ก๊าซธรรมชาติของไทยมีใช้อีกแค่ 13 ปี
- นับถอยหลัง http://www.gonextgreen.com/energy-map.php
ธานินทร์๙๙ เขียน:ข่าวในหนังสือพิมพ์ "ไทยโพสต์" ครับ.. พี่สมพิศ
ฉบับเมื่อวานนี้ .. ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
กฟผ.แฉ การเมืองบีบบอร์ดยื่นหนังสือลาออกทั้ง 11 คน “เพ้ง” จ่อยื่นรายชื่อใหม่ 4 คน ให้ ครม.อนุมัติเร็วๆ นี้ คาด “อัญชลี ชวนิชย์” นั่งแทนประธานบอร์ด เผยโผใหม่อีก 3 รอยล-ประจวบ-อธิบดีกรมการปกครอง เข้าวินรอแต่งตั้ง “โต้ง” ยั๊วะถูกปล่อยข่าวสั่งลดหุ้น ปตท.-การบินไทย 2% อัดยับมือดีปล่อยข่าว
แหล่งข่าวกระทรวงพลังงานเปิดเผยถึงความคืบหน้าการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ (บอร์ด) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ว่า ในการประชุมบอร์ด กฟผ.ครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2556 ที่ผ่านมา บอร์ด กฟผ.ที่มีทั้งสิ้น 11 คน ได้ถูกขอร้องจากทางการเมืองให้ยื่นใบลาออกทั้งหมด เพื่อทำการแต่งตั้งบอร์ดใหม่ทั้งชุด ดังนั้นภายหลังจากวันที่ 23 ม.ค.2556 บอร์ดทั้งหมดจึงได้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเร็วๆ นี้ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน จะนำเสนอรายชื่อบอร์ดใหม่เข้าสู่ที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป
สำหรับบอร์ดใหม่ที่ปรับเปลี่ยนนั้น จะคัดเลือกคนเก่าให้เป็นบอร์ดต่อไปจำนวน 6 คน รวมถึง นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ. ซึ่งต้องเป็นบอร์ดโดยตำแหน่งอยู่แล้ว ส่วนที่เหลืออีก 4 คน จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่ โดยหนึ่งในสี่คือตำแหน่งของประธานบอร์ด กฟผ. ซึ่งแต่เดิมเป็นตำแหน่งที่ นายพรชัย รุจิประภา ดำรงตำแหน่งมาถึง 7 ปี โดยจะปรับเปลี่ยนเป็น นางอัญชลี ชวนิชย์ อดีตผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งเป็นคนสนิทของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
สำหรับอีก 3 คนที่จะปรับเข้ามาเป็นบอร์ด คือ
- 1.นายรอยล จิตรดอน ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศ ทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์กรมหาชน)
2.อธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย และ
3.นายประจวบ อุชชิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรี จำกัด
นายศิริชัย ไม้งาม ประธานสหภาพแรงงานการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (สร.กฟผ.) กล่าวว่า นายพงษ์ศักดิ์ได้เชิญสหภาพแรงงาน กฟผ. 5 คน เข้าพบเพื่อชี้แจงเหตุผลการปรับเปลี่ยนบอร์ด กฟผ.ใหม่จำนวน 4 คน ซึ่งหนึ่งใน 4 คนดังกล่าวคือผู้ที่จะมาเป็นประธานบอร์ด กฟผ.คนใหม่ด้วย โดยให้เหตุผลการปรับเปลี่ยนบอร์ดใหม่ในครั้งนี้ว่าเพื่อปรับบทบาทการทำงานของ กฟผ.ให้เติบโตขึ้น เนื่องจากจะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปลายปี 2558 และ กฟผ.จะมีบทบาทสำคัญต่อการเข้าไปรับงานและขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้น ซึ่งสหภาพพร้อมที่จะให้โอกาสกับบอร์ดชุดใหม่เข้ามาทำงาน แต่ต้องมีจุดยืนที่ผลประโยชน์ กฟผ.เป็นหลัก ไม่ใช่เอื้อประโยชน์แก่นักการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
.........
http://www.thaipost.net/news/080213/69247
คมข่าว 18/2/56 ไฟฟ้าไทยวิกฤติจริงหรือ1http://www.thanonline.com เขียน:
รมว.พลังงานเผยเลื่อนซ่อมแหล่งก๊าซพม่าเป็น 5-14 เม.ย
นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กลุ่มโททาล ซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานาในพม่า
จะเลื่อนการปิดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซฯมาเป็น วันที่ 5-14 เม.ย.จากเดิมวันที่ 4-12 เม.ย. ทำให้ลดความเสี่ยงของระบบไฟฟ้า ลดการใช้น้ำมันเตาลง 26 ล้านลิตร และลดการใช้น้ำมันดีเซล 15 ล้านลิตร
ทั้งนี้ การหยุดซ่อมบำรุงแหล่งก๊าซฯดังกล่าว จะทำให้ปริมาณก๊าซฯที่ไทยรับจากพม่าหาย ไปจากระบบราว 1.1 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน หรือราว 1 ใน 4 ของความต้องการใช้ก๊าซฯ ของประเทศ ที่ส่วนใหญ่เป็นการใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ซึ่งเบื้องต้นคาดว่า จะกระทบต่อโรงไฟฟ้าทางฝั่งตะวันตกของไทย
รมว.พลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมเพื่อแก้ปัญหาสถานการณ์การขาดแคลน ก๊าซฯ โดยจะประสานกับผู้ผลิตก๊าซฯในแหล่งไพลินเหนือ ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 210 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน รวมทั้งแหล่งปลาทอง ซึ่งมีกำลังการผลิตก๊าซฯ 200 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่ง อยู่ในอ่าวไทย ให้เลื่อนหยุดซ่อมบำรุงแหล่งผลิตในช่วงดังกล่าว ออกไปจนกว่าการหยุด ซ่อมบำรุงของแหล่งยาดานาในพม่า แล้วเสร็จ นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังมีมาตรการรองรับ ในด้านอื่นๆด้วย
ด้าน บมจ.ปตท.(PTT) นั้น กระทรวงพลังงานได้ขอให้สำรองน้ำมันและน้ำมันดีเซลให้กับโรงไฟฟ้าเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนในช่วงการหยุดจ่ายก๊าซฯ และให้เตรียมการจัดการก๊าซ NGV โดยเบื้องต้นจะมีปริมาณก๊าซค้างในท่อ 350 ล้านลบ.ฟุต ซึ่งจะจ่ายให้กับสถานี NGV แม่ใน จ.ราชบุรีได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ สำหรับสถานีอื่นๆ จะใช้ก๊าซฯ จากฝั่งตะวันออกจ่ายย้อนเข้ามา ซึ่งสามารถใช้กับรถยนต์ทั่วไปได้
นอกจากนี้ ในวันที่ 5 เม.ย.56 ซึ่งเป็นวันที่คาดการณ์ว่าจะมีอุณหภูมิสูงสุดในรอบปีและอาจมีการใช้ไฟสูงสุด ทางกระทรวงพลังงานได้จัดกิจกรรมรณรงค์ ลดการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวาลา 14.00-14.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล และวันที่ 13 เม.ย. 56 กระทรวงพลังงานพร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเตรียมการซ้อมแผนรองรับสภาวะวิกฤติด้านพลังงานของประเทศ เพื่อเป็นแนวทางเตรียมความพร้อมให้แก่ประเทศหากเกิดภาวะฉุกเฉินด้านพลังงานต่อไป
วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ 2013 เวลา 13:19 น.
[list] http://www.thanonline.com/index.php?opt ... &id=169998[/list]
http://www.prachachat.net เขียน:
การไฟฟ้าเตรียมพื้นที่ดับไฟ หากเกิดวิกฤตจริงเล็งที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองก่อน
เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ กนอ.จะเชิญผู้แทนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม และผู้แทนภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด มาหารือเพื่อสอบถามข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานช่วงวันที่ 5-14 เมษายน 2556 ว่าเป็นอย่างไร เพื่อร่วมกันกำหนดแผนรับมือปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะที่ผ่านมามีการให้ข้อมูลผ่านสื่อเท่านั้น ยังไม่มีข้อมูลที่เป็นทางการออกมา และกนอ.ก็ยังไม่ได้รับแจ้งข้อมูลจากหน่วยงานใด ที่จะให้เตรียมตัวหรือหามาตรการรองรับ
"จนถึงขณะนี้ กนอ.ยังไม่ได้รับแจ้งจากนิคมอุตสาหกรรมหรือโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในนิคม ว่าจะมีการหยุดเดินเครื่องการผลิตในช่วงที่พม่าจะหยุดส่งก๊าซ" นายวีรพงศ์กล่าว
นายธนา พุฒรังษี รองผู้ว่าการระบบส่ง กฟผ. กล่าวว่า ตั้งแต่ในวันที่ 5 เมษายน ที่พม่าเริ่มหยุดจ่ายก๊าซนั้น โรงไฟฟ้ายังผลิตเหมือนเดิมโดยจะมีไฟฟ้าสำรองส่วนเกิน 760 เมกะวัตต์ จากปกติที่จะมีไฟฟ้าสำรอง 1,200 เมกะวัตต์ ดังนั้น หากโรงไฟฟ้าขัดข้องอาจเกิดปัญหาไฟฟ้าดับได้ จึงต้องเตรียม
ขอความ ร่วมมือผู้ประกอบการและประชาชนให้ลดใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นในช่วงเวลาดังกล่าว ลงจากเดิมที่คาดว่าจะมีการใช้ไฟในระบบประมาณ 26,300 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าสำรองต่ำลงไปอีก แต่กรณีที่ร่วมกันลดการใช้ไฟลง ก็จะช่วยให้การผลิตไฟสำรองเพิ่มขึ้นได้
"อย่าเพิ่งกังวลเรื่องไฟดับ มากนัก ถึงแม้จะมีโอกาสก็ตาม แต่หากช่วยกันก็จะไม่มีปัญหา โดยโรงไฟฟ้าที่จะส่งผลกระทบกับกรุงเทพฯและปริมณฑล คือโรงไฟฟ้าพระนครใต้พระประแดง และโรงไฟฟ้าพระนครเหนือบางกรวย จะหยุดผลิตเมื่อไม่สามารถผลิตไฟฟ้าได้ ก็จะดึงเอาไฟฟ้าที่อยู่ในระยะไกลมาแทนก็จะทำให้แรงดันไฟตกจากเดิม เดิมอุปกรณ์ไฟฟ้าจะใช้ไฟ 220 โวลต์ แต่ช่วงดังกล่าวจะมีไฟฟ้าเข้ามาได้เพียง 200 โวลต์ ก็จะส่งผลกับอุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด เช่น หลอดไส้ เพราะแรงดันไฟจะต่ำในบางจุด" นายธนากล่าว
นายธนากล่าวว่า อย่างไรก็ตามวิธีการที่การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) จะดำเนินการ คือปรับไฟทางอื่นเข้ามาแทนเพื่อให้ไฟเป็นปกติ ที่ผ่านมา กฟน.ก็ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่ได้เป็นข่าว โดยวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทางการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง ได้หารือเรื่องดังกล่าวกันมาแล้ว และจะหารือกันอีกครั้งในวันที่ 5 มีนาคมนี้ โดยจะหารือกันให้ชัดเจนว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรหากเกิดไฟฟ้าดับขึ้นจริงๆ เช่น กรณีมีไฟสำรอง 700 เมกะวัตต์ แต่ใช้ไฟถึง 1,200 เมกะวัตต์ จะทำอย่างไร
นาย ธนากล่าวว่า แผนการที่การไฟฟ้าทุกแห่งเตรียมไว้อยู่แล้ว กรณีที่ไฟไม่เพียงพอและต้องดับไฟในบางพื้นที่จริง จะต้องรักษาสถานที่สำคัญไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบ เช่น โรงพยาบาล และจะปิดไฟในพื้นที่ที่ไม่มีความจำเป็นใช้ไฟแทน เช่น ชานเมืองซึ่งที่อยู่อาศัย ส่วนที่เป็นหัวใจของประเทศจะต้องรักษาเอาไว้จนถึงที่สุด
"เรื่องการ ปิดไฟมีการจัดสรรพื้นที่ไว้แล้ว แต่ละพื้นที่อาจจะปิดไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วสลับไปปิดพื้นที่อื่นๆ ต่อไป เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดยจะไม่ปิดพื้นที่เดียวไปตลอด ส่วนพื้นที่สำคัญที่ส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจ เช่น สีลม หรือ ปทุมวัน จะไม่ได้รับผลกระทบแน่นอน หากไม่ไหวจริงๆ ก็จะเป็นพื้นที่สุดท้ายที่จะปิดไฟฟ้า ส่วนแรงดันไฟฟ้าจะอ่อนที่สถานีลาดพร้าว รัชดา บางกะปิ ซึ่งจะส่งผลไปถึงถนน
วิภา วดีฯนั้น ทาง กฟผ.ได้ติดต่อไปยัง กฟน.ให้ย้ายโหลดไฟฟ้าจากสถานีไฟฟ้าแรงสูงอื่นมาทดแทนแล้ว ดังนั้น ไฟไม่ตกไม่ดับแน่นอน ส่วนในต่างจังหวัดก็จะปิดในพื้นที่รอบนอกก่อน ส่วนในตัวเมืองจังหวัด หรืออำเภอ จะเป็นพื้นที่สุดท้ายที่จะปิดเช่นเดียวกัน" นายธนากล่าว
นายธนากล่าว ว่า พื้นที่ที่ไฟดับไม่มีผลอะไรมาก เพราะปกติเมื่อไฟฟ้าไม่พอก็ดำเนินการแบบนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะเป็นการส่งสัญญาณเตือนเกี่ยวกับการผลิต ไฟฟ้า เพราะปัจจุบันไทยใช้ก๊าซผลิตไฟฟ้า 67-70% เมื่อก๊าซมีปัญหาก็จะหาเชื้อเพลิงชนิดใหม่มาใช้ควบคู่กันไปด้วย เพราะถือเป็นเรื่องความมั่นคง ตอนนี้มีการส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเรื่องการหยุดส่งก๊าซ ก็ยังดีที่เตรียมตัวล่วงหน้า แต่ในอนาคตหากไม่มีการเตือนจนส่งผลให้เกิดไฟฟ้าดับจะเกิดความวุ่นวายมากยิ่ง ขึ้น
นายกิตติ ตันเจริญ ผู้ช่วยผู้ว่าการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ กฟผ. กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 5-14 เมษายน 2556 กฟผ.มีแผนที่จะเพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณจาก 29 ล้าน ลบ.ม.เป็นวันละ 35 ล้าน ลบ.ม. หรือเพิ่มขึ้นวันละ 6 ล้านลบ.ม.จำนวน 10 วัน เพื่อเสริมกำลังการผลิตไฟฟ้าที่หายไปบางส่วนจากการที่พม่าจะหยุดส่งก๊าซ และเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับปริมาณน้ำในอ่างและแผนการระบายน้ำในภาพรวมและใน ช่วงฤดูแล้ง จะปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์ลงต่ำกว่าแผนใน ช่วงที่ความต้องการใช้น้ำลดลง
นายบุญอินทร์ ชื่นชวลิต ผู้อำนวยการเขื่อนศรีนครินทร์ กล่าวว่า ช่วงวันที่ 5-14 เมษายน ทั้งเขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนภูมิพล จะไม่ปล่อยน้ำเพิ่มขึ้นจากปกติที่เคยปล่อยอยู่ เนื่องจากเขื่อนทางด้านเหนือมีปริมาณน้ำน้อยกว่าเขื่อนทางด้านล่าง ดังนั้น จึงต้องรักษาระดับการปล่อยน้ำไว้เท่าเดิม
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า นอกจากจะมีมาตรการประหยัดไฟเพื่อรองรับวิกฤตพลังงานที่จะเกิดขึ้นแล้ว ยังสั่งการให้อุตสาหกรรมจังหวัดร่วมกับหอการค้าจังหวัดในการให้ข้อมูลเรื่อง การประหยัดไฟและสำรวจผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย และให้สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรวบรวมโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากเรื่อง ไฟฟ้าด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครแจ้งว่ามีโรงงานใดหรือบริษัทใดจะหยุดเดินเครื่องการ ผลิตในวันดังกล่าวเลย
นายวิเชียร เมฆตระการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า เอไอเอสเตรียมแผนสำรองด้านพลังงานเป็นปกติ เพื่อให้ลูกค้ามีผลกระทบน้อยที่สุด เช่น บำรุงรักษาให้อุปกรณ์ต่างๆ พร้อมใช้งานระบบไฟฟ้าสำรองได้ตลอดเวลา และสำรองเชื้อเพลิงเพื่อใช้กับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าประจำชุมสาย เตรียมเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเคลื่อนที่ จ่ายไฟให้กับสถานีฐานในพื้นที่ต่างๆ ประสานงานกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เพื่อบริหารการใช้ไฟฟ้าให้สอดคล้องกับแผนงานของรัฐบาล
นายประเทศ ตันกุรานันท์ ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานปฏิบัติการโครงข่าย บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า ดีแทคเตรียมมาตรการป้องกันและรับมือ ถ้าเกิดเหตุการณ์สุดวิสัยขึ้น โดยประสานงานตลอดเวลากับ กฟน.และ กฟภ. เพื่อให้มีการจ่ายไฟฟ้าให้กับสถานีฐานดีแทคอย่างต่อเนื่องในกรณีที่กระแส ไฟฟ้าบางส่วนไม่เพียงพอ รวมทั้งเตรียมน้ำมันสำรองไว้ที่สถานีฐานเพื่อให้บริการได้อย่างต่อเนื่องได้ ในทันที หากมีการหยุดจ่ายกระแสไฟฟ้าชั่วคราว รวมถึงจัดเตรียมรถโมบายเคลื่อนที่ พร้อมเครื่องปั่นไฟเพื่อให้บริการโครงข่ายสื่อสารในกรณีฉุกเฉินในบางพื้นที่
นาย ศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการและประธานคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร กลุ่มบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มทรูเตรียมพร้อมใช้งานพลังงานแสงอาทิตย์ และอุปกรณ์สำรองไฟจำนวนมาก รวมถึงประสานงานกับ กฟน.และ กฟภ.ให้จ่ายไฟฟ้าไปยังสถานีฐานของทรูในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่องเท่าที่ ยังสามารถทำได้ แต่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะสามารถดูแลได้อย่างดีในช่วงที่เกิดวิกฤตพลังงาน การใช้งานด้านโทรคมนาคมจะไม่ได้รับความเดือดร้อน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
updated: 25 ก.พ. 2556 เวลา 12:25:53 น.
http://www.prachachat.net/news_detail.p ... 1361770032
กรุงเทพธุักิจ เขียน: นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ.
กฟผ.จี้แก้ชนวนวิกฤติไฟฟ้า-ค่าไฟแพง
กฟผ.จี้แก้ชนวนวิกฤติไฟฟ้า-ค่าไฟแพง ต้องใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ -กระจายเชื้อเพลิง
การหยุดซ่อมแหล่งก๊าซธรรมชาติยาดานาและเยตากุน ในพม่า ในระหว่างวันที่ 5-14 เม.ย.นี้ เป็นจังหวะแห่งการกระตุ้นเตือนทุกภาคส่วนให้เห็นความจำเป็นของการร่วมไม้ร่วมมือลดใช้พลังงาน
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ฝ่ายปฏิบัติงานหลักแก้ไขวิกฤติ นอกจากกระชับแนวทางทำงานเพื่อควบคุมความเสี่ยงในช่วงเวลาดังกล่าวแล้ว อีกด้านหนึ่งต้องรณรงค์การลดใช้พลังงานไปพร้อมกันด้วย
นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการ กฟผ. บอกว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายเข้ามาร่วมลดใช้พลังงานอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ไขวิกฤติครั้งนี้ โดยเฉพาะภาคเอกชน ทั้งที่เป็นฝ่ายผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงาน
โดยโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ หรือไอพีพี และโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือ เอสพีพีเข้ามาเพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าเข้าระบบ และโรงงานอุตสาหกรรมหยุดและลดกระบวนการผลิต เพื่อหลีกช่วงเวลาที่มีความต้องการไฟฟ้าสูงสุด
"2 มาตรการนี้ ช่วยลดความเสี่ยงไปได้มาก จากเดิมที่กำลังผลิตไฟฟ้าสำรองพร้อมใช้งานเหลือเพียง 600 เมกะวัตต์ ตอนนี้คาดว่าจะเพิ่มได้มากกว่า 1,000 เมกะวัตต์ "
แต่มีอีกภาคส่วนที่ยังไม่ได้เข้ามาร่วมอย่างเข้มข้น คือภาคประชาชน ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญที่จะช่วยลดใช้ไฟฟ้าได้ตามเป้าหมาย 500 เมกะวัตต์ โดยต้องขอความร่วมมือปิดเครื่องปรับอากาศลงอย่างน้อย 1 เครื่องในบ้าน 1 ชม.ช่วงพีคในวันที่ 5 เม.ย. หรือ ประมาณ 13.00 - 14.00 น.
ปัจจุบันมีเครื่องปรับอากาศทั้งประเทศ 16 ล้านเครื่อง ขนาด 6,000 - 40,000 บีทียู ไม่นับรวมระบบ ชิลเลอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทนี้กินไฟสูงสุดกว่า 40 % ของครัวเรือนและสำนักงาน ที่เหลือ 20 % เป็นระบบแสงสว่าง และอีก 40% เป็นเครื่องใช้ไฟ้าอื่นๆ อาทิ ปั๊มน้ำ หม้อหุงข้าว โทรทัศน์ ดังนั้นหากช่วยกันปิดการใช้งานลงในช่วงพีค การใช้ไฟฟ้าจะลดได้อย่างชัดเจน
เขา กล่าวถึงการจัดการระบบไฟฟ้าในโซน กทม.และโซนภาคใต้ที่อาจได้รับผลกระทบว่า มีความกังวลเรื่องแรงดันที่อาจตกลงจากการดึงไฟฟ้าจากพื้นที่อื่นที่ไกลขึ้นมาเสริมระบบ เรื่องนี้ได้ประสานงานการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้ว อย่างไรก็ตามปกติแรงดันในระบบไฟฟ้าจะขึ้นลง 5 % โดยไม่กระทบกับอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า
สำหรับโซนภาคใต้นั้น ปัจจุบันความต้องการไฟฟ้าอยู่ที่ 2,500 เมกะวัตต์ แต่กำลังผลิตในพื้นที่อยู่ที่ 2,000 เมกะวัตต์ ต้องดึงไฟฟ้าจากพื้นที่อื่น เช่น จากโรงไฟฟ้าราชบุรี มาเสริมกว่า 500 เมกะวัตต์ ดังนั้นเมื่อโรงไฟฟ้าในโซนตะวันตกไม่มีก๊าซฯจัดส่ง จึงได้รับผลกระทบไปด้วย กฟผ.จึงเจรจากับมาเลเซีย เพื่อขายไฟฟ้าให้ไทยให้ได้ 300 เมกะวัตต์ เสริมระบบในภาคใต้โดยเฉพาะ
สำหรับแผนระยะยาวนั้น นายสุทัศน์ ย้ำว่า การโหมกระแสวิกฤติไฟฟ้าจากการซ่อมแหล่งก๊าซฯครั้งนี้ไม่ได้ overacting เพื่อผลักดันโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่เป็นเรื่องจริงที่ทุกคนต้องตระหนัก และขอย้ำว่าวิกฤติไฟฟ้าขาดจะรุนแรงขึ้นนับจากนี้
เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าของไทยเพิ่มขึ้นปีละ 5-6% แม้จะเป็นสัดส่วนไม่มาก แต่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่านี้ทุกๆปี เสริมด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี เช่น รถยนต์ใช้ไฟฟ้า ที่จะเข้ามาทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ได้คำนวนไว้ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ฉบับปี 2012 ขณะที่เครื่องมือที่เราใช้อยู่ คือ โรงไฟฟ้ามีกำลังผลิตเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นไม่ได้ทัน ใช้ไฟฟ้าในหน้าร้อนเดือนเม.ย.กฟผ.ยอมรับว่าเป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายปฏิบัติอย่างกฟผ.ต้องโฟกัสอย่างใกล้ชิดทุกปี เป็นเพราะพยากรณ์สภาพอากาศได้ยากมากขึ้น นายสุทัศน์ บอกว่า เช่นเดียวกับเม.ย.ปีนี้ที่เราไม่มั่นใจว่าจะเกิดในวันที่ 5 เม.ย.ตามที่คาดการณ์หรือไม่ เป็นไปได้ที่จะเกิดหลังจากนี้ แต่ก็ทำให้เราไม่ห่วง เพราะไม่ตรงกับช่วงหยุดซ่อมแหล่งก๊าซฯ
อย่างไรก็ตามมีความมั่นใจว่าพีคของปีนี้จะเพิ่มในสัดส่วนไม่ถึง 5 % หรือ ประมาณ 27,000 เมกะวัตต์จาก พีคของปี 2555 ที่อยู่ที่ 26,121 เมกะวัตต์ โดยวันที่ 5 เม.ย.คาดว่าความต้องการใช้ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 26,300 เมกะวัตต์ การคาดการณ์ดังกล่าวมาจากพยากรณ์การเติบโตของเศรษฐกิจที่เชื่อว่าจะไม่ขยายตัวสูงเท่ากับปีก่อน ซึ่งมีแรง ขับเคลื่อนมาจากเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเติบโตถึง 9 % จากปี 2554 ข้อมูลที่กล่าวซ้ำๆเหมือนแผ่นเสียงตกร่องของกฟผ.ถึงการกระจายเชื้อเพลิง เพื่อแก้ไขวิกฤติในระยะยาว
นายสุทัศน์ บอกว่าปัจจัยนี้เป็นความจำเป็น เพราะการพึ่งพาก๊าซฯเกือบ 70% ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) มากขึ้น คาดว่าในช่วง 10 ปีนี้จะต้องนำเข้ามาใช้ในโรงไฟฟ้า สัดส่วน 50 % ซึ่งแอลเอ็นจีราคาสูงกว่าก๊าซฯจากอ่าวเท่าตัวหรือประมาณ 500-600 บาทต่อล้านบีทียู จากปัจจุบันใช้แอลเอ็นจีผลิตไฟฟ้าประมาณ 5 ล้านตัน หรือไม่ถึง 10 %
ที่จะกระเทือนอย่างแน่นอน คือ ค่าไฟฟ้าของไทย ที่จะปรับสูงขึ้นตามต้นทุน คาดว่าไม่ต่ำกว่า 6 บาทต่อหน่วยภายในไม่เกิน 10 ปีนี้จากปัจจุบัน 3 บาทต่อหน่วย ขณะที่ประเทศอื่น อาทิ มาเลเซียได้ปรับสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้าไปแล้วจาก10ปีก่อน ที่ใช้ก๊าซฯผลิตไฟฟ้ามากกว่า 80% มาถึงวันนี้ใช้ถ่านหินผลิตไฟฟ้าแล้วกว่า 40 % ทำให้ค่าไฟฟ้ามาเลเซียใกล้เคียงกับไทย และจะต่ำกว่าไทยในอนาคต หากไทยยังใช้ก๊าซฯผลิตไฟฟ้าเป็นสัดส่วนมากกว่า 60 %ต่อไป
วันที่ 4 มีนาคม 2556 09:00 .... โดย : ศรัญญา ทองทับ
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%87.html#