![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13723928_1135781806492091_2386103456706605746_o.jpg)
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องราวของหัวใจอันอ้างว้าง หรือความโสดสนิทเอาเศร้าหมองของนางแบบสาวนะครับ เรื่องนั้นไปแก้ไขด้วยตัวเอง แต่ที่ต้องจับมาทดลองกันหน่อยเพราะเป็นปัญหาที่หลายๆคนสนใจกันมาก และเกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานโดยตรงเลย เมื่อเราใช้"ชีพจร" เป็นตัวบ่งบอกทั้งการตอบสนองและเป็นเครื่องชี้วัดการปั่นและพัฒนาการโดยรวมของการปั่นจักรยาน ซึ่งหนึ่งในปัญหาหลักที่พบกันบ่อยมากที่สุดคือ "หัวใจสุง" หรือว่ากันตามหลักการก็หมายถึง "อัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น" ซึ่งมีสาเหตุเป็นไปได้มากมายตั้งแต่ปัญหาด้าน"กรรม" หรือตัวของผู้ปั่นเองมีกายภาพเช่นนั้นไปจนปัญหาโลกแตกซึ่งก็คือ "ความแน่นอนของฮาร์ทเรทโมนิเตอร์" หรือว่ากันอีกอย่างก็คือ เครื่องมือวัดที่มีความคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13668661_1135781623158776_3428344288448608592_o.jpg)
หนูทดลองในกรณีนี้คือ "น้องมิณมิณ" สมาชิกในทีม Bike And Body Cycling ที่มีขนาดสารร่างที่จิ๋วที่สุด หรือถูกเรียกกันติดปากว่า"สเมิร์ฟ" ความสูงที่แทบจะคร่อมจักรยานไม่ได้ น้ำหนักตัวไม่เกิน 45 กก. ยังไม่นับขนาดเท้า เสื้อ และหมวก ที่แทบจะใส่ไซส์เล็กสุดของทุกยี่ห้อไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่กลายเป็นบ่อเกิดของปัญหาหัวใจในครั้งนี้ต้องมาขุดคุ้ยกัน
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13641013_1135781906492081_3876502288360963974_o.jpg)
ปัญหาที่พบ
ในการปั่นโดยทั่วไป บนทางราบปกติ ที่ระดับความหนักและความเร็วปกติของค่าเฉลี่ยของร่างกายสมาชิกในทีมโดยรวม ส่วนมากแล้วทุกคนจะมีหัวใจตอบสนองอยู่ในช่วงที่สมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ที่ระดับความหนักของ Pace 2 หรือช่วงแอโรบิคทั่วไป สมาชิกโดยส่วนมากจะมีหัวใจเต้นอยู่ที่ 100-125 ครั้งต่อนาทีจากการติดตามเช็คทุกครั้งขณะปั่น แต่ "น้องมิณมิณ" จะมีหัวใจเด้งไปอยู่ที่ 160+ ให้ตกใจกันทันที และหากเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังเริ่มเหนื่อยกับหัวใจเต้นราวๆ 160 ครั้งต่อนาที น้องมิณมิณ จะมีหัวใจเต้นราวๆ 180 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป และยังสามารถยืนระยะนั้นต่อไปได้
ถามตอบกันได้สั้นๆ เป็นที่ฉงน สงสัยของทุกคนทั้งในทีมและนอกทีมที่อยู่รอบๆตัวเป็นอย่างยิ่ง
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13920568_1135781966492075_8517789030352768986_o.jpg)
ดังนั้นในครั้งนี้มีโอกาสผมจึงนัดมาเพื่อทำการทดลองง่ายๆเพื่อขอดูการตอบสนองของหัวใจที่มีต่อความหนักในแต่ละช่วงอย่างจำเพาะเจาะจงสักนิด เพื่อตัดปัจจัยหลายๆอย่างออกไป กล่าวคือ หากหัวใจตอบสนองไล่มาต่อความหนักเป็นเหตุเป็นผลกันก็แปลว่าจริงๆแล้วหัวใจอาจไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงหรือมีการตอบสนองแต่ละช่่วงผิดปกติ จะได้วางสมมุติฐานไปที่เรื่องอื่น หรือถ้าไปที่เรื่องอื่นแล้วยังแก้ไม่ได้ ขั้นต่อไปคงต้องเข้าแล็บทดสอบสมรรถภาพทางการกีฬากันจริงจังต่อไป
วิธีการทดสอบเบื้องต้น
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13923267_1135781946492077_5286455186006118120_o.jpg)
เพื่อสังเกตุดูการตอบสนองของหัวใจในแต่ละช่วงความหนักในการออกแรงผมเลือกใช้วิธีระบุความหนักค่อยๆไล่ไปแต่ละช่วงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นปล่อยให้พักสักครู่แล้วเริ่มทำใหม่เพื่อดูเทร็นด์ในการตอบสนองเทียบกันและห่าค่าที่น่าจะไม่มีปัจจัยอื่นๆมาเกี่ยวข้องมากนัก ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการระบุความหนักในครั้งนี้ก็คือ
-เทรนเนอร์ที่วัดวัตต์ได้ ใช้ BKOOL และซอฟท์แวร์ที่แสดงค่าวัตต์ได้ในระดับ +-5% ซึ่งเกินพอสำหรับระยะเวลาในการทดลองครั้งนี้ ทั้งยังเป็นอุปกรณ์เดิมที่เจ้าตัวใช้ในการทดสอบหาค่าวัตต์ส่วนตัว(FTP)อยู๋แล้วจึงไม่มีผลเรื่องความแตกต่างอย่างแน่นอน
-ฮาร์ทเรทโมนิเตอร์ เลือกใช้แบบพื้นฐานง่ายที่สุด สายคาดของการ์มินนั่นเอง แน่นอนครับว่ามันไม่ใช่ระบบที่แม่นยำที่สุดแต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือจริงๆของที่ใช้อยู่ ผมอยากเห็นว่ามีการกระโดดหรือค่าสวิงหรือไม่
มาดูรายละเอียดการทดสอบกันครับ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13923473_1135782366492035_284883996389423356_o.jpg)
FTP ของผู้ทดสอบ 126 วัตต์
อัตราชีพจรสูงสุดที่วัดได้ 204 ครั้งต่อนาที
อัตราชีพจรขณะพัก 45 ครั้งต่อนาที
วอร์มอัพจนหัวใจขึ้นมาอยู๋ในช่วงพร้อมตอบสนอง (10 นาที)
ระดับความหนักเบา 50-70 วัตต์ หรือช่วงโซน 1 และคาบเกี่ยว (3 นาที)
ระดับความหนักแบบสบายๆ 65-85 วัตต์ หรือคาบเกี่ยวโซน 2 (3 นาที)
ระดับความหนักแบบปานกลาง 80-100 วัตต์ (3 นาที)
ระดับความหนักแบบเข้มข้น 95-115 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงเทรสโชลด์ 110-130 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงระดับสูง ตั้งแต่ 130 วัตต์ไล่ไปจนสูงสุดที่ทำได้ใน 3 นาที
พักให้หัใจลดลงมา ในช่วง 5 นาทีที่ความหนัก 30-40 วัตต์แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
กราฟแสดงผลการทดสอบ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13886842_1133563846713887_6347459112222091972_n.jpg?oh=249603755c4aadbfa1d2ef9a4ae49be2&oe=585851E2)
นี่คือ live record จากระบบที่บันทึกได้ ซึ่งค่าหัวใจสูงสุดที่บันทึกไว้คือ 199 ครั้งต่อนาที ที่ 309 วัตต์ แต่ถ้ามาจับแยกเป็นช่วงข้อมูลจะได้ดังนี้ครับ
ครั้งที่ 1
50-70w เฉลี่ย 135bpm
65-85w เฉลี่ย 143bpm
80-100w เฉลี่ย 142bpm
95-115w เฉลี่ย 157bpm
110-130w เฉลี่ย 161bpm
130-full gas เฉลี่ย 192bpm
ครั้งที่ 2
50-70w เฉลี่ย 149bpm
65-85w เฉลี่ย 156bpm
80-100w เฉลี่ย 168bpm
95-115w เฉลี่ย 171bpm
110-130w เฉลี่ย 174bpm
130-full gas เฉลี่ย 194bpm
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13641013_1135781906492081_3876502288360963974_o.jpg)
นอกจากนั้นยังได้ทดลองดูการตอบสนองของความหนักของอัตราการเต้นหัวใจของน้องมิณมิณเทียบเป็นคะแนนความหนักตั้งแต่ 0-10 คะแนนเพื่อเช็คว่าหัวใจเท่าไหร่ รู็สึกอย่างไรบ้าง
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13913586_1135782129825392_5231508231741627942_o.jpg)
การตีความจากผลการทดลอง
จากเดิมสมมุติฐานที่ผมต้องการศึกษาคือช่วงของการตอบสนองในแต่ละช่วงว่ามีอัตรากระโดดมากหรือน้อยอย่างไรบ้าง เพราะหากมีการกระโดดจะได้ไปเจาะที่ช่วงนั้นอีกที แต่จากที่ดูแล้วก็มีทิศทางของการตอบสนองไปในทางที่สอดคล้องกับการออกแรง ไม่ได้มีช่วงไหนที่กระโดดมากจนเกินไป อาจมีช่วงที่สวิงไปเนื่องจากเจ้าตัวขี่ไม่นิ่งเองแต่ก็เป็นปกติของช่วงระดับความหนักตั้งแต่ต้น Tempo จนถึง Sweetspot และช่วง Threshold ระยะแรก ที่หากไม่ซ้อมจนชินก็จะยากที่จะแยกแยะเกลี่ยความหนัก
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13909434_1135782033158735_6709100245054326459_o.jpg)
ดังนั้นเราพอจะสรุปกันได้เลยว่าจริงๆแล้วการตอบสนองของอัตราชีพจรของน้องมิณมิณ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติจากคนอื่นๆจนต้องไปตรวจเชิงลึกกับสถาบันการแพทย์ หากจะไปตรวจจริงๆน่าจะไปเน้นที่การตรวจทางสมรรถภาพการกีฬาไปเลย เพื่อดูการตอบสนองของเคมีในร่างกายของแต่ละช่วงด้วย
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-9/13886869_10154265489760891_4677866037895477186_n.jpg?oh=2913ad87561ddd341021bfcc1ff4662f&oe=582EED25)
แล้วทำไมหัวใจจึงสูงมาก?
สมมุติฐานแรกที่ผมมีเอาไว้ก่อนจะมาทำการทดลองนี้คือ "ร่างกายที่เล็กจิ๋ว" ไม่ต่างจากเด็ก (แม้สีหน้าจะบ่งบอกอายุจริง) มีแรงออกได้น้อยนิดเหมือนเด็กไปด้วย เราไม่พูดถึงบนเขานะครับกรณีนี้ขอว่ากันที่ทางราบเป็นหลักก่อน เพราะบนทางราบแน่นอนว่ากฏฟิสิกส์พื้นฐานมวลน้อยใช้แรงน้อยในการขับเคลื่อนก็จริง แต่มวลน้อยก็มีโมเมนตัมน้อยไปด้วย และเมื่อถูกแรงกระทำใดๆก็ตามก็สูญเสียแรงเฉื่อยไปได้มากนักเอง ฟังดูยุ่งยาก ต้องมาแปลกันภาษาจักรยานหน่อยครับ
น้ำหนักตัวที่แสนจะน้อย (และจักรยานที่เบาหวิวๆ เฟรมไซส์สเมิร์ฟชั่งแล้วต่ำเจ็ดขีด) ใช้แรงไม่มากในการออกตัวและเร่งความเร็ว เฟรมสติฟไม่ได้ทอนกำลังส่งไปมากนัก ในทางกลับกันเมื่อโดนลมกรรโชกแรงเข้าใส่ไม่ว่าจะทิศไหนก็ตามก็ส่งผลกับความเร็วมากกว่าคนอื่นๆจนน่าตกใจ และนั่นกลายเป็นหนังชีวิตของเธอที่ปกติซ้อมกันอยู่ที่สกายเลน ที่มีลมแรงทุกฤดูกาล และเอาเข้าจริงบนทางราบ คนสองคนที่น้ำหนักตัวต่างกันมากๆหลายๆสิบกิโลกรัม แต่กลับใช้สัดส่วนกำลังวัตต์ขับเคลื่อนไม่ได้แตกต่างกันมากเท่ากับสมการทางตรงบนกระดาษเสมอไป ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ
ผมมีน้ำหนัก 60 กก. ใช้กำลังขับเคลื่อนไป 160 วัตต์ แต่ที่ 160 วัตต์นั้นเป็นโซน 3 ต้นๆของผมในขณะที่น้องมิณมิณต้องใช้พลัง 120 วัตต์ในการขับเคลื่อนซึ่งน่ันคือโซน 4 ของเธอ ก็ไม่แปลกที่ด้วยสถานการณ์นั้นๆ หัวใจผมจะเต้นราวๆ 150 ครั้งต่อนาทีและน้องเขาจะเต้น 170 ครั้งต่อนาที ยิ่งเมื่อลมกรรโชกมาแรง เธอยิ่งได้รับผลมันมากขึ้นและต้องออกแรงเติมเข้าไป"ล้น" มากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น นี่คือวาระกรรมที่เรียกว่า "กรรมของคนตัวเล็ก" ซึ่งทำให้ทุกครั้งที่ปั่นกับชาวบ้านชาวช่อง ต้องทนปั่นอยู่บนโซน 3.5-4 ขึ้นไปตลอดเวลา และมันก็ตอบสนองสอดคล้องออกมาที่ผลการปั่นด้วยจริงๆเพราะเธอสามารถทนปั่นกับคนอื่นๆได้ในระยะเวลาราวๆ 2-3 ชม. เป็นปกติ ซึ่งนั่นคือพิกัดมาตรฐานของการทนช่วงเวลานั้นไปนานๆ ร่างกายก็จะกรอบ ล้า มากๆ เผลอๆหม้อน้ำระเบิดไปก่อนจบด้วยซ้ำ
ผลเสียทางอ้อมที่ตามมาก็คือ แทบจะไม่สามารถซ้อม endurance หรือการปั่นแบบ low intensity/ high volume แปลง่ายๆคือปั่นเบาๆแต่นานได้เลย ถ้าปั่นคนเดียวก็ต้องทนกับความเร็วที่แสนจะน้อยนิด ประกอบกับช่วงโซนที่แสนจะแคบจากวัตต์ตั้งต้น(FTP)ที่ไม่สูงมากทำให้มีโอกาสปั่นจนล้นพ้นโซนได้ง่ายๆ แค่ลมกระแทกมาก็มีผลแล้ว ทั้งหมดนี้ส่งผลทางอ้อมให้น้องมิณมิณมีระบบความทนทานในช่วงต่ำที่ไม่ดี และมันยืนยันออกมาจากการทดลองที่ช่วงพัก 5 นาทีต่อให้ลดความหนักลงไปขนาดนั้นก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ และเมื่อเริ่มรอบที่สอง หัวใจจึงสูงกว่ารอบแรกในเกือบจะทุกๆช่วง(ช่วงสุดท้ายยังไงๆมันก็ได้แค่นั้นแหละครับ)
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13923367_1135781999825405_6081312104534987329_o.jpg)
หนทางแก้ปัญหาสำหรับคนที่มีปัญหาแนวทางเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าการปั่น low intensity ช่วยในการเพิ่มความทนทานของระบบต่างๆและมีส่วนพัฒนาอัตราชีพจรให้ดีขึ้นจากพื้นฐานการทำงานของระบบต่างๆที่ดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้คือ ลดต่ำลงที่การออกแรงเท่าเดิม แถมยังช่วยให้การฟื้นตัวของร่างกายเมื่อลดความหนักลงมาทำได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย แต่ก็ต้องเพิ่ม"กำลัง"ที่ทำได้ต่อหนึ่งช่วงเวลาเพื่อรองรับความเข้มข้นของการปั่นร่วมกับคนอื่นได้ และสุดท้ายคือลดภาระของการเคลื่อนที่ลงให้มากที่สุด
ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ประการได้แก่
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13725037_10154240400665891_7693468113254277251_o.jpg)
1.Low Intensity Ride
ไม่ว่าจะเรียกมันว่า "เอ็นดูแรนซ์" หรือ "โซนสอง" หรือ "ปั่นโซนซอย" มันก็หมายถึงการปั่นจักรยานที่ระดับความเข้มข้นต่ำๆระยะเวลานานๆ ที่ทุกคนเข้าใจกันนั่นแหละครับ สิ่งที่ได้คือการพัฒนาระบบแอโรบิคที่ดี หลอดเลือด ระบบทางเดินโลหัด กล้ามเนื้อเส้นใยเล็ก และความทนทานของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ต้องทำงานนานๆ ระบบเหล่านี้พัฒนาได้ยากในระดับความเข้มข้นสูง ดังนั้นในทุกๆตำราก็ไม่เคยละทิ้งการฝึกซ้อมแบบนี้ จะมากหรือน้อย ต้องจัดสมดุลย์ให้เหมาะสม ที่ผ่านมาต่อให้น้องมิณมิณไปปั่นกับคนอื่น 3-4 ชม. มันก็ไม่ใช่การปั่นแบบความเข้มข้นต่ำ แต่มันคือการลากสังขารไปกับคนอื่นที่ความเข้มข้นสูงกว่าชาวบ้าน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ในด้านนี้เลย ผมว่าผู้หญิงและคนตัวเล็กน่าจะมีปัญหาเดียวกันไม่มากก็น้อย
ทางออกเบื้องต้นระยะแรก...ไปปั่นคนเดียวครับ
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13724840_10154234652980891_4689581625838281237_o.jpg)
2.FTP Boost
ถ้าใจยังรักจะปั่นจักรยานแข่งขัน ยังชอบที่จะไปกับเพื่อนด้วยความเร็วและสนุกกับเพื่อนได้ อย่างไรก็คงต้อง"บูส"พลังที่สามารถทำได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการเพิ่ม FTP ในการจำกัดโซนให้ได้ก่อนในระยะแรกๆ จากนั้นระยะที่สองทำการบูสระดับช่วงพิกัด 8-15 นาทีให้ได้สัดส่วนมากกว่า เพราะการขี่(แข่ง)จักรยานถนนมันคือการเร่งความเร็ว และชลอ ซ้ำๆกันไปเรื่อยๆโดยแต่ละช่วงยาวนานบ้าง สั้นบ้างปะปนกันไป หากสามารถออกแรงได้เพียงพอกับสถานการณ์นั้นๆได้ก็ย่อมมีโอกาสรอดได้มากขึ้น ซึ่งการบูส FTP ทุกสำนักใช้แนวทางใกล้เคียงกันโดยกำหนดการปั่นมาเป็นเซ็ทๆแบบอินเทอร์วัล เน้นความหนักไปที่โซน 3.5-4.0 หรือช่วง sweetspot ซึ่งพบว่าสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดในระยะเวลาน้อยที่สุดและส่งผลกับ FTP มากที่สุด ในเวลาไม่กี่สัปดาห์สามารถเพิ่มวัตต์พื้นฐานได้อย่างรวดเร็วและสร้างความล้าสะสมน้อยกว่าการปั่นระยะเวลานานๆ
ข้อนี้แก้ไม่ยากแต่อาจจะน่าเบื่อหน่อย ที่สำคัญคือการ"กำหนดโซน" ที่ต้องแม่นยำหน่อย ไม่ว่าจะใช้หัวใจหรือวัตต์ในการกำหนดต้องเลือกใช้และทดสอบจนได้โซนที่ค่อนข้างเป๊ะ เพราะเราเล็งหาพิกัดช่วงการซ้อมที่ค่อนข้างแคบ โอกาสเพี้ยน ผิด หลุดไปจากสิ่งเร้าภายนอกทั้งอากาศ ความล้า อาหาร มีได้ไม่ยาก
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/v/t1.0-0/p526x296/13686616_10154223260600891_3280159884291978220_n.jpg?oh=0bb8a65515a87e60a12467acd1fb95fc&oe=5819A45C)
3.ปรับท่าขี่ใหม่ทั้งหมด
เป็นกรรมของคนตัวเล็กที่เมื่อเซ็ทจักรยานให้ขี่ได้ ก็จะเซ็ทให้ได้ท่าขี่ที่"ดุดัน"ได้ยาก เพราะช่วงระยะก้ม หรือ stack ของจักรยานก็จะค้ำอยู่ให้ก้มลงไปได้ยาก ระยะเอื้อมก็ไปได้น้อยเนื่องจากความสูงที่น้อยกว่า นั่นทำให้รถที่ได้มามีท่าการขี่ที่เป็นภาระมาก ทางแก้แรกๆก็คือปรับร่างกาย การวางระเบียบของมุมองศาคอ หลัง ศอก ต้องแก้ไข่ใหม่หมด ซึ่งระยะแรกอาจไม่ต้องฟิตรถใหม่แต่ปรับแก้ที่ตัวเราเองได้ไม่ยาก ต่อมาคือการบริหารร่างกายให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้นพอที่จะพัฒนาท่าขี่ได้มากขึ้นโดยไม่เป็นภาระกับร่างกายต้องทนทรมาน
การค่อยๆปรับท่าขี่ให้ลู่ลม การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง และการยืดเหยียดเป็นทางออกที่แก้ปัญหานี้ได้ในทางอ้อม เพราะคนที่ตัวเล็กๆต้องพยายามเป็นภาระทางอากาศให้น้อยลงที่สุด และสามารถทำได้ไม่ยากเพราะมีปริมาตรและพื้นที่ผิวน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ข้อสังเกตุในการทดลองและก้าวต่อไป
HRM หรือ Heart Rate Monitor ที่ใช้ๆกันนั้นมีความเพี้ยนและตอบสนองที่สามารถผิดพลาดได้ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในความไม่มั่นใจแรกสุดในส่วนตัวผมเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ผลที่ได้ถือว่าพอรับได้ไม่มีค่าที่น่าจะใช้งานไม่ได้เพราะยืนดูเลขอยู่เกือบตลอด กราฟก็ไม่ได้แสดงอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หากทดสอบในแล็บที่แม่นยำกว่านี้ก็ย่อมดีกว่า รวมถึงตัว drill ที่ใช้ทดสอบเองก็ยังไม่ได้เจาะจงให้เข้มข้นมากๆ เพราะส่วนตัวผมเล็งไปที่ช่วง 50-100%FTP มากกว่า เท่าที่สังเกตุมาช่วงล้นพ้นเกินนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก มีเพียงเซ็ทสั้นๆที่ทดองให้ไปหา peak ของหัวใจดูว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะลดลงมาได้เร็วแค่ไหน ถ้าจะทำการทดลองตรวจกันจริงจัง คงต้องเจาะจงให้ครบทุกช่วงเพื่อความมั่นใจ อย่างไรก็ดีผมก็ไม่ใช่คนที่จะมาเจาะเลือดมานั่งวัดกรด มาวัดอัตราการดึงอ็อกซิเจน และการตอบสนองอื่นๆในเลือดได้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องมาวัดกันถึงขนาดนั้นในครั้งนี้
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13925689_1135782263158712_950038208666093149_o.jpg)
สรุป
เอาแค่จากการทดลองนี้ ผมยืนยันได้ 1 ประการว่า คนตัวเล็กมีภาระในการปั่นทั่วไปที่ส่งปัญหาได้มากกว่า และไม่ใช่เรื่องของความผิดปกติทางร่างกายที่เป็นประเด็น มันเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการซ้อมในกิจวัตรปกติที่นำมาต่อด้วยพัฒนาการทางกายภาพที่สะท้อนออกมาเช่นนี้ ทว่ากลับกันหากจับไปขึ้นเขา ด้วยสัดส่วนวัตต์ต่อน้ำหนัก และน้ำหนักตัวเช่นนี้ เธอสามารถขึ้นเขาได้"ฉิว" แบบที่ผู้ชายหลายๆคนตามไม่ได้เลยทีเดียวครับ เป้าหมายต่อไปหากสามารถเพิ่ม FTP ขึ้นไปได้ถึง 160 วัตต์ จะกลายเป็น 1 ในสาวขาแรงบนเขาที่ชายชาตรีต้องได้แต่มองตาม!
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13662334_1135781496492122_7299181543536216500_o.jpg)
เอาไว้อีกสัก 2-3 เดือน มาติดตามต่อว่าทางแก้ปัญหานี้ จะส่งผลออกมาแบบไหนนะครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ กระบวนการซ้อมแบบไหน และการฝึกหัดทักษะอย่างไรบ้างที่จะนำมาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เร็วที่สุดโดยที่พัฒนาได้ยั่งยืนด้วย
ขอลาไปด้วยหน้าหลังทดสอบเสร็จของนางแบบเราในบทความนี้
![รูปภาพ](https://scontent.fbkk7-1.fna.fbcdn.net/t31.0-8/13662320_1135782736491998_1875283008064470559_o.jpg)
บทความเกี่ยวเนื่อง
มาฝึกซ้อมและพัฒนาการปั่นกันเถอะ ตอนที่ 2 “Heart Rate”
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1212211
Base Training บัญญัติ 6 ประการ ตอนที่ 2
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1236258