชาติที่ประกอบด้วยลักษณะทางกายภาพและทางชีวภาพ หรือกลุ่มของสภาพธรรมชาติดังกล่าว ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางสุนทรียศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์

- สภาพองค์ประกอบทางธรณีวิทยา หรือธรณีสัณฐาน หรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่าเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์สัตว์และพืชที่กำลังได้รับการคุกคาม ซึ่งมีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ หรือการอนุรักษ์

- สภาพธรรมชาติหรือบริเวณที่พิสูจน์ทราบอย่างชัดแจ้งว่ามีคุณค่าโดดเด่นในระดับสากล ในมิติทางวิทยาศาสตร์ การอนุรักษ์ และความงดงามตามธรรมชาติ

ขอขอบพระคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจาก ศูนย์มรดกโลกกระทรวงวัฒนธรรมครับ
473052.jpg (121.43 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๑.jpg
cats๑๒๑.jpg (164.23 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๒.jpg
cats๑๒๒.jpg (153.03 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๓.๑.jpg
cats๑๒๓.๑.jpg (137.77 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๓.JPG
cats๑๒๔.๑.jpg
cats๑๒๕.JPG
cats๑๒๕.JPG (141.7 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๖.jpg
cats๑๒๖.jpg (184.81 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๔.JPG
cats๑๒๔.JPG (84.44 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย Deang-sarapee เมื่อ 23 ก.ย. 2023, 17:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: โบราณสถาน 600 ปี วัดสองพี่น้องและวัดโตนดหลาย เจดีย์พุ่มข้าวบิณฑ์ในภาคกลาง ชัยนาท :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๑๒๗.jpg
cats๑๒๗.jpg (189.87 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๘.JPG
cats๑๒๘.JPG (134.26 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๓๐.JPG
cats๑๓๐.JPG (111.63 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๓๑.jpg
cats๑๓๑.jpg (123.69 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
cats๑๒๙.JPG
cats๑๒๙.JPG (103.62 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
528.JPG
528.JPG (111.68 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
IMG20230910103107.jpg
วัดโตนดหลาย โบราณสถานที่ปรากฎเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ในย่านภาคกลาง<br /><br />วัดโตนดหลาย ตั้งอยู่ที่ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท แผนผังของวัดนั้นวางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก - ตะวันตก ซึ่งวิหารของวัดโตนดหลาย หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในกำแพงแก้วของวัดโตนดหลาย ปรากฎศาสนสถานอันประกอบไปด้วย เจดีย์ประธาน วิหาร เจดีย์ราย และมณฑป<br /><br />โบราณสถานแห่งนี้มีความเฉพาะพิเศษ คือ มีเจดีย์อันเป็นประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรืออีกชื่อคือทรงดอกบัวตูม ซึ่งเป็นรูปแบบเจดีย์ในศิลปะสุโขทัย แม้จะมีรายละเอียดของรูปแบบงานศิลปกรรมที่ต่างไปจากเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่พบภายในอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยอยู่บ้าง แต่ก็ยังแสดงถึงแรงบันดาลใจทางศิลปะที่ถ่ายทอดถึงกันอย่างชัดเจน<br /><br />ส่วนยอดเดิมของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์วัดโตนดหลายนั้นหักหายไป ต่อมาจึงมีการบูรณะต่อเติมตามหลักการอนุรักษ์เพื่อให้เจดีย์วัดโตนดหลายมีรูปแบบที่สมบูรณ์ให้มากที่สุด<br /><br />จากการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดี ณ วัดโตนดหลาย แห่งนี้ ได้พบโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานบอกเล่าถึงการใช้พื้นที่บริเวณโบราณสถานแห่งนี้ในอดีต ซึ่งพบหลักฐานว่ามีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ ทวารวดี เพราะได้พบโบราณวัตถุประเภทหม้อก้นกลม ปากผายออก เนื้อดินผสมกรวด ทราย แกลบข้าว ผิวภาชนะมีสีเหลืองนวล ขึ้นรูปภาชนะด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะที่ได้จากการเผากลางแจ้ง และยังพบภาชนะดินเผาแบบหม้อมีสันก้นตื้น ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ลายเส้นขนาน และลายขูดขีด โดยภาชนะรูปแบบนี้ เป็นที่นิยมในกลุ่มสังคมวัฒนธรรมทวารวดี เช่น ที่บ้านคู่เมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี บ้านท่าแค อ.เมือง จ.ลพบุรี บ้านจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์<br /><br />นอกจากนี้ในการขุดแต่งยังพบหม้อมีพวย ที่มีลักษณะคล้ายกับหม้อมีพวยที่พบในชุมชนและเมืองโบราณสมัยทวารวดีทั่วไปเช่นกัน<br /><br />ในส่วนชั้นดินด้านบนที่อยู่เหนือชั้นดินในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นชั้นดินที่ร่วมสมัยกับเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ได้พบเศษภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาบ้านบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี กับเศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียวจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย และเครื่องถ้วยเวียดนาม ที่กำหนดอายุได้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงสันนิษฐานอายุของวัดโตนดหลายนี้ไว้ได้ว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และยังแสดงถึงแรงบันดาลใจในการก่อสร้างที่มาจากทางสุโขทัย อีกด้วย<br /><br />กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานแห่งนี้ ๒ ครั้ง โดยครั้งแรก ได้ขุดแต่งบูรณะในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ถัดมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงมีการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดีอีกครั้งหนึ่ง<br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี ชัยนาท
วัดโตนดหลาย โบราณสถานที่ปรากฎเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ในย่านภาคกลาง

วัดโตนดหลาย ตั้งอยู่ที่ตำบลแพรกศรีราชา อำเภอสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท แผนผังของวัดนั้นวางตัวตามแนวแกนทิศตะวันออก - ตะวันตก ซึ่งวิหารของวัดโตนดหลาย หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภายในกำแพงแก้วของวัดโตนดหลาย ปรากฎศาสนสถานอันประกอบไปด้วย เจดีย์ประธาน วิหาร เจดีย์ราย และมณฑป

โบราณสถานแห่งนี้มีความเฉพาะพิเศษ คือ มีเจดีย์อันเป็นประธานของวัดเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรืออีกชื่อคือทรงดอกบัวตูม ซึ่งเป็นรูปแบบเจดีย์ในศิลปะสุโขทัย แม้จะมีรายละเอียดของรูปแบบงานศิลปกรรมที่ต่างไปจากเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่พบภายในอาณาเขตของอาณาจักรสุโขทัยอยู่บ้าง แต่ก็ยังแสดงถึงแรงบันดาลใจทางศิลปะที่ถ่ายทอดถึงกันอย่างชัดเจน

ส่วนยอดเดิมของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์วัดโตนดหลายนั้นหักหายไป ต่อมาจึงมีการบูรณะต่อเติมตามหลักการอนุรักษ์เพื่อให้เจดีย์วัดโตนดหลายมีรูปแบบที่สมบูรณ์ให้มากที่สุด

จากการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดี ณ วัดโตนดหลาย แห่งนี้ ได้พบโบราณวัตถุที่เป็นหลักฐานบอกเล่าถึงการใช้พื้นที่บริเวณโบราณสถานแห่งนี้ในอดีต ซึ่งพบหลักฐานว่ามีการอยู่อาศัยมาตั้งแต่ ทวารวดี เพราะได้พบโบราณวัตถุประเภทหม้อก้นกลม ปากผายออก เนื้อดินผสมกรวด ทราย แกลบข้าว ผิวภาชนะมีสีเหลืองนวล ขึ้นรูปภาชนะด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบภาชนะที่ได้จากการเผากลางแจ้ง และยังพบภาชนะดินเผาแบบหม้อมีสันก้นตื้น ตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ลายเส้นขนาน และลายขูดขีด โดยภาชนะรูปแบบนี้ เป็นที่นิยมในกลุ่มสังคมวัฒนธรรมทวารวดี เช่น ที่บ้านคู่เมือง อ.อินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี บ้านท่าแค อ.เมือง จ.ลพบุรี บ้านจันเสน อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์

นอกจากนี้ในการขุดแต่งยังพบหม้อมีพวย ที่มีลักษณะคล้ายกับหม้อมีพวยที่พบในชุมชนและเมืองโบราณสมัยทวารวดีทั่วไปเช่นกัน

ในส่วนชั้นดินด้านบนที่อยู่เหนือชั้นดินในวัฒนธรรมทวารวดี ซึ่งเป็นชั้นดินที่ร่วมสมัยกับเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ได้พบเศษภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาบ้านบางปูน จังหวัดสุพรรณบุรี กับเศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียวจากแหล่งเตาศรีสัชนาลัย และเครื่องถ้วยเวียดนาม ที่กำหนดอายุได้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ จึงสันนิษฐานอายุของวัดโตนดหลายนี้ไว้ได้ว่าสร้างในราวพุทธศตวรรษที่ ๒๐ และยังแสดงถึงแรงบันดาลใจในการก่อสร้างที่มาจากทางสุโขทัย อีกด้วย

กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งและบูรณะโบราณสถานแห่งนี้ ๒ ครั้ง โดยครั้งแรก ได้ขุดแต่งบูรณะในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ถัดมาในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงมีการขุดแต่งและขุดค้นทางโบราณคดีอีกครั้งหนึ่ง

ขอบคุณข้อมูลจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ชัยนาทมุนี ชัยนาท
IMG20230910103120.jpg (115.17 KiB) เข้าดูแล้ว 865 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: คำคมภาษาอังกฤษ...

1. Before middle age - Do not fear!
"ก่อนวัยกลางคน ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว"

2. After middle age - Do not regret!
"หลังวัยกลางคน ก็ไม่มีอะไรที่น่าเสียใจอีกแล้ว"

3. Enjoy your life while you can.
"หาความสุขให้กับชีวิต เมื่อคุณยังมีความสามารถอยู่"

4. Do not wait till you cannot even walk just to be sorry and to regret.
"อย่ารอจนกว่าคุณเดินไม่ไหวแล้วต้องมานั่งเสียดาย และเสียใจ"

5. As long as it is physically possible, visit places you wish to visit.
"ตราบใดที่ร่างกายคุณยังไหวอยู่ ก็ขอให้คุณไปเยี่ยมเยืยนในสถานที่ที่คุณอยากไปเถอะ"

6. When there is an opportunity, get together with old classmates, old colleagues & friends.
"เมื่อเรายังมีโอกาส หาเวลาร่วมสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นเรียน สหายรัก และเพื่อนเก่า(แก่)"

7. The gathering is not just about eating; it's just that there is not much time left.
"การสังสรรค์นั้นมิใช่เพื่อสนุกกับการกินเท่านั้น หากแต่เพราะเราต่างเหลือเวลาที่จะอยู่ด้วยกันน้อยลงแล้ว"

8. Money kept in the banks may not be really your
"เงินที่คุณนำไปฝากไว้ที่ธนาคารนั้น อาจจะไม่ได้เป็นของคุณโดยแท้"

9. When it is time to spend, just spend, treat yourself well as you're getting old
"เมื่อถึงเวลาที่จะใช้ จงใช้มันหาความสุขให้ตัวเอง ในขณะที่วันเวลาของชีวิตเหลือน้อยลงแล้ว (ขณะที่คุณกำลังชราภาพมากขึ้น)"

10. Whatever you feel like eating, just eat! It is most important to be happy.
"เมื่อคุณอยากจะกิน ก็จงกินเถอะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด คือ การทำตนให้มีความสุข"

11. Your old friends - seize every opportunities to meet up with your friends, such opportunities will become rare as time goes by.
"สำหรับเพื่อนเก่าทั้งหลาย จงแสวงหาทุกโอกาสที่จะพบกับพวกเขาเหล่านั้น โอกาสเช่นนั้นนับวันจะหาได้ยากมากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไป"

12. Everyday you MUST smile and laugh.
"ทุกๆ วัน คุณต้องยิ้ม และหัวเราะให้ได้"

จงส่งให้กับเพื่อนของคุณ ไม่ว่าคุณจะรักเขา หรือเขาจะรักคุณหรือไม่ก็ตาม
การแบ่งปัน คือการแบ่งความสุขใจ.. ขอบคุณครับ
:idea: :idea:
ไฟล์แนบ
cats๑๓๒.๑.jpg
cats๑๓๒.๑.jpg (172.25 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๓๒.๒.jpg
cats๑๓๒.๒.jpg (161.55 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
ออกจากวัดโตนดหลายและวัดสองพี่น้อง ก็ได้เวลาเติมพลังมื้อเที่ยงกัน ตรงปากทางเข้าวัดมีร้านอาหารสั่งได้ มองดูแล้วเชื่อว่าทำมังสวิรัติได้ แวะเข้าไปไม่ผิดหวังครับ เราสั่งข้าวผัดมัง ฯ คนละจาน อร่อยถูกปาก<br /><br />เจ้าของร้านสนใจกิจกรรมการปั่นของเราเข้านั่งสนทนาด้วย สอบถามรู้ว่ามาจากเชียงใหม่ &quot;ทึ่ง&quot; และให้ความสนใจมากอยากที่จะไปแบบเราบ้าง &quot;แต่ติดขัดเรื่องราวชีวิตมากมาย ชีวิตทำไมมันทุกข์ก็ไม่รู้&quot; เราก็ได้ให้กำลังใจและให้แนวทางหากอยากต้องการไปในแบบที่เรากำลังทำ <br /><br />เริ่มต้นที่ต้องรู้จักการปล่อยวางเป็นมูลฐานเลย ต้องฝึกบ่อย ๆ จนเคยชินคือเรื่องใด ๆ ที่เราแก้ไขไม่ได้แล้วให้ปล่อยมันไปเป็นต้น การวางใจหรือที่เรียกว่า &quot;อุเบกขา&quot; ประมาณนี้ <br /><br />เรื่องที่สองฝึกใจที่มั่นคง &quot;ฝันให้ไกล ไปให้ถึง&quot; คือเมื่อคิดว่าสิ่งที่คิดไว้ ตัดสินใจไว้ ว่าดีแล้ว เราก็ต้องดำรงอุดมการณ์นี้และพยายามสร้างมูลเหตุอันใกล้กับที่ฝัน เช่นถ้าคิดว่าจะปั่นแบบที่เรากำลังทำ ก็เริ่มจัดหาจักรยานศึกษาเรื่องราวของจักรยาน หาเวลาว่างไปปั่นวันละ ๕ นาที ๑๐ นาที จนถึงวันละ ๑ ชม.ถ้าแบบนี้ก็จะเรียกว่า &quot;ฝันไกลและไปถึงครับ&quot; เป็นต้น <br /><br />เรื่องที่ ๓ ต้องบอกความในใจกับครอบครัวให้หมด คือ  เล่าความฝันของเราให้เขาฟังและยืนยันว่าเราจะทำตามนี้ แล้วจากนี้ไปเราก็พยายามปลดล็อคตัวเอง มอบหมายงานต่าง ๆ ที่รัดตัวให้ลดลง ไม่นานก็จะเป็นอิสระ<br /><br />ทั้งหมดที่พูดมาเป็นแค่วิธีที่ผมใช้และได้ผลมาทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านมีความคิดที่ดีกว่านี้ ก็ใช้แนวของท่าน สรุป อะไรที่จะสานฝันตัวเองให้สำเร็จให้ใช้แนวนั้นครับ<br /><br />เราสนทนากันนานพอสมควรกว่าจะอำลาจากกัน ก่อนเดินทางเจ้าของร้านแนะนำให้เราแวะไปวัดหลวงพ่อผอม เพื่อไปกราบไหว้และขอพรจากท่าน เนื่องจากวัดนี้คนชัยนาทมากราบไหว้ขอพรกันเนืองแน่นทุกวัน<br /><br />เป้าหมายของเรามุ่งเข้าเมืองสรรพยาซึ่งก็ไปทางเดียวกันพอดี ถือว่าโชคดีเป็นของเราครับ
ออกจากวัดโตนดหลายและวัดสองพี่น้อง ก็ได้เวลาเติมพลังมื้อเที่ยงกัน ตรงปากทางเข้าวัดมีร้านอาหารสั่งได้ มองดูแล้วเชื่อว่าทำมังสวิรัติได้ แวะเข้าไปไม่ผิดหวังครับ เราสั่งข้าวผัดมัง ฯ คนละจาน อร่อยถูกปาก

เจ้าของร้านสนใจกิจกรรมการปั่นของเราเข้านั่งสนทนาด้วย สอบถามรู้ว่ามาจากเชียงใหม่ "ทึ่ง" และให้ความสนใจมากอยากที่จะไปแบบเราบ้าง "แต่ติดขัดเรื่องราวชีวิตมากมาย ชีวิตทำไมมันทุกข์ก็ไม่รู้" เราก็ได้ให้กำลังใจและให้แนวทางหากอยากต้องการไปในแบบที่เรากำลังทำ

เริ่มต้นที่ต้องรู้จักการปล่อยวางเป็นมูลฐานเลย ต้องฝึกบ่อย ๆ จนเคยชินคือเรื่องใด ๆ ที่เราแก้ไขไม่ได้แล้วให้ปล่อยมันไปเป็นต้น การวางใจหรือที่เรียกว่า "อุเบกขา" ประมาณนี้

เรื่องที่สองฝึกใจที่มั่นคง "ฝันให้ไกล ไปให้ถึง" คือเมื่อคิดว่าสิ่งที่คิดไว้ ตัดสินใจไว้ ว่าดีแล้ว เราก็ต้องดำรงอุดมการณ์นี้และพยายามสร้างมูลเหตุอันใกล้กับที่ฝัน เช่นถ้าคิดว่าจะปั่นแบบที่เรากำลังทำ ก็เริ่มจัดหาจักรยานศึกษาเรื่องราวของจักรยาน หาเวลาว่างไปปั่นวันละ ๕ นาที ๑๐ นาที จนถึงวันละ ๑ ชม.ถ้าแบบนี้ก็จะเรียกว่า "ฝันไกลและไปถึงครับ" เป็นต้น

เรื่องที่ ๓ ต้องบอกความในใจกับครอบครัวให้หมด คือ เล่าความฝันของเราให้เขาฟังและยืนยันว่าเราจะทำตามนี้ แล้วจากนี้ไปเราก็พยายามปลดล็อคตัวเอง มอบหมายงานต่าง ๆ ที่รัดตัวให้ลดลง ไม่นานก็จะเป็นอิสระ

ทั้งหมดที่พูดมาเป็นแค่วิธีที่ผมใช้และได้ผลมาทั้งสิ้น แต่ถ้าท่านมีความคิดที่ดีกว่านี้ ก็ใช้แนวของท่าน สรุป อะไรที่จะสานฝันตัวเองให้สำเร็จให้ใช้แนวนั้นครับ

เราสนทนากันนานพอสมควรกว่าจะอำลาจากกัน ก่อนเดินทางเจ้าของร้านแนะนำให้เราแวะไปวัดหลวงพ่อผอม เพื่อไปกราบไหว้และขอพรจากท่าน เนื่องจากวัดนี้คนชัยนาทมากราบไหว้ขอพรกันเนืองแน่นทุกวัน

เป้าหมายของเรามุ่งเข้าเมืองสรรพยาซึ่งก็ไปทางเดียวกันพอดี ถือว่าโชคดีเป็นของเราครับ
cats๑๓๒.jpg (120.22 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๓๓.jpg
cats๑๓๓.jpg (132.01 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๓๔.jpg
cats๑๓๔.jpg (178.39 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๓๕.jpg
cats๑๓๕.jpg (111.98 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
วัดหลวงพ่อผอม หรือวัดโพธาราม นั่นเอง เมื่อเราเดินทางไปถึง เสียงแตรวงบรรเลงได้ยินมาแต่ไกล เรานึกว่าเขามีงานแข่งกีฬาประมานนั้น พอเข้าไปใกล้ เอ้าถึงวัดหลวงพ่อผอมแล้ว ปั่นเข้าไปข้างในวัด จนท.ฝ่ายจราจรจัดแจงพาเราเข้าไปด้านใน เราสอบถามกุฏิหลวงพ่อผอม เขาก็ชี้ให้เราดูพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกริยา &quot;ปัดโธ่..เรานึกว่าหลวงพ่อคงไม่ยอมฉันอาหารเลยผอม&quot; ๕๕๕๕ เตรียมเรื่องราวที่จะไปคุยกับหลวงพ่อเยอะเลย<br /><br />&quot;หลวงพ่อผอม&quot; ที่ วัดโพธาราม อ.สรรคบุรี เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปางทรมารกาย ลักษณะพระวรกายผ่ายผอมหนังติดกระดูก อายุเก่าแก่ราว๑๐๐ ปี  ซึ่งกายถูกปิดด้วยทอง มักขอพรด้านสุขภาพ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ชาวบ้านเล่าว่าเคยสร้างกุฏิให้แต่ก็พังทุกครั้ง แสดงว่าหลวงพ่อไม่ชอบ ชอบนั่งใต้ต้นโพธิ์แบบนี้แหละ
วัดหลวงพ่อผอม หรือวัดโพธาราม นั่นเอง เมื่อเราเดินทางไปถึง เสียงแตรวงบรรเลงได้ยินมาแต่ไกล เรานึกว่าเขามีงานแข่งกีฬาประมานนั้น พอเข้าไปใกล้ เอ้าถึงวัดหลวงพ่อผอมแล้ว ปั่นเข้าไปข้างในวัด จนท.ฝ่ายจราจรจัดแจงพาเราเข้าไปด้านใน เราสอบถามกุฏิหลวงพ่อผอม เขาก็ชี้ให้เราดูพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกริยา "ปัดโธ่..เรานึกว่าหลวงพ่อคงไม่ยอมฉันอาหารเลยผอม" ๕๕๕๕ เตรียมเรื่องราวที่จะไปคุยกับหลวงพ่อเยอะเลย

"หลวงพ่อผอม" ที่ วัดโพธาราม อ.สรรคบุรี เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปางทรมารกาย ลักษณะพระวรกายผ่ายผอมหนังติดกระดูก อายุเก่าแก่ราว๑๐๐ ปี ซึ่งกายถูกปิดด้วยทอง มักขอพรด้านสุขภาพ ให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ชาวบ้านเล่าว่าเคยสร้างกุฏิให้แต่ก็พังทุกครั้ง แสดงว่าหลวงพ่อไม่ชอบ ชอบนั่งใต้ต้นโพธิ์แบบนี้แหละ
cats๑๓๗.jpg
cats๑๓๗.jpg (171.57 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๓๘.jpg
หลวงพ่อหินที่เป็นศิลปะเก่าแก่ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีความขลัง เจ้าหน้าที่เล่าว่า ชาวบ้านชอบมาขอให้ทำสิ่งต่างๆ แล้วก็ลุล่วงไปอย่างง่ายดาย ผมสังเกตุองค์พระ เห็นแล้ว รู้ได้ว่าอิ่มใจ และรู้สึกดีใจกับคนที่เขาศรัทธาเลื่อมใส อย่างน้อย ๆ ก็เป็นที่พึ่งทางใจ นี่ถ้าได้ศึกษาเพิ่มเติม คนก็น่าเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนามากกว่าที่เป็นนะครับ
หลวงพ่อหินที่เป็นศิลปะเก่าแก่ ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีความขลัง เจ้าหน้าที่เล่าว่า ชาวบ้านชอบมาขอให้ทำสิ่งต่างๆ แล้วก็ลุล่วงไปอย่างง่ายดาย ผมสังเกตุองค์พระ เห็นแล้ว รู้ได้ว่าอิ่มใจ และรู้สึกดีใจกับคนที่เขาศรัทธาเลื่อมใส อย่างน้อย ๆ ก็เป็นที่พึ่งทางใจ นี่ถ้าได้ศึกษาเพิ่มเติม คนก็น่าเข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนามากกว่าที่เป็นนะครับ
cats๑๓๙.jpg (147.72 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๐.JPG
cats๑๔๐.JPG (58.38 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๑.๑.jpg
cats๑๔๑.๑.jpg (123.73 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๑.jpg
cats๑๔๑.jpg (131.69 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๐.JPG
cats๑๔๐.JPG (58.38 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๑.๑.jpg
cats๑๔๑.๑.jpg (123.73 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๑.jpg
cats๑๔๑.jpg (131.69 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๒.๑.jpg
cats๑๔๒.๑.jpg (156.84 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๒.JPG
cats๑๔๒.JPG (75.7 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
cats๑๔๓.jpg
cats๑๔๓.jpg (160.75 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
ข้ามสะพานแขวนแม่น้ำน้อย เลี้ยวขวามองเห็นวัดหลวงพ่อผอมอยู่อีกฟากฝั่ง พร้อมเสียงแตรวงแก้บนที่ดังมาตลอดเวลา ปั่นต่อไปอีกตาม GPS.น่าจะ ๒ กม.เจอทางเหมือนจะตัน นึกได้ว่าเราควรเลี้ยวเข้าที่วัดนก(ไม่เชื่อแล้วจีพีเอส)ก็พากันย้อนกลับเข้าทางหลังวัดนก ออกถนนใหญ่เลี้ยวชวาตรงเข้าสรรพยาครับ
ข้ามสะพานแขวนแม่น้ำน้อย เลี้ยวขวามองเห็นวัดหลวงพ่อผอมอยู่อีกฟากฝั่ง พร้อมเสียงแตรวงแก้บนที่ดังมาตลอดเวลา ปั่นต่อไปอีกตาม GPS.น่าจะ ๒ กม.เจอทางเหมือนจะตัน นึกได้ว่าเราควรเลี้ยวเข้าที่วัดนก(ไม่เชื่อแล้วจีพีเอส)ก็พากันย้อนกลับเข้าทางหลังวัดนก ออกถนนใหญ่เลี้ยวชวาตรงเข้าสรรพยาครับ
cats๑๔๔.jpg (153.42 KiB) เข้าดูแล้ว 838 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อำเภอสรรพยา ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 อยู่ทางทิศใต้ของจังหวัดชัยนาท มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านตอนกลางของพื้นที่อำเภอ สภาพบ้านเรือนราษฎรส่วนใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดแนวฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่ง บริเวณตอนล่างมีภูเขาลูกเล็ก ๆ อยู่แห่งหนึ่งชื่อว่า “เขาสรรพยา” ปรากฏหลักฐานในพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ ตอนหนึ่งว่า เมื่อพระลักษณ์ถูกหอกโมกข์ศักดิ์ของกุมกรรณ หนุมานได้อาสามาเอาตัวยาชื่อ “สังกรณี” และ “ตรีชวา” ณ ที่ “เขาสรรพยา” แห่งนี้ เพื่อนำไปบดเป็นกษัยผสมกับน้ำในแม่น้ำมหานทีใช้เป็นยา :o :o
ไฟล์แนบ
588.JPG
588.JPG (83.08 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๔๕.๑.JPG
cats๑๔๕.๑.JPG (141.94 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๔๕.jpg
cats๑๔๕.jpg (128.96 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
ช่วงที่ปั่นเข้าตัวเมืองสรรพยา อากาศร้อนมาก เจอปั๊ม ปตท.ดีใจครับ จะได้แวะเข้า Amezon หาอะไรเย็น ๆ ดับร้อน เราเข้าไปสั่งเครื่องดื่มของชอบคนละแก้ว ในร้านมีชายวัยน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่งดื่มเครื่องดื่มและกินของว่าง เขามองเราตั้งแต่เรานำจักรยานมาจอดหน้าร้านแล้ว พอเราสั่งเครื่องดื่มเขาก็เข้ามาทักและให้ของว่างที่เขากำลังกินให้เราทดลอง เป็นเปลือกส้มโออบแห้ง อร่อยมาก เป็นสินค้าตัวใหม่ของสรรพยา กำลังจะทำตลาด คุยไปคุยมาเขาเป็นเจ้าของปั๊ม ปตท.ปั๊มนี้ครับ<br /><br />แกสนใจการปั่นของเราและเล่าเรื่องราวของแกให้เราสองคนฟัง ฟังแล้วเราก็รู้สึกเป็นทุกข์ไปกับคนเล่า ชีวิตจะรวยล้นฟ้าก็ไม่พ้นความทุกข์ แต่จะทุกข์แบบไหนนั่นก็อีกเรื่อง แกอิจฉาเราสองคนมาก ๆ ก็คุยและให้กำลังใจพร้อมขอบคุณที่ไว้วางใจมาสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ก่อนอำลาพี่แกแนะนำรีสอร์ทซึ่งไม่ไกลจากปั๊ม ชื่อ ทิวไผ่รีสอร์ท เราอยู่คุยกับพี่แกชั่วโมงกว่าเวลา ๑๔.๐๐ น.จึงขอตัวไปหารีสอร์ทที่พี่แกแนะนำครับ
ช่วงที่ปั่นเข้าตัวเมืองสรรพยา อากาศร้อนมาก เจอปั๊ม ปตท.ดีใจครับ จะได้แวะเข้า Amezon หาอะไรเย็น ๆ ดับร้อน เราเข้าไปสั่งเครื่องดื่มของชอบคนละแก้ว ในร้านมีชายวัยน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่งดื่มเครื่องดื่มและกินของว่าง เขามองเราตั้งแต่เรานำจักรยานมาจอดหน้าร้านแล้ว พอเราสั่งเครื่องดื่มเขาก็เข้ามาทักและให้ของว่างที่เขากำลังกินให้เราทดลอง เป็นเปลือกส้มโออบแห้ง อร่อยมาก เป็นสินค้าตัวใหม่ของสรรพยา กำลังจะทำตลาด คุยไปคุยมาเขาเป็นเจ้าของปั๊ม ปตท.ปั๊มนี้ครับ

แกสนใจการปั่นของเราและเล่าเรื่องราวของแกให้เราสองคนฟัง ฟังแล้วเราก็รู้สึกเป็นทุกข์ไปกับคนเล่า ชีวิตจะรวยล้นฟ้าก็ไม่พ้นความทุกข์ แต่จะทุกข์แบบไหนนั่นก็อีกเรื่อง แกอิจฉาเราสองคนมาก ๆ ก็คุยและให้กำลังใจพร้อมขอบคุณที่ไว้วางใจมาสนทนาแลกเปลี่ยนเรื่องราวกัน ก่อนอำลาพี่แกแนะนำรีสอร์ทซึ่งไม่ไกลจากปั๊ม ชื่อ ทิวไผ่รีสอร์ท เราอยู่คุยกับพี่แกชั่วโมงกว่าเวลา ๑๔.๐๐ น.จึงขอตัวไปหารีสอร์ทที่พี่แกแนะนำครับ
cats๑๔๖.jpg (163.72 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๔๗.jpg
cats๑๔๘.jpg
cats๑๔๙.JPG
cats๑๔๙.JPG (54.07 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๐.JPG
cats๑๕๐.JPG (81.4 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๑.JPG
cats๑๕๑.JPG (79.9 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๒.๑.jpg
cats๑๕๒.JPG
cats๑๕๒.JPG (80.41 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๓.jpg
cats๑๕๓.jpg (113.71 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๔.jpg
cats๑๕๔.jpg (83.42 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
cats๑๕๕.jpg
cats๑๕๖.jpg
cats๑๕๖.jpg (127.9 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
เราปั่นไปหาที่พักทิวไผ่ เก็บข้าวของขึ้นห้อง พักผ่อนสักครู่ประมาณบ่ายสามโมงเราก็ออกไปเที่ยว ย่านชุมชนตลาดเมืองเก่าสรรพยา เพื่อไปชมโรงพักสมัย ร.๕ และหาของกินอร่อย ๆ ในตลาดโบราณ ตามโพยที่เราเตรียมมา ช่วงที่ปั่นออกจากรีสอร์ทไปตลาด ยางรถผมเหมือนจะบวม ปั่นไม่ลื่นไหล ผมพยายามประคองไปจนถึงวัดสรรพยา ตรวจสอบปรากฏว่ายางบวมเปล่ง ผมรีบปล่อยลมยางป้องกันการระเบิด <br /><br />ค้นหาร้านซ่อมจักรยานปรากฏว่าร้านซ่อมจักรยานไม่มีเลย แต่ไปมีในเมืองชัยนาท งานเข้าละครับ คิดว่าคงปั่นไกลไม่ได้แล้ว ทำไงดีละครับติดตามต่อไปผมจะใช้วิธีใดแก้ปัญหา
เราปั่นไปหาที่พักทิวไผ่ เก็บข้าวของขึ้นห้อง พักผ่อนสักครู่ประมาณบ่ายสามโมงเราก็ออกไปเที่ยว ย่านชุมชนตลาดเมืองเก่าสรรพยา เพื่อไปชมโรงพักสมัย ร.๕ และหาของกินอร่อย ๆ ในตลาดโบราณ ตามโพยที่เราเตรียมมา ช่วงที่ปั่นออกจากรีสอร์ทไปตลาด ยางรถผมเหมือนจะบวม ปั่นไม่ลื่นไหล ผมพยายามประคองไปจนถึงวัดสรรพยา ตรวจสอบปรากฏว่ายางบวมเปล่ง ผมรีบปล่อยลมยางป้องกันการระเบิด

ค้นหาร้านซ่อมจักรยานปรากฏว่าร้านซ่อมจักรยานไม่มีเลย แต่ไปมีในเมืองชัยนาท งานเข้าละครับ คิดว่าคงปั่นไกลไม่ได้แล้ว ทำไงดีละครับติดตามต่อไปผมจะใช้วิธีใดแก้ปัญหา
cats๑๕๗.JPG (91.06 KiB) เข้าดูแล้ว 836 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: , วัดสรรพยา ชัยนาท, หลวงปู่เฟื่อง, พระพุทธรูปปางกราบพระบรมศพ, วิหารน้อย :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
473053.jpg
473053.jpg (131.01 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
พยายามค้นหาร้านซ่อมจักรยาน บังเอิญว่า ๑๐ ก.ย.๖๖ เป็นวันอาทิตย์ติดต่อร้านไหนก็ไม่ได้(ร้านปิด) ปั่นเข้าไปในตลาดตามที่พ่อค้า-แม่ค้า บอกว่ามีร้านซ่อมอยู่ในตลาด แต่พอไปถึงปรากฏว่าร้านเลิกกิจการไปแล้ว(ไม่มีช่างประจำ) และอารมณ์ที่ยังอยากไปชมโรงพักเก่าคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่การแก้ปัญหาต้องกลับที่พัก รุ่งเช้าค่อยออกมาติดต่อหาร้านหรือรถเข้าไปยังชัยนาทเลย <br /><br />ผมทดลองปล่อยลมยางออกอีก ๑๐% ให้พอรับ นน.ตัวได้ ปรากฏว่าพอวิ่งได้ ตัดสินใจไปต่อ จึงปั่นไปชมโรงพักสมัย ร.๕
พยายามค้นหาร้านซ่อมจักรยาน บังเอิญว่า ๑๐ ก.ย.๖๖ เป็นวันอาทิตย์ติดต่อร้านไหนก็ไม่ได้(ร้านปิด) ปั่นเข้าไปในตลาดตามที่พ่อค้า-แม่ค้า บอกว่ามีร้านซ่อมอยู่ในตลาด แต่พอไปถึงปรากฏว่าร้านเลิกกิจการไปแล้ว(ไม่มีช่างประจำ) และอารมณ์ที่ยังอยากไปชมโรงพักเก่าคุกรุ่นอยู่ในใจ แต่การแก้ปัญหาต้องกลับที่พัก รุ่งเช้าค่อยออกมาติดต่อหาร้านหรือรถเข้าไปยังชัยนาทเลย

ผมทดลองปล่อยลมยางออกอีก ๑๐% ให้พอรับ นน.ตัวได้ ปรากฏว่าพอวิ่งได้ ตัดสินใจไปต่อ จึงปั่นไปชมโรงพักสมัย ร.๕
cats๑๕๘.jpg (199.55 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๕๙.jpg
cats๑๕๙.jpg (157.46 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
สถานีตำรวจภูธรอำเภอสรรพยา โรงพักเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย  โดย: ผู้จัดการออนไลน์<br /><br />สถานีตำรวจภูธรอำเภอสรรพยา หรือโรงพักเก่าสรรพยา ตั้งอยู่ในอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2444 หรือ รศ. 120 ในสมัยของพันตำรวจเอกพระยาสกลสรศิลป์ ผู้บังคับการมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งตรงกับสมัยของพระยาศรีสิทธิกรรม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอสรรพยา<br /><br />โรงพักแห่งนี้ ตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 47 วา ติดถนนสายเล็กๆภายในชุมชนตลาดสรรพยา สถาปัตยกรรมงามย้อนยุคทรงปั้นหยา รูปแบบอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง เสาไม้เต็ง ฝาเป็นไม้กระยาเลย ส่วนพื้นเป็นไม้ตะแบก โครงสร้างไม้ประดับเชิงชายด้วยไม้แกะสลัก และทาสีขาวสะอาดตา<br /><br />จุดเปลี่ยนแปลงของอาคารโรงพักดั้งเดิม เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2530 มีการสร้างโรงพักแห่งใหม่ริมคลองชลประทาน ใกล้กับที่ว่าการอำเภอสรรพยา ทำให้อาคารเดิมถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ และค่อยๆทรุดโทรมไปตามกาลเวลา<br /><br />ชาวบ้านในพื้นที่จึงอยากให้ทำการอนุรักษ์และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ โดยเฉพาะสันนิษฐานว่าที่นี่เป็นอาคารโรงพักเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยที่ยังเหลืออยู่ในสภาพเดิม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2559 หน่วยงานราชการในท้องถิ่นมีแนวคิดที่จะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณะและปรับปรุงอาคารดังกล่าวเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสรรพยา พร้อมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้แก่คนในชุมชนและนักท่องเที่ยว<br /><br />ภายหลังได้รับการบูรณะ และอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี อาคารจึงได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ คือ รางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2561<br /><br />ปัจจุบันโรงพักเก่าสรรพยา เป็นอาคารอนุรักษ์เพื่อการท่องเที่ยวและเรียนรู้ ด้านบนเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการภาพเก่าของย่านสรรพยา มีตู้เก็บปืน เอกสารกฎหมาย และมีนิทรรศการภาพถ่ายครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2498 และภาพการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500<br /><br />นอกจาก โรงพักเก่าแล้ว ในพื้นที่ชุมชนย่านตลาดโรงพักเก่าสรรพยา ก็นับเป็นอีกชุมเก่าเก่าน่าเดินเที่ยว เพราะมีวิถีชีวิตชุมชนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมหลากหลาย มีการพัฒนาเป็นแหล่งทองเที่ยวผ่านชมรมฟื้นฟูตลาดเก่าสรรพยา โดยมีการจัดตั้งตลาดกรีนดี เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมจัดถนนคนเดินทุกวันเสาร์-อาทิตย์แรกของเดือน
สถานีตำรวจภูธรอำเภอสรรพยา โรงพักเก่าแก่ที่สุดของประเทศไทย โดย: ผู้จัดการออนไลน์

สถานีตำรวจภูธรอำเภอสรรพยา หรือโรงพักเก่าสรรพยา ตั้งอยู่ในอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท เป็นอาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ที่สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2444 หรือ รศ. 120 ในสมัยของพันตำรวจเอกพระยาสกลสรศิลป์ ผู้บังคับการมณฑลนครสวรรค์ ซึ่งตรงกับสมัยของพระยาศรีสิทธิกรรม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอสรรพยา

โรงพักแห่งนี้ ตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ 3 งาน 47 วา ติดถนนสายเล็กๆภายในชุมชนตลาดสรรพยา สถาปัตยกรรมงามย้อนยุคทรงปั้นหยา รูปแบบอาคารไม้ชั้นเดียวยกพื้นสูง เสาไม้เต็ง ฝาเป็นไม้กระยาเลย ส่วนพื้นเป็นไม้ตะแบก โครงสร้างไม้ประดับเชิงชายด้วยไม้แกะสลัก และทาสีขาวสะอาดตา

จุดเปลี่ยนแปลงของอาคารโรงพักดั้งเดิม เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2530 มีการสร้างโรงพักแห่งใหม่ริมคลองชลประทาน ใกล้กับที่ว่าการอำเภอสรรพยา ทำให้อาคารเดิมถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ และค่อยๆทรุดโทรมไปตามกาลเวลา

ชาวบ้านในพื้นที่จึงอยากให้ทำการอนุรักษ์และพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเรียนรู้ โดยเฉพาะสันนิษฐานว่าที่นี่เป็นอาคารโรงพักเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยที่ยังเหลืออยู่ในสภาพเดิม จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2559 หน่วยงานราชการในท้องถิ่นมีแนวคิดที่จะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณะและปรับปรุงอาคารดังกล่าวเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นสรรพยา พร้อมทั้งเป็นแหล่งเรียนรู้แก่คนในชุมชนและนักท่องเที่ยว

ภายหลังได้รับการบูรณะ และอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี อาคารจึงได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ คือ รางวัลอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประจำปี 2561

ปัจจุบันโรงพักเก่าสรรพยา เป็นอาคารอนุรักษ์เพื่อการท่องเที่ยวและเรียนรู้ ด้านบนเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการภาพเก่าของย่านสรรพยา มีตู้เก็บปืน เอกสารกฎหมาย และมีนิทรรศการภาพถ่ายครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ พร้อมทั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถฯ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการสร้างเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ.2498 และภาพการเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนเจ้าพระยา เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2500

นอกจาก โรงพักเก่าแล้ว ในพื้นที่ชุมชนย่านตลาดโรงพักเก่าสรรพยา ก็นับเป็นอีกชุมเก่าเก่าน่าเดินเที่ยว เพราะมีวิถีชีวิตชุมชนที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมหลากหลาย มีการพัฒนาเป็นแหล่งทองเที่ยวผ่านชมรมฟื้นฟูตลาดเก่าสรรพยา โดยมีการจัดตั้งตลาดกรีนดี เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม พร้อมจัดถนนคนเดินทุกวันเสาร์-อาทิตย์แรกของเดือน
cats๑๖๐.jpg (177.27 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๑.jpg
cats๑๖๑.jpg (46.73 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๒.๑.jpg
cats๑๖๒.๑.jpg (82.6 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๒.jpg
cats๑๖๒.jpg (77.19 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๓.jpg
cats๑๖๓.jpg (168.98 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๔.jpg
cats๑๖๔.jpg (163.3 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
ออกจากโรงพักตกลงกันว่าเรากลับกันดีกว่า เพราะฝนเริ่มตั้งเค้ามีแววว่าตกแน่ ๆ บังเอิญปั่นผ่านร้านก๊วยเตี๋ยวโบราณ (ตามข้อมูลเป็นร้านที่ทำเส้นบะหมี่อร่อยมาก) เจ้าขอกำลังเก็บร้าน คุณนายเข้าไปคุยด้วย สอบถามและขอให้ช่วยทำเส้นหมี่แห้งแบบมังสวิรัติให้ ปรากฏเจ้าของร้านใจดีจัดการให้ทันที อร่อยมาก ๆ <br /><br />รีบกินแล้วก็รีบพากันกลับที่พักเลย
ออกจากโรงพักตกลงกันว่าเรากลับกันดีกว่า เพราะฝนเริ่มตั้งเค้ามีแววว่าตกแน่ ๆ บังเอิญปั่นผ่านร้านก๊วยเตี๋ยวโบราณ (ตามข้อมูลเป็นร้านที่ทำเส้นบะหมี่อร่อยมาก) เจ้าขอกำลังเก็บร้าน คุณนายเข้าไปคุยด้วย สอบถามและขอให้ช่วยทำเส้นหมี่แห้งแบบมังสวิรัติให้ ปรากฏเจ้าของร้านใจดีจัดการให้ทันที อร่อยมาก ๆ

รีบกินแล้วก็รีบพากันกลับที่พักเลย
cats๑๖๕.jpg (110.68 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ตลาดโรงพักเก่าสรรพยา @ชัยนาท :) :D
ไฟล์แนบ
cats๑๖๖.jpg
cats๑๖๖.jpg (154.69 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๗.๑.jpg
cats๑๖๗.๑.jpg (161.44 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
เช้า่วันที่ ๑๑ ก.ย.๖๖ ตื่นเช้าไปซดกาแฟ+ขนมกรอบแกรบ ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ เราซื้อขนมปังติดมือมาแต่เมื่อวานเย็นสมทบเป็นมื้อเช้าสอบถามเจ้าของรีสอร์ทเรื่องยางจักรยาน ทางรีสสอร์ทติดต่อไปร้านที่รู้จัก ทราบว่าน่าจะมี และอาสาไปส่ง ได้ยางนอกขนาด ๑.๗๕ เป็นของ Destone ซึ่งใช้กันได้ ดีใจมากเลย แต่ว่าพอเรานำมาเพื่อจะเปลี่ยน ปรากฏเครื่องมือเราไม่เพียงพอที่จะถอดล้อออกได้ (ต้องใช้ประแจเบอร์ ๑๕ ส่วนของเรามีเพียงตัวเล็กแรงไม่พอ)<br /><br />สุดท้ายต้องปั่นออกไปหาร้าน ได้ร้านมอไซด์ช่วยจัดการให้ บังเอิญช่างเจ้าของร้านชอบปั่นจักรยานด้วยเลยรอดตัว (โชคดีเป็นเป็นแบบนี้)
เช้า่วันที่ ๑๑ ก.ย.๖๖ ตื่นเช้าไปซดกาแฟ+ขนมกรอบแกรบ ที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ เราซื้อขนมปังติดมือมาแต่เมื่อวานเย็นสมทบเป็นมื้อเช้าสอบถามเจ้าของรีสอร์ทเรื่องยางจักรยาน ทางรีสสอร์ทติดต่อไปร้านที่รู้จัก ทราบว่าน่าจะมี และอาสาไปส่ง ได้ยางนอกขนาด ๑.๗๕ เป็นของ Destone ซึ่งใช้กันได้ ดีใจมากเลย แต่ว่าพอเรานำมาเพื่อจะเปลี่ยน ปรากฏเครื่องมือเราไม่เพียงพอที่จะถอดล้อออกได้ (ต้องใช้ประแจเบอร์ ๑๕ ส่วนของเรามีเพียงตัวเล็กแรงไม่พอ)

สุดท้ายต้องปั่นออกไปหาร้าน ได้ร้านมอไซด์ช่วยจัดการให้ บังเอิญช่างเจ้าของร้านชอบปั่นจักรยานด้วยเลยรอดตัว (โชคดีเป็นเป็นแบบนี้)
cats๑๖๗.jpg (195.28 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๘.jpg
cats๑๖๘.jpg (114.34 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๖๙.JPG
cats๑๖๙.JPG (79.99 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๐.jpg
cats๑๗๐.jpg (140.59 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๑.jpg
cats๑๗๑.jpg (134.79 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๒.jpg
cats๑๗๒.jpg (164.25 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๓.jpg
cats๑๗๓.jpg (105.11 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๔.jpg
cats๑๗๕.jpg
cats๑๗๕.jpg (170.72 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๖.jpg
cats๑๗๖.jpg (164.5 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๗.jpg
cats๑๗๗.jpg (125.71 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๘.jpg
cats๑๗๘.jpg (132.77 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๗๙.jpg
cats๑๗๙.jpg (134.03 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
cats๑๘๐.jpg
cats๑๘๐.jpg (128.67 KiB) เข้าดูแล้ว 790 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4385
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ????...คุณลุงแดง- คุณป้าอ๋อย พา เที่ยว ...???

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :Dเราสนุกสนานกับการได้ปั่นชมตลาดเก่าสรรพยาและ Art community เต็มอิ่ม ไม่ลืมที่จะแวะไปร้านก๊วยเตี๋ยวโบราณเพื่อเติมพลังมื้อเช้าควบเที่ยง (Brunch) ก่อนที่จะอำลาสรรพยามุ่งหน้าเข้าตัวเมือง ชัยนาทต่อไป

Art community ศิลปะชุมชนที่มาพร้อมกับการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ ผ่านงานสตรีทอาร์ต (Street Art) ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในการนำมาเป็นส่วนหนึ่งการเข้าไปมีส่วนร่วมในชุมชน

ในประเทศไทยมีการนำสตรีทอาร์ต เข้ามาเชื่อมโยงในการพัฒนาพื้นที่ชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ยกระดับเศรษฐกิจฐานรากให้มีโอกาสในการหารายได้จากพื้นที่ที่อยู่ของตนเอง โดยเปลี่ยนพื้นที่ที่รกร้าง หรือว่างเปล่า เปลี่ยนเป็นพื้นที่ทางศิลปะเพื่อดึงดูดผู้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วม และยังดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาชมผลงานนั้นๆ งานสตรีทอาร์ต ในชุมชน เป็นการนำเสนอเรื่องราวบริบทในพื้นที่ทุกๆมิติ เสนอวิถีชีวิต วัฒนธรรมประวัติศาสตร์ของชุมชน สะท้อนผ่านภาพชีวิตของผู้คนด้วย
:) :D
ไฟล์แนบ
cats๑๘๑.jpg
cats๑๘๑.jpg (118 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
cats๑๘๒.jpg
cats๑๘๒.jpg (120.09 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
cats๑๘๓.jpg
cats๑๘๓.jpg (142.67 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
cats๑๘๔.๑.jpg
cats๑๘๔.๑.jpg (136 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
cats๑๘๔.๒.jpg
cats๑๘๔.๒.jpg (137.14 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
656.JPG
656.JPG (86.89 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
658.JPG
658.JPG (101.6 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
659.JPG
659.JPG (87.3 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
หลังจากที่เราได้แก้ไขเปลี่ยนยางเรียบร้อย เราก็กลับไปเที่ยวในย่านโรงพักและชุมชนเก่แก่ของสรรพยากันต่อ เพราะยังไม่ได้เห็น Art community ซึ่งถือเป็นจุด Hilight ของเมือง สวยงามสนุก เพลิดเพลินดีครับ <br /><br />ก่อนออกจากสรรพยาเราไม่ลืมที่จะกลับไปเติมพลัง(Brunch) ที่ร้านก๊วยเตี๋ยวโบราณกันอีกครั้ง จากนั้นเราก็เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ชัยนาทต่อไป
หลังจากที่เราได้แก้ไขเปลี่ยนยางเรียบร้อย เราก็กลับไปเที่ยวในย่านโรงพักและชุมชนเก่แก่ของสรรพยากันต่อ เพราะยังไม่ได้เห็น Art community ซึ่งถือเป็นจุด Hilight ของเมือง สวยงามสนุก เพลิดเพลินดีครับ

ก่อนออกจากสรรพยาเราไม่ลืมที่จะกลับไปเติมพลัง(Brunch) ที่ร้านก๊วยเตี๋ยวโบราณกันอีกครั้ง จากนั้นเราก็เดินทางมุ่งหน้าเข้าสู่ชัยนาทต่อไป
663.JPG (102.98 KiB) เข้าดูแล้ว 1632 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ทัวร์ริ่ง (Touring)”