อินทนนท์คนพันธุ์อึด#10 : การเดินทางด้วยรถทัวร์ - จักรยาน - สองเท้า และมือโบก
โพสต์: 02 มี.ค. 2017, 09:42
“อินทนนท์คนพันธุ์อึด” เป็นการแข่งขันจักรยานแบบโอเพ่น ที่จัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี ปีนี้ก็เป็นครั้งที่ 10 แล้วที่จัดขึ้นมา โดยก่อนหน้านี้ผมได้เดินทางมาร่วมแข่งขันปั่นจักรยานขึ้นดอยอินทนนท์มาแล้ว 4 ครั้ง แต่ละครั้งใช้การเดินทางต่างกันออกไป หลักๆ ก็เป็นการขับรถมาเอง และมารถตู้กับเพื่อนร่วมทีม ซึ่งสำหรับผมแล้ว การมาปั่นขึ้นดอยอินทนนท์เป็นเหมือนการมาพักผ่อนประจำปีเลยก็ว่าได้ เพราะต้องมาทุกปี แต่ส่ิงหนึ่งที่ค่อนข้างจำเจก็คือ ขับรถมาจากกรุงเทพฯ ตอนเช้า หรือค่ำ มาถึง อ.จอมทอง เข้าที่พัก พักผ่อน หรือออกไปเที่ยว ขับรถขึ้นไปบนดอย แล้วก็กลับมานอนพักเพื่อแข่งขันในวันรุ่งขึ้น แข่งเสร็จก็ขับรถกลับกรุงเทพ หรือไม่ก็เข้าเชียงใหม่เที่ยวต่อในเมืองอีก 1 วัน เป็นแบบนี้ร่ำไปทุกปีๆ
แต่ในปีนี้ ผมตั้งใจที่จะ “เดินทาง” ในแบบที่แตกต่างออกไป โดยวางแผนจาก “เครื่องบิน” วิธีนี้ดูจะให้ความสะดวกสบายมากที่สุดสำหรับนักปั่นที่กระเป๋าหนัก ทั้งค่าเครื่องบินที่ค่าตั๋วไปกลับอยู่ที่ราวๆ เกือบ 4 พันบาท อาจจะดูไม่แพงสำหรับผู้มีรายได้สูง แต่สำหรับผู้มีรายได้ปานกลางแบบผม ก็ยังมองว่าแพงไปอยู่ดี ไหนจะต้องเช่ารถจากเชียงใหม่เพื่อขับไป อ.จอมทอง อีกดูก็ไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ ที่ต้องไปผูกไว้กับรถยนต์เท่านั้น การเดินทางแบบนี้ผมจึงข้ามไป
“รถไฟ” ผมเล็งรถไฟตู้นอนตู้ใหม่ที่เพิ่งโฆษณาเอาไว้ เพราะอยากลองนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ดูสักครั้ง ถึงต้องใช้เวลานานกว่าทุกการเดินทาง แต่ก็เพื่อความแตกต่างก็อยากลองดู แต่จากการโทรถามไปที่ทางการรถไฟคอลเซ็นเตอร์ คำตอบที่ได้รับก็คือ ไม่สามารถเอาจักรยานขึ้นรถไฟตู้นอนขบวนใหม่ได้ ด้วยเหตุที่ว่าไม่มีโบกี้สัมภาระ อืม..งั้นลองรถไฟตู้นอนแบบพัดลมขบวนเก่าก็ได้ ได้ครับ มีโบกี้ขนของ แต่ที่นั่งเหลือแต่ชั้นบน ซึ่งตอนทำเป็นเตียงก็จะไปแขวนอยู่บนหัวผู้โดยสารท่านอื่น อีกทั้งค่าตั๋วก็มีราคาพันกว่าบาท จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับตั๋วเครื่องบินเลย ...งั้นขอผ่านดีกว่า
เมื่อการเดินทางทุกอย่างดูจะไม่ตรงกับใจ ผมจึงขอขึ้น “รถทัวร์” ดูสักครั้ง การเดินทางด้วยรถทัวร์อาจจะไม่สะดวกนักในสมัยก่อน แต่ในปัจจุบันถือว่าปรับปรุงได้ดีขึ้นมากๆ แล้ว ทั้งที่นั่งที่สะดวกสบาย มีที่ชาร์จไฟ USB มีระบบปรับเอนนอนได้ แถมเอาจักรยานใส่ช่องสัมภาระใต้ท้องรถได้ ราคาค่าตั๋วแค่ห้าร้อยกว่าบาท ...งั้นเอาอันนี้แหละ
จากนั้นผมก็เร่ิมวางแผนการเดินทางทันที คร่าวๆ เริ่มจาก
- นั่งรถทัวร์จากกรุงเทพ 4 ทุ่ม 20 นาที ไปลงที่ แยกดอยติ จ.ลำพูน เช้า 6 โมง
- ปั่นจักรยานไปที่ อ.จอมทอง 68 กิโลฯ เข้าที่พักตีนดอยอินทนนท์
- วันรุ่งขึ้นปั่นแข่งขึ้นดอยอินทนนท์ 48 กิโลฯ
- ปั่นลงดอยอินทนนท์มาที่พัก 42 กิโลฯ
- ปั่นเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ 70 กิโลฯ
- วันรุ่งขึ้นปั่นเส้นทาง แม่ริม-สะเมิง-หางดง-เชียงใหม่ 86 กิโลฯ
- อาจจะแถมปั่นขึ้นดอยสุเทพ หากพอมีเวลา และมีแรงเหลือ
- ปั่นเสร็จขึ้นรถทัวร์เชียงใหม่ 1 ทุ่มครึ่ง กลับกรุงเทพ
เมื่อจองตั๋วรถทัวร์ กับจองที่พักเรียบร้อยก็ถึงวันเดินทาง ผมจัดกระเป๋าเป้ให้มีน้ำหนัก “น้อยที่สุด” เพราะต้องแบกเป้ปั่นจักรยานไปด้วยระหว่างเดินทาง ซึ่งในเป้จะต้องมี
- ชุดปั่นจักรยานเสื้อกางเกง 1 ชุด
- หมวกจักรยาน
- ถุงมือ
- ถุงเท้า
- รองเท้าจักรยาน 1 คู่
- อุปกรณ์ปะยาง
- ยางใน 1 เส้น
- สูบลมพกพา
- เสื้อกันลม 1 ตัว (สำหรับใส่บนยอดดอยที่อากาศหนาวมากๆ แค่ 10 องศา)
อันนี้เป็นส่วนของการปั่น ส่วนชุดใส่เที่ยวทั่วไปก็มีแค่
- เสื้อยืด 1 ตัว (ใส่ไป)
- เสื้อกันหนาว 1 ตัว
- เสื้อยืดใส่นอน 1 ตัว
- กางกางบ็อกเซอร์ 1 ตัว
- กางเกงขาสั้น 1 ตัว (ใส่ไป และขอให้พับได้เล็กๆ และเบา)
- รองเท้า ที่เป็นทั้งรองเท้าแตะ และใส่เที่ยว 1 คู่
- อุปกรณ์ชาร์จไฟโทรศัพท์
...ทั้งหมดนี้ในเป้หนึ่งใบ กับการเดินทางทริป 3 วัน 4 คืน