หน้า 5 จากทั้งหมด 7
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 17 มี.ค. 2014, 05:05
โดย ลุงเนตร
"..ด้วยความยินดีครับ หลาน NOKNICE .. ชีวิตยังดำรงค์อยู่ คงทัวร์ชีวิตต่อไปจนกว่าจะสิ้นสลายหมดลมหายใจนั่นแล
..ชีวิตของทุกคนในโลกนี้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ ต่างต้องทำภาระประจำวันให้ชีวิตดำรงค์อยู่ด้วยกันทั้งสิ้น จะอยู่ดีมีสุข หรือทุกข์ แค่ไหน เพียงใด นั่นก็สุดแท้แต่เหตุและปัจจัยต่าง ๆ ของแต่ละคน และน่าจะรวมไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงประดามีด้วย นั่นแล
..ตอนต่อไปของ "ทัวร์ชีวิต" คงเป็นลำดับการเป็นอยู่ของชีวิตผมในแง่มุมของการปั่นจักรยานเพื่อไปทำงาน..ไปธุระ..ไปออกกำลังกาย..ไปเล่นกีฬา..ไปร่วมกิจกรรมปั่นการกุศล..ตลอดถึงไปท่องเที่ยว นั่นแล
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 17 มี.ค. 2014, 08:59
โดย NOKNICE
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 17 มี.ค. 2014, 13:05
โดย ลุงเนตร
..ขอบคุณมากครับ หลาน NOKNICE ที่เป็นคนแรกและอาจเป็นคนเดียวที่ให้กำลังใจ ตลอดมา..
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 20 เม.ย. 2014, 03:25
โดย ลุงเนตร
..เฮ้อ..ยังไม่มีเวลา..และ..อารมย์..ที่จะเขียนต่อเลย..ขอเวลาอีกหน่อยนะ..
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 24 เม.ย. 2014, 05:50
โดย ลุงเนตร
..เช้านี้ ตื่นแต่ตีสี่ เข้ามาดูกระทู้นี้ อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นว่าพอใช้ได้ ไว้ว่างจะรายต่อเกี่ยวกับช่วงเวลาปั่นจักรยาน ที่ปั่นมาแล้วมากมายยาวนานถึง ๓๒ ปี คงร่ายพอเป็นสังเขปได้เท่านั้น เพราะไม่ได้จดบันทึกโดยละเอียดไว้ หลักฐานแรกเลยก็คงเป็นจากในเวบนี้นั่นแล เพราะไปปั่นทุกครั้งก็มารายงานไว้..
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 24 เม.ย. 2014, 15:46
โดย F1
ขอติดตามครับ
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 24 เม.ย. 2014, 20:02
โดย ลุงเนตร
F1 เขียน:ขอติดตามครับ
..ด้วยความยินดียิ่งครับ..
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 02 มิ.ย. 2014, 16:45
โดย ลุงเนตร
"..เพิ่งเจอในเวบฯนี้แหละ ด้วยการเข้ากูเกิร์ล ค้นหาทริปต่าง ๆ ที่ไปปั่นมาแล้วสรุปทริปไว้ เพื่อจะรวบรวมมาไว้ที่นี่ " คนบนอาน : เนตร สงวนสัตย์ เมื่อชายวัย 70 ปี ไม่เคยคิดหยุดปั่น" http://www.rideabikenews.com/interview-detail.php?id=13
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 02 มิ.ย. 2014, 17:32
โดย ลุงเนตร
- ตั้งแต่ปี พ.ศ.2510 ผมได้ใบเบิกทางขึ้นรถไฟฟรี ทุกสายไปกลับ ปีละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งให้ใช้ได้ภายใน 30 วัน ผมเริ่มขึ้นรถไฟเที่ยวขึ้นเหนือล่องใต้เที่ยวไปทั่ว จึงเกิดการติดเที่ยว และชอบเที่ยว ได้ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ด้วยพาหนะต่าง ๆ มาแล้วมากมาย
โดยเฉพาะท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานชอบมาก เพราะขณะที่ขี่รถจักรยานท่องเที่ยว ร่างกายได้ออกกำลังกายไปด้วย ทำให้ร่างกายแข็งแรง เดินทางไปด้วยความเร็วที่เหมาะสมไม่ช้าและไม่เร็วเกินไป หากเกิดอุบัติเหตุรถล้มลงก็ไม่เจ็บมากขี่ต่อไปได้ ได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติข้างทางมากกว่าพาหนะอื่น ๆ ได้สัมผัสกับ..ลม..แดด..ฝน, ได้ยินเสียงร้องของสรรพสัตว์อย่างชัดเจน ได้เห็นสรรพสิ่งอย่างชัดแจ้ง, ได้พูดคุยกับประชาชนชาวบ้านที่อยู่ละแวกสองข้างทาง, การบำรุงรักษารถจักรยานน้อยมากเมื่อเทียบกับรถยนต์, ค่าทะเบียนรายปีไม่ต้องเสีย, ค่าน้ำมันไม่เสีย, ไม่มีเสียงดังรบกวนโสตประสาทหูของผู้ขี่และชาวบ้าน, ไม่มีควันจากท่อไอเสียเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม, ไปที่ไหน ๆ มีแต่คนชื่นชมและสงสารที่ไปด้วยแรงขา ทุกครั้งที่ผมไปท่องเที่ยวด้วยรถจักรยานกลับมา ไม่ว่าจะเป็น ทริปไป-กลับภายในวันเดียวหรือหลายวันผมได้รับ “ความภูมิใจ” ที่ไปเที่ยวด้วยรถจักรยานสำเร็จกลับถึงบ้านด้วยความปลอดภัย, ได้ “สุขภาพแข็งแรง” และ “สุขภาพจิต”ดี ซึ่งทั้ง 3 อย่างนั้น “ในโลกนี้ไม่มีขาย” เคยขี่รถจักรยานท่องเที่ยวในประเทศมาแล้วมากมาย เท่าที่จำได้ก็คือ.-
- ขี่จาก จ.เชียงใหม่ – อ.ออบหลวง – อ.แม่สะเรียง – อ.แม่ลาน้อย – อ.ขุนยวม – จ.แม่ฮ่องสอน รวม 6 วัน
- ขี่จาก จ.น่าน – กิ่ง อ.สองแคว – อ.เชียงคำ – อ.เทิง – อ.เชียงของ – อ.เชียงแสน – แม่สาย (จ.เชียงราย)
- ขี่จาก จ.พิษณุโลก – แยกบ้านแยง – อ.นครไทย – ขึ้นไปเที่ยวบนภูหินร่องกล้า แล้วลงมานอนที่ อ.นครไทย – อ.ด้านซ้าย – อุทยานแห่งชาติภูเรือ – อ.เชียงคาน – อ.ปากชม – อ.สังคม – อ.ศรีเชียงใหม่ – จ.หนองคาย รวม 6 วัน รวม 2 ครั้ง
- เมื่อปี พ.ศ.2525 และ 2527 ขี่จากกรุงเทพฯ – จ. นครสวรรค์ – จ.สุโขทัย – จ.แพร่ – จ.ลำปาง – จ.เชียงใหม่ รวม 6 วัน
- เมื่อเดือน เม.ย.2546 ขี่จาก อ.สุไหงโก-ลค (จ.นราธิวาส) – จ.ปัตตานี – จ.สงขลา – จ.นครศรีธรรมราช – จ.สุราษฎร์ธานี – จ.ชุมพร
– จ.ประจวบคีรีขันท์ – จ.เพชรบุรี – จ.สมุทรสงคราม รวม 10 วัน
- เมื่อเดือน ก.พ.2547 ขี่จาก จ.ขอนแก่น – จ.มหาสารคาม – จ.ร้อยเอ็ด – จ.บุรีรัมย์ – จ.นครราชสีมา – จ.สระแก้ว – จ.จันทบุรี – จ.ระยอง – อ.สัตหีบ (จ.ชลบุรี) รวม 10 วัน
- ขี่จากกรุงเทพฯ – จ.นครปฐม – จ.ราชบุรี – อ.บ้านบึง – อ.สวนผึ้ง ภายในวันเดียว
- ขี่จากกรุงเทพฯ – อ.บางเลน – อ.กำแพงแสน – อ.ท่ามะกา – อ.ด่านมะขามเตี้ย – บ้านห้วยยายทอง จ.กาญจนบุรี รวมระยะทางประมาณ 160 กม. ภายในวันเดียว
- ขี่จากกรุงเทพฯ – จ.สุพรรณบุรี – อ.บ่อพลอย – อุทยานแห่งชาติเฉลิมรัตนโกสินทร์ – อ.ด่านช้าง (จ.สุพรรณบุรี) รวม 3 วัน แล้วขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน
- ขี่จาก จ.อุบลฯ - ช่องแม๊ค – อ.โขงเจียม – จ.มุกดาหาร
- ระหว่างวันที่ 21 พ.ค. – 7 ส.ค.2549 ปั่นจักรยานเกือบรอบตามขอบประเทศไทย 79 วัน เพื่อนำประสบการณ์ที่ได้จากการปั่นจักรยานมาตั้งแต่ปี 2524 รวม 25 ปี ไปบอกกับประชาชนตลอดรายทางที่พบและที่เข้าพักในแต่ละอำเภอหรือจังหวัดในแต่ละวันว่า ขี่จักรยานทำให้ประหยัดพลังงาน, มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง, รักษาสิ่งแวดล้อม ฯ อันเป็นการทำ 1 ใน 60 ล้านความดีถวายในหลวง เพื่อเฉลิมพระเกียรติในปีมหามงคลอันประเสริฐที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 60 ปี ระหว่างดำเนินโครงการได้รับเชิญจากรายการบ้านเลขที่ 5 ไปออกรายการสดทางช่อง 5 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.49 เวลา 18 น.เศษ
- ต้นปี 2550 จนถึงปัจจุบัน ได้ปั่นจาก กทม.ไป อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี, ปั่นจาก อ.แม่สอด จ.ตาก ไป อ.อุ้มผาง และ จ.เมี่ยวดี ประเทศพม่า และได้ปั่นจักรยานมาราธอนไม่นอน 24 ชั่วโมง อีก 2 ครั้ง
- วันที่ 16 ก.ย.2550 – 5 ธ.ค.2550 ได้เป็นกรรมการของโครงการจักรยานเสือภูเขา 5 แผ่นดินลุ่มน้ำโขง 81 วัน เฉลิมพระชนมพรรษาฯ ได้ดำเนินโครงการและรณรงค์ให้ประชาชนเห็นคุณค่าของจักรยานและหันมาใช้จักรยานในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น
สำหรับการขี่รถจักรยานท่องเที่ยวในประเทศนอกจากนั้นแล้วยังมีอีกมากมาย ถ้าเขียนทั้งหมดจะยาวมาก ต่อไปนี้เป็นทริปปั่นจักรยานท่องเที่ยวต่างประเทศ ดังนี้.-
- เมื่อปี พ.ศ.2539 ขึ้นรถไฟไปประเทศสิงคโปร์ ซื้อจักรยาน 1 คัน ราคา 17,000.- บาท ปั่นเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ 3 วัน แล้วปั่นจากชายแดนสิงคโปร์ เข้าประเทศมาเลเซีย จนถึง “บัตเตอร์เวิร์ด” ระยะทางประมาณ 800 ก.ม.รวมเวลา 10 วัน แล้วขึ้นรถไฟกลับ กทม.
- เมื่อปี พ.ศ.2541 นำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปลงที่เมือง “กาตมัณฑุ” ประเทศเนปาน ปั่นเที่ยวในเมือง 2 วัน แล้วปั่นไปถึงเมือง “โพคลา” ใช้เวลา 3 วัน ต่อจากนั้นขึ้นรถเมล์ ตั้งแต่ 08.00 – 18.00 น.ไปที่เมือง “พุทธวาล” เมืองที่พระพุทธเจ้าประสูติ ติดชายแดนประเทศอินเดีย เที่ยวแล้วพัก 1 คืน เช้าปั่นผ่านเขตแดนเนปาน เข้าประเทศอินเดีย เดินทางด้วยรถไฟบ้าง รถยนต์บ้าง เนื่องจากเป็นหน้าร้อน ในประเทศอินเดียไม่น่าปั่นและเป็นระยะทางไกลถึง 1,200 ก.ม.จากชายแดนไปถึงกรุง “นิวเดลฮี” เวลามีไม่พอ เราจึงใช้รถจักรยานเพียงปั่นไปขึ้นรถเมล์และรถไฟลงจากรถปั่นไปหาโรงแรมนอนเท่านั้น ผ่านเมือง “อักกล้า” ได้เที่ยว “ทัชมาฮาล” 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย จนถึงเมือง “นิวเดลฮี” ปั่นเที่ยวอยู่ในเมือง 1 วัน บินกลับประเทศไทย
- เมื่อปี พ.ศ.2542 นำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปปั่นเที่ยวที่เมืองปักกิ่งประเทศจีน และขึ้นรถไฟจากปักกิ่งไปซื้อทัวร์นั่งรถตู้เที่ยวที่มองโกเลียใน 3 วัน รวมอยู่ที่ปักกิ่งและมองโกเลียใน 15 วัน
- เมื่อปี พ.ศ.2543 นำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปลงที่เมือง “ฮานอย” เหนือสุดของประเทศเวียดนาม ปั่นรถจักรยานเที่ยวอยู่ 1 วัน นอนค้าง 2 คืน แล้วปั่นออกจากเมืองฮานอย เดินทางถึงเมือง “โฮจิมินซิตี้”โดยใช้เวลาเดินทาง 15 วัน รวมระยะทาง 1,800 ก.ม.
- เมื่อปี พ.ศ.2543 (ต้นปี) ปั่นจาก อ.เมือง จ.หนองคาย – เมืองเวียงจันทน์ – เขื่อนน้ำงึม ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
- เมื่อปี พ.ศ.2543 นำรถจักรยานขึ้นรถไฟไปนอนค้างที่ อ.อรัญญะประเทศ 1 คืน เช้าวันรุ่งขึ้นเริ่มปั่นจักรยานเข้าประเทศกัมพูชาทาง “ปอยเปต” เมืองชายแดนติดกับไทย เข้าไปถึงเมืองศรีโสภณ(ค้าง 1 คืน) – เสียมเรียบ(ค้าง 1 คืน) – ขึ้นรถปิ๊กอัพประจำทางถึงพนมเปญ(ค้าง 2 คืน 1 วัน) – ขี่จากเมืองพนมเปญ 1 วัน 160 ก.ม.ถึงท่าเรือ “เอ็มสเตบัน”(นอนค้างรอเรือ 1 คืน – วันรุ่งขึ้น 09.00 น.เรือออกจากท่า ไปขึ้นจากเรือที่เกาะกง – นั่งเรือเล็กไปหาดเล็ก แล้วขึ้นรถยนต์กลับเข้า จ.ตราด –และ กลับ กทม.โดยรถยนต์.
- เมื่อปี พ.ศ.2544 นำรถจักรยานขึ้นเครื่องบินไปลงที่เมือง “แฟรงเฟิร์ต” ปั่นเที่ยว มุ่งเข้าไปหาเมือง “เบอร์ลิน” ปั่นไปได้ 7 วัน แล้วนั่งรถไฟกลับแฟรงเฟิร์ต ต่อจากนั้นญาติขับรถมารับไปปั่นเที่ยวในประเทศเนเธอร์แลนด์อีก 8 วัน รวม 15 วัน
- เมื่อปลายปี พ.ศ.2544 ปั่นออกจาก อ.เชียงของ – ถึง อ.เชียงแสน – ลงเรือสินค้าของจีน สองวันสองคืน วิ่งทวนแม่น้ำโขงไปขึ้นที่เมืองเชียงรุ่ง ประเทศจีน แล้วปั่น 3 วัน นอนค้างในจีน 3 คืน ถึงบ้าน “บ่อหาน” เมืองชายแดนเหนือสุดของลาวติดกับจีน ปั่นเข้าในลาวอีก 3 วัน ค้าง 3 คืน ถึงเมือง บ่อแก้ว ของลาว ลงเรือข้ามฝั่งกลับสู่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย แล้วนำรถจักรยานขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน
- เมื่อต้นปี พ.ศ.2545 ปั่นจากเมือง “หลวงพระบาง” ถึงเมือง “เวียงจันทน์” ในประเทศสาธารณประชาธิปไตยประชาชนลาว ใช้เวลาปั่น 6 วัน
- เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ ทำ ๑ ใน ๖๐ ล้านความดี ด้วยการปั่นจักรยาน ๗๙ วัน ตามขอบประเทศเกือบรอบประเทศไทย ระยะทาง ๖,๕๐๐ ก.ม. เพื่อนำประสบการณ์ปั่นจักรยานมา ๒๕ ปี ไปบอกกับประชาชนตามรายทางและตามที่เข้าพักในแต่ละวันว่า ปั่นจักรยานแล้วได้อะไรบ้าง
- เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐ เป็นกรรมการดำเนินงานของโครงการจักรยานเสือภูเขา ๕ แผ่นดิน ลุ่มน้ำโขง ปั่นจักรยาน ๘๑ วัน ผ่าน ๕ ประเทศ (ไทย, พม่า, จีน, ลาว, เขมร) และร่วมปั่นด้วยในบางช่วงภายในประเทศ
- เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปั่นพิชิตยอดดอยอินทนนท์ ที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ ใช้เวลา ๘ ช.ม., เดือน ต.ค.ปั่นพิชิตยอดดอยตุง ใช้เวลา ๒.๔๐ ช.ม., ปั่นท่องเที่ยวกับ ททท.เชียงราย ปั่นในจังหวัด ๗ อะเมซิ่ง จ.เชียงราย แล้วข้ามไปปั่นในประเทศลาวจากเมืองห้วยทราย ถึง เมืองหลวงน้ำทา จนถึงด่านชายแดนลาว-จีน ที่บ่อเตน
- เมื่อวันที่ ๒๖ พ.ย.๕๑ ปั่นจักรยานกับโครงการ ๙ วัน ๙ จังหวัด ๙๙๙ ก.ม. จาก จ.อุดรธานี ผ่าน จ.หนองคาย, นครพนม, สกลนคร, กาฬสินธุ์, ร้อยเอ็ด, มหาสารคาม, ขอนแก่น, หนองบัวลำภู,กลับมาที่จบทริปที่ จ.อุดรธานี
- ทริปยาวอีกทริปหนึ่งดังต่อไปนี้.-
--วันที่ ๙ มค.๕๒ ขึ้นรถทัวร์ออกจาก กทม. ไป อช.ภูกระดึง
--วันที่ ๑๐ ม.ค.๕๒ ถึง อช.ภูกระดึง เอารถจักรยานฝากไว้ที่ทำการแล้วเดินขึ้นไปนอนบนยอด ๑ คืน
--วันที่ ๑๑ มค.๕๒ เดินลงมานอนข้างล่าง ๑ คืน ต่อจากนั้นเริ่มปั่น
-- วันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๒จาก อช.ภูประดึง ไปนอนที่ “สวนหินผางาม” บ้านผางาม ต.ปวนพุ อ.หนองหิต จ.เลย
- วันที่ ๑๓ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก “สวนหินผางาม” ไปนอนที่ จ.เลย
- วันที่ ๑๔ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก จ.เลย ไปนอนที่ อ.เชียงคาน จ.เลย
- วันที่ ๑๕ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.เชียงคาน ไปนอนที่ อ.ท่าลี่ จ.เลย
- วันที่ ๑๖ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.ท่าลี่ ไปนอนที่ อ.นาแห้ว จ.เลย
- วันที่ ๑๗ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.นาแห้ว ไปนอนที่ บ้านร่มเกล้า จ.พิษณุโลก
- วันที่ ๑๘ ม.ค.๕๒ ปั่นจากบ้านร่มเกล้า ไปนอนที่ อ.บ้านโคก จ.อดุตรดิตถ์
- วันที่ ๑๙ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.บ้านโคก ไป “ดอยเสมอดาว” อช.ศรีน่าน อ.นาน้อย จ.น่าน
- วันที่ ๒๐ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก “ดอยเสมอดาว” ไปนอนที่ จ.น่าน
- วันที่ ๒๑ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก จ.น่าน ไปนอนที่ อ.เชียงม่วน จ.พะเยา
- วันที่ ๒๒ ม.ค.๕๒ พักอยู่ที่ อ.เชียงม่วนอีก ๑ วัน
- วันที่ ๒๓ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.เชียงม่วน ไปนอนที่ อ.เชียงคำ จ.พะเยา
- วันที่ ๒๔ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.เชียงคำ ไปนอนที่ จ.เชียงราย
- วันที่ ๒๕ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก จ.เชียงราย ไปนอนที่ “ดอยแม่สลอง”
- วันที่ ๒๖ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก “ดอยแม่สลอง” ไปนอนที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่
- วันที่ ๒๗ ม.ค.๕๒ ปั่นจาก อ.ฝาก ไปนอนที่ จ.เชียงใหม่
- วันที่ ๒๘ ม.ค.๕๒ อยู่ที่ จ.เชียงใหม่ อีก ๑ วัน เย็นขึ้นรถไฟกลับ กทม.
- เช้าวันที่ ๒๙ ม.ค.๕๒ ถึงบ้านที่บางนา โดยสวัสดิภาพ.
-๙ ก.ย.๕๒ - ๘ มี.ค.๕๗ ปั่นจักรยานกับโครงการที่เขียนขึ้นเอง แล้วเสนอให้กระทรวงมหาดไทยสนับสนุน ที่พัก ๒ คืน อาหาร ๕ มื้อ กับสมาชิกที่ร่วมปั่นจักรยานกับโครงการฯ จำนวน ๙ คน โดยปั่นจากกรุงเทพฯ ไปยัง ๗๓ จังหวัด เกือบทั่วประเทศ ยกเว้น ๓ จังหวัดภาคใต้ที่เป็นพื้นที่สีแดง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนใช้จักรยานในชีวิตประจำวันกันมากขึ้น, ไหว้พระพุทธรูปจังหวัดละ ๙ วัด
-ปั่นจักรยานกับโครงการเสือภูเขา ๗ แผ่นดิน (๗ ประเทศ ไทย-มาเลเซีย-ไทย-พม่า-จีน-ลาว-เวียดนาม-เขมร-ไทย) ในฐานะทีมงานของโครงการฯ ทำหน้าที่ถ่ายภาพและสรุปทริปวันต่อวันใน www.thaimtb.com ได้ปั่นเฉพาะประเทศมาเลเซียกับประเทศไทยรวมประมาณ ๖๐ วัน
..เหล่านั้น นับเป็นเฉพาะที่จำได้และเคยบันทึกไว้แล้วก๊อปมาไว้ที่นี่เท่านั้น
-ต่อมาก็ยังคงปั่นออกกำลังกายเป้นประจำวัน และออกทริปอยู่เนื่อง ๆ จำไม่หวาดไหว จนถึงปัจจุบัน ก็น่าจะพอเป็นสังเขปได้แล้วกระมัง
การปั่นจักรยาน ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่า รสชาติเป็นอย่างไร ข้อดี ข้อเสีย มีมากน้อยเพียงใด ผู้ที่ปั่นอยู่แล้วต่างทราบดี สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ปั่นก็ขอบอกให้ทราบไว้สักหน่อย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาให้กับตัวเองเพื่อเริ่มปั่นจักรยานในอนาคต
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 27 มิ.ย. 2014, 03:58
โดย ลุงเนตร
- : ของฝากจาก..ลุงเนตร : -
*****
ผมนายเนตร สงวนสัตย์ อยู่บ้านเลขที่ ๔๖๕ ซอยจ่าโสด แขวงบางนา เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐ โทร.๐๒-๗๔๕๒๐๙๙ และ ๐๘๙-๘๑๓๓๙๓๖ เกิด ๑ พ.ค.๒๔๘๖ อายุ ๗๑ ปีเศษ มีโอกาสออกกำลังกายเป็นประจำมาตั้งแต่เด็ก ๆ ปัจจุบันร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคใด ๆ ขณะนี้ยังออกกำลังกายด้วยการวิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน อยู่เป็นประจำ เลิกขึ้นรถเมล์ไปทำงานใน กทม. โดยใช้จักรยานแทน ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๔ ปั่นจักรยานมาแล้วทุกรูปแบบ ทุกสภาพถนน เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ จัดทำโครงการปั่นจักรยาน ๑ ใน ๖๐ ล้านความดี ถวายในหลวง ด้วยการปั่นจักรยาน ๗๙ วัน ไปเกือบรอบประเทศไทย และปี ๒๕๕๒ จัดทำและควบคุมการดำเนินโครงการปั่นจักรยาน ๗๓ จังหวัด ๑๗๙ วัน (ไปพักจังหวัดละ ๒ คืน) เริ่มตั้งแต่ ๙ ก.ย.๕๒ – ๘ มี.ค.๕๓ เพื่อนำประโยชน์ของจักรยานไปบอกกับประชาชนตามรายทางและตามที่พักแต่ละวันว่า ปั่นจักรยานแล้วได้อะไร ผมมีประสบการณ์ตรงจากการปั่นจักรยานออกกำลังกายมากมายคือ.-
๑. “ออกกำลังกายสร้างสุข”
...การออกกำลังกายเป็นสิ่งจำเป็นแก่ร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เพราะการออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิทำลายล้างและคุ้มกันโรคต่าง ๆ นานาประดามีที่ปนมากับอาหารและอากาศ ถ้าไม่ออกกำลังกาย สูงอายุเจ็บป่วยไม่สบายไปหาหมอ เสียเงินได้ยามากิน ไม่หายตาย หายไม่แข็งแรง ไปไหนมาไหนไม่สะดวก นั่ง ๆ นอน ๆ รอวันสิ้นลม เป็นภาระของลูกหลาน เป็นช่วงเวลาของชีวิตที่น่าเบื่อที่สุด ใคร ๆ ก็คงไม่ต้องการ ดังนั้น ท่านที่อยู่ในวัยทำงาน ถ้ามุ่งแต่ทำงานหาเงินอย่างเดียว ไม่ออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เมื่อพ้นจากวัยทำงาน เข้าสู่วัยชรา จะต้องเจ็บป่วย ไปหาหมอ กินยา บางคนเงินที่เก็บออมมาตลอดวัยทำงาน ต้องหมดไปกับการรักษาตัวเอง หมดเงิน ไม่หมดโรค ไม่แข็งแรง ไม่เหมือนคนที่ทำงาน และออกกำลังกายไปด้วยเพียงวันละ ๑ ช.ม. เมื่อพ้นวัยทำงาน ร่างกายแข็งแรง สุขภาพดี ไม่เป็นภาระกับลูกหลาน ได้อยู่กับลูกหลานนาน ๆ อย่างมีความสุข เงินที่เก็บออมมาจากวัยทำงาน ได้ใช้ไปท่องเที่ยว ทำบุญสร้างกุศล ให้ทาน..”
(การออกกำลังกายเหนื่อย เมื่อย ร้อน “ใจ” ไม่ชอบ “กาย” ต้องการ วันหนึ่งใน ๒๔ ช.ม. ใช้จิตประสานใจปล่อยกายได้ออกกำลังวันละ ๑ ช.ม. ทำให้มีสุขภาพดีทั้งกายและใจไปตลอดชีวิตดีแล)
๒. “ปั่นจักรยานเสพสุข”
... ปั่นจักรยานแล้วได้สิ่งดี ๆ มากมาย ดังต่อไปนี้.-
1. ได้ออกกำลังกาย ร่างกายสร้างภูมิทำลายและคุ้มกันโรค ทำให้โรคที่เป็นอยู่หาย ไม่ต้องหา หมอกินยากับยังป้องกันไม่ให้เป็นโรคร้ายต่าง ๆ ที่ปะปนมากับอาหารและอากาศที่เราทานและหายใจ
2. ได้สุขภาพกายและจิตดี..ที่ไม่มีขาย.ทำให้เกิดกับตนได้ จากการขี่รถจักรยาน
3. ได้รับความภูมิใจ..ที่ไม่มีขาย..ทำให้เกิดกับตนเองได้ เช่น เขาขับรถยนต์ไป จ.เชียงใหม่ 8 ช.ม.ถึง..เราปั่นจักรยาน ๖ วัน ก็ถึงเหมือนกัน
4. ได้ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าใช้พาหนะที่มีเครื่องยนต์
5. ได้พบปะพูดคุย, เห็นการเป็นอยู่และการประกอบอาชีพของประชาชนตามรายทางที่ผ่าน
6. ได้ความปลอดภัยมากกว่าใช้พาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ เพราะรถจักรยานวิ่งช้ากว่าจึงปลอดภัย
7. ได้ทานอาหารสารพัดตามต้องการ เพราะร่างกายไม่มีโรคร้ายที่จะต้องจำกัดอาหาร
8. ได้มีรถใช้ส่วนตัว ราคาไม่แพง เสมือนกับผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัว ขี่ไปทำงานหรือไปทำธุระ
ต่าง ๆ ทุกแห่งได้สะดวกกว่า ไม่ว่าขณะเดินทางหรือจอด
9. ได้คุ้มครองชีวิตตนเองขณะที่ขี่รถจักรยานไปในที่ต่าง ๆ ไม่ต้องฝากชีวิตไว้กับคนขับรถขนส่งสาธารณะ
10. ได้คำจำกัดความสุดวิเศษมาทำให้ตนเองมีความมานะและอดทนว่า “มีความสุขอยู่กับความ เหนื่อยยากลำบากของตนเองขณะขี่รถจักรยาน” คือ เมื่อขี่รถจักรยานไปนาน ๆ จนถึง ขนาดขี่ไปได้ทั้งวัน ไม่ว่าฝนจะตก..ฟ้าจะร้อง.ลมจะแรง..แดดจะออก..เหงื่อจะไหล...
ท้องจะหิว..ก็ยังปั่นไปได้ บ่อย ๆ แล้วได้พบกับความเป็นจริงข้างต้นนั้น
11. ได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดและผ่านไปช้า ๆ เช่น ลม..แดด..ฝน..หมอก (เมื่อปั่นจักรยานขึ้นไป อยู่บนยอดเขาสูงได้อาบหมอก กินเมฆ), ได้เห็นสรรพสิ่งสองข้างทางผ่านไปอย่างช้า ๆ ชัดเจน, ได้ยินเสียงของสรรพสัตว์, ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ขณะขี่จักรยานในชนบทป่าเขาลำเนาไพร
12. ได้เป็นผู้รักษาสิ่งแวดล้อมในด้านควันและเสียงของเครื่องยนต์ ลดภาวะโลกร้อน
13. ได้เข้าไปอยู่ใน “สังคมของคนจักรยาน” ซึ่งเป็นอีกสังคมหนึ่งที่มีแต่ชาวจักรยานเท่านั้นที่จะเข้าใจว่าเป็นสังคมที่อบอุ่นไม่ใช่เพื่อนเสมือนเพื่อนไม่ใช่ญาติก็เสมือนญาติช่วยเหลือกัน
14. ได้ท่องเที่ยวแบบประหยัด ได้รับความรู้และประสบการณ์มากมาย
15. ได้ภาพพจน์ที่ดีจากสายตาคนอื่น เช่น เป็นคนแข็งแรง, เป็นนักกีฬา, เป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติ เป็นต้น
16. ได้ออกกำลังกายในรูปแบบ “แอโรบิค” ไม่กระตุกกระชาก ไม่กระแทกกระทั้น หัวเข่าไม่
ต้องรับน้ำหนักตัวจนทำให้เสื่อมสภาพเจ็บปวด แต่กลับทำให้หัวเข่าและกล้ามเนื้อทุกส่วน
ของขาและแขนแข็งแรงยิ่งขึ้น เพราะได้ออกกำลังตลอดเวลาที่ปั่นจักรยาน
มาปั่นจักรยานออกกำลังกายและท่องเที่ยวกันเถอะ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของตัวท่านเองและเพื่อนร่วมชาติ “ยิ่งปั่น ยิ่งแข็ง แรงยิ่งดี โรคใด ๆ ไม่มี สุขขีตลอด
กาล (www.thaimtb.com “ลุงเนตร” ../.. E-Mail : netr99@gmail.com) –
Facebook : นายเนตร สงวนสัตย์
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 27 มิ.ย. 2014, 04:06
โดย ลุงเนตร
"..จักรยาน.." ผมนับว่าเป็นสิ่งวิเศษอีกอย่างหนึ่งที่คนสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เดินทางใกล้-ไกล ไปได้ทุกที่ที่คนเดินไปได้ก็สามารถปั่นหรือพาไปได้ เช่น ปั่นไปในทางแคบ ๆ เพียงทางเดินเท้าได้ สุดทางเดินเท้าต้องข้ามบ่อเลี้ยงหอยแครงที่มีไม้กระดานพาดให้เดินอยู่เพียงสองแผ่นกว้างไม่ถึงศอก ก็ยกจักรยานพาเดินไปด้วยได้จนสุด เมื่อพบทางเดินก็ปั่นต่อ เช่นนี้ พบเมื่อครั้งน้าเป็ด จัดทริปพาไปเที่ยววัดเขาสมุทรจีน (วัดโบสถ์จมน้ำชายทะเลบางขุนเทียน ไปถึงวัดพร้อมจักรยานโดยไม่ลงเรือ ไปกันหลายคน ผ่านได้หมด ไม่มีใครตกสะพาน แต่แย่หนักเหนื่อย ขากลับลงเรือ นอกจากนั้น ระยะทางไกล ๆ ถึงรอบโลก คุณวรรณ-หมู ก็ปั่นสำเร็จมาแล้ว จึงเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า "จักรยาน" นั้นโคตรวิเศษ ขอยุติเรื่องเกี่ยวกับ "จักรยาน" ไว้เพียงเท่านั้น.."
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 27 มิ.ย. 2014, 04:32
โดย ลุงเนตร
"..กลับมาคิดถึงตนเอง ตลอดชีวิตที่อยู่มา ที่เห็นชัดก็เป็นอยู่เพียง..กิน..ขี้..นอน นับว่าเป็นอยู่ตามธรรมชาติของร่างกาย ไม่กิน ไม่ขี้ ไม่นอน ก็ตาย ระหว่างเวลาแต่ละวันก็ทำภาระกิจของตัวเอง วัยเด็กเรียน พ้นการเรียนทำงาน ระหว่างทำงานออกกำลังกายวันละ ๑ ช.ม. ป่วยหาหมอรักษา ชีวิตยังดำรงอยู่ถึงทุกวันนี้ ๗๑ ปี ๑ เดือน ๒๖ วัน ย่างเข้าสู่วัยชรา ต้องพบกับการเจ็บป่วย หลงลืม เพิ้อมุ่งไปสู่ความตายในที่สุดของชีวิต ซึ่งจะตายเมื่อไร อย่างไร ไม่อาจทราบได้ ซึ่งต้องตายแน่ ๆ ด้วยกันทุกคน
..สำหรับผมมีความคิดว่า ในช่วงวัยชรา ก่อนตายนี้ ไม่ต้องการเป็นอย่างผู้อื่นที่เคยเห็นคือสุขภาพไม่ดี ร่างกายไม่แข็งแรง ป่วยเรื้อรัง เข้า-ออก ร.พ.เป็นนิจ นั่ง ๆ นอน ๆ รอวันตายไปวัน ๆ ซึ่งเห็นว่าเป็นภาวะที่น่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างยิ่ง จึงพยายามออกกำลังกายเป็นประจำทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรงไว้จนกว่าจะตายด้วยเหตุหนึ่งใดไปก็จบกัน
..คน ก็เท่านั้น เกิดมาเพียงเพราะเป็นผลลัพธ์ของความรักของคนสองคน ภายใต้ความคิดของคนสองคนนั้นต่าง ๆ กัน แต่คงไม่พ้นเพื่อ สืบสกุล สืบทรัพย์สมบัติ ผลพลอยได้สืบเผ่าพันธุ์คนให้ดำรงค์คงอยู่ต่อไป
..ผมแต่งงานหลายปีกว่าจะมีลูก ก่อนมีลูกคิดว่า มีไว้เชยชมสัก ๑ คน เพราะเห็นผู้อื่นมีแล้วน่ารัก น่าเอ็นดู ก็เท่านั้น แต่กับคนอื่น ๆ น่าจะมีเหตุผลมากกว่า ก็ว่ากันไปตามสภาวะความนึกคิดและฐานะการเป็นอยู่ ซึ่งแตกต่างกันออกไปมากมายมหาศาล ทุกครอบครัวย่อมไม่เหมือนกันสักครอบครัวนั่นแล
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 27 มิ.ย. 2014, 06:01
โดย ลุงเนตร
"..ความจำเป็นในการดำรงค์ชีวิตของแต่ละคน ที่สำคัญที่สุดก็คือ..
๑. อาหาร ๓ มื้อ ๆ ละเพียง ๑ จาน มีบางคนทาน ๒ มื้อ หรือ ๑ มื้อ ก็มี
๒. เครื่องนุ่งห่ม เห็นในยูทูป นุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ก็อยู่กันได้ ผ้าห่มกันหนาวใช้ขนสัตว์
๓. ที่อยู่อาศัย กระต๊อป กันแดด-ฝน แต่ละคนใช้ที่นอนกว้างศอกกว่า-ยาวเพียงวากว่า เท่านั้น
๔. พาหนะในการเดินทาง เริ่มจากในอดีตเพียงเดินเท้า ล้อเลื่อน เกวียน ปัจจุบัน "รถจักรยาน" ก็ไปไหน ๆ ได้แล้ว
..นอกเหนือจากนั้น เป็นสิ่งเพิ่มเติมที่สร้างสรรกันขึ้นมาเพื่อให้เกิดคามสะดวกสบายมากขึ้นตามใจปรารถนาขณะเดียวกันที่ใจต้องการคามสะดวกสบาย ความสวยงาม ก็ต้องใช้เงิน ทำให้เกิดวังวนของธุระกิจ เกิดการเอารัดเอาเปรียบ เกิดการแก่งแย่ง เกิดความโลภ มือใครยาวสาวได้สาวเอา เกิดความร่ำรวย เกิดความยากจน เกิดการเหลื่อมล้ำต่ำสูง ขึ้นในทุกสังคมของทุกประเทศทั่วโลก
..ทั้ง ๆ ที่ ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักบาท
..ถ้าผมเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของประเทศใดประเทศหนึ่ง ผมจะแก้ปัญหาและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับในสิ่งต่อไปนี้.-
๑. ปัญหาด้านสุขภาพ เรื่องนี้ต้องเน้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องดูแลทั้งในด้านการรักษาและป้องกันที่ต้นเหตุของการเจ็บป่วย ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายกันอย่างจริงจังยั่งยืน ด้วยการสร้างสนามกีฬา จัดให้มีเครื่องมือออกกำลังกายอย่างพอเพียงทั่วถึงทุกชุมและครัวเรือน แต่ละครัวเรือนแจกฟรีเครื่องปั่นฟิตเนส และผลิตจักรยานแจกให้ประชาชนทุกคนไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมกับสร้างจิตสำนึกให้ทราบว่า การออกกำลังกายแล้วดีอย่างไร ไม่ออกกำลังกายไม่ดีอย่างไร โดยให้ทราบเป็นประจำทุกวันทั้งทางตา (แพร่ภาพทางทีวี), ทางหู (กระจายเสียงบทคามทางวิทยุ) จากสภาพความเป็นจริงตามสนามกีฬาและสวนสาธารณะต่าง ๆ ที่คนกำลังออกกำลังกายกันอยู่ และตามโรงพยาบาลต่าง ๆ ที่มีผู้เจ็บป่วยนอนรักษาตัวอยู่ ให้รู้แจ้ง เห็นจริง จึงเกิดการออกกำลังกายกันอย่างจริงจังยั่งยืน ไม่ใช่อย่างปัจจุบัน ตามสนามกีฬา และหน่วยงานของรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลสุขภาวะของประชาชน อาทิ อบจ. อบต. เทศบาล ที่จัดซื้ออุปกรณ์สำหรับออกกำลั้งกายมาตั้งไว้กลางแดดกลางฝน ไม่มีประชาชนไปออกกำลังกายเช่นนั้นเป็นการเสียโดยเปล่าประโยชน์ จากความคิดและการกระทำที่ดี แต่ยังดีไม่สุด ไม่ได้สร้างจิตสำนึก จึงไม่เกิดประโยชน์ตามความประสงค์ นั่นนับเป็นการแก้ปัญหาด้านสุขภาพของประชาชนที่ต้นเหตุ ทำให้การเจ็บป่วยถึงกับต้องรักษาไม่เพิ่มมากขึ้นและน้อยลงในที่สุด
๒. ปัญหาการศึกษา ให้เรียนรู้วิทยาการเมื่อสอบผ่านข้อเขียนแล้ว ต้องสอบผ่านการปฏิบัติด้วย เมื่อเรียนจบออกไปจะได้ทำงานได้จริง พร้อมกับสดแทรกความรู้ด้านหน้าที่ศีลธรรม จริยธรรม ไว้ให้ด้วย เพื่อที่จะได้ไม่แก่งแย่งโกงกินในกันและกันในทุกสังคม
๓. ปัญหาคอรัปชั่นอย่างถูกกฏหมาย เช่น ฮั้วการประมูล เป้นต้น แก้ไขด้วยการมีคณะกรรมการอีกชุดหนึ่ง มีหน้าที่ควบคุมคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา โดยเมื่อคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาแล้วเสนอราคาต่ำสุดขออนุมัติจัดซื้อ คณะกรรมการที่มีหน้าที่ควบคุมคณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาต้องพิจารณาว่า ก่อนประกวดราคาคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างได้ตั้งราคากลางไว้ตามราคาเปนจริงของตลาดหรือไม่ ถ้าไม่ต้องทักท้วงให้ตั้งราคากลางให้เป็นไปตามความเป็นจริงของตลาด เมื่อเปิดซองประกวดราคา ซองที่ราคาต่ำสุดก็ต้องต่ำกว่าราคากลางของตลาด ก็อนุมัติให้จัดซื้อได้ เท่านั้นก็ไม่มีการคอรัปชั่นแล้ว ไม่ใช่ปล่อยให้การจัดซื้อจัดจ้างเป็นสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่จัดซื้อโดยประกวดราคาตั้งราคากลางสูํงกว่าราคาเป็นจริงของตลาด และปล่อยให้คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคาอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างบริษัทที่เสนอราคาต่ำสุดของทุกบริษัทที่เสนอราคา ทั้ง ๆ ที่ราคาต่ำสุดนั้น สูงกว่าราคากลางที่ตั้งไว้ นั่นจึงเกิดการคอรัปชั่นกันอย่างถูกกฏหมายดังได้ปฏิบัติกันมาทุกหน่วยงานของรัฐฯทั่วประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ไม้กวาดดอกหญ้า ท้องตลาดขายปลีกอันละ ๓๐ บาท ต้องการซื้อไม้กวาด ๑,๐๐๐ อัน ตั้งราคากลางไว้ที่อันละ ๕๐.- บาท มีบริษัทเสนอราคา ๕ บริษัท เปิดซองราคาต่ำสุด ราคาอันละ ๖๐.- บาท คณะกรรมการเปิดซองประกวดราคา อนุมัติจัดซื้อราคาต่ำสุด ๖๐.- บาท แพงกว่าราคาจริงของตลาดอันละ ๓๐.- บาท เป็นต้น
๔. ปัญหาคนทำผิดกฏหมาย ตั้งแต่เล็ก ๆ น้อย ๆ (ลักทรัพย์ ฉกชิง วิ่งราว) จนถึงใหญ่ (ปล้น ข่มขืน ฆ่า) แก้กฏหมายให้มีโทษมาก ๆ จะได้เกรงกลัวไม่กล้าทำผิดกฏหมาย อาทิ ลักเล็ก ขะโมยน้อย โทษต้องมากสมมุติตัดคุก ๑๐ ปี ระหว่างติดคุกทุกคดี ต้องอย่าปล่อยให้นักโทษอยู่กันอย่างสุขสบายสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน ไม่เข็ดหลาบ ออกไปแล้วก็เข้ามาใหม่ ต้องอย่าให้กินดีอยู่ดี คือ ให้กินเพียงประทังชีวิต และใช้งานให้เกิดประโยชน์กับรัฐบาลและประชาชน เช่น ให้ออกไปปลูกป่า ไปทำนา ไปถางป่า ขุดลอกคู คลอง หนอง บึง ดายหญ้า ปลูกไม้ดอก ไม้ประดับสองข้างทางหลวง ให้ทำงานวันละ ๘ ช.ม. โทษหนัก (ปล้น ข่มขืน ฆ่า) ประหารชีวิตอย่างเดียว ไม่มีสารภาพลดกึ่งหนึ่ง ประเทศมาเลเซีย ใครพกปืนในที่สาธารณะ มีโทษหนักถึงประหารชีวิต ตำรวจผู้รักษากฏหมายก็ต้องทำหน้าที่อย่างเคร่งครัด ถ้าละเลยไม่รักษากฏหมายอย่างเคร่งครัด ตัดเงินเดือน ลดยศ ถึงไล่ออก โดยมีอีกหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย ทำหน้าที่กำกับดูแลการปฏิบัติงานของตำรวจอีกหน่วยหนึ่งด้วย
๕. ปัญหาปากท้องของประชาชน สนับสนุนให้ต่างชาติเข้ามาสร้างโรงงานในประเทศไทย โดยใช้แรงงานคนไทย สนับสนุนให้ประชาชนคนไทยทำเกษตรกรรมในทฤษฎีเศรษบกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เวณคืนที่ดินจากคนที่มีที่ดินมากเป็นพันไร่ มาให้ประชาชนที่สมัครใจจะทำอาชีพเกษตรพอเพียงครอบครัวละ ? ไร่ สนับสนุนให้เลี้ยงโค-กระบือไว้ใช้งาน ไม่ใช้่ปุ๋ยเคมีที่ต้องซื้อราคาแพง โดยใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยอินทรีย์ แทน
๖. ปิดกั้น สิ่งฟุ่มเฟือย ที่เห็นว่าไม่จำเป็นการกับดำรงค์ชีพของประชาชน อันทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินโดยไมจำเป็น
๗. ปิดกั้น สิ่งที่เสพแล้วไม่มีประโยบช์กับร่างกาย อาทิ สุรา บุหรี่
๘. ควบคุมหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุมราคาเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ดูแลราคาสินค้าทุกชนิดในท้องตลาดให้ขายตามราคาของความเป็นจริงจากการผลิต+ค่าบริหารจัดการ ไม่ปล่อยให้ผู้ค้าขึ้นราคาขายสินค้ากันตามต้องการโดยอิสระ
๙. ส่งเสริมศาสนาทุกศาสนา ให้ส่วนที่เป็นหลักและแก่นเข้าถึงประชาชนอย่างจริงจังยั่งยืน โดยให้พระผู้มีความรู้ไปอบรมนักเรียนนักศึกษาทุกโรงเรียน ทุกระดับชั้นการศึกษา เป็นประจำทุกสัปดาห์ จะช่วยลดปัญหาคนทำผิดกฏหมายให้น้อยลงได้ด้วย
Re: "..?..!..อิ อิ "ทัวร์ชีวิต" อิ อิ..!..?.." (โดย..วุฒิ ม.๖)
โพสต์: 27 มิ.ย. 2014, 06:12
โดย ลุงเนตร
"..ทั้งหมด ทั้งสิ้น เป็นเพียงความคิดของผม ประชาชนคนไทย คนหนึ่งที่ได้รับการศึกษาเพียง ม.๖ จบเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๓ ดำเนินชีวิตตามทำนองครองธรรมมาเรื่อย ๆ จนปัจจุบัน ๗๑ ปี ๑ เดือน ๒๖ วัน สุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง แต่ก้มีโรคมาเยือนบ้างที่ถาวรก็ตาเริ่มเป็นต้อ จะตายวัน ตายพรุ่งไม่รู้ที่ ใคร่ขอฝากความคิดไว้ให้เป็นวิทยาทานสืบไป
..ตัวผมเองตราบที่ยังมีชีวิตอยู่จากปัจจุบันวันเวลานี้ ก็คงทัวร์ชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามแต่ใจสั่งการ ทั้งหมดทั้งสิ้นก็ต้องตั้งอยู่บนความเป็นจริงของธรรมชาติ ตั้งอยู่บนความดี ความถูกต้อง ตามทำนองครอบธรรม ตามกฏหมาย ตามระเบียบแบบแผนประเพณี ต่อไปจนกว่าจะตาย (ผมทำใจให้ตายก่อนตัว ตามคำสอบของท่านพุทธทาส ภิกขุ อยู่เสมอ ๆ แล)
..และแล้วก็มาถึงที่สุดท้ายของทัวร์ชีวิตฯ หากมีสิ่งดีอยู่บ้างขอมอบให้กับทุกท่าน หากมีสิ่งใดที่ไม่ดี ทำให้เกิดควมเสียหายกับท่านหนึ่งท่านใด โดยมิได้ตั้งใจ โดยคาดไม่ถึง ผมขออภัย และโปรดให้อภัยผมผู้น้อยด้อยปัญญาด้วยเถิด
..ขอบคุณ http://www.thaimtb.com ที่ให้พื้นที่
..ขอบคุณ ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน อนุญาตให้นำส่วนที่คิดว่าดีมีประโยชน์ ไปใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่