คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
ผู้ดูแล: tuke, อ้วน สุ1000
กฏการใช้บอร์ด
เสือเมืองสุพรรณ
ที่อยู่ - 249/14 หมู่ 5 ต.ท่าระหัด อ. เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000
โทรศัพท์ - 081-2089199
ผู้ดูแลบอร์ท - tuke และ อ้วน สุ1000
เสือเมืองสุพรรณ
ที่อยู่ - 249/14 หมู่ 5 ต.ท่าระหัด อ. เมือง จ.สุพรรณบุรี 72000
โทรศัพท์ - 081-2089199
ผู้ดูแลบอร์ท - tuke และ อ้วน สุ1000
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
.........ยินดีด้วยครับ.........เยี่ยมยอด..........
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- เสือเชิด
- ขาประจำ
- โพสต์: 657
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 20:14
- Tel: 089-3210108
- team: TOT สุพรรณ
- Bike: trek ๘๕๐๐ / Dahon P8 / Panasonic Spring Bok Touring
- ตำแหน่ง: สุพรรณบุรี
- ติดต่อ:
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
สวัสดีป๋าป้อม เมื่อวานต้องขออภัยด้วย กว่าจะถึงเขาดีสลักหมดแรงทั้งคน ทั้งโทรศัพท์ l
ช่วงนี้อยู่ระหว่างฟื้นฟูร่างกายหลังจากหายไป 2 ปี ....วันแรกก็โดนซ่ะ โดนกลุ่ม สว.(สูงวัย ) ลากไป 27 รีสอร์ท
....................................................................
มาหร้อมกับ TREKER คู่ชีพ ยังเหลือ หลักอาน STEM แล้วก็ SHOCK ว่าจะปล่อยอ่ะ
เห็นป้ายนี้ก็เขาอ่อน ดีน่ะได้กำลังใจจากป๋าป้อม.....แต่
แล้วก็ไปต่อที่ 27 Resort โดยมีลุงแจ๊คนำทีม ผมเลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมลูกค้าด้วย
3 เสือ สว. รวมกัน 170 ( อายุน่ะ )
รีบซื้อน่ะป๋า ซื้อช้าได้ใช้ช้า จะกี่ล้านก็ซื้อไป ที่ถ่ายให้ดูก็แค่ 2 ล้านเอง ใช้มา 10 กว่าปียังพอใช้ได้
ช่วงนี้อยู่ระหว่างฟื้นฟูร่างกายหลังจากหายไป 2 ปี ....วันแรกก็โดนซ่ะ โดนกลุ่ม สว.(สูงวัย ) ลากไป 27 รีสอร์ท
....................................................................
มาหร้อมกับ TREKER คู่ชีพ ยังเหลือ หลักอาน STEM แล้วก็ SHOCK ว่าจะปล่อยอ่ะ
เห็นป้ายนี้ก็เขาอ่อน ดีน่ะได้กำลังใจจากป๋าป้อม.....แต่
แล้วก็ไปต่อที่ 27 Resort โดยมีลุงแจ๊คนำทีม ผมเลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมลูกค้าด้วย
3 เสือ สว. รวมกัน 170 ( อายุน่ะ )
รีบซื้อน่ะป๋า ซื้อช้าได้ใช้ช้า จะกี่ล้านก็ซื้อไป ที่ถ่ายให้ดูก็แค่ 2 ล้านเอง ใช้มา 10 กว่าปียังพอใช้ได้
แก้ไขล่าสุดโดย เสือเชิด เมื่อ 27 มิ.ย. 2010, 22:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
>>>> พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว <<<<
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
สวย สวย สวย สวย สวยจัง.....เป็น ยุ่นปี่ ยี่ปุ่นซะแหล่ว.....555
รอชมภาพการเดินทางอยู่ครับ จาก สพ.-เขาดีสลัก ก็หลายโลอยู่
ออกรอบครั้งแรก ก็ไกลโข เจ๋งจิงๆ เสียดายคืนก่อนนั้นดึกไปหน่อย
ไม่งั้นคงได้ยลโฉม เจ้าTREKER คันงาม มีโอกาสคงจะได้ร่วมปั่นด้วยกันครับ
รอชมภาพการเดินทางอยู่ครับ จาก สพ.-เขาดีสลัก ก็หลายโลอยู่
ออกรอบครั้งแรก ก็ไกลโข เจ๋งจิงๆ เสียดายคืนก่อนนั้นดึกไปหน่อย
ไม่งั้นคงได้ยลโฉม เจ้าTREKER คันงาม มีโอกาสคงจะได้ร่วมปั่นด้วยกันครับ
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- แดง ด่านช้าง
- ขาประจำ
- โพสต์: 138
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ธ.ค. 2009, 17:29
- Tel: 0885424524
- team: danchang bike
- Bike: KHS Alite Team,Messile pioneer
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
พี่ไปด้วยSanta_Boy เขียน:จัดตั๋วไปเชียงใหม่ให้ 1 ที่นะครับ
ไปให้ถึง ถ้ายังมีแรง
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
ประเดี๋ยวเดือนหน้า พบกันที่ปั่นกระชับพื้นที่ จะชวนท่านพี่วิทยาแดง ด่านช้าง เขียน:พี่ไปด้วยSanta_Boy เขียน:จัดตั๋วไปเชียงใหม่ให้ 1 ที่นะครับ
และท่านอื่นๆที่คิดว่าจะไปด้วยกัน สุมหัวคุย คิดกันสักหน่อย ว่าจะยังงัย
หรือคร่าวๆที่เหมืองปิล็อกก็ได้ เผื่อจะมีใครเป็นเหยื่อเพิ่มอีก 5555
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- เสือเชิด
- ขาประจำ
- โพสต์: 657
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 20:14
- Tel: 089-3210108
- team: TOT สุพรรณ
- Bike: trek ๘๕๐๐ / Dahon P8 / Panasonic Spring Bok Touring
- ตำแหน่ง: สุพรรณบุรี
- ติดต่อ:
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
บทความดี ๆ ที่น่าอ่าน
ประโยชน์ของการขี่จักรยาน
⇒ ขี่จักรยาน
การขี่จักรยานเป็นการออกกำลังเพื่อเสริมสุขภาพที่ดีประเภทหนึ่ง เป็นการออกกำลังที่เป็นจังหวะไม่หนักต่อไขข้อต่างๆ ให้ประโยชน์แก่หัวใจได้ดี และถ้าสามารถไปขี่จักรยานตามเขตชนบทได้ ก็จะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามข้างทางประกอบไปด้วย
⇒ ประสิทธิภาพสูง
ในแง่ของวงการวิศวกรรม เราถือกันว่าการเคลื่อนที่ไปบนจักรยานนี่เป็นวิธีการเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพสูงมากวิธีหนึ่ง คือใช้แรงหน่อยเดียวแต่ไปได้ไกลเยอะ ถ้าเทียบกับแรงที่ออกไปเท่าๆกัน (กล่าวคือเทียบกับน้ำหนักของเจ้าตัวและระยะทางด้วยแล้ว) คนขี่จักรยานนี้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าม้า ดีกว่านก ดีกว่าปลาบางชนิด เสียอีก
ทำไมถึงว่าประสิทธิภาพดีกว่าม้า ดีกว่านก ดีกว่าปลา ที่เป็นเช่นนี้เพราะในการขี่จักรยาน น้ำหนักตัวส่วนบน นับจากส่วนที่นั่งบนอานขึ้นไปจนถึงหัวของคนขี่ จะถูกถ่ายลงไปบนอานและมือจับ ขาไม่ต้องรับน้ำหนักส่วนนี้เลย จึงเบาแรงไปตั้งเยอะ และกล้ามเนื้อที่ใช้ในการขับเคลื่อน ก็เป็นกล้ามเนื้อชุดที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ คือกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและกล้ามเนื้อน่อง
นอกจากนี้การทำงานหรือขยับขาถีบของเรายังเป็นการถีบออกจากตัวในทิศทางลงดิน ซึ่งเป็นท่าที่เราถนัดที่สุด จึงเป็นการใช้งานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพที่สุด พูดถึงตรงนี้ มีของแถมนิดหนึ่งว่า นักจักรยานเขามีทฤษฎีของเขาว่าตัวโครงจักรยานถ้ายิ่งแข็งแกร่ง (ไม่อ่อนตัวได้) จะยิ่งเปลืองแรงในการถีบน้อยลง แต่ถ้ายิ่งแข็งแกร่งนั้นไปหมายถึงยิ่งแข็งแรงและต้องใช้เหล็กหนาๆหนักๆ ก็จะกลับกลายเป็นเปลืองแรงเพิ่มไปเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นต้องระวังหน่อยเวลาไปเลือกซื้อจักรยาน
⇒ ขี่แค่ไหนดี
คราวนี้มาพูดถึง “หนักพอ” ว่าเป็นอย่างไร ถ้าขี่จักรยานบนทางราบด้วยความเร็วน้อยกว่า 20 กม./ชม. อย่างนี้เราถือว่าช้าไป จะไม่เกิดสภาพแอโรบิคที่ต้องการ อย่าลืมว่าการขี่จักรยานเป็นการออกกำลัง ที่ตัวจักรยานมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมาก ถ้าขี่ช้าๆ ตัวจักรยานจะเป็นตัวช่วยเสียส่วนใหญ่ ประโยชน์ต่อหัวใจก็ไม่มี หรือมีก็น้อย แต่ผู้รู้กล่าวได้ว่า ถ้าขี่จักรยานด้วยขนาดความเร็วกว่า 30-32 กม./ชม. ก็จะเทียบได้เท่ากับการวิ่งความเร็วประมาณ 3 นาทีเศษต่อกิโลเมตร (อันนี้เป็นการวิ่งที่เร็วมากสำหรับนักวิ่งส่วนใหญ่ในบ้านเรา) ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้
โดยสรุป เราจึงควรถีบจักรยานอยู่ในช่วงความเร็วประมาณ 25 ถึง 28 กม./ชม. จึงจะได้ออกแรงสมกับที่ตั้งใจมาออกกำลังกันความเร็วที่พูดถึงในตอนนี้ เป็นความเร็วเฉลี่ยที่ฝรั่งเขาทำได้กัน แต่คนไทยเราโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ออกกำลังมานาน ก็อย่าได้เผลอไผลยึดข้อมูลนี้เป็นบรรทัดฐานในการฝึกเป็นอันขาด ทางที่ดีควรจะลองขี่ไปลองจับชีพจรไป ก็จะรู้ได้ว่าแค่ไหนจึงจะได้ 75-80% ของอัตราหัวใจเต้นสูงสุดของตัวเอง ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นๆ
⇒ วิธีการขี่ให้ถูกต้อง
พวก ขี่จักรยานใหม่ๆมักเข้าใจผิดและพยายามใช้เกียร์สูงสำหรับการขี่โดยส่วนใหญ่ ไม่พิจารณาว่าทางจะเป็นอย่างไร ทางที่ถูกแล้วควรเลือกเกียร์ต่ำไว้ก่อน และถีบให้วิ่งไปเรื่อยๆอย่างราบเรียบ โดยถีบซอยขาด้วยความถี่ประมาณ 70 รอบต่อนาที พยายามถีบให้ขาซอยคงที่ขนาดนี้ ถ้ามีทางขึ้นเนินลงเนินหรือมีลมต้าน ก็ค่อยสับเกียร์ต่ำเกียร์สูงตามไปอีกที คือพยายามปรับการซอยให้คงที่อย่างที่ว่าไว้ ไอ้รอบซอยขาคงที่ขนาดนี้ นักจักรยานฝรั่งเขาเรียกว่า ‘เคเดนซ์’ หรือ cadence แปลตรงตัวว่า จังหวะเคาะตอนเล่นดนตรี ในที่นี้คงหมายถึงการทำอะไรให้เป็นจังหวะคงที่สำหรับพวกเราๆ เอาเป็นว่าพยายามซอยขาให้คงที่ด้วยความถี่ประมาณ 70 รอบต่อนาทีที่ว่านี้ก็แล้วกัน
ตอนเริ่มใหม่ๆ ถีบไปสัก 20 นาทีก็พอ แล้วพักจนชีพจรกลับมาเป็นปกติ แล้วก็เริ่มซอยขาใหม่ต่ออีกจนคุณรู้สึกเหนื่อยแบบสบายๆ คือเหนื่อย แต่ไม่ใช่เหนื่อยจนเดินไม่ได้ หัวใจแทบจะเต้นออกมานอกอกหล่นไปกองกับพื้น จนเกือบถูกจักรยานที่ขี่อยู่ทับเอา อย่างนี้ใช้ไม่ได้ มันเหนื่อยเกินไป เอาแค่เหนื่อยไม่มากก็เป็นพอ
⇒ โปรแกรมซ้อม
วิทยาลัยเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกา หรือ The American College of Sports Medicine แนะนำโปรแกรมซ้อมสำหรับการขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ เพื่อความฟิต ไว้น่าสนใจ ดังนี้
หนึ่ง ให้ซ้อมสัปดาห์ละสามถึงห้าครั้ง (หรือวัน) คือต้องบ่อยพอนั่นเอง
สอง ซ้อมด้วยความเร็วที่ทำให้หัวใจเต้นประมาณ 60-90% ของชีพจรสูงสุด อันนี้ก็ตรงกับที่ว่า ต้องหนักพอ
สาม ซ้อมครั้งละ 15-60 นาที อันนี้คุณคงทายได้แล้ว คือต้องนานพอเป็นประการที่สามนั่นเอง แต่สำหรับพวกที่มาขี่ใหม่ๆควรจะขี่แค่ประมาณครั้งละ 20-30 นาทีก็พอแล้ว
ตอนขี่ถ้าเรานั่งตัวตรงขึ้นมาและใช้มือวางอยู่บนมือจับส่วนบน (ที่เป็นแกนตรงขวางกับตัวโครงจักรยาน) ลำตัวเราก็จะต้านลม ในกรณีที่ลมแรงก็จะเกิดแรงต้านสูง อาจถึง 90% ของแรงต้านทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในกรณีเช่นนี้เราก็ควรก้มตัวลง เอามือไปวางไว้ที่จับส่วนล่าง (ที่โค้งลงมาต่ำที่สุด) ตัวเราจักได้ไม่ต้านลม การขี่ก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าเกิดต้องการฝึกกล้ามเนื้อ ไม่ต้องการขี่ง่ายๆ เราก็อาจยืดตัวมานั่งตรงให้ต้านลม แบบนี้เราก็จะเหนื่อยเร็วหน่อย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไร ต้องการยากก็นั่งตรง ต้องการง่ายก็หมอบลงไป
⇒ ดียังไง ไม่ดียังไง
ที่ แน่ๆก็คือทำให้สุขภาพดี ร่างกายฟิต กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงดังที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้การขี่จักรยานโดยเฉลี่ยจะใช้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี/ชม.
ซึ่งการใช้พลังงานขนาดนี้ถ้าทำสม่ำเสมอก็จะสามารถลดความอ้วนได้อีกด้วย
....หยิบยกมาจากบทความตอนหนึ่งเพื่อจะมีประโชน์บ้างครับ...
ขอบคุณท่าน saint@klein
ประโยชน์ของการขี่จักรยาน
⇒ ขี่จักรยาน
การขี่จักรยานเป็นการออกกำลังเพื่อเสริมสุขภาพที่ดีประเภทหนึ่ง เป็นการออกกำลังที่เป็นจังหวะไม่หนักต่อไขข้อต่างๆ ให้ประโยชน์แก่หัวใจได้ดี และถ้าสามารถไปขี่จักรยานตามเขตชนบทได้ ก็จะได้ชมทิวทัศน์อันสวยงามข้างทางประกอบไปด้วย
⇒ ประสิทธิภาพสูง
ในแง่ของวงการวิศวกรรม เราถือกันว่าการเคลื่อนที่ไปบนจักรยานนี่เป็นวิธีการเคลื่อนที่ที่มีประสิทธิภาพสูงมากวิธีหนึ่ง คือใช้แรงหน่อยเดียวแต่ไปได้ไกลเยอะ ถ้าเทียบกับแรงที่ออกไปเท่าๆกัน (กล่าวคือเทียบกับน้ำหนักของเจ้าตัวและระยะทางด้วยแล้ว) คนขี่จักรยานนี้จะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยประสิทธิภาพที่ดีกว่าม้า ดีกว่านก ดีกว่าปลาบางชนิด เสียอีก
ทำไมถึงว่าประสิทธิภาพดีกว่าม้า ดีกว่านก ดีกว่าปลา ที่เป็นเช่นนี้เพราะในการขี่จักรยาน น้ำหนักตัวส่วนบน นับจากส่วนที่นั่งบนอานขึ้นไปจนถึงหัวของคนขี่ จะถูกถ่ายลงไปบนอานและมือจับ ขาไม่ต้องรับน้ำหนักส่วนนี้เลย จึงเบาแรงไปตั้งเยอะ และกล้ามเนื้อที่ใช้ในการขับเคลื่อน ก็เป็นกล้ามเนื้อชุดที่แข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ คือกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและกล้ามเนื้อน่อง
นอกจากนี้การทำงานหรือขยับขาถีบของเรายังเป็นการถีบออกจากตัวในทิศทางลงดิน ซึ่งเป็นท่าที่เราถนัดที่สุด จึงเป็นการใช้งานได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพที่สุด พูดถึงตรงนี้ มีของแถมนิดหนึ่งว่า นักจักรยานเขามีทฤษฎีของเขาว่าตัวโครงจักรยานถ้ายิ่งแข็งแกร่ง (ไม่อ่อนตัวได้) จะยิ่งเปลืองแรงในการถีบน้อยลง แต่ถ้ายิ่งแข็งแกร่งนั้นไปหมายถึงยิ่งแข็งแรงและต้องใช้เหล็กหนาๆหนักๆ ก็จะกลับกลายเป็นเปลืองแรงเพิ่มไปเสียด้วยซ้ำ ฉะนั้นต้องระวังหน่อยเวลาไปเลือกซื้อจักรยาน
⇒ ขี่แค่ไหนดี
คราวนี้มาพูดถึง “หนักพอ” ว่าเป็นอย่างไร ถ้าขี่จักรยานบนทางราบด้วยความเร็วน้อยกว่า 20 กม./ชม. อย่างนี้เราถือว่าช้าไป จะไม่เกิดสภาพแอโรบิคที่ต้องการ อย่าลืมว่าการขี่จักรยานเป็นการออกกำลัง ที่ตัวจักรยานมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพมาก ถ้าขี่ช้าๆ ตัวจักรยานจะเป็นตัวช่วยเสียส่วนใหญ่ ประโยชน์ต่อหัวใจก็ไม่มี หรือมีก็น้อย แต่ผู้รู้กล่าวได้ว่า ถ้าขี่จักรยานด้วยขนาดความเร็วกว่า 30-32 กม./ชม. ก็จะเทียบได้เท่ากับการวิ่งความเร็วประมาณ 3 นาทีเศษต่อกิโลเมตร (อันนี้เป็นการวิ่งที่เร็วมากสำหรับนักวิ่งส่วนใหญ่ในบ้านเรา) ซึ่งน้อยคนนักที่จะทำได้
โดยสรุป เราจึงควรถีบจักรยานอยู่ในช่วงความเร็วประมาณ 25 ถึง 28 กม./ชม. จึงจะได้ออกแรงสมกับที่ตั้งใจมาออกกำลังกันความเร็วที่พูดถึงในตอนนี้ เป็นความเร็วเฉลี่ยที่ฝรั่งเขาทำได้กัน แต่คนไทยเราโดยเฉพาะคนที่ไม่ได้ออกกำลังมานาน ก็อย่าได้เผลอไผลยึดข้อมูลนี้เป็นบรรทัดฐานในการฝึกเป็นอันขาด ทางที่ดีควรจะลองขี่ไปลองจับชีพจรไป ก็จะรู้ได้ว่าแค่ไหนจึงจะได้ 75-80% ของอัตราหัวใจเต้นสูงสุดของตัวเอง ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นๆ
⇒ วิธีการขี่ให้ถูกต้อง
พวก ขี่จักรยานใหม่ๆมักเข้าใจผิดและพยายามใช้เกียร์สูงสำหรับการขี่โดยส่วนใหญ่ ไม่พิจารณาว่าทางจะเป็นอย่างไร ทางที่ถูกแล้วควรเลือกเกียร์ต่ำไว้ก่อน และถีบให้วิ่งไปเรื่อยๆอย่างราบเรียบ โดยถีบซอยขาด้วยความถี่ประมาณ 70 รอบต่อนาที พยายามถีบให้ขาซอยคงที่ขนาดนี้ ถ้ามีทางขึ้นเนินลงเนินหรือมีลมต้าน ก็ค่อยสับเกียร์ต่ำเกียร์สูงตามไปอีกที คือพยายามปรับการซอยให้คงที่อย่างที่ว่าไว้ ไอ้รอบซอยขาคงที่ขนาดนี้ นักจักรยานฝรั่งเขาเรียกว่า ‘เคเดนซ์’ หรือ cadence แปลตรงตัวว่า จังหวะเคาะตอนเล่นดนตรี ในที่นี้คงหมายถึงการทำอะไรให้เป็นจังหวะคงที่สำหรับพวกเราๆ เอาเป็นว่าพยายามซอยขาให้คงที่ด้วยความถี่ประมาณ 70 รอบต่อนาทีที่ว่านี้ก็แล้วกัน
ตอนเริ่มใหม่ๆ ถีบไปสัก 20 นาทีก็พอ แล้วพักจนชีพจรกลับมาเป็นปกติ แล้วก็เริ่มซอยขาใหม่ต่ออีกจนคุณรู้สึกเหนื่อยแบบสบายๆ คือเหนื่อย แต่ไม่ใช่เหนื่อยจนเดินไม่ได้ หัวใจแทบจะเต้นออกมานอกอกหล่นไปกองกับพื้น จนเกือบถูกจักรยานที่ขี่อยู่ทับเอา อย่างนี้ใช้ไม่ได้ มันเหนื่อยเกินไป เอาแค่เหนื่อยไม่มากก็เป็นพอ
⇒ โปรแกรมซ้อม
วิทยาลัยเวชศาสตร์การกีฬาแห่งอเมริกา หรือ The American College of Sports Medicine แนะนำโปรแกรมซ้อมสำหรับการขี่จักรยานเพื่อสุขภาพ เพื่อความฟิต ไว้น่าสนใจ ดังนี้
หนึ่ง ให้ซ้อมสัปดาห์ละสามถึงห้าครั้ง (หรือวัน) คือต้องบ่อยพอนั่นเอง
สอง ซ้อมด้วยความเร็วที่ทำให้หัวใจเต้นประมาณ 60-90% ของชีพจรสูงสุด อันนี้ก็ตรงกับที่ว่า ต้องหนักพอ
สาม ซ้อมครั้งละ 15-60 นาที อันนี้คุณคงทายได้แล้ว คือต้องนานพอเป็นประการที่สามนั่นเอง แต่สำหรับพวกที่มาขี่ใหม่ๆควรจะขี่แค่ประมาณครั้งละ 20-30 นาทีก็พอแล้ว
ตอนขี่ถ้าเรานั่งตัวตรงขึ้นมาและใช้มือวางอยู่บนมือจับส่วนบน (ที่เป็นแกนตรงขวางกับตัวโครงจักรยาน) ลำตัวเราก็จะต้านลม ในกรณีที่ลมแรงก็จะเกิดแรงต้านสูง อาจถึง 90% ของแรงต้านทั้งหมดที่เกิดขึ้น ในกรณีเช่นนี้เราก็ควรก้มตัวลง เอามือไปวางไว้ที่จับส่วนล่าง (ที่โค้งลงมาต่ำที่สุด) ตัวเราจักได้ไม่ต้านลม การขี่ก็จะง่ายขึ้น แต่ถ้าเกิดต้องการฝึกกล้ามเนื้อ ไม่ต้องการขี่ง่ายๆ เราก็อาจยืดตัวมานั่งตรงให้ต้านลม แบบนี้เราก็จะเหนื่อยเร็วหน่อย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการอะไร ต้องการยากก็นั่งตรง ต้องการง่ายก็หมอบลงไป
⇒ ดียังไง ไม่ดียังไง
ที่ แน่ๆก็คือทำให้สุขภาพดี ร่างกายฟิต กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงดังที่กล่าวมาแล้ว นอกจากนี้การขี่จักรยานโดยเฉลี่ยจะใช้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี/ชม.
ซึ่งการใช้พลังงานขนาดนี้ถ้าทำสม่ำเสมอก็จะสามารถลดความอ้วนได้อีกด้วย
....หยิบยกมาจากบทความตอนหนึ่งเพื่อจะมีประโชน์บ้างครับ...
ขอบคุณท่าน saint@klein
>>>> พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว <<<<
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
เป็นบทความที่ดีมากๆเลยครับ
และนี่ก็ไปเจอมาฝากกัน เครดิตของคุณ saint@klein
......วันละสาระ กับ saint@klein.....
เทคนิคการหายใจสำหรับนักปั่นจักรยาน
เทคนิคการหายใจขณะขี่แข่งขันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการแข่งขัน: ทำได้ดังนี้
1. ถ้าคุณหายใจไม่ทันขณะที่ปล่อยตัวออกไปอย่างรวดเร็ว คุณต้องฝึกการหายใจเข้า - ออกทุกๆ วันก่อนออกฝึกซ้อม
มีวิธีฝึกดังนี้
....1. ฝึกหายใจเข้าทางจมูกให้เต็มปอด และ เป่าลมออกทางปากจนหมดปอด จังหวะการหายใจให้หายใจลึกๆ ( ยาว ) ช้าๆก่อนทั้งเข้า - ออก
....2. ฝึกหายใจเข้า-ออกทั้งทางปากและจมูกพร้อมๆกัน จังหวะการหายใจเหมือนแบบที่ 1.
....3. รวมการหายใจแบบที่ 1+2 เข้าด้วยกันแต่เน้นจังหวะการหายใจที่หนักหน่วงแรงและเร็วเหมือนแข่งขันฯ ประมาณ 15-20 สะโตก (เข้า - ออก)
แล้วผ่อนการหายใจยาวๆ เป็นแบบที่หนึ่งหรือสองจนกว่าจะรู้สึกว่าหายเหนื่อยดีแล้วก็ให้กลับมาเริ่มฝึกหายใจแบบที่สามอีก คือหนักหน่วงแรงและเร็ว ทำสลับกันอย่างนี้ใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที แล้วก็ออกไปฝึกซ้อม
หมายเหตุ: การฝึกแรกๆระวังหน้ามืดเป็นลม ต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีแล้วคุณจะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการหายใจว่า " นี่คือหัวใจของความอึด " ในการปั่นเสือที่คุณชอบครับ การฝึกหายใจเป็นประจำทำให้ปอดขยายใหญ่ขึ้น พร้อมกับฝึกประสาทควบคุมการหายใจให้รับรู้วิธีการหายใจในขณะแข่งขันฯ ทำให้คุณผ่านพ้น "ภาวะอึดอัด" (หายใจไม่ทัน) ไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีในการปั่นแข่งขัน มากกว่าคนที่ไม่เคยฝึกเทคนิคการหายใจครับ แต่ทุกๆ คนต้องหายใจเพื่อชีวิตเพียงแต่ว่าคุณหายใจได้ดีแค่ไหน? โดยเฉพาะอากาศออกซิเจนที่คุณต้องการน่ะมากพอหรือยังครับ
บางท่านลองดูแล้วรู้สึกมึนๆ เวียนหัว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่เวลาที่เราออกกำลังอยู่ต้องหายใจแรงๆ กลับไม่มีอาการเวียนหัวหน้ามืด
สาเหตุที่มีอาการมึนๆ ก็เพราะว่าร่างกายเรายังไม่เคยชินกับการหายใจเร็วแรงอย่างนี้ ถ้าค่อยๆ ฝึกทำบ่อยๆ ร่างกายจะเคยชินกับวิธีการหายใจอย่างนี้ครับ แน่นอนเวลาหายใจเข้า ท้องเราต้องป่องออกมาครับเพราะมันเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการหายใจ หลายๆ มัดเช่นกล้ามเนื้อหน้าท้อง,กล้ามเนื้อกระบังลม (เวลาที่เราหายใจลึกๆหน้าอกของเราจะยกขึ้นด้วย) เราจะใช้การหายใจแบบนี้เวลาเราปั่นเร็วๆ ครับ (ไม่ว่าจะเป็น Interval หรือ Sprint ครับ ที่สำคัญเวลาหายใจออกต้องปั่น (ถีบ)
ให้ได้ 2-4 สะโตก พูดง่ายๆ เมื่อเราออกแรงกดลูกบันไดลงเมื่อใดให้หายใจออกครับ ส่วนเวลาดึงลูกบันไดขึ้นให้หายใจเข้าครับ ใจเย็นๆ ให้เริ่มฝึกหายใจช้าๆ ก่อน
แล้วค่อยๆ เร่งการหายใจให้เร็วขึ้นในตอนท้ายประมาณ 5 -10 ครั้งแล้วก็ต่อด้วยการหายใจยาวๆ ลึกๆ เป็นการผ่อนคลายจนกว่าจะหายเหนื่อยครับ
หมายเหตุ : การหายใจที่มีประสิทธิภาพจะยาว - ลึก จะช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับออกซิเจนมากขึ้นตามที่ร่างกายต้องการ และทำให้คุณขี่ขึ้นเขาได้ดีขึ้นอีกด้วยครับ
จำไว้ว่าเมื่อร่างกาย "พ้นภาวะหายใจไม่ทัน" ไปแล้ว จังหวะการหายใจจะเปลี่ยนมาเป็นการหายใจที่ยาวๆ ลึกๆ แทนเสมอ
วันนี้เอาแค่พื้นฐานกันก่อนนะครับ (เดี่ยวยาวไปจะขี้เกียจอ่าน...พรุ่งนี้มาต่อเทคนิคการหายใจในการขี่ลักษณะต่างๆ กันครับ)
และนี่ก็ไปเจอมาฝากกัน เครดิตของคุณ saint@klein
......วันละสาระ กับ saint@klein.....
เทคนิคการหายใจสำหรับนักปั่นจักรยาน
เทคนิคการหายใจขณะขี่แข่งขันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญที่จะนำไปสู่ชัยชนะในการแข่งขัน: ทำได้ดังนี้
1. ถ้าคุณหายใจไม่ทันขณะที่ปล่อยตัวออกไปอย่างรวดเร็ว คุณต้องฝึกการหายใจเข้า - ออกทุกๆ วันก่อนออกฝึกซ้อม
มีวิธีฝึกดังนี้
....1. ฝึกหายใจเข้าทางจมูกให้เต็มปอด และ เป่าลมออกทางปากจนหมดปอด จังหวะการหายใจให้หายใจลึกๆ ( ยาว ) ช้าๆก่อนทั้งเข้า - ออก
....2. ฝึกหายใจเข้า-ออกทั้งทางปากและจมูกพร้อมๆกัน จังหวะการหายใจเหมือนแบบที่ 1.
....3. รวมการหายใจแบบที่ 1+2 เข้าด้วยกันแต่เน้นจังหวะการหายใจที่หนักหน่วงแรงและเร็วเหมือนแข่งขันฯ ประมาณ 15-20 สะโตก (เข้า - ออก)
แล้วผ่อนการหายใจยาวๆ เป็นแบบที่หนึ่งหรือสองจนกว่าจะรู้สึกว่าหายเหนื่อยดีแล้วก็ให้กลับมาเริ่มฝึกหายใจแบบที่สามอีก คือหนักหน่วงแรงและเร็ว ทำสลับกันอย่างนี้ใช้เวลาประมาณ 5 - 10 นาที แล้วก็ออกไปฝึกซ้อม
หมายเหตุ: การฝึกแรกๆระวังหน้ามืดเป็นลม ต้องค่อยเป็นค่อยไป เมื่อร่างกายปรับตัวได้ดีแล้วคุณจะเห็นคุณค่าและประโยชน์ของการหายใจว่า " นี่คือหัวใจของความอึด " ในการปั่นเสือที่คุณชอบครับ การฝึกหายใจเป็นประจำทำให้ปอดขยายใหญ่ขึ้น พร้อมกับฝึกประสาทควบคุมการหายใจให้รับรู้วิธีการหายใจในขณะแข่งขันฯ ทำให้คุณผ่านพ้น "ภาวะอึดอัด" (หายใจไม่ทัน) ไปได้ ซึ่งจะเป็นผลดีในการปั่นแข่งขัน มากกว่าคนที่ไม่เคยฝึกเทคนิคการหายใจครับ แต่ทุกๆ คนต้องหายใจเพื่อชีวิตเพียงแต่ว่าคุณหายใจได้ดีแค่ไหน? โดยเฉพาะอากาศออกซิเจนที่คุณต้องการน่ะมากพอหรือยังครับ
บางท่านลองดูแล้วรู้สึกมึนๆ เวียนหัว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร แต่เวลาที่เราออกกำลังอยู่ต้องหายใจแรงๆ กลับไม่มีอาการเวียนหัวหน้ามืด
สาเหตุที่มีอาการมึนๆ ก็เพราะว่าร่างกายเรายังไม่เคยชินกับการหายใจเร็วแรงอย่างนี้ ถ้าค่อยๆ ฝึกทำบ่อยๆ ร่างกายจะเคยชินกับวิธีการหายใจอย่างนี้ครับ แน่นอนเวลาหายใจเข้า ท้องเราต้องป่องออกมาครับเพราะมันเกี่ยวกับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการหายใจ หลายๆ มัดเช่นกล้ามเนื้อหน้าท้อง,กล้ามเนื้อกระบังลม (เวลาที่เราหายใจลึกๆหน้าอกของเราจะยกขึ้นด้วย) เราจะใช้การหายใจแบบนี้เวลาเราปั่นเร็วๆ ครับ (ไม่ว่าจะเป็น Interval หรือ Sprint ครับ ที่สำคัญเวลาหายใจออกต้องปั่น (ถีบ)
ให้ได้ 2-4 สะโตก พูดง่ายๆ เมื่อเราออกแรงกดลูกบันไดลงเมื่อใดให้หายใจออกครับ ส่วนเวลาดึงลูกบันไดขึ้นให้หายใจเข้าครับ ใจเย็นๆ ให้เริ่มฝึกหายใจช้าๆ ก่อน
แล้วค่อยๆ เร่งการหายใจให้เร็วขึ้นในตอนท้ายประมาณ 5 -10 ครั้งแล้วก็ต่อด้วยการหายใจยาวๆ ลึกๆ เป็นการผ่อนคลายจนกว่าจะหายเหนื่อยครับ
หมายเหตุ : การหายใจที่มีประสิทธิภาพจะยาว - ลึก จะช่วยให้ร่างกายของคุณได้รับออกซิเจนมากขึ้นตามที่ร่างกายต้องการ และทำให้คุณขี่ขึ้นเขาได้ดีขึ้นอีกด้วยครับ
จำไว้ว่าเมื่อร่างกาย "พ้นภาวะหายใจไม่ทัน" ไปแล้ว จังหวะการหายใจจะเปลี่ยนมาเป็นการหายใจที่ยาวๆ ลึกๆ แทนเสมอ
วันนี้เอาแค่พื้นฐานกันก่อนนะครับ (เดี่ยวยาวไปจะขี้เกียจอ่าน...พรุ่งนี้มาต่อเทคนิคการหายใจในการขี่ลักษณะต่างๆ กันครับ)
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 8&t=204652
วันที่ 8 สิงหาคม 2553
ทริปของชาวเพชรบูรณ์ ที่ภูทับเบิก ปั่นทะลุเมฆ คร้งที่ 4
วันที่ 8 สิงหาคม 2553
ทริปของชาวเพชรบูรณ์ ที่ภูทับเบิก ปั่นทะลุเมฆ คร้งที่ 4
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1300
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 15:17
- team: เสือสัญจร,Bikejoy
- Bike: จั๊กกะยานเก่าๆ
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
...ลงชื่อไว้ก่อนตรงนี้เลยนะป้อม ลองรวบรวมเพื่อนๆ สุพรรณเรามีไปกันยังไง เท่าไหร่ แล้วค่อยๆ ปรึกษากันไปดีไหมป้อม...POM คอฟฟี่ เขียน:http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 8&t=204652
วันที่ 8 สิงหาคม 2553
ทริปของชาวเพชรบูรณ์ ที่ภูทับเบิก ปั่นทะลุเมฆ คร้งที่ 4
- s.chaichana
- ขาประจำ
- โพสต์: 470
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 14:07
- Tel: 083-7359943
- Bike: ไม่แน่นอน แล้วแต่สะตัง
- ตำแหน่ง: suphan buri thailand
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
ไปด้วยซิ
สนอง ชัยชนะ 72/31 ถนนนางพิม ต ท่าพี่เลี้ยง อ เมือง สุพรรณบุรี 72000 tel 083-7359943
"รถเก่าๆก็ปั่นใด้ไม่ต้องแพง"
"รถเก่าๆก็ปั่นใด้ไม่ต้องแพง"
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
...ลงชื่อไว้ก่อนตรงนี้เลยนะป้อม
ลองรวบรวมเพื่อนๆ สุพรรณเรามีไปกันยังไง เท่าไหร่ แล้วค่อยๆ ปรึกษากันไปดีไหมป้อม...
ทริปปั่นทะลุเมฆ ภูทับเบิก ครั้งที่ 4
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2553
การแข่งขัน BMX Rciang สุพรรณบุรีคัพ ครั้งที่1 วันที่ 8 ส.ค 53
เป็นวันเดียวกันเลย อยากไปทั้งที่เพชรบูรณ์ แต่ก็อยากดูเชียร์ ทีมBMXสุพรรณฯ
เอาเป็นว่าใครสนใจแบบไหน อย่างไร ก็ช่วยบอกต่อกันด้วยนะครับ
เดี๋ยวถามเพื่อนดูก่อนว่าจะไปหรือป่าว ส่วนตัวก็ยังอยากไปเพชรบูรณ์ครับ
ลองรวบรวมเพื่อนๆ สุพรรณเรามีไปกันยังไง เท่าไหร่ แล้วค่อยๆ ปรึกษากันไปดีไหมป้อม...
ทริปปั่นทะลุเมฆ ภูทับเบิก ครั้งที่ 4
วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2553
การแข่งขัน BMX Rciang สุพรรณบุรีคัพ ครั้งที่1 วันที่ 8 ส.ค 53
เป็นวันเดียวกันเลย อยากไปทั้งที่เพชรบูรณ์ แต่ก็อยากดูเชียร์ ทีมBMXสุพรรณฯ
เอาเป็นว่าใครสนใจแบบไหน อย่างไร ก็ช่วยบอกต่อกันด้วยนะครับ
เดี๋ยวถามเพื่อนดูก่อนว่าจะไปหรือป่าว ส่วนตัวก็ยังอยากไปเพชรบูรณ์ครับ
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
ขอเชิญร่วมโครงการจักรยานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ "เที่ยวประหยัดพลังงานขี่จักรยานชมเมือง ครั้งที่ 2"
เรียน ประธานชมรมจักรยานและสมาชิกทุกท่านและผู้ทีสนใจทุกท่าน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมกับชมรมจักรยานกาญจนบุรี กำหนดจัดโครงการ “เที่ยวประหยัด พลังงาน ขี่จักรยานชมเมือง
”ขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2553 ในบริเวณเส้นทางท่องเที่ยวของเมืองกาญจนบุรี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้จักรยาน อันจะเป็นการประหยัดพลังงาน ส่งเสริมการออกกำลังกาย และเป็นการลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย
กำหนดการ
เวลา 07.00 น พร้อมกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีทานของว่าง ข้าวต้มเครื่อง กาแฟ น้ำเต้าหู้
เวลา08.00 น. ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ประธานกล่าวเปิดงาน
เวลา08.30 น. ปั่นรอบเมือง 1 รอบ
จากนั้นแยกจักรยานออกเป็น 4 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1 เป็นทางวิบากระยะทาง 45 ก.ม.เป็นทางขึ้นเขาลงห้วยวิวสวยมากสำหรับผู้ชอบทางวิบาก
เส้นทางที่ 2 เสื้อภูเขาทางเรียบระยะทาง 50 ก.ม.เป็นเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามอีกเส้นหนึ่ง
เส้นทางที่ 3 เสือหมอบระยะทาง 90 ก.ม.ทางลาดยางตลอดมีทางขึ้นเขาบ้างเป็นระยะวิวสวยเช่นกัน
เส้นทางที่ 4 จักรยานทั่วไป จักรยานทุกประเภท เช่นจักรยานแม่บ้าน จักรยานโบราณเก่าหาอยาก ระยะทาง 8-10 ก.มปั่นชมสถานทีท่องเที่ยว
12.00 พร้อมกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีรับประทานร่วมกัน-รับของที่ระลึกจาก ททท.กาญจนบุรี
เข้าร่วมงานแล้ววันนื้เป็นต้นไป ที่สมศักดิ์ ธาราสุนทร 0811997717 (อาหาร ค่าสมัคร เครี่องดีมฟรีตลอดงาน นอกจากได้สุขภาพดีและได้ช่วยเหลือสังคม
เรียน ประธานชมรมจักรยานและสมาชิกทุกท่านและผู้ทีสนใจทุกท่าน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานกาญจนบุรี ร่วมกับชมรมจักรยานกาญจนบุรี กำหนดจัดโครงการ “เที่ยวประหยัด พลังงาน ขี่จักรยานชมเมือง
”ขึ้น ในวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2553 ในบริเวณเส้นทางท่องเที่ยวของเมืองกาญจนบุรี เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยใช้จักรยาน อันจะเป็นการประหยัดพลังงาน ส่งเสริมการออกกำลังกาย และเป็นการลดภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่งด้วย
กำหนดการ
เวลา 07.00 น พร้อมกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีทานของว่าง ข้าวต้มเครื่อง กาแฟ น้ำเต้าหู้
เวลา08.00 น. ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ประธานกล่าวเปิดงาน
เวลา08.30 น. ปั่นรอบเมือง 1 รอบ
จากนั้นแยกจักรยานออกเป็น 4 เส้นทาง
เส้นทางที่ 1 เป็นทางวิบากระยะทาง 45 ก.ม.เป็นทางขึ้นเขาลงห้วยวิวสวยมากสำหรับผู้ชอบทางวิบาก
เส้นทางที่ 2 เสื้อภูเขาทางเรียบระยะทาง 50 ก.ม.เป็นเส้นทางธรรมชาติที่สวยงามอีกเส้นหนึ่ง
เส้นทางที่ 3 เสือหมอบระยะทาง 90 ก.ม.ทางลาดยางตลอดมีทางขึ้นเขาบ้างเป็นระยะวิวสวยเช่นกัน
เส้นทางที่ 4 จักรยานทั่วไป จักรยานทุกประเภท เช่นจักรยานแม่บ้าน จักรยานโบราณเก่าหาอยาก ระยะทาง 8-10 ก.มปั่นชมสถานทีท่องเที่ยว
12.00 พร้อมกันที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกาญจนบุรีรับประทานร่วมกัน-รับของที่ระลึกจาก ททท.กาญจนบุรี
เข้าร่วมงานแล้ววันนื้เป็นต้นไป ที่สมศักดิ์ ธาราสุนทร 0811997717 (อาหาร ค่าสมัคร เครี่องดีมฟรีตลอดงาน นอกจากได้สุขภาพดีและได้ช่วยเหลือสังคม
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้
- s.chaichana
- ขาประจำ
- โพสต์: 470
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ย. 2009, 14:07
- Tel: 083-7359943
- Bike: ไม่แน่นอน แล้วแต่สะตัง
- ตำแหน่ง: suphan buri thailand
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
ขอบคุณป๋าป้อมที่ลงเชิญชวน ไปแน่นอนเป็นปีที่2ครับ
สนอง ชัยชนะ 72/31 ถนนนางพิม ต ท่าพี่เลี้ยง อ เมือง สุพรรณบุรี 72000 tel 083-7359943
"รถเก่าๆก็ปั่นใด้ไม่ต้องแพง"
"รถเก่าๆก็ปั่นใด้ไม่ต้องแพง"
- เสือเชิด
- ขาประจำ
- โพสต์: 657
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 20:14
- Tel: 089-3210108
- team: TOT สุพรรณ
- Bike: trek ๘๕๐๐ / Dahon P8 / Panasonic Spring Bok Touring
- ตำแหน่ง: สุพรรณบุรี
- ติดต่อ:
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
สะบายดีเสือเมืองสูพัน
หลังจากหยุด ปั่น ปั่น ถีบ ถีบ ไปเกือบ 2 ปี ก็มีโอกาสกลับมาถีบจักรยานอีกครั้ง กับกลุ่ม สว.เสือเมืองสุพรรณ ( สูงวัย )
50-55-60-65 (อายุน่ะ ) ถีบกันไม่ค่อยแรง แต่มีความอึด ทน เป็นเลิศ ( ได้ยาดี...ฮา ) ไปเรื่อย ๆ เนื่อยก็กิน
ระยะทางในการไปทัศนศึกษา (รุ่นนี้ยังไปทัศนศึกษาอีกเหร่อะ ) ไปกลับไม่เกิน 100 กม. ความเร็ว 20-25 ถ้าผิด
ไปจากนี้ เราก็ไม่ไป (เงื่อนไขมากจริง )
...................................
วันเสาร์โน่น ปั่นไป เขาดีสลัก ต่อด้วย 27 รีสอร์ท ระยะทางไปกลับ 90 กม.
.......................................
วันเสาร์ที่ผ่านมา ถีบไปตลาดลาดชะโด ไปกลับ 50 กม.
หลังจากหยุด ปั่น ปั่น ถีบ ถีบ ไปเกือบ 2 ปี ก็มีโอกาสกลับมาถีบจักรยานอีกครั้ง กับกลุ่ม สว.เสือเมืองสุพรรณ ( สูงวัย )
50-55-60-65 (อายุน่ะ ) ถีบกันไม่ค่อยแรง แต่มีความอึด ทน เป็นเลิศ ( ได้ยาดี...ฮา ) ไปเรื่อย ๆ เนื่อยก็กิน
ระยะทางในการไปทัศนศึกษา (รุ่นนี้ยังไปทัศนศึกษาอีกเหร่อะ ) ไปกลับไม่เกิน 100 กม. ความเร็ว 20-25 ถ้าผิด
ไปจากนี้ เราก็ไม่ไป (เงื่อนไขมากจริง )
...................................
วันเสาร์โน่น ปั่นไป เขาดีสลัก ต่อด้วย 27 รีสอร์ท ระยะทางไปกลับ 90 กม.
.......................................
วันเสาร์ที่ผ่านมา ถีบไปตลาดลาดชะโด ไปกลับ 50 กม.
>>>> พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว <<<<
- POM คอฟฟี่
- ขาประจำ
- โพสต์: 1714
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ย. 2008, 22:39
- Tel: 081-8512478
- Bike: คันเดิมๆ
- ตำแหน่ง: สุ1000
Re: คุยกันสัพเพเหระ ปี2553
สะบายดีเสือเมืองสูพัน
หลังจากหยุด ปั่น ปั่น ถีบ ถีบ ไปเกือบ 2 ปี ก็มีโอกาสกลับมาถีบจักรยานอีกครั้ง กับกลุ่ม สว.เสือเมืองสุพรรณ ( สูงวัย )
50-55-60-65 (อายุน่ะ ) ถีบกันไม่ค่อยแรง แต่มีความอึด ทน เป็นเลิศ ( ได้ยาดี...ฮา ) ไปเรื่อย ๆ เนื่อยก็กิน
ระยะทางในการไปทัศนศึกษา (รุ่นนี้ยังไปทัศนศึกษาอีกเหร่อะ ) ไปกลับไม่เกิน 100 กม. ความเร็ว 20-25 ถ้าผิด
ไปจากนี้ เราก็ไม่ไป (เงื่อนไขมากจริง )
ไหนๆก็เริ่มใหม่แล้ว ออกไปปั่นให้ทั่วสุพรรณฯเลยนะครับ
ผมจะได้เห็นสถานที่ซึ่งยังไม่ค่อยได้เห็นอย่างชัดเจน
อู่ทอง-บางปลาม้า-ศรีประจันต์-สามชุก-เดิมบางฯ-
-ดอนเจดีย์-สองพีน้อง-ด่านช้าง-หนองหญ้าไทร-และก็อ.เมืองสุพรรณบุรี
ให้เวลาถึง สิ้นปีครับ
หลังจากหยุด ปั่น ปั่น ถีบ ถีบ ไปเกือบ 2 ปี ก็มีโอกาสกลับมาถีบจักรยานอีกครั้ง กับกลุ่ม สว.เสือเมืองสุพรรณ ( สูงวัย )
50-55-60-65 (อายุน่ะ ) ถีบกันไม่ค่อยแรง แต่มีความอึด ทน เป็นเลิศ ( ได้ยาดี...ฮา ) ไปเรื่อย ๆ เนื่อยก็กิน
ระยะทางในการไปทัศนศึกษา (รุ่นนี้ยังไปทัศนศึกษาอีกเหร่อะ ) ไปกลับไม่เกิน 100 กม. ความเร็ว 20-25 ถ้าผิด
ไปจากนี้ เราก็ไม่ไป (เงื่อนไขมากจริง )
ไหนๆก็เริ่มใหม่แล้ว ออกไปปั่นให้ทั่วสุพรรณฯเลยนะครับ
ผมจะได้เห็นสถานที่ซึ่งยังไม่ค่อยได้เห็นอย่างชัดเจน
อู่ทอง-บางปลาม้า-ศรีประจันต์-สามชุก-เดิมบางฯ-
-ดอนเจดีย์-สองพีน้อง-ด่านช้าง-หนองหญ้าไทร-และก็อ.เมืองสุพรรณบุรี
ให้เวลาถึง สิ้นปีครับ
กินอิ่ม นอนหลับ มีกำลัง สู้ สู้