กฟผ. ฝ่ายสื่อสารองค์การ เขียน:
กฟผ. ฝ่ายสื่อสารองค์การ ขอขอบคุณสำหรับคำถามของคุณ Sompis Khiawkaew และ คุณ SilVer LightNing และข้อมูลของคุณ Karan Chamsakul นะคะ สำหรับ ฝ่ายสื่อสารองค์การ กฟผ. ขอทำความเข้าใจร่วมกันดังนี้ค่ะ
กรณีไฟฟ้าดับภาคใต้เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2556 เป็นเหตุการณ์ที่สายส่งที่จ่ายไฟฟ้าไปยังภาคใต้ซึ่งมี 4 เส้น คือ สาย 500 kV จำนวน 2 เส้น และสาย230 kVจำนวน 2 เส้น โดยในช่วงเช้า ของวันเกิดเหตุ กฟผ. ได้ปลดสายส่ง 500kVจำนวน 1 เส้น เพื่อทำการซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม ในเวลา 18.52 น. สายส่ง 500 kV เส้นที่ 2 เกิดการชำรุด ซึ่งคาดว่าเนื่องมาจากฟ้าผ่า ทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าลงภาคใต้ได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายไฟฟ้าผ่านสายส่งเส้น 230 kV ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ทำให้สายส่งจ่ายไฟฟ้าเกินกำลังส่งผลให้สายส่งหลุดจากระบบ
ประกอบกับจากการที่ภาคใต้ไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้เพียงพอและต้องพึ่งพาการส่งไฟฟ้าจากภาคกลางผ่านสายส่งดังกล่าว โดยความต้องการใช้ไฟฟ้า ณ วันที่ 21 พ.ค.56 มีสูงถึง 2,200 เมกะวัตต์ ในขณะที่มีโรงไฟฟ้าภาคใต้เดินเครื่องอยู่ 1,600 เมกะวัตต์ทำให้โรงไฟฟ้าอื่นในภาคใต้ อาทิ โรงไฟฟ้าขนอม โรงไฟฟ้าจะนะ และโรงไฟฟ้าเขื่อนรัชประภา ถูกปลดออกจากระบบโดยอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า จึงทำให้เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้าง เพราะกำลังผลิตไม่สมดุลย์กับความต้องการใช้งาน
กฟผ.ได้เร่งแก้ไขสถานการณ์สู่สภาวะปกติ ด้วยการผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทุกโรงในภาคใต้อย่างเต็มกำลังการผลิต รวมทั้งยังเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันดีเซลที่ จ.สุราษฎร์ธานี และทางมาเลเซียได้ส่งไฟมาช่วยอีก 200 เมกะวัตต์ทำให้สามารถจ่ายไฟให้ประชาชนได้ทั้งหมดเมื่อเวลา 23.00 น.
กล่าวโดยรวม สถานการณ์ไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง หรือ Blackout อาจเกิดขึ้นได้ทั้งกรณีโรงไฟฟ้าและระบบส่งเกิดขัดข้อง ในกรณีของการขัดข้องในสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งอาจเกิดได้บ่อยครั้ง เช่น มีฟ้าผ่า พายุ อุบัติเหตุ หรือเสาไฟฟ้าแรงสูงถูกถอดน๊อตจนล้ม ทันทีที่เกิดขึ้น จะต้องมีการบริหารจัดการโดยการย้ายการจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังสายส่งเส้นอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ทำให้เกิดไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง
อย่างไรก็ตาม หากไม่มีสายส่งเส้นอื่นรองรับเพียงพอ หรือสายส่งมีการซ่อมบำรุง กรณีเช่นนี้ จะทำให้โรงไฟฟ้าถูกปลดออกจากระบบโดยอัตโนมัติ เพื่อความปลอดภัยของโรงไฟฟ้า เพราะโรงไฟฟ้าไม่สามารถเดินเครื่องโดยไม่จ่ายกระแสไฟฟ้าได้ ซึ่งจะมีผลให้เกิดไฟฟ้าดับในบริเวณกว้าง (Blackout) หรือดับเพียงบางส่วน (Partial blackout)
ภายหลังจากการแก้ไขปัญหาในระบบส่งแล้ว โรงไฟฟ้าจึงจะเริ่มกลับมาเดินเครื่องและทยอยจ่ายกระแสไฟฟ้าใหม่ โดย
โรงไฟฟ้าพลังน้ำจะใช้เวลาเพียง 10 – 20 นาที ก็สามารถเดินเครื่องและจ่ายกระแสไฟฟ้าได้ จึงเหมาะเป็นโรงไฟฟ้าแรกที่เริ่มจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (Black Start) แต่
โรงไฟฟ้าพลังความร้อน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าหลักอาจใช้ 3 – 6 ชั่วโมง หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับประเภทโรงไฟฟ้า เชื้อเพลิง และสถานะของการหยุดเดินเครื่องของโรงไฟฟ้านั้นๆ
ทั้งนี้ อุบัติเหตุในสายส่งไฟฟ้าอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การออกแบบระบบส่งจึงมีการเชื่อมโยงเป็นโครงข่ายเพื่อความมั่นคงแข็งแรงของระบบส่งไฟฟ้า ที่จะสามารถรองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าทดแทนได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม คงต้องยอมรับความจริงว่า ระบบส่งที่ส่งไฟฟ้าจากภาคกลางไปภาคใต้มีลักษณะเป็นคอขวดในช่วงจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ตามสภาพภูมิประเทศ ทำให้มีความเสี่ยงต่อระบบส่งไฟฟ้าสูงกว่าพื้นที่อื่น นอกจากนี้ การมีโรงไฟฟ้าที่เพียงพอในพื้นที่ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการลดความเสี่ยงในระบบไฟฟ้า
จาก Facebook
https://www.facebook.com/EGAT.PRD/posts/373159619450753