ช่วยกรุณาโพสถึงผลของการปั่นจักรยาน มีผลทำให้โรคที่เป็นอยู่ทุเลาดีขึ้นบ้างหรือไม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเอง ขอขอบพระคุณครับsanoa เขียน:ผมไม่ได้ออกกำลังหรือเล่นกีฬามา 10 กว่าปี ร่างกายเริ่มอ่วน โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหา เช่นความดัน ไขมัน น้ำตาล ครอเร็สตรอรอน เหนื่อนง่าย ต้องหาหมอรักษามาเป็นปี อาการก็ทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้นอะไรมากมาย จึงตัดสินใจต้องออกกำลังกายแล้วไม่ยั้น อายุมากขึ้นลำบากแน่นอน จึงเลือกปั่นจักรยาน ปั่นตอนเช้าครับวันละ 1 ชั่วโมง ปั่นมาได้ 3 เดือนแล้ว นำ้หนักลดลง ร่างกายรู้สึกได้เลยว่าดีขึ้น และได้ค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต ก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ปั่นจักรยานมีประโยชน์จริงๆๆๆ
ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
- ขวัญใจ
- ขาประจำ
- โพสต์: 2562
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 17:07
- Tel: 0823974409
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: scoot, fuji araya
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
- sanoa
- สมาชิก
- โพสต์: 98
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ส.ค. 2012, 09:00
- Tel: 081 7775955
- team: ปั่น..ป่วน
- Bike: KHS Team st.....ARAYA....Nishiki
- ตำแหน่ง: จ.สุพรรณบุรี
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ตรวจร่างกายประจำปีล่าสุด น้ำตาล ไขมัน ความดัน ปกติ เหลือคอเรสเตดรอล เกินนิดหน่อย แต่ที่รู้สึกได้ร่างกายดีขึ้น แต่ที่ต้องระวังคืออุบัติเหตุ ล้าสุดผมจักรยานล้ม ก็พกช้ำ พอสมควร และเจ็บชายโคลง หมอบอกให้พักอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ถ้าหายเจ็บคงปั่นต่อครับ ขอให้ทุกคนระวังไว้ด้วยขวัญใจ เขียน:ช่วยกรุณาโพสถึงผลของการปั่นจักรยาน มีผลทำให้โรคที่เป็นอยู่ทุเลาดีขึ้นบ้างหรือไม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเอง ขอขอบพระคุณครับsanoa เขียน:ผมไม่ได้ออกกำลังหรือเล่นกีฬามา 10 กว่าปี ร่างกายเริ่มอ่วน โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหา เช่นความดัน ไขมัน น้ำตาล ครอเร็สตรอรอน เหนื่อนง่าย ต้องหาหมอรักษามาเป็นปี อาการก็ทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้นอะไรมากมาย จึงตัดสินใจต้องออกกำลังกายแล้วไม่ยั้น อายุมากขึ้นลำบากแน่นอน จึงเลือกปั่นจักรยาน ปั่นตอนเช้าครับวันละ 1 ชั่วโมง ปั่นมาได้ 3 เดือนแล้ว นำ้หนักลดลง ร่างกายรู้สึกได้เลยว่าดีขึ้น และได้ค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต ก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ปั่นจักรยานมีประโยชน์จริงๆๆๆ
- wheeler pro 49
- ขาประจำ
- โพสต์: 2322
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 16:44
- Tel: dtac 081-531-6774
- team: เสรี จักรยานเสือภูเขาน่าน
- Bike: จักรยานขี้เมี่ยง
- ตำแหน่ง: 152หมู่ 4 ต.หนองแดง อ.แม่จริม จ.น่าน 55170
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
คุณผู้ชายครับ รู้หรือไม่ หากคุณนั้น พร่ำบอกคนอื่นว่าตัวเองไม่สูบบุหรี่แล้วสุขภาพดีนั้น ต้องหันกลับมามองตัวเองใหม่แล้วละครับ ว่าคุณนั้นออกกำลังกายด้วยหรือเปล่า ? เพราะถ้าเพียงคุณไม่สูบบุหรี่ แต่คุณก็ยังคงปล่อยตัวเอง กินแล้วนอน ไม่ออกกำลังกาย ก็เท่านั้นครับ ไม่ได้ช่วยให้คุณสุขภาพดีขึ้นเลย
เพราะ จากการศึกษาจากทีมวิจัยของ Harvard University เปิดเผยว่า ต้นเหตุของการเกิดโรคที่ทำให้เสียชีวิตของคนเรามีด้วยกันอยู่หลายสาเหตุ แต่ต้นเหตุของการเกิดโรคที่มีการเสียชีวิตมากที่สุด ก็คือการขาดการออกกำลังกายนั่นเอง ตามรายงานจากเดลิเมล์ของอังกฤษพบว่า การโรคที่ทำให้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่นั้นมีอัตราน้อยมาก เมื่อเทียบกับโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ซึ่งก็เป็นโรคที่มีส่วนเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตกินแล้วนอน ไม่ออกกำลังกายทั้งนั้น
Dr. I-Min Lee หัวหน้าทีมวิจัยเรื่องนี้จาก Harvard กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากเพราะจริงๆ คนที่สูบบุหรี่ มีเพียง 1 ใน 4 ของคนทั้งโลกเท่านั้น และถ้าเทียบกับคนที่ไม่ออกกำลังกายแล้ว คนสูบบุหรี่ก็ยังถือว่าน้อยกว่ามาก ที่จริง จะเรียกไขมัน ว่าร้ายพอๆกับ พวก บุหรี่หรือยาสูบก็น่าจะได้ เพราะ มนุษย์ในทุกๆวันนี้ มีอัตราการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน กันมากขึ้น ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นผลพวงจากการไม่ออกกำลังกาย ซึ่งถ้าหันมาใส่ใจกับการออกกำลังกาย ซักนิด แม้ด้วยการเดินเพียงวันละ 20 นาที ต่อวันก็เป็นผลดีต่อการทำงานของหัวใจ และสุขภาพของคุณผู้ชายแล้วละครับ
เพราะ จากการศึกษาจากทีมวิจัยของ Harvard University เปิดเผยว่า ต้นเหตุของการเกิดโรคที่ทำให้เสียชีวิตของคนเรามีด้วยกันอยู่หลายสาเหตุ แต่ต้นเหตุของการเกิดโรคที่มีการเสียชีวิตมากที่สุด ก็คือการขาดการออกกำลังกายนั่นเอง ตามรายงานจากเดลิเมล์ของอังกฤษพบว่า การโรคที่ทำให้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่นั้นมีอัตราน้อยมาก เมื่อเทียบกับโรคหัวใจ โรคเบาหวาน ซึ่งก็เป็นโรคที่มีส่วนเกี่ยวพันกับการใช้ชีวิตกินแล้วนอน ไม่ออกกำลังกายทั้งนั้น
Dr. I-Min Lee หัวหน้าทีมวิจัยเรื่องนี้จาก Harvard กล่าวว่า เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมากเพราะจริงๆ คนที่สูบบุหรี่ มีเพียง 1 ใน 4 ของคนทั้งโลกเท่านั้น และถ้าเทียบกับคนที่ไม่ออกกำลังกายแล้ว คนสูบบุหรี่ก็ยังถือว่าน้อยกว่ามาก ที่จริง จะเรียกไขมัน ว่าร้ายพอๆกับ พวก บุหรี่หรือยาสูบก็น่าจะได้ เพราะ มนุษย์ในทุกๆวันนี้ มีอัตราการเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน กันมากขึ้น ซึ่งโรคต่างๆเหล่านี้ ก็เป็นผลพวงจากการไม่ออกกำลังกาย ซึ่งถ้าหันมาใส่ใจกับการออกกำลังกาย ซักนิด แม้ด้วยการเดินเพียงวันละ 20 นาที ต่อวันก็เป็นผลดีต่อการทำงานของหัวใจ และสุขภาพของคุณผู้ชายแล้วละครับ
ปั่นไปทั่วทิศ ได้มิตรทั่วไทย
ยิ่งปั่น ยิ่งแข็ง แรงยิ่งดี ไม่มีโรคภัย
ยิ่งปั่น ยิ่งแข็ง แรงยิ่งดี ไม่มีโรคภัย
- ขวัญใจ
- ขาประจำ
- โพสต์: 2562
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 17:07
- Tel: 0823974409
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: scoot, fuji araya
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ผมก็เคยล้มหนึ่งครั้งเจ็บพอควร หลังจากนั้นต้องเพิ่มความะมัดระวังมากขึ้น หากมีเวลาน่าจะลองปั่นระยะยาวจะช่วยพัฒนาระบบต่าง ๆ ในร่างกายได้แข็งแรงขึ้น สามารถช่วยขับสารพิษที่ตกค้างในร่างกายได้ดีขึ้นsanoa เขียน:ตรวจร่างกายประจำปีล่าสุด น้ำตาล ไขมัน ความดัน ปกติ เหลือคอเรสเตดรอล เกินนิดหน่อย แต่ที่รู้สึกได้ร่างกายดีขึ้น แต่ที่ต้องระวังคืออุบัติเหตุ ล้าสุดผมจักรยานล้ม ก็พกช้ำ พอสมควร และเจ็บชายโคลง หมอบอกให้พักอย่างน้อย 2 อาทิตย์ ถ้าหายเจ็บคงปั่นต่อครับ ขอให้ทุกคนระวังไว้ด้วยขวัญใจ เขียน:ช่วยกรุณาโพสถึงผลของการปั่นจักรยาน มีผลทำให้โรคที่เป็นอยู่ทุเลาดีขึ้นบ้างหรือไม่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพร่างกายของตนเอง ขอขอบพระคุณครับsanoa เขียน:ผมไม่ได้ออกกำลังหรือเล่นกีฬามา 10 กว่าปี ร่างกายเริ่มอ่วน โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหา เช่นความดัน ไขมัน น้ำตาล ครอเร็สตรอรอน เหนื่อนง่าย ต้องหาหมอรักษามาเป็นปี อาการก็ทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้นอะไรมากมาย จึงตัดสินใจต้องออกกำลังกายแล้วไม่ยั้น อายุมากขึ้นลำบากแน่นอน จึงเลือกปั่นจักรยาน ปั่นตอนเช้าครับวันละ 1 ชั่วโมง ปั่นมาได้ 3 เดือนแล้ว นำ้หนักลดลง ร่างกายรู้สึกได้เลยว่าดีขึ้น และได้ค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ต ก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ปั่นจักรยานมีประโยชน์จริงๆๆๆ
- wheeler pro 49
- ขาประจำ
- โพสต์: 2322
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.พ. 2010, 16:44
- Tel: dtac 081-531-6774
- team: เสรี จักรยานเสือภูเขาน่าน
- Bike: จักรยานขี้เมี่ยง
- ตำแหน่ง: 152หมู่ 4 ต.หนองแดง อ.แม่จริม จ.น่าน 55170
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ผลการตรวจเลือดของผม 9 พ.ย 55 ครับ..
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
- ไฟล์แนบ
-
- 545300_550942434921183_490856179_n (Small).jpg (42.78 KiB) เข้าดูแล้ว 133 ครั้ง
ปั่นไปทั่วทิศ ได้มิตรทั่วไทย
ยิ่งปั่น ยิ่งแข็ง แรงยิ่งดี ไม่มีโรคภัย
ยิ่งปั่น ยิ่งแข็ง แรงยิ่งดี ไม่มีโรคภัย
- Frogman_twin
- ขาประจำ
- โพสต์: 5682
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2011, 19:32
- team: KCC, DEEP TEAM
- Bike: Klein
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ขอเข้ามาหาความรู้ครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้และผู้ให้ความรู้ครับ ![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
ไม่ต้องประสบความสำเร็จทุกอย่าง แต่สิ่งที่เลือกทำขอให้ทำให้เต็มที่น๊ะลูก
- ขวัญใจ
- ขาประจำ
- โพสต์: 2562
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 17:07
- Tel: 0823974409
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: scoot, fuji araya
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ยินดีครับ ช่วยกรุณาเผยแพร่ข้อมูลชักชวนคนที่สนใจเข้ามาอ่านมาก ๆ ครับ เป็นการสร้างกุศลเพื่อให้คนในชาติมีสุขภาพแข็งแรง หรือถ้ามีเคสที่ปั่นจักรยานแล้วทำให้โรคต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ทุเลาเบาลง (ดีขึ้น) ช่วยนำเรื่องราวมาลงในกระทู้นี้หน่อยครับ ฝากทุก ๆ ท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนด้วยครับFrogman_twin เขียน:ขอเข้ามาหาความรู้ครับ ขอบคุณเจ้าของกระทู้และผู้ให้ความรู้ครับ
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4385
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
สรุปคำบรรยายจากแพทย์แผนจีน
ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน ? มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า “ อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี ”
พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสด งว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธ ิ์ ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับ ด้วย เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายเท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “ หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา ”
ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวา “ ดุลยภาพแห่งโภชนาการ ” หมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ ( 1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม ( 2) กินอาหารไม่สมดุล หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร คำตอบคือ ( 1) เพื่อดำรงชีพ ( 2) เพื่อป้องกันโรค ( 3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด
Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า “ จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร ” จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า “ ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา ” แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่ ? เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน ตับชอบกินสีเขียว หัวใจชอบกินสีแดง ม้ามชอบกินสีเหลือง ปอดชอบกินสีขาว ไตชอบกินสีดำ คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ ดังที่กล่าวแล้ว ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมารณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “ คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ” โภชนาการแผนจีนก็เน้นว่า “ กินไม่พ้นถั่ว ” ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำ งานของรังไข่
ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ เปรี้ยวบำรุงตับ ขมบำรุงหัวใจ หวานบำรุงม้าม เผ็ดบำรุงปอด เค็มบำรุงไต หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่นรสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ “ สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจ ” หมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า
สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก
ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “ อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม ” อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ “ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา ” หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับ ปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ ก่อนถึงเก้าสิบเก้า ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาด ” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน “ ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99”
ส่วนผมนั้นวิบากกรรมยังไม่หมดแต่ก็จะพยายามอยู่ให้นานที่สุด ด้วยการแสวงบุญ ให้ธรรมทาน เพื่อไถ่ถอนวิบาก รอดตายมาแล้ว ๒ ครั้งครับ ถ้าผ่านได้อีกครั้งเราก็ไปเจอกันที่ ๙๙ นะ..คร๊าบ โชคดีครับ:lol:
ทุกคนอยากมีชีวิตสุขสบายไร้โรคา ท่านทั้งหลายมาฟังการบรรยายก็มีจุดประสงค์อย่างเดียวกัน ผมขอถามว่า อายุขัยของคนเราสูงสุดคือเท่าไร บางคนบอกว่าสูงสุด 150 ปี ต่ำสุด 120 ปี ซึ่งไม่ถูก มนุษย์เรามีระยะเจริญเติบโต 20-25 ปี อายุขัยเป็น 5-7 เท่าของระยะเจริญเติบโต คือต่ำสุด 100 ปี สูงสุด 175 ปี การจะอยู่ถึงร้อยปีไม่ใช่ฝันอีกแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยากอยู่ถึงขนาดนั้นหรือไม่
จะอยู่ร้อยปีก่อนอื่นต้องมีสุขภาพดี แล้วสุขภาพดีมาจากไหน ? มาจากพื้นฐาน 4 ประการในชีวิตประจำวัน ประการแรก คือภาวะจิตที่สงบสุข ประการที่สอง คือรับโภชนาการที่สมดุล ประการที่สามคือออกกำลังกายพอเหมาะ ประการที่สี่คือนอนหลับเพียงพอ โดยปรกติแล้ว ประการที่สี่ชักจูงให้งดบุหรี่และเหล้า ผมขอแก้เป็นนอนหลับเพียงพอ ดั่งที่โบราณท่านว่า “ อดนอนทุกวัน ชีวิตสั้นไป 10 ปี ”
พื้นฐานสุขภาพ 4 ประการ ต้องเรียงตามลำดับ สมัยนี้มีบทความมากมายเขียนถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าไม่พูดถึงภาวะจิตใจเป็นประการแรก แสดงว่าผู้เขียนไม่ใช่มืออาชีพ ไม่ต้องอ่านต่อแล้ว เพราะแพทย์แผนจีนจัดภาวะจิตใจเป็นอันดับหนึ่งในการบำรุงสุขภาพ กล่าวคือ ภาวะจิตเป็นตัวกำหนดพฤติกรรม และผลพวงต่างๆ เกิดจากพฤติกรรม มองในแง่สรีระ คนเราอยู่ได้โดยอาศัยอวัยวะทั้ง 5 คือ ตับ หัวใจ ม้าม ปอด และไต ยกตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลออกใบมรณะบัตร มักจะระบุสาเหตุการตายว่า หัวใจวาย ตับวาย ไตวาย เป็นต้น ถ้าผู้ป่วยตายด้วยเส้นเลือดหัวใจอุดตัน แสดงว่าเลือดเข้มข้นสกปรก แต่เลือดฟอกมาจากตับ แสด งว่าตับหมดสมรรถภาพในการฟอกพิษหรือกลั่นกรองเลือดให้บริสุทธ ิ์ ไหลเวียนไม่คล่องตัว ทำให้อุดตันในเส้นเลือด ผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวนมาก ก่อนหัวใจวายมักจะบันดาลโทสะซึ่งเป็นสาเหตุทำลายการทำงานของตับ ด้วย เพราะฉะนั้น โปรดจำไว้ว่า อย่าโมโหโทโสซึ่งไม่ช่วยแก้ไขปัญหาใดๆ เลย นอกจากทำลายร่างกายเท่านั้น ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “ หัวเราะสามเวลา ห่างไกลโรคและยา หัวเราะสามเวลา หมอต้องผูกคอลา ”
ทีนี้มาพูดเรื่องโภชนาการ อักษรจีนต้องเขียนตามลำดับก่อนหลัง ภาษาก็เช่นเดียวกัน เราพูดวา “ ดุลยภาพแห่งโภชนาการ ” หมายความว่า ดุลยภาพต้องมาก่อน โภชนาการจึงตามหลังมา WHO เตือนเราว่า คนเราเกิดโรคมาจากสาเหตุ ( 1) รูปแบบการดำรงชีวิตไม่เหมาะสม ( 2) กินอาหารไม่สมดุล หมายรวมถึงมากเกินและขาดแคลน นั่นคือ ไขมันมากเกิน แต่แร่ธาตุและวิตามินขาดแคลน สรุปคือ ไม่รู้จักกิน ทำให้เกิดโรค
อยากจะถามว่า เรากินอาหารเพื่ออะไร คำตอบคือ ( 1) เพื่อดำรงชีพ ( 2) เพื่อป้องกันโรค ( 3) เพื่อรักษาโรค บรรดาโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เกิดจากการกินทั้งนั้น ในเมื่อกินแล้วทำให้เกิดโรคได้ ก็ต้องกินแล้วรักษาโรคได้เช่นกัน
แพทย์แผนจีนเป็นมรดกตกทอด 5 พันปี ให้คนรุ่นหลังใช้รักษาโรค 5 ขั้นตอน
ขั้นตอน 1 รักษาด้วยอาหาร หมอจะให้สูตรอาหารแก่คนไข้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 2 กวาดทราย ดูดด้วยสุญญากาศ บีบนวดและดึงดัน ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 3 ฝังเข็ม ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 4 ใช้เหล้าดอง ถ้าไม่ได้ผล ก็จะใช้
ขั้นตอน 5 ใช้ยา ปัจจุบันหมอจะให้ยาทันทีที่คนไข้มาหา เป็นยาย่อมมีพิษ คุณกินยาทั้งเดือนทั้งปี ไม่มีวันที่โรคจะหายขาด
Socrates บิดาแห่งแพทย์แผนปัจจุบัน เคยกล่าวเตือนว่า “ จงกินอาหารให้เป็นยา อย่ากินยาเป็นอาหาร ” จีนโบราณก็มีคำกล่าวว่า “ ใช้อาหารรักษาโรคดีกว่ายา ” แต่ทุกวันนี้มันกลับกันหมด
เรากินอาหารวันละ 3 มื้อ กินเพื่ออวัยวะชิ้นไหนกันแน่ ? เราอยู่ได้เพราะอาศัยพลังงานจากอวัยวะทั้ง 5 พลังงานของอวัยวะได้มาจากการกิน แต่ทุกวันนี้เรากินตามใจและปาก ชอบอะไรก็กินมันทุกวัน อวัยวะทั้ง 5 ก็เหมือนกับคน มีรสนิยมแตกต่างกัน ตับชอบกินสีเขียว หัวใจชอบกินสีแดง ม้ามชอบกินสีเหลือง ปอดชอบกินสีขาว ไตชอบกินสีดำ คำว่าดุลยภาพหมายถึงกินหลากหลายชนิด
แพทย์แผนจีนใช้วิธีมอง ฟัง ดม ถาม แมะ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ ในที่นี้ก็รวมทั้งการมองดูสี ทั้ง 5 บนใบหน้านั่นเอง ตัวอย่างเช่น ตับมีปัญหา สีหน้าจะออกเขียว หัวใจมีปัญหา สีหน้าจะออกแดง ม้ามมีปัญหา สีหน้าจะออกเหลือง คนไข้หอบหืด สีหน้าจะออกขาว คนไข้ไตเสื่อม สีหน้าจะออกดำ ดังที่กล่าวแล้ว ถั่วเขียวเหมาะสำหรับบำรุงตับ เพื่อให้ตับขับพิษออกจากร่างกาย แต่ก็ต้องกินให้ถูกวิธี คนทั่วไปมักจะต้มถั่วเขียวจนเละซึ่งไม่ถูกต้อง วิธีที่ถูกคือต้มให้น้ำเดือดประมารณ 5-6 นาทีก่อนที่ถั่วจะแตกเม็ด รินเอาน้ำออกซึ่งจะได้น้ำถั่วเขียวที่มีสีเข้มข้นที่สุด ดื่มแล้วมีสรรพคุณขับพิษสูงสุด จากนั้นเอาถั่วเติมน้ำต้มต่อจนเละกินเป็นอาหาร หัวใจชอบสีแดงให้กินถั่วแดง ม้ามชอบสีเหลืองให้กินถั่วเหลือง ปอดชอบสีขาวให้กินถั่วขาว ไตชอบสีดำให้กินถั่วดำ ทำไมถึงให้กินแต่ถั่ว ? เพราะตำรายาจีนมีคำว่า “ คนเรากินถั่วทั้ง 5 จะสมบูรณ์พูนสุข ” โภชนาการแผนจีนก็เน้นว่า “ กินไม่พ้นถั่ว ” ขอยกตัวอย่างไม่ค่อยสุภาพ ในชนบทเขาใช้ถั่วดำเลี้ยงปศุสัตว์ ทำให้ไตแข็งแรงมีกำลังวังชา สามารถทำงานหนักเตะปี๊บดัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุภาพสตรีควรบริโภคถั่วตลอดชีวิต เพราะนอกจากเป็นประโยชน์ต่ออวัยวะทั้ง 5 แล้ว ในถั่วยังมีสารที่กระตุ้นการทำ งานของรังไข่
ต่อไปจะพูดถึงรสชาติ เปรี้ยวบำรุงตับ ขมบำรุงหัวใจ หวานบำรุงม้าม เผ็ดบำรุงปอด เค็มบำรุงไต หมายความว่า ต้องกินให้ครบทุกรสชาติอย่างละนิด ให้เกิดสมดุล เช่นรสเปรี้ยวบำรุงตับ กินมากตับพัง จีนเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโรคตับมาก ในจีนเองต้องยกให้มณฑลซันซีครองแชมป์โรคตับ เพราะคนที่นั่นชอบกินน้ำส้มสายชู รสเผ็ดบำรุงปอด กินมากปอดพังเช่นกัน สถิติกระทรวงสาธารณสุขจีนปีที่แล้วระบุว่า ชาวเสฉวนและชาวหูหนันที่อพยพจากจีนใต้ไปอยู่ภาคเหนือ นำเอานิสัยชอบกินพริกติดตัวไปด้วย นานวันเข้าเป็นโรคมะเร็งในปอดตามๆ กัน ทั้งนี้เพราะเหตุว่า ภาคใต้อากาศชื้น กินเผ็ดป้องกันความชื้นได้ แต่ภาคเหนืออากาศแห้ง กินเผ็ดมากจะทำลายปอด พึงจำไว้ว่า ใครอยู่ถิ่นไหนให้กินของถิ่นนั้น ไม่ใช่ว่ากินของได้ทั่วทุกถิ่น
กินอาหารอย่างไรจึงจะเหมาะ ง่ายนิดเดียว มีหลักการจำดังนี้ “ สีสัน หยาบ-ละเอียด ดิบ-สุก คาว-เจ ” หมายความว่า กินอาหารต้องคละกันหลากสีและรสชาติ หยาบแข็งควบคู่กับละเอียดนิ่ม สุกควบคู่กับดิบ คาวควบคู่กับเจ ขอแนะนำว่า แต่นี้ไปให้กินผักดิบผลไม้สดแต่ละมื้อ ถ้าเปลือกกินได้ก็กินทั้งเปลือกจะยิ่งดี เพราะแพทย์แผนจีนถือว่า กินของดิบลดอาการร้อนใน แพทย์แผนปัจจุบันก็ถือว่า ผักผลไม้สดดิบให้วิตามินดีกว่า
สุดท้ายจะพูดถึงยาบำรุง เราไม่ต้องเสียเงินมากมายซื้อยามาบำรุงร่างกาย ผักและผลไม้มีวิตามินสูง ถ้ากินให้ถูกวิธี ก็สามารถดูดซึมวิตามินเพียงพอต่อร่างกาย สิ่งที่ต้องการคือแคลเซียม ผู้หญิงควรกินแคลเซียมวันละ 3000 มก. ขึ้นไป ผู้ชายกินวันละ 4000 มก. ขึ้นไป พร้อมกับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ คนทั่วไปมักเข้าใจผิด คิดว่าแคลเซียมใช้สำหรับรักษาโรคไขข้ออักเสบ ที่จริงแล้วแคลเซียมช่วยกระตุ้นให้โลหิตไหลเวียน นอกจากนั้น ยังป้องกันเส้นโลหิตแข็งตัว ดังนั้น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ควรกินแคลเซียมให้เพียงพอ เพื่อให้เส้นโลหิตอ่อนตัว ความดันก็จะลดตาม ยาลดความดันก็ไม่ต้องกินมาก
ขอฝากคำขวัญให้ทุกท่าน “ อยากให้ร่างกายดี กินอาหารถูกวิธี อยากให้สุขภาพเยี่ยม อย่าลืมกินแคลเซียม ” อย่าลืม อาหารต้องมาก่อนยา เป็นโรคอย่าพึ่งแต่ยา พึงใช้ยาในยามวิกฤติเท่านั้น ขอส่งท้ายด้วย 4 ประโยคดังนี้ “ หมอที่ดีที่สุดคือตัวเรา โรงพยาบาลที่ดีที่สุดคือห้องครัว ยาที่ดีที่สุดคืออาหารมีคุณค่า การรักษาที่ดีที่สุดคือเวลา ” หมายความว่า ตัวคุณเองต้องรู้จักรักษาตัวเอง ห้องครัวในบ้านคุณเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด ยากับอาหารมีความหมายเดียวกัน กินอาหารให้ถูกต้องก็คือยาที่ดีที่สุด การรักษาต้องต่อเนื่อง ไม่ใช่ทดลองแล้วก็หยุด หรือเปรียบเสมือนใช้อวนจับ ปลา 3 วัน แล้วก็ตากอวนหยุดจับปลา 2 วัน ต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่ดี
ท้ายที่สุด ผมขอแนะนำดังนี้
1. หลังจากฟังคำบรรยายแล้ว นำไปเผยแพร่แก่ญาติมิตร เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพดี และเป็นการทบทวนในตัว
2. เขียนข้อความ “ ก่อนถึงเก้าสิบเก้า ห้ามเข้า(โลง)เด็ดขาด ” ติดไว้หน้าเตียง เพื่อเตือนตัวเองกินให้ถูกวิธี
ก่อนลาจาก ขอให้เราทุกคนตะโกน “ ยืนหยัดไม่ไป (ตาย) ก่อนอายุ 99”
![Rolling Eyes :roll:](./images/smilies/icon_rolleyes.gif)
![Rolling Eyes :roll:](./images/smilies/icon_rolleyes.gif)
![Surprised :o](./images/smilies/icon_e_surprised.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- kiat
- ขาประจำ
- โพสต์: 1108
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 14:05
- Tel: 08-3255-4321
- team: RANONGMTB
- Bike: voodoo,mini zyden,ARAYA,JAVA X1
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆครับ
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4385
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
![รูปภาพ](http://image.free.in.th/z/iy/nmgwl.jpg)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Idea :idea:](./images/smilies/icon_idea.gif)
![Idea :idea:](./images/smilies/icon_idea.gif)
ภาวะหมดสติจากความร้อน เกิดเมื่อร่างกายเจอสภาพอากาศที่ร้อนจัดและมีความชื้นสูง โดยไม่สามารถปรับตัวให้เย็นลงด้วยการขับเหงื่อ อาการจะรุนแรงกว่าภาวะเป็นลมเนื่องจากความร้อนทั่วไป เพราะจะมีไข้สูงอย่างรวดเร็วประมาณ 40 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้น และที่แตกต่างจากอาการเป็นลมทั่วไปอีกประการคือ จะเป็นอย่างฉับพลัน บางครั้งมีอาการนำได้แก่ ปวดศีรษะ เวียนศีรษะและอ่อนเพลีย เมื่อมีอาการ ผิวหนังของผู้ป่วยจะร้อน แดงและแห้ง ชีพจรอาจเต้นเร็วถึง 160-190 ครั้งต่อนาที หายใจถี่เร็วและตื้น นอกจากนี้อาจมีอาการสับสนและจำไม่ได้ ในที่สุดจะหมดสติหรือชัก และระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
การป้องกัน วิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยป้องกันภาวะเป็นลมจากความร้อนได้ ด้วยการให้ดื่มน้ำ น้ำผลไม้ น้ำซุป หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่ต้องใช้แรงขณะอากาศร้อนและชื้น โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึง 4 โมงเย็น ถ้าจำเป็นต้องทำงานในสภาพดังกล่าว ควรสวมเสื้อผ้าบางเบา สีอ่อน ดื่มน้ำมากๆ และรับประทานอาหารเบาๆ พักบ่อยๆ ในร่มที่อากาศเย็น
ฝากไว้อย่าประมาท..นะครับ ด้วยความห่วงใย โชคดีครับ
![Smile :)](./images/smilies/icon_e_smile.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4385
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
![Surprised :o](./images/smilies/icon_e_surprised.gif)
![Surprised :o](./images/smilies/icon_e_surprised.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![รูปภาพ](http://image.ohozaa.com/i/2eb/0jSZwF.jpg)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4385
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
- ขวัญใจ
- ขาประจำ
- โพสต์: 2562
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 17:07
- Tel: 0823974409
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: scoot, fuji araya
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
การออกกำลังกายสำหรับบุคคลที่อายุ 40 ปีขึ้นไป มีอยู่สามประเภทให้ท่านเลือก
1. จ๊อกกิ้ง หรือ เดินไวไว
2. ว่ายน้ำ
3. จักรยาน
แต่ส่วนใหญ่เมื่อเจ็บป่วยแล้วไปหาหมอ หมอจะแนะนำให้ปั่นจักรยานครับ แสดงว่าวงการแพทย์ให้การยอมรับ
1. จ๊อกกิ้ง หรือ เดินไวไว
2. ว่ายน้ำ
3. จักรยาน
แต่ส่วนใหญ่เมื่อเจ็บป่วยแล้วไปหาหมอ หมอจะแนะนำให้ปั่นจักรยานครับ แสดงว่าวงการแพทย์ให้การยอมรับ
- ขวัญใจ
- ขาประจำ
- โพสต์: 2562
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2011, 17:07
- Tel: 0823974409
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: scoot, fuji araya
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
เคยศึกษาจากบทความที่ผู้รู้เขียนไว้ แต่ไม่ได้บอกว่ามันเพาะอะไร " ปั่นจักรยานแล้วคุณจะไม่มีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์/อัมพาท (อัมพฤกษ์น้องอัมพาท) เดี๊ยวจะวิเคราะห์ให้ฟังว่ามันเป็นเพาะอะไร ตามหลักทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ที่ได้ศึกษามาและจะประมวลเรื่องราว/วิเคราะห์ให้้ฟัง โปรดคิดคาม
- Deang-sarapee
- ขาประจำ
- โพสต์: 4385
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
- Tel: 0814730594
- team: รักรถรักธรรม
- Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
- ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐
Re: ปั่นจักรยานรักษาโรคได้จริงหรือ
![Idea :idea:](./images/smilies/icon_idea.gif)
![Idea :idea:](./images/smilies/icon_idea.gif)
ตรวจรักษาป้องกันก่อนลุกลาม!
เสียงไอ แค่ก...แค่ก สร้างความรำคาญให้กับผู้เป็นเจ้าของเสียงและคนที่อยู่รอบข้างเป็นอย่างมาก และยิ่งสร้างความกังวลใจเพิ่มขึ้นไปอีก เมื่อกลายเป็นอาการ “ไอเรื้อรัง”
นพ.ภาสกร ถาวรนันท์ แพทย์สาขา หู คอ จมูก โรงพยาบาลบีเอ็นเอช อธิบายถึงภาวะอาการไอให้ฟังว่า เชื่อว่า ทุกคนคงเคยมีอาการไอกันมาแล้วทั้งนั้น โดยอาการไอที่พบได้บ่อย ๆ เช่น ไอจากการเป็นหวัด หรือ ไอจากคออักเสบ รวมทั้งมีการคันคอจึงทำให้ไอตลอด จากการสำลักน้ำ หรืออาหาร ทำให้มีอาการไอเกิดขึ้นเพื่อจะขับสิ่งแปลก ปลอมออกมา
อาการไอ คือ กระบวนการป้องกันตนเองของร่างกาย โดยอาการไอที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น จะเป็นอาการที่เกิดขึ้นในช่วงสั้น ๆ ไม่นานนักอาการไอก็จะหายไป ซึ่งไม่น่าจะสร้างปัญหาให้กับผู้ที่มีอาการไอมากนัก แต่ในบางราย มีการไอเป็นเวลานาน ๆ ทำให้รบกวนการพักผ่อน รวมทั้งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดน้อยถอยลง ยิ่งในปัจจุบัน มีโรคติดต่อร้ายแรงบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ไข้หวัดนก เมื่อเรามีอาการไอ ก็อาจจะเป็นที่รังเกียจของสังคมได้อีกด้วย
ส่วนมากผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่อง “ไอ” มักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย แต่พออาการอื่น ๆ ดีขึ้นแล้ว อาการไอกลับไม่หายไป ทานยาก็ยังไม่ดีขึ้น ลักษณะเช่นนี้ถ้าเป็นนาน ๆ จะเรียกว่า “ไอเรื้อรัง”
ไอเรื้อรัง เป็นอาการไอที่เป็นต่อเนื่องกันนานกว่า 3-4 อาทิตย์ขึ้นไป อาจจะมีเสมหะร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาการอื่น ๆ ก็มีได้ เช่น มีน้ำมูก ระคายคอแต่มักจะไม่เจ็บมากนัก รวมทั้ง อาการอื่น ๆ ที่พบร่วมด้วยก็จะมีส่วนช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคได้
โดยทั่วไป ถ้าเป็นหวัดจากเชื้อไวรัส อาการมักจะดีขึ้นใน 3-4 วัน ส่วนในกรณีถ้าเป็นเชื้อแบคทีเรีย มักจะเป็นนานกว่าประมาณ 1 อาทิตย์ โดยส่วนใหญ่มักจะต้องทานยาปฏิชีวนะ ร่วมด้วย ดังนั้น หากมีอาการนานกว่า 3-4 วัน ควรจะไปพบแพทย์ และเมื่ออาการอื่น ๆ ดีขึ้นแล้ว แต่อาการไอยังไม่หายเกินกว่า 2-3 อาทิตย์ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป
“เคยมีผู้ป่วยมาปรึกษา เพราะมีอาการไอมาก ไอไม่หยุด ทำให้ไม่สามารถนอนหลับได้เต็มอิ่ม มีอาการเหนื่อยง่าย ทำงานลำบาก เนื่องจากต้องใช้เสียง ทุกครั้งที่พูดนาน ๆ จะมีอาการไอ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานเป็นอย่างมาก โดยมีอาการอย่างนี้มาเป็นเดือน ๆ แล้ว แต่หลังจากที่ได้รับการรักษาอาการก็ดีขึ้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตาม ปกติ เพราะได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี”
สาเหตุของอาการไอเรื้อรัง เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยสาเหตุแรกเกิดจาก โรคทางจมูก และไซนัส การไอเรื้อรังจากสาเหตุนี้จะเกิดจากการที่มีมูก หรือเสมหะ ไหลลงคอ เมื่อมีเสมหะไหลลงคอนาน ๆ จะทำให้เกิดอาการระคายที่คอหรือมีการติดเชื้อที่คอตามมา ซึ่งจะกระตุ้นให้ไอได้ง่าย บางครั้งผู้ป่วยอาจจะมีอาการปวดหน่วง ๆ ที่จมูก เบ้าตา หรือ ปวดศีรษะ ร่วมด้วย
“เมื่อมาพบแพทย์ การตรวจทางหูคอจมูก จะช่วยให้ทราบได้หรือในบางครั้งอาจจะต้องใช้การเอกซเรย์ไซนัสเพื่อช่วยใน การวินิจฉัย หรือในผู้ป่วยที่มี ประวัติภูมิแพ้ก็จะช่วยตัดสินใจในการรักษาได้ การรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ มีทั้งการใช้ยาปฏิชีวนะ ยาลดบวม ยาสเตอรอยด์พ่นจมูก การใช้น้ำเกลือล้างจมูก เมื่อสาเหตุของโรคดีขึ้น อาการไอก็มักจะหายไปเอง”
สาเหตุต่อมา คือ โรคหอบหืด และ โรคทางปอดอื่น ๆ การไอในกลุ่มนี้ มักจะไอติด ๆ กันเป็นชุด อาจจะมีหายใจเสียงดัง วี๊ด ๆ ได้ถ้าเป็นมาก การวินิจฉัยผู้ป่วยในกลุ่มนี้ ถ้ามีประวัติหอบหืดหรือภูมิแพ้อยู่ก่อนแล้วจะช่วยได้มาก แต่ในรายที่ประวัติไม่ชัดเจนและอาการไม่มาก อาจจะต้องอาศัยการตรวจอื่น ๆ ช่วย เช่น การตรวจสมรรถภาพของปอด การทดสอบภูมิแพ้
ส่วนโรคทางปอดอื่น ๆ ที่พบได้ เช่น วัณโรคปอด ผู้ป่วยจะมีอาการไอ อาจจะมีเสมหะปนเลือด ผอมลง เจ็บหน้าอก บางรายอาจมีไข้ต่ำ ๆ ถ้ามีประวัติสัมผัสผู้ป่วยวัณโรคมาก็ต้องสงสัยไว้ก่อน ถึงแม้จะไม่เคยมีประวัติมาก่อนแต่ถ้าไอนาน ๆ หาสาเหตุอื่นไม่เจอควรต้องสงสัยไว้ด้วย ซึ่งการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ จะช่วยในการวินิจฉัยได้
โดยจะรักษาตามสาเหตุที่เป็น ถ้าเกิดจากอาการหอบหืดจะให้ยาขยายหลอดลมไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบยาทานและยาพ่น ถ้าเกิดจากการเป็นวัณโรคก็ต้องทานยารักษาซึ่งจะใช้เวลาค่อนข้างนานในการ รักษา
รวมไปถึง ภาวะกรดไหลย้อน ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังได้ ปัจจุบันพบว่า ปัญหานี้มีมากขึ้น อาจจะมาจากชีวิตประจำวันของคนทำงานเปลี่ยนไปจากเดิม ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารไม่เป็นเวลา รวมทั้ง ทานอาหารบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการกรดไหลย้อนได้ง่าย เช่น หอม กระเทียม ถั่ว ช็อกโกแลต อาหารมัน อาหาร รสจัด ตลอดจน น้ำอัดลม ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ และบุหรี่ อีกทั้ง ไม่ได้ออกกำลังกาย
โดยอาการที่พบนอกจากอาการไอ ที่มีทั้งการไอแบบแห้ง ๆ และมีเสมหะ อาจมีอาการแสบคอ จุกแน่นคอ เปรี้ยว ๆ ในคอ โดยเฉพาะช่วงเช้า ๆ หลังตื่นนอน มีเสียงแหบ และอาจจะมีการเสียดแน่นลิ้นปี่ด้วย การตรวจพบของแพทย์ทำได้ด้วยการตรวจร่างกายโดยใช้กระจกสะท้อนส่องดูกล่อง เสียง หรือ ใช้กล้องเล็ก ๆ ส่องดูคอและกล่องเสียง จะช่วยในการวินิจฉัยได้ การรักษาให้ยาลดกรด และยารักษาตามอาการอื่น ๆ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสาเหตุของโรคด้วย
ภาวะหลอดลมไวต่อสิ่งกระตุ้น เป็นอีกภาวะหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการไอเรื้อรังได้ โดยจะเป็นหลังการเป็นหวัด หรือติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน ซึ่งสาเหตุของโรคอาจดีขึ้นแล้ว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ หรือมีสิ่งกระตุ้นอื่น ๆ เช่น กลิ่นฉุน ๆ ควันบุหรี่ ควันธูป รวมทั้ง ควันจากมลพิษ จะกระตุ้นให้เกิดการไอขึ้นมา ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ลดลง แต่อาจจะต้องใช้เวลาพอสมควร
ด้านการรักษา จะใช้ยาบรรเทาอาการ อาจใช้ยาสูดพ่นคอร่วมด้วย และหลีกเลี่ยงสาเหตุ โดยเฉพาะถ้าต้องสัมผัสกับมลพิษอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะพยายามกำจัดสิ่งเหล่านั้นออกไปในรูปของการไอ จึงควรพยายามหลีกเลี่ยง และหาวิธีป้องกันตนเอง เช่น ใส่หน้ากาก
นพ.ภาสกร กล่าวอีกว่า ขณะมีอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นที่จะทำให้ไอมากขึ้น เช่น สารเคมี ควันบุหรี่ ฝุ่น มลพิษทางอากาศ อาหารที่ระคายคอ เช่น อาหารทอดหรือไอศกรีม รวมทั้ง ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้เพียงพอขณะนอนหรือต้องอยู่ในที่อากาศเย็น และดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ
นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว อาการไอเรื้อรังยังเกิดจากการใช้ยาลดความดันโลหิตบางชนิด โดยเมื่อหยุดใช้ยาอาการจะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ที่พบบ่อย คือ ไอเรื้อรัง อาจจะเกิดจากหลายสาเหตุพร้อม ๆ กัน การรักษาจึงต้องทำพร้อม ๆ กันด้วย ซึ่งมีบางรายไม่สามารถหาสาเหตุได้ ก็ต้องอาศัยการติดตามดูอาการ ซึ่งน่าจะพบสาเหตุได้ในที่สุดดังนั้นหากมี อาการไอเรื้อรังไม่ควรละเลย เพราะอาจจะมีโรคบางอย่างแอบซ่อนอยู่ จึงควรได้รับการตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป เพื่อจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ.
![Smile :)](./images/smilies/icon_e_smile.gif)
![Very Happy :D](./images/smilies/icon_e_biggrin.gif)
![Surprised :o](./images/smilies/icon_e_surprised.gif)
![Surprised :o](./images/smilies/icon_e_surprised.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
![Laughing :lol:](./images/smilies/icon_lol.gif)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024