......จักรยานธุดงค์..........

ห้องนี้เทียบได้กับ "ห้องนั่งเล่น" ในกระดานเดิมนะครับ
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ น้องแดง หลานนก และทุกท่าน ขอบคุณเรื่องเล่าดี ๆ และภาพสวย ๆ ด้วยครับ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
NOKNICE
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 10311
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2012, 11:33
team: ไร้สังกัด,ปั่นตามใจตรู
Bike: MERIDA MATT 40D(ของแฟน),Trek8500 , Storck G2

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย NOKNICE »

อรุณสวัสดิ์ครับลุงแดงและทุกท่าน
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ๑๐๔.จงทำกับปัญหาทุกอย่างให้ดีที่สุด ใช้ปัญญาแก้ไขมัน ไม่ต้องวิตกกังวลกับมัน ถึงเวลาแล้วจงเข้าสู่สมาธิ ได้เวลาแล้วจงออกมาสู้กับปัญหา อย่างนี้เรื่อยไป

๑๐๕.จงปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน แล้วจิตของท่านก็จะบรรลุถึงความสะอาดบริสุทธิ์ได้อย่างสมบูรณ์สูงสุด ใยสักวันหนึ่งซึ่งไม่นานนัก

ทั้งหมดนี้คือ แนวทางที่ถูกต้องที่สุดในการที่จะเอาชนะความทุกข์ในชีวิตของท่าน ซึ่งแนวทางนี้เรียกว่า "การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์" อันเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธสาสนา ที่พระพุทธองค์ทรงพระประสงค์ที่จะให้ทุกคนเข้าถึง เพื่อความหมดทุกข์ทางใจในที่สุด :idea: :idea:


:) :D ในที่สุดคู่มือดับทุกข์จำนวนทั้งสิ้น ๑๐๕ ข้อ ก็ได้ถึงกาลอวสาน ถ้าหากท่านที่ตามดูตามอ่านและจดบันทึกเก็บไว้ท่านก็จะได้สมุดเล่มเล็ก ๆ สำหรับเป็นคู่มือเก็บไว้อ่านไว้ทบทวนศึกษาแก้ปัญหา เป็นอะไรที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนสามารถปฏิบัติได้และถ้าตั้งใจจริงเชื่อครับ ความทุกข์ ทำอะไรผู้ที่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่ได้แน่นอน ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่น่าสงสารมาก ๆ เพราะมีคนนับถือน้อยมาก ยังไม่พอผู้คนที่นับถือหรือที่เรียกว่า พุทธบุตร(ลูกพระพุทธะ)ก็ไม่ได้ศึกษาคำสอนแถมยังไม่ใส่ใจจะประพฤติปฏิบัติในด้านการรักษาศีลและปฏิบัติภาวนา มุ่งเน้นแต่การให้ทานเมื่อเวลามีทุกข์ ก็แก้ปัญหาไม่ได้

:o :o ไม่มีศานาใด ๆ ที่นำทางไปสู่การสิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงเหมือนกับพุทธศาสนา และไม่มีศาสนาใด ๆ ที่สอนว่าชีวิตเกิดมามีแต่ทุกข์ พุทธะเท่านั้นที่สอนเรื่อง "ทุกข์" เมื่อสอนเรื่องทุกข์ก็สอนวิธี ดับทุกข์ ด้วยเริ่มตั้งแต่ง่ายไปหายากถ้าตั้งใจปฏิบัติตามรับรอง ทุกข์ จะค่อยมลายหายไป และเมื่อบรรลุถึงขั้นสูงสุดหรือสุดยอด ก็ไม่ต้องกลับมาเกิดให้ ทุกข์แล้วทุกข์เล่า อีกต่อไปนั่นคือ "นิพพาน" ไม่มีศาสนาใดอีกเช่นกันที่สอนเรื่อง นิพพาน :shock: :shock:

ขอนำมาเผื่อแผ่สำหรับหลาย ๆ ท่านที่พึ่งเข้ามาเยี่ยมชม ให้ได้รับฟัง ใช้เวลาเพียง ๓๐ นาทีกับการฟังไม่เสียเวลามากเลยกับสิ่งดี ๆ เพื่อเป็นแนวทางหรือใครที่ติดตามมาตลอดท่านจะเข้ามาฟังอีกก็ยิ่งดี จะได้ตอกย้ำความเข้าใจ ธรรมะฟังบ่อย ๆ ดีครับ ฟังจนจำได้ติด หู ติดใจ นั่นแหละครับ
:lol: :lol:




เมื่อคืนวันสำคัญของชาวพุทธอีกวันหนึ่งที่บรรดาพุทธะทั้งหลายมักจะให้ความสำคัญ ถือเป็นประเพณีกันเลยทีเดียวถึงวันเวลาเมื่อใด ต่างก็จะสนุกสนานจัดกิจกรรมน้อยใหญ่แต่ก่อนโด่งดังอยู่ก็ที่แค่เชียงใหม่ ถ้าถึงฤดูนี้แล้วคนก็จะแห่กันไปเชียงใหม่เพื่อไปเที่ยว งานนี้คือ "ประเพณียี่เป็ง" ปัจจุบันี้คำว่า ยี่เป็ง ไม่มั่นใจว่าคนจะยังจดจำกันไหม? เพราะแทบทุกจังหวัดต่างแข่งขันกันจัดอย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ เริ่มแต่ที่ จ.สุโขทัย เป็นต้นทุก ๆ ที่ยิ่งใหญ่มโหฬารทุ่มเทความสนุกสนานเข้าไป เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไปแล้วเชียงใหม่ครับ ในที่สุดคำว่าประเพณียี่เป็ง ก็เลือนหายไปเป็นไปตามกฏแห่งไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถ้าเป็นพุทธแท้ ๆ ประเพณีนี้ไม่มีในพระพุทธศาสนานะครับ แต่เป็นการคิดและหาวิธีให้คนพุทธได้ทำบุญกุศล ปราชญ์โบราณท่านจึงคิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย กระทงที่ไหน ๆ ก็ไม่เท่ากระทงที่เชียงใหม่ วันนี้เวลานี้กระทงไหน ๆ ก็ไม่เท่ากระทงของจังหวัดใครจังหวัดมัน แต่สำคัญยิ่งเราจะไม่มีกระทงไหน ๆ ที่เราจะจดจำไปจนวันตายครับเป็นกระทงน่าจะกระทงสุดท้ายที่เราจะไม่ได้เห็นอีกเลย นั่นคือกระทงของ"พ่อหลวงในดวงใจ"ครับ มารำลึกถึงพระองค์ท่านกันอีกครั้งครับ :( :(




:) :D สำหรับคำว่าประเพณี หากว่าลูกหลานไม่ต่อยอด ประเพณีดี ๆ ที่น่าอนุลักษณ์ไว้ก็จะเลือนหายไป ทุกประเพณีที่ดีงามเราต้องร่วมใจกันจรรโลงให้คงอยู่คู่แผ่นดินอย่าให้เลือนหายไปนะครับ วิธีการเราก็นำลูกหลานของเราให้ประพฤติปฏิบัติตามจารีตประเพณี ที่ถูกต้องอย่าละเลยครับ
ไฟล์แนบ
S__20242441.jpg
S__20242441.jpg (80.37 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
S__20242443.jpg
S__20242443.jpg (99.98 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
S__20242444.jpg
S__20242444.jpg (107.81 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ผางประทีส หรือผางประทีป เป็นเครื่องสักการบูชาในพระพุทธศาสนา คำว่า ผาง คือ ภาชนะดินเผาคล้ายถ้วยเล็กๆ ใช้เป็นถ้วยสำหรับใส่ขี้ผึ้งหรือน้ำมันและไส้ของประทีสที่ทำมาจากเส้นฝ้าย ส่วนคำว่า ประทีส คือแสงสว่าง<br /><br />ในช่วงประเพณียี่เป็ง ชาวล้านนานิยมจุดผางประทีสเป็นพุทธบูชา สืบเนื่องมาจากตำนานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระศรีอริยะเมตไตร พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ได้ถือกำเนิดจากแม่กาเผือก และวันหนึ่งขณะที่แม่กาออกไปหาอาหารได้เกิดพายุทำให้ไข่ทั้งห้าฟองของแม่กาเผือกถูกพัดตกจากรังไหลไปตามแม่น้ำ มีแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง เมื่อไข่ทั้งห้าฟองฟักออกมาเป็นมนุษย์เป็นเพศชาย และได้บวชเป็นฤๅษีทั้งห้าองค์ เมื่อฤๅษีทั้งห้าได้พบกัน จึงไต่ถามถึงมารดาของแต่ละองค์ แต่ละองค์ก็ตอบว่า แม่ไก่เก็บมาเลี้ยง แม่นาคเก็บมาเลี้ยง แม่เต่าเก็บมาเลี้ยง แม่โคเก็บมาเลี้ยง และแม่ราชสีห์เก็บมาเลี้ยง ฤๅษีทั้งห้าองค์จึงสงสัยว่า แม่ที่แท้จริงของตนเป็นใคร จึงพากันอธิษฐานขอให้ได้พบแม่ ด้วยคำอธิษฐาน จึงทำให้พกาพรหมผู้เป็นแม่ได้แปลงกายเป็นกาเผือกบินลงมาเล่าเรื่องในอดีตให้ฤๅษีทั้งห้าฟัง และได้บอกว่าหากคิดถึงแม่ ให้นำด้ายดิบมาฟั่นเป็นตีนกาจุดเป็นประทีปบูชาในวันยี่เป็ง ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายประทีสตีนกา จึงทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ (คัมภีร์อานิสงส์ผางประทีส, ม.ป.ป.)
ผางประทีส หรือผางประทีป เป็นเครื่องสักการบูชาในพระพุทธศาสนา คำว่า ผาง คือ ภาชนะดินเผาคล้ายถ้วยเล็กๆ ใช้เป็นถ้วยสำหรับใส่ขี้ผึ้งหรือน้ำมันและไส้ของประทีสที่ทำมาจากเส้นฝ้าย ส่วนคำว่า ประทีส คือแสงสว่าง

ในช่วงประเพณียี่เป็ง ชาวล้านนานิยมจุดผางประทีสเป็นพุทธบูชา สืบเนื่องมาจากตำนานพระพุทธเจ้าห้าพระองค์ ได้แก่ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระโคตม (พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน) พระศรีอริยะเมตไตร พระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ได้ถือกำเนิดจากแม่กาเผือก และวันหนึ่งขณะที่แม่กาออกไปหาอาหารได้เกิดพายุทำให้ไข่ทั้งห้าฟองของแม่กาเผือกถูกพัดตกจากรังไหลไปตามแม่น้ำ มีแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โค และแม่ราชสีห์เก็บไปเลี้ยง เมื่อไข่ทั้งห้าฟองฟักออกมาเป็นมนุษย์เป็นเพศชาย และได้บวชเป็นฤๅษีทั้งห้าองค์ เมื่อฤๅษีทั้งห้าได้พบกัน จึงไต่ถามถึงมารดาของแต่ละองค์ แต่ละองค์ก็ตอบว่า แม่ไก่เก็บมาเลี้ยง แม่นาคเก็บมาเลี้ยง แม่เต่าเก็บมาเลี้ยง แม่โคเก็บมาเลี้ยง และแม่ราชสีห์เก็บมาเลี้ยง ฤๅษีทั้งห้าองค์จึงสงสัยว่า แม่ที่แท้จริงของตนเป็นใคร จึงพากันอธิษฐานขอให้ได้พบแม่ ด้วยคำอธิษฐาน จึงทำให้พกาพรหมผู้เป็นแม่ได้แปลงกายเป็นกาเผือกบินลงมาเล่าเรื่องในอดีตให้ฤๅษีทั้งห้าฟัง และได้บอกว่าหากคิดถึงแม่ ให้นำด้ายดิบมาฟั่นเป็นตีนกาจุดเป็นประทีปบูชาในวันยี่เป็ง ด้วยอานิสงส์แห่งการถวายประทีสตีนกา จึงทำให้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ (คัมภีร์อานิสงส์ผางประทีส, ม.ป.ป.)
S__20242446.jpg (90.52 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ น้องแดง หลานนก และทุกท่าน

..โพสท์สุดท้าย สรุปได้เยี่ยม ขอบคุณมากครับ.
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D เราพักเหนื่อยกันที่ยอดดอยขุนตานนานพอสมควร นานจนไม่อยากเดินทางอยากแต่นอนเพราะลมเย็นพัดสบาย ก็เป็นสูตรที่พูด ๆ กันว่า เวลาเดินทางอย่าพักนานถ้าพักจนเหงื่อแห้งจะทำให้เราขี้เกียจเดินทาง เท็จจริงเชิญไปพิสูจน์กันนะครับ สำหรับตัวผมเองแล้วไม่ค่อยใส่ใจเนื่องจากว่าเราคือ Touring ไม่ใช่ ทัวร์รีบ ไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก หิวก็กิน ค่ำก็นอน หน้าที่ ๆ สำคัญคือแสวงหาตามดู ค้นให้พบเกี่ยวกับสัจธรรมของชีวิตเพราะแต่ละท้องที่จะมีดีที่แตกต่างกันไป เราอาจจะไปบรรลุ ณ จุดใดจุดหนึ่ง..นี่บอกไม่ได้

เราไหลไปจนถึงกาดแม่ทา ณ จุดนี้อีกเช่นกันที่เราเห็นชีวิตแต่ละชีวิตต้องดิ้นรน บางคนใช้คำว่ากระเสือกกระสนเพื่อให้มีชีวิตรอด กาดแม่ทาเป็นอีกกาดหนึ่งทีไม่ธรรมดา (กาด คือ ตลาด) ชาวบ้านหาของป่ามาขาย แต่เดิมผมจำได้เป็นแค่กระต๊อบเล็ก ๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว กาดแม่ทาเทียบเท่ากาดทุ่งเกวียนแล้ว เผลอ ๆ จะยิ่งใหญ่กว่าก็เป็นได้ สิ่งของผลิตผลจากป่าไม่แพ้ทุ่งเกวียน แล้วจะรู้สึกได้ว่ามีขายและขายซื้อได้ตลอด สด ใหม่ด้วย เนื่องจากการบริหารจัดการ ป่า ของชุมชนชาวบ้านทำได้ดีมากผมค้นหาเรื่องการอนุลักษณ์ป่าของคนในชุมชน จัดทำเป็นสารคดีโดย ไทยพีบีเอส อย่าลืมคลิกเข้าไปชมหาความรู้นะครับ ยิ่งคุณเป็นคนเมืองยิ่งต้องใส่ใจครับ :) :D





:) :D ที่กาดแม่ทาเราหาอะไรกินกัน ที่นี่สำหรับเราคงหากินได้แค่ น้ำพริกหนุ่ม ผักสดผักลวก ข้าวนึ่ง แค่นี้ครับเพราะตลาดส่วนใหญ่ไปทางอาหารเนื้อเยอะมาก ถูกใจคนทั่วไปครับ แต่น้ำพริกหนุ่มที่นี่การันตี มาทุกครั้งไม่พลาด เพราะอร่อยสดใหม่เสมอ ผักลวกก็สุดยอดมีหลายอย่างเรียกว่ถูกใจครับ หลังจากที่พักผ่อนเดินชมสินค้า กินอาหารเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ไหลไปจนถึงดอยติไปเจอร้านกาแห ณ ละปูน ก็แวะชิมกาแฟขนมเค็กกันเป็นการผ่อนคลาย มีเวลาเหลือเฟือถึงแน่บ้าน :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
มือถือ (14).JPG
มือถือ (14).JPG (132.34 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
มือถือ (16).JPG
มือถือ (16).JPG (56.62 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (765).JPG
ปั่นแสวงบุญ (765).JPG (352.53 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (767).JPG
ปั่นแสวงบุญ (767).JPG (238.01 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (770).JPG
ปั่นแสวงบุญ (770).JPG (258.81 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (771).JPG
ปั่นแสวงบุญ (771).JPG (229.54 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (772).JPG
ปั่นแสวงบุญ (772).JPG (258.72 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (773).JPG
ปั่นแสวงบุญ (773).JPG (265.59 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
มุ่งหน้า เข้าสู่ จ.เชียงใหม่ ก่อนถึง ลำพูนจะมีรถจอดอยู่ข้างทางตลอดแนว อย่านึกว่ามีการก่อม๊อบนะครับ<br /><br />             ที่นี่เป็นตลาดของป่าที่ขึ้นชื่อและใหญ่มากที่หนึ่งของเมืองเหนือนามว่า “กาดแม่ทา ดอนแก้ว” ตลาดแห่งนี้ใครเป็นผู้ก่อตั้งไม่มีใครทราบ แต่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมชาวบ้านจะออกมาหาของป่าแถวป่าแม่ทานี่แหละ ตอนยามบ่ายเดินทางกลับบ้านก็เดินเรียบมาตามถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง เพื่อความรวดเร็ว คนขับผ่านไป ผ่านมาเห็นก็จอดถามขอซื้อของป่า นานๆไปถามกันบ่อยก็เลยตั้งเพิงไม้ เป็นจุดขายของป่าซะเลย จนมีพ่อค้าแม่ค้ามากขึ้นกลายเป็นจุดค้าขายที่ทำรายได้มากโขต่อวัน ส่วนมากจะเป็นของป่าตามฤดูกาล  เช่น หมูป่า ผักพื้นเมือง หรือ ผักจากป่าต่างๆที่หาซื้อได้ยากในเมือง  เห็ดป่า หน่อไม้  รวมถึง ผักต่างๆ ที่ชาวบ้านปลูกเอง และนำมาขาย ทุกวัน แต่ที่แน่ๆหากินไม่ได้ง่ายๆในเมืองก็แล้วกัน<br /><br />ที่ตั้ง : ม.12 บ้านดอยแก้ว ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จ.ลำพูน
มุ่งหน้า เข้าสู่ จ.เชียงใหม่ ก่อนถึง ลำพูนจะมีรถจอดอยู่ข้างทางตลอดแนว อย่านึกว่ามีการก่อม๊อบนะครับ

ที่นี่เป็นตลาดของป่าที่ขึ้นชื่อและใหญ่มากที่หนึ่งของเมืองเหนือนามว่า “กาดแม่ทา ดอนแก้ว” ตลาดแห่งนี้ใครเป็นผู้ก่อตั้งไม่มีใครทราบ แต่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมชาวบ้านจะออกมาหาของป่าแถวป่าแม่ทานี่แหละ ตอนยามบ่ายเดินทางกลับบ้านก็เดินเรียบมาตามถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง เพื่อความรวดเร็ว คนขับผ่านไป ผ่านมาเห็นก็จอดถามขอซื้อของป่า นานๆไปถามกันบ่อยก็เลยตั้งเพิงไม้ เป็นจุดขายของป่าซะเลย จนมีพ่อค้าแม่ค้ามากขึ้นกลายเป็นจุดค้าขายที่ทำรายได้มากโขต่อวัน ส่วนมากจะเป็นของป่าตามฤดูกาล เช่น หมูป่า ผักพื้นเมือง หรือ ผักจากป่าต่างๆที่หาซื้อได้ยากในเมือง เห็ดป่า หน่อไม้ รวมถึง ผักต่างๆ ที่ชาวบ้านปลูกเอง และนำมาขาย ทุกวัน แต่ที่แน่ๆหากินไม่ได้ง่ายๆในเมืองก็แล้วกัน

ที่ตั้ง : ม.12 บ้านดอยแก้ว ต.ทาสบเส้า อ.แม่ทา จ.ลำพูน
ปั่นแสวงบุญ (775).JPG (271.16 KiB) เข้าดูแล้ว 235 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (776).JPG
ปั่นแสวงบุญ (776).JPG (257.6 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (777).JPG
ปั่นแสวงบุญ (777).JPG (206.03 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (779).JPG
ปั่นแสวงบุญ (779).JPG (313.1 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (780).JPG
ปั่นแสวงบุญ (780).JPG (288.86 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (781).JPG
ปั่นแสวงบุญ (781).JPG (234.27 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (783).JPG
ปั่นแสวงบุญ (783).JPG (304.45 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (784).JPG
ปั่นแสวงบุญ (784).JPG (236.13 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (785).JPG
ปั่นแสวงบุญ (785).JPG (350.67 KiB) เข้าดูแล้ว 234 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D ก่อนเข้าเมืองลำพูนต้องถึงสามแยกดอยติ จุดที่สร้างอนุเสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยนัยว่าน่าจะเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งเด่นเป็นสง่าประกาศศักดาบารมีที่องค์ครูบาท่านมีคุณูปการกับคนลำพูนขนาดไหนอย่างไร ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

วัดดอยติ ลำพูน นายดนัย ชนกล้าหาญ ประชาสัมพันธ์จังหวัดลำพูน เปิดเผยว่า จังหวัดลำพูน เป็นเมืองที่มีสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญมากมาย และเป็นเมืองนักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนา คือ ครูบาศรีวิชัย ซึ่งมีอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ตั้งอยู่เชิงดอยติ บริเวณวัดดอยติ ตำบลป่าสัก ห่างจากตัวเมืองลำพูนประมาณ 5 กิโลเมตร

“อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยใหญ่ที่สุด บนวัดดอยติลำพูน” ตั้งอยู่บนเส้นทางไฮเวย์ลำพูน-เชียงใหม่ ริมทางหลวง และถือเสมือนเป็นประตูเมืองของจังหวัดลำพูน ผู้ที่ขับรถสายนี้ผ่านไป-มา จะเห็นอนุสาวรีย์ พระรูปครูบาศรีวิชัยนั่งสมาธิ เด่นอยู่บนเนินยอดดอยวัดพระธาตุดอยติ อันนับได้ว่าเป็นพระรูปครูบาศรีวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่เคยเห็นมาครูบาเจ้าศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนา เป็นชาวลำพูนโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2421 ที่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ถึงปีนี้ครบ 136 ปี ครูบาเจ้าศรีวิชัย เป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่ชาวลำพูน และชาวล้านนาให้ความเคารพนับถือ ด้วยความเสื่อมใสศรัทธาและระลึกถึงพระคุณของท่าน ที่ได้เป็นผู้นำพุทธศาสนิกชน ในการทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาในล้านนาให้มั่นคงสืบมาจนถึงปัจจุบัน หลังจากที่จัดพิธีพระราชทานเพลิงสรีระของท่าน ณ วัดจามเทวีแล้ว ได้จัดสร้างสถูปหรือกู่บรรจุอัฏฐิไว้ ณ ที่แห่งนี้ เพื่อให้พุทธศาสนิกชน ได้สักการบูชา โดยได้จัดประเพณีดำหัวกู่ครูบาเจ้าศรีวิชัย มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจังหวัดลำพูนได้จัดสร้างรูปปั้นครูบาศรีวิชัยขนาดหน้าตักกว้าง 18 เมตร ความสูง 21 เมตร ประดิษฐานที่วัดดอยติริมถนนทางหลวงหมายเลข 11 เส้นทางลำพูน - เชียงใหม่ ตำบลป่าสัก อำเภอเมืองจังหวัดลำพูน ซึ่งการก่อสร้างได้เสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2555 จึงได้จัดพิธีบรรจุหัวใจรูปปั้นครูบาศรีวิชัยขึ้น ประกอบพิธีมังคลาภิเษกเหรียญทองฝาบาตรครูบาศรีวิชัยจำนวน 99,999 เหรียญและหัวใจครูบาศรีวิชัย ประกอบพิธีบรรจุหัวใจครูบาศรีวิชัย โดยมีพระเกจิอาจารย์จากวัดต่าง ๆ หลายแห่งได้มาร่วมเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อความเป็นสิริมงคลในทุกๆปีพุทธศาสนิกชน ชาว จ.ลำพูน และ จังหวัดใกล้เคียง จะร่วมกันทำบุญสรงน้ำอนุสาวรีย์ ครูบาศรีวิชัย โดยจัดขึ้น ในวันที่ 11 มิถุนายน ของทุกปีเพื่อ เป็นการระลึกถึง คุณความดี ของ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ที่ มี ต่อชาว ล้านนา และเพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติประวัติ ของครูบาเจ้าศรีวิชัย ซึ่ง มีถิ่นกำเนิด ที่ จ.ลำพูน ให้ พุทธศาสนิกชน ทั่วไป รู้จัก มากยิ่งขึ้น


เราแวะที่ร้านกาแฟชื่อว่า ณ หละปูน เข้าไปทดลองชิมกาแฟและขนมเค็ก ก็อร่อยใช้ได้ก่อนที่จะเดินทางต่อไปช่วงนั้นอากาศค่อนข้างร้อน เราต้องหลบเข้าเส้นใน(ตัวเมือง) ไม่ไปตามสายไฮเวย์รถจะเยอะและเป็นรถใหญ่อันตราย(ขับกันเร็วมาก) แวะเที่ยวชมวัดสันป่ายางหลวงซึ่งเป็นวัดอีกวัดหนึ่งที่การันตีความสวยงามอลังการงานสร้าง เรียกว่าท้าให้ไปพิสูจน์เราผ่านไปผ่านมา ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะคิดว่าเหมาะที่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากกว่าจะเป็นวัด แต่ที่ไหนได้เราคิดผิดมานานทีเดียวเพราะที่นี่เป็นวัดปฏิบัติที่ชาวลำพูนพากันมาปฏิบัติธรรมมากพอสมควร เมื่อเข้าไปเที่ยวชมในวัดเราจึงคิดได้ว่า "เราคิดผิด"
ไฟล์แนบ
1217304.jpg
1217304.jpg (31.99 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
200px-Venuvana4.jpg
200px-Venuvana4.jpg (29.03 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
907.jpg
907.jpg (86.23 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
35179.jpg
35179.jpg (231.45 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
มือถือ (353).JPG
มือถือ (353).JPG (294.15 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ในภาพขอให้สังเกตุผู่หญิงที่ยืนหันหลังรูปร่างอ้วน ๆ เรียกว่าอ้วนมาก ในขณะที่ตัวเธออ้วน เธอก็มีน้ำใจที่อ้วนตามไปกับตัวเธอ น่ารักมากครับเธอเห็นเราปั่นกันมาแต่ในถนนเมื่อเราแวะที่ร้าน ณ หละปูน เธอกับเพื่อนที่ขับรถตามมาและมาแวะหาดื่มกาแฟเหมือนเรา แกขอทำหน้าที่เสริฟน้ำเย็นให้พวกเราพร้อมกับพูดว่า &quot;ขอชื่นชมและศรัทธาในความมุ่งมั่นที่พี่ ๆ ปั่นจักรยานมาแต่ไกล&quot; บรรยากาศในวันนั้นทำให้ทุกสิ่งอย่างสดใสงดงามไปหมด น้ำใจเป็นเรื่องสำคัญคนไม่รู้จักกันแสดงน้ำใจให้กันและกันมันงดงามมาก ๆ เคยเข้าไปอ่านข้อเขียนของนักจิตวิทยาท่านหนึ่งเขียนได้ดีมากขอตัดลอกมาให้ได้ศึกษากันครับ<br /><br />การอยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกัน จึงจะอยู่กันได้อย่างสันติสุขความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมายเพียงแต่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นการแสดงน้ำใจได้ เช่นการพาเด็กหรือผู้สูงอายุข้ามถนน หรือการสละที่นั่งบนรถโดยสารให้หญิงมีครรภ์ เป็นต้น ก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจการแสดงความมีน้ำใจจึงไม่ใช่วัดกันด้วยเงิน บางคนมีเงินมากอาจแล้งน้ำใจก็ได้ บางคนเป็นเศรษฐีแต่ตระหนี่ถี่เหนี่ยว ไม่ยอมสละเงินโดยไม่รับผลประโยชน์ตอบแทน  <br />    <br />ความมีน้ำใจนั้น ตรงกันข้ามกับความเห็นแก่ตัวมักจะคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวมาก่อน และความมีน้ำใจตรงกันข้ามกับความอิจฉาริษยา คนที่อิจฉาริษยาคนอื่นย่อมปรารถนาที่จะเห็นความวิบัติของผู้ที่ได้ดีกว่า แต่คนมีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นดีกว่า จะมีมุทิตาจิต แสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจผู้มีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า จะมีมุทิตาจิตแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ ผู้มีน้ำใจจะนึกถึงผู้อื่น และจะพยายามช่วยผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ผู้มีน้ำใจจึงเป็นที่รักและต้องการของคนเราอาจฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจได้ ดังนี้  <br />    <br />1.  จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงหัวอกของคนอื่น และแสดงต่อผู้อื่นเหมือนที่เราต้องการให้คนอื่นแสดงต่อเรา จงทำดีต่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าความดีนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยหรือสิ่งยิ่งใหญ่ก็ตาม  <br />    <br />2.  จงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ  <br />    <br />3.  จงแสดงน้ำใจกับคนรอบข้าง เช่น เมื่อเวลาไปเที่ยวในที่ไกลหรือใกล้ก็ตามควรมีค่าของฝากมาถึงคนที่เรารู้จักและญาติมิตรของเรา อันเป็นการแสดงความมีน้ำใจต่อกัน ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมากมาย  <br />    <br />4.  จงเสียสละกำลังทรัพย์ สติปัญญา กำลังกาย และเวลาให้แก่ผู้เดือดร้อนที่ต้องการพึ่งพาอาศัยเราโดยเป็นการกระทำที่ไม่หวังผลตอบแทน  <br />    <br />5.  จงมีนิสัยเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนบ้าน เช่นไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ หรืองานอื่น ๆ  <br />    <br />6.  จงให้ความรักแก่คนอื่น ๆ และให้ความร่วมมือเมื่อเขาขอร้องหรือรู้ว่าเขากำลังลำบากต้องการความช่วยเหลือ  <br />    <br />การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจ นอกจากจะทำให้เราจิตใจที่ดีงามเบิกบานแจ่มใส ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าอิ่มเอิบแล้ว ยังทำให้มิตรสหายมาก ใครก็อยากคบหาสมาคมด้วย เพราะความมีน้ำใจแสดงถึงความมีเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ และความเมตตานี้เองจะเป็นกำแพงป้องกันภัยให้เราได้ ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ แล้วชีวิตจะพบแต่ความสุขนิรันดร์  <br />    <br />(ที่มา)   ศิริจันทร์ สุขใจ   พยาบาลวิชาชีพ
ในภาพขอให้สังเกตุผู่หญิงที่ยืนหันหลังรูปร่างอ้วน ๆ เรียกว่าอ้วนมาก ในขณะที่ตัวเธออ้วน เธอก็มีน้ำใจที่อ้วนตามไปกับตัวเธอ น่ารักมากครับเธอเห็นเราปั่นกันมาแต่ในถนนเมื่อเราแวะที่ร้าน ณ หละปูน เธอกับเพื่อนที่ขับรถตามมาและมาแวะหาดื่มกาแฟเหมือนเรา แกขอทำหน้าที่เสริฟน้ำเย็นให้พวกเราพร้อมกับพูดว่า "ขอชื่นชมและศรัทธาในความมุ่งมั่นที่พี่ ๆ ปั่นจักรยานมาแต่ไกล" บรรยากาศในวันนั้นทำให้ทุกสิ่งอย่างสดใสงดงามไปหมด น้ำใจเป็นเรื่องสำคัญคนไม่รู้จักกันแสดงน้ำใจให้กันและกันมันงดงามมาก ๆ เคยเข้าไปอ่านข้อเขียนของนักจิตวิทยาท่านหนึ่งเขียนได้ดีมากขอตัดลอกมาให้ได้ศึกษากันครับ

การอยู่ร่วมกันในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีน้ำใจไมตรีที่ดีต่อกัน จึงจะอยู่กันได้อย่างสันติสุขความมีน้ำใจเป็นเรื่องที่ทุกคนทำได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทองมากมายเพียงแต่แสดงความเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ โดยการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เป็นการแสดงน้ำใจได้ เช่นการพาเด็กหรือผู้สูงอายุข้ามถนน หรือการสละที่นั่งบนรถโดยสารให้หญิงมีครรภ์ เป็นต้น ก็นับว่าเป็นการแสดงน้ำใจการแสดงความมีน้ำใจจึงไม่ใช่วัดกันด้วยเงิน บางคนมีเงินมากอาจแล้งน้ำใจก็ได้ บางคนเป็นเศรษฐีแต่ตระหนี่ถี่เหนี่ยว ไม่ยอมสละเงินโดยไม่รับผลประโยชน์ตอบแทน

ความมีน้ำใจนั้น ตรงกันข้ามกับความเห็นแก่ตัวมักจะคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัวมาก่อน และความมีน้ำใจตรงกันข้ามกับความอิจฉาริษยา คนที่อิจฉาริษยาคนอื่นย่อมปรารถนาที่จะเห็นความวิบัติของผู้ที่ได้ดีกว่า แต่คนมีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นดีกว่า จะมีมุทิตาจิต แสดงความยินดีด้วยอย่างจริงใจผู้มีน้ำใจนั้นเมื่อเห็นคนอื่นได้ดีกว่า จะมีมุทิตาจิตแสดงความยินดีด้วยความจริงใจ ผู้มีน้ำใจจะนึกถึงผู้อื่น และจะพยายามช่วยผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่า ผู้มีน้ำใจจึงเป็นที่รักและต้องการของคนเราอาจฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจได้ ดังนี้

1. จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา คิดถึงหัวอกของคนอื่น และแสดงต่อผู้อื่นเหมือนที่เราต้องการให้คนอื่นแสดงต่อเรา จงทำดีต่อคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ว่าความดีนั้นจะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยหรือสิ่งยิ่งใหญ่ก็ตาม

2. จงเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ

3. จงแสดงน้ำใจกับคนรอบข้าง เช่น เมื่อเวลาไปเที่ยวในที่ไกลหรือใกล้ก็ตามควรมีค่าของฝากมาถึงคนที่เรารู้จักและญาติมิตรของเรา อันเป็นการแสดงความมีน้ำใจต่อกัน ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมากมาย

4. จงเสียสละกำลังทรัพย์ สติปัญญา กำลังกาย และเวลาให้แก่ผู้เดือดร้อนที่ต้องการพึ่งพาอาศัยเราโดยเป็นการกระทำที่ไม่หวังผลตอบแทน

5. จงมีนิสัยเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลต่อเพื่อนบ้าน เช่นไปร่วมงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแต่งงาน งานศพ หรืองานอื่น ๆ

6. จงให้ความรักแก่คนอื่น ๆ และให้ความร่วมมือเมื่อเขาขอร้องหรือรู้ว่าเขากำลังลำบากต้องการความช่วยเหลือ

การฝึกฝนตนเองให้เป็นคนมีน้ำใจ นอกจากจะทำให้เราจิตใจที่ดีงามเบิกบานแจ่มใส ผิวพรรณผ่องใสใบหน้าอิ่มเอิบแล้ว ยังทำให้มิตรสหายมาก ใครก็อยากคบหาสมาคมด้วย เพราะความมีน้ำใจแสดงถึงความมีเมตตา กรุณา ต่อเพื่อนมนุษย์ และความเมตตานี้เองจะเป็นกำแพงป้องกันภัยให้เราได้ ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ แล้วชีวิตจะพบแต่ความสุขนิรันดร์

(ที่มา) ศิริจันทร์ สุขใจ พยาบาลวิชาชีพ
มือถือ (354).JPG (227.45 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
มือถือ (357).JPG
มือถือ (357).JPG (260.28 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
มือถือ (358).JPG
มือถือ (358).JPG (217.05 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (786).JPG
ปั่นแสวงบุญ (786).JPG (292.4 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (787).JPG
ปั่นแสวงบุญ (787).JPG (360.01 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (793).JPG
ปั่นแสวงบุญ (793).JPG (225.74 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (794).JPG
ปั่นแสวงบุญ (794).JPG (200.65 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (795).JPG
ปั่นแสวงบุญ (795).JPG (256.88 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (796).JPG
ปั่นแสวงบุญ (796).JPG (218.42 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (797).JPG
ปั่นแสวงบุญ (797).JPG (221.62 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
วัดสันป่ายางหลวง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสันป่ายางหลวงตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน  เป็นวัดที่ติด 1 ใน 5 วัดที่สวยที่สุด ในประเทศไทย<br /><br /> ภายในวัดสันป่ายางหลวงมีการแกะสลักลวดลายปูนปั้นไว้อย่างวิจิตรงดงาม โดยเฉพาะวิหารพระโขงเขียว มีการแกะสลักละลายปูนปั้นที่สร้างไว้ในพระวิหารอย่างละเอียดและวิจิตรสวยงามยิ่งแม้กระทั่งมุมหน้าจั่ว เชิงเพดานหลังคาด้านหน้า ด้านข้าง และ ด้านหลัง รวมทั้งเสาพระวิหารก็จะมีลายแกะสลักลงรักปิดทองไว้ แม้ถึงบ้านประตู-หน้าต่าง ทุกบาน  วิหารพระโขงเขียว  สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 เป็นที่ประดิษฐานพระหยกเขียวซึ่งนำมาจากแม่น้ำโขง พระนามเต็มของ พระเขียว คือ พระพุทธอัญญรัตน มหานทีศรีหริภุญชัย ซึ่งเหมือนพระพุทธศีศากยโคดม องค์ปัจจุบัน และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ด้านล่างพระโขงเขียว คือ พระพุทธเมตไตรจำลองมาจากพุทธคยาตอนที่พระพุทธเจ้าโคตรมะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br /><br />วิหารพระเขียวโขงเมื่อมองจากด้านหน้าจะมีหลังคา 5 ชั้น มีช่อฟ้า 5 ตัว หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ ด้านหลังอีก 3 หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา หมายถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเพื่อเดินเข้าสู่พระนิพพาน หน้า 5 รวมหลัง 3 รวมเป็น 8 หมายถึง ต้องปฏิบัติตาม ทางสายกลาง คือ มรรค 8 ได้ธรรมมัชฌิมา ทางสายกลางคือ 9 เป็นโลกุตตรธรรม ตรงกลางหลังคามี เรือหงษ์ และฉัตร หมายถึง โลกุตตรธรรม หรือ นิพพาน ความสงบดับเย็นจากกิเลศตัณหา ด้านล่างมีรูปปั้นผางประทีป เปรียบเหมือนรังกาและกาเผือกนอนในรัง รูปพรหมสี่หน้านั่งอยู่บนหลังกา หมายถึง กำเนิดตำนานผางประทีป  นอกจากจะมีวิหารที่สวยงามแล้ว ยังมีพระพุทธรูปหินหยกขาว ปางปรินิพพานที่สวยงามอีกด้วย<br /><br /><br />ประวัติวัดสันป่ายางหลวง <br />เดิมชื่อ “วัดขอมลำโพง” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1074 โดยชาวบ้านที่พร้อมใจกันสร้างขึ้นเพื่อถวายไว้ในบวรพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงนับเป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนาของแคว้นล้านนา หลังจากสร้างเสร็จจึงได้มีการอัญเชิญเอาพระอัฐิธาตุ ของพระอัครสาวก ของพระ พุทธองค์คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาบรรจุไว้ ณ ที่เจดีย์ของวัดสันป่ายางหลวง ต่อมา ในยุคเสื่อมของพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงก็กลายเป็นวัดร้าง จนมาถึงสมัยของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ของเมืองลำพูน จึงได้มีการฟื้นฟูวัดสันป่ายางหลวงด้วยการสร้าง ถาวรวัตถุ และมีการกำหนดเขตธรณีสงฆ์ขึ้นใหม่ พร้อมกับประทานชื่อวัดใหม่ว่า “วัดอาพัฒนารามป่าไม้ยางหลวง” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “วัดสันป่ายางหลวง” เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสถานที่ตั้ง เพราะในสมัยก่อน บริเวณดังกล่าวมีต้นยางขึ้นอย่างหนาทึบ  วัดนี้ยังใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระนางจามเทวีอีกด้วย
วัดสันป่ายางหลวง ตั้งอยู่ในหมู่บ้านสันป่ายางหลวงตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน เป็นวัดที่ติด 1 ใน 5 วัดที่สวยที่สุด ในประเทศไทย

ภายในวัดสันป่ายางหลวงมีการแกะสลักลวดลายปูนปั้นไว้อย่างวิจิตรงดงาม โดยเฉพาะวิหารพระโขงเขียว มีการแกะสลักละลายปูนปั้นที่สร้างไว้ในพระวิหารอย่างละเอียดและวิจิตรสวยงามยิ่งแม้กระทั่งมุมหน้าจั่ว เชิงเพดานหลังคาด้านหน้า ด้านข้าง และ ด้านหลัง รวมทั้งเสาพระวิหารก็จะมีลายแกะสลักลงรักปิดทองไว้ แม้ถึงบ้านประตู-หน้าต่าง ทุกบาน วิหารพระโขงเขียว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2548 เป็นที่ประดิษฐานพระหยกเขียวซึ่งนำมาจากแม่น้ำโขง พระนามเต็มของ พระเขียว คือ พระพุทธอัญญรัตน มหานทีศรีหริภุญชัย ซึ่งเหมือนพระพุทธศีศากยโคดม องค์ปัจจุบัน และมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ด้านล่างพระโขงเขียว คือ พระพุทธเมตไตรจำลองมาจากพุทธคยาตอนที่พระพุทธเจ้าโคตรมะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วิหารพระเขียวโขงเมื่อมองจากด้านหน้าจะมีหลังคา 5 ชั้น มีช่อฟ้า 5 ตัว หมายถึง พระเจ้า 5 พระองค์ ด้านหลังอีก 3 หมายถึง ศีล สมาธิ ปัญญา หมายถึงการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเพื่อเดินเข้าสู่พระนิพพาน หน้า 5 รวมหลัง 3 รวมเป็น 8 หมายถึง ต้องปฏิบัติตาม ทางสายกลาง คือ มรรค 8 ได้ธรรมมัชฌิมา ทางสายกลางคือ 9 เป็นโลกุตตรธรรม ตรงกลางหลังคามี เรือหงษ์ และฉัตร หมายถึง โลกุตตรธรรม หรือ นิพพาน ความสงบดับเย็นจากกิเลศตัณหา ด้านล่างมีรูปปั้นผางประทีป เปรียบเหมือนรังกาและกาเผือกนอนในรัง รูปพรหมสี่หน้านั่งอยู่บนหลังกา หมายถึง กำเนิดตำนานผางประทีป นอกจากจะมีวิหารที่สวยงามแล้ว ยังมีพระพุทธรูปหินหยกขาว ปางปรินิพพานที่สวยงามอีกด้วย


ประวัติวัดสันป่ายางหลวง
เดิมชื่อ “วัดขอมลำโพง” สร้างขึ้นในปี พ.ศ.1074 โดยชาวบ้านที่พร้อมใจกันสร้างขึ้นเพื่อถวายไว้ในบวรพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงนับเป็นวัดแห่งแรกในพุทธศาสนาของแคว้นล้านนา หลังจากสร้างเสร็จจึงได้มีการอัญเชิญเอาพระอัฐิธาตุ ของพระอัครสาวก ของพระ พุทธองค์คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มาบรรจุไว้ ณ ที่เจดีย์ของวัดสันป่ายางหลวง ต่อมา ในยุคเสื่อมของพุทธศาสนา วัดสันป่ายางหลวงก็กลายเป็นวัดร้าง จนมาถึงสมัยของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์ของเมืองลำพูน จึงได้มีการฟื้นฟูวัดสันป่ายางหลวงด้วยการสร้าง ถาวรวัตถุ และมีการกำหนดเขตธรณีสงฆ์ขึ้นใหม่ พร้อมกับประทานชื่อวัดใหม่ว่า “วัดอาพัฒนารามป่าไม้ยางหลวง” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “วัดสันป่ายางหลวง” เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพสถานที่ตั้ง เพราะในสมัยก่อน บริเวณดังกล่าวมีต้นยางขึ้นอย่างหนาทึบ วัดนี้ยังใช้เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระนางจามเทวีอีกด้วย
ปั่นแสวงบุญ (798).JPG (234.18 KiB) เข้าดูแล้ว 243 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D นี่แหละครับใกล้เกลือกินด่าง เราผ่านไปผ่านมาไม่ได้สนใจเลยวัดนี้ กลายป็นวัดที่สวยติดหนึ่งในห้าของประเทศไทย โอ..พระเจ้า ๕๕๕.ก็ยังดีนะที่เรามีบุญวาสนา โอกาสนี้ก็ไม่ทราบว่ามีอะไรดลใจให้เราต้องผ่านแล้วมาแวะ แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ครับเพราะทริปนี้ของเราเป็นทริปที่จะแสวงหาที่ปฏิบัติธรรมของพวกเรา สังเกตุนะครับตั้งแต่เริ่มเดินทางและนำเสนอมีหลาย ๆ ที่ที่เราเห็นพ้องต้องกันว่า มันสัปปายะมากอนาคตเราต้องไปหาประสบการณ์ทางธรรมะ ณ สถานที่ ๆ เรามีความเห็นทิ้งไว้แน่นอน ช่วงนี้เรามาคลิกชมความสวยงามของวัดที่ใคร ๆ เรียกว่าอลังการงานสร้างต้องขอบคุณผู้บันทึกวีดีโอชุดนี้มากครับ แม้จะไม่มีใครเข้าไปชมมากนักแต่พิจารณาแล้ว สไตล์เดียวกันก็เลยขอนำมาให้แฟนคลับของกระทู้นี้ได้ชม ขอบคุณอีกครั้งนะครับ :) :)




คลิกชมภาพแล้วนะครับ แล้วคราวนี้ขอให้มาชมภาพถ่ายที่ไม่ได้เรื่องของผมแสดงถึง ๑.ความเหนื่อยล้าและความร้อนทำให้ความสุนทรีย์ในการบันทึกภาพสูญเสียไป ๒.อาจจะไม่ใส่ใจหรือไม่ศรัทธาที่บังเกิดขึ้นในจิต(อกุศลจิต)จึงทำให้ความงามที่ใคร ๆ เห็นว่างดงาม แต่ตัวเรากลับผ่านเลยไปอย่างไม่น่าอภัย ผมกลับถึงบ้านยามว่างเปิดชมภาพนี้ทีไรได้ข้อคิด ใหม่ครับว่า ในครั้งต่อไปให้ระมัดระวังจิตของเราให้ดี เมื่อจะเข้าไปเยี่ยมชมวัดนั้น ๆ ขอให้คิดเสมอว่าแต่ละวัด ย่อมมีเทวดาอารักษณ์ที่คอยพิทักษ์ดูแลรักษาหากไปทำอะไรที่ไม่ดีงาม แม้ความคิด อาจจะพลาดในสิ่งที่ไม่ควรพลาด ดังเช่นที่ผมพลาดภาพที่สวยงามในครั้งนี้ ผมจะกลับไปเก็บภาพสวย ๆ มาให้ท่านชมอีกครั้ง โปรด ว.๐๐ (คอยครับ) :lol: :lol: :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
ปั่นแสวงบุญ (802).JPG
ปั่นแสวงบุญ (802).JPG (325.69 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (803).JPG
ปั่นแสวงบุญ (803).JPG (250.28 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (804).JPG
ปั่นแสวงบุญ (804).JPG (202.13 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (805).JPG
ปั่นแสวงบุญ (805).JPG (144.96 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (806).JPG
ปั่นแสวงบุญ (806).JPG (246.97 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (807).JPG
ปั่นแสวงบุญ (807).JPG (370.49 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (808).JPG
ปั่นแสวงบุญ (808).JPG (280.69 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (809).JPG
ปั่นแสวงบุญ (809).JPG (200.49 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (810).JPG
ปั่นแสวงบุญ (810).JPG (257.87 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (811).JPG
ปั่นแสวงบุญ (811).JPG (230.71 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (812).JPG
ปั่นแสวงบุญ (812).JPG (220.55 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (813).JPG
ปั่นแสวงบุญ (813).JPG (183 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (814).JPG
ปั่นแสวงบุญ (814).JPG (251.74 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (815).JPG
ปั่นแสวงบุญ (815).JPG (332.5 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆนานา เช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่า อกุศลวิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยาก บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นาน การห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ<br /><br />การคิดดี คิดไม่ดี ก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แม้แต่ความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นได้ เพราะยังมีกิเลสที่เป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลส  ซึ่งไม่สามารถจะบังคับไม่ให้คิดอย่างนั้นได้เลย แต่ต้องสะสมเหตุที่ถูกต้อง เพราะความคิดที่ดี และ ความคิดไม่ดีก็อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ความคิดที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความเห็นถูก คือ ปัญญา เป็นเหตุ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมาสัมกัปปะ คือ ความคิดที่ถูก เพราะฉะนั้น ก็ควรเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดความคิดไม่ดีได้แน่ แต่ที่สำคัญ ควรสะสมเหตุที่จะเกิดความคิดที่ดี คือ สะสมความเห็นถูก สะสมสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ เพราะ ถ้าไม่สะสมเหตุนี้ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้เลย เพราะไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดความคิดที่ดีได้ ครับ<br /><br />    ดังนั้น ก็ต้องสะสม อบรมปัญญาด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป ความคิดที่ถูก ที่ดี ก็จะเกิดเพิ่มขึ้น และ ความคิดที่ไม่ดี ก็จะน้อยลง ตามกำลังปัญญาที่เกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรม ผมต้องกลับไปทบทวนจิตของตนเองแล้วละครับ งานนี้เรียกว่าเสียหายหลายแสน ๕๕๕.
ธรรมชาติของจิต ไม่ชอบอยู่นิ่ง ชอบนึกคิดไปต่างๆนานา เช่น นึกคิดไปในทางกามบ้าง นึกคิดไปในทางอาฆาตพยาบาทบ้าง การนึกคิดในทางที่ไม่ดีเช่นนี้เรียกว่า อกุศลวิตก การห้ามจิตไม่ให้นึกคิดในทางอกุศลนั้น ทำได้ยาก บุคคลส่วนมากไม่ต้องการคิดในทางอกุศล แต่มักจะอดคิดไม่ได้ คิดจนนอนไม่หลับหรือเป็นโรคประสาทก็มี ตรงกันข้าม เมื่อต้องการคิดเรื่องที่เป็นบุญเป็นกุศล มักจะคิดในทางกุศลไม่ได้นาน การห้ามจิตไม่ให้คิดอกุศลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

การคิดดี คิดไม่ดี ก็เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา แม้แต่ความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นได้ เพราะยังมีกิเลสที่เป็นปุถุชนที่ยังหนาด้วยกิเลส ซึ่งไม่สามารถจะบังคับไม่ให้คิดอย่างนั้นได้เลย แต่ต้องสะสมเหตุที่ถูกต้อง เพราะความคิดที่ดี และ ความคิดไม่ดีก็อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ความคิดที่ดีจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยความเห็นถูก คือ ปัญญา เป็นเหตุ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูก ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด สัมมาสัมกัปปะ คือ ความคิดที่ถูก เพราะฉะนั้น ก็ควรเข้าใจความจริงว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดความคิดไม่ดีได้แน่ แต่ที่สำคัญ ควรสะสมเหตุที่จะเกิดความคิดที่ดี คือ สะสมความเห็นถูก สะสมสัมมาทิฏฐิ ซึ่งจะมีได้ ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม บ่อยๆ เนืองๆ เพราะ ถ้าไม่สะสมเหตุนี้ ก็ไม่มีทางเปลี่ยนความคิดได้เลย เพราะไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดความคิดที่ดีได้ ครับ

ดังนั้น ก็ต้องสะสม อบรมปัญญาด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป ความคิดที่ถูก ที่ดี ก็จะเกิดเพิ่มขึ้น และ ความคิดที่ไม่ดี ก็จะน้อยลง ตามกำลังปัญญาที่เกิดจากการฟัง ศึกษาพระธรรม ผมต้องกลับไปทบทวนจิตของตนเองแล้วละครับ งานนี้เรียกว่าเสียหายหลายแสน ๕๕๕.
ปั่นแสวงบุญ (816).JPG (293.26 KiB) เข้าดูแล้ว 242 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
NOKNICE
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 10311
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2012, 11:33
team: ไร้สังกัด,ปั่นตามใจตรู
Bike: MERIDA MATT 40D(ของแฟน),Trek8500 , Storck G2

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย NOKNICE »

อรุณสวัสดิ์เช้าวันจันทร์อันหนาวเย็นครับลุงแดง ลุงเนตรและทุกท่าน
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D เข้าไปเยี่ยมชมวัดสันป่ายางหลวงด้วยความ งง ทึ่ง สงสัย ฯ โดยเฉพาะลูกพี่ผม(ลุงป๊อก) ซึ่งรู้จักกับท่านเจ้าอาวาสวัดนี้เป็นอย่างดีเคยอุปการะค้ำจุนกันมาแต่นาน หลังจากเกษียณแล้วก็ห่างเหินกันไป ลุงถึงกับอ้าปากค้างและพูดว่า "ไม่น่าเชื่อจริง ๆ วัดจะเจริญก้าวหน้ามาถึงขนาดนี้ได้" ต้องไม่ธรรมดาแล้ว เราเดินชมรอบวัดได้เห็นญาติโยมมานั่งปฏิบัติธรรม นุ่งขาวห่มขาวและได้คุยสนทนากับบรรดาแม่ชี ทั้งชีจริงชีพรามณ์ต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า วัดนี้เน้นการปฏิบัติเป็นหลักและพระอาจารย์ก็เอาใจใส่ อบรมเทศนาสั่งสอนอย่างใกล้ชิด เป็นเรื่องที่ท้าทายให้อยากมาร่วมปฏิบัติด้วยแล้ว คงต้องจัดสรรเวลาแล้วล่ะครับ

เราอำลาวัดสันป่ายางหลวงโดยไม่ได้พบพระสักองค์ พบแต่ญาติโยมผู้มาปฏิบัติธรรมเดินทางกลับบ้าน ปั่นมาด้วยกันจนมาถึงทางแยกเข้าหมู่บ้าน ลุงป๊อกขออนุญาติไม่แวะบ้านขอกลับบ้านตัวเองในเมืองเชียงใหม่เลย ชวนนอนที่สารภีอีกสักคืนก็ไม่ยอม สงสัยคงคิดถึงป้า (๕๕)
ไฟล์แนบ
ลักษณะของผู้ที่ยังประมาทอยู่<br /><br />            ๑.        พวกกุสีตะ คือพวกไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี เป็นพวกเกียจคร้าน เช่น เวลาเรียนไม่ตั้งใจเรียนแต่อยากสอบได้ งานการไม่ทำ แต่ความดีความชอบจะเอา ไม่ทำประโยชน์แก่ใคร แต่อยากให้คนทั้งหลายนิยมชมชอบทานศีลภาวนาไม่ปฏิบัติ  แต่อยากไปสวรรค์ไปนิพพาน ฯลฯ<br /><br />            ๒.        พวกทุจริตะ คือพวกทำเหตุเสียแต่จะเอาผลดี เป็นพวกทำอะไรตามอำเภอใจ แต่อยากได้ผลดี เช่น ทำงานเหลวไหลเสียหาย แต่พอถึงเวลาพิจารณาผลงานอยากได้เงินเดือนเพิ่ม ๒ ขั้น  ปากเสียเที่ยวด่าว่าชาวบ้านทั่วเมือง  แต่อยากให้ทุกคนรักตัว ฯลฯ<br /><br />            ๓.        พวกสิถิละ คือพวกทำเหตุดีเล็กน้อยแต่จะเอาผลดีมากๆ เป็นพวกค้ากำไรเกินควร  เช่น จุดธูป ๓ ดอกบูชาพระ แต่จะเอาสวรรค์วิมาน มีนางฟ้าเทวดาคอยรับใช้นับหมื่นนับแสน  อ่านหนังสือแค่ ๑ ชั่วโมง  แต่จะเอาที่ ๑ ในชั้น  เลี้ยงข้าวเขาจานหนึ่ง  แต่จะให้เขาจงรักภักดีต่อตัวไปจนตาย<br /><br />            รวมความแล้วผู้ที่ยังประมาทอยู่มี ๓ จำพวก  คือพวกไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุเลวแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุน้อยแต่จะเอาผลมาก ส่วนผู้ไม่ประมาทในธรรม  มีคุณสมบัติตรงข้ามกับคน ๓ จำพวกดังกล่าว  คือจะต้องไม่เป็นคนดูเบาในการทำเหตุ ต้องทำแต่เหตุที่ดี ทำให้เต็มที่ และทำให้สมผล ผู้ที่ไม่ประมาททุกคนจะต้องมีสติอยู่เสมอ
ลักษณะของผู้ที่ยังประมาทอยู่

๑. พวกกุสีตะ คือพวกไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี เป็นพวกเกียจคร้าน เช่น เวลาเรียนไม่ตั้งใจเรียนแต่อยากสอบได้ งานการไม่ทำ แต่ความดีความชอบจะเอา ไม่ทำประโยชน์แก่ใคร แต่อยากให้คนทั้งหลายนิยมชมชอบทานศีลภาวนาไม่ปฏิบัติ แต่อยากไปสวรรค์ไปนิพพาน ฯลฯ

๒. พวกทุจริตะ คือพวกทำเหตุเสียแต่จะเอาผลดี เป็นพวกทำอะไรตามอำเภอใจ แต่อยากได้ผลดี เช่น ทำงานเหลวไหลเสียหาย แต่พอถึงเวลาพิจารณาผลงานอยากได้เงินเดือนเพิ่ม ๒ ขั้น ปากเสียเที่ยวด่าว่าชาวบ้านทั่วเมือง แต่อยากให้ทุกคนรักตัว ฯลฯ

๓. พวกสิถิละ คือพวกทำเหตุดีเล็กน้อยแต่จะเอาผลดีมากๆ เป็นพวกค้ากำไรเกินควร เช่น จุดธูป ๓ ดอกบูชาพระ แต่จะเอาสวรรค์วิมาน มีนางฟ้าเทวดาคอยรับใช้นับหมื่นนับแสน อ่านหนังสือแค่ ๑ ชั่วโมง แต่จะเอาที่ ๑ ในชั้น เลี้ยงข้าวเขาจานหนึ่ง แต่จะให้เขาจงรักภักดีต่อตัวไปจนตาย

รวมความแล้วผู้ที่ยังประมาทอยู่มี ๓ จำพวก คือพวกไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุเลวแต่จะเอาผลดี พวกทำเหตุน้อยแต่จะเอาผลมาก ส่วนผู้ไม่ประมาทในธรรม มีคุณสมบัติตรงข้ามกับคน ๓ จำพวกดังกล่าว คือจะต้องไม่เป็นคนดูเบาในการทำเหตุ ต้องทำแต่เหตุที่ดี ทำให้เต็มที่ และทำให้สมผล ผู้ที่ไม่ประมาททุกคนจะต้องมีสติอยู่เสมอ
BBs3oxYเมย์ รักชนก.jpg (17.73 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (อาจารย์ โกศล คงสมปราชญ์)<br /><br />บุคคลผู้เจริญงอกงามในชีวิต ก็เพราะประพฤติธรรม ส่วนบุคคลที่ประสบความลำบากยากจน ไม่มีคนนับถือก็เพราะไม่ประพฤติธรรม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ <br />           บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมประสบสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ด้วยอำนาจของการกระทำผู้ที่ทำกรรมดี ย่อมมีความสุขผู้ที่ทำกรรมชั่ว ย่อมมีความทุกข์<br /><br />             ความดีและความชั่วเป็นของเที่ยงธรรม ไม่มีลำเอียง ใครทำดีย่อมได้รับผลดี ใครทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว หว่านพืช เช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ธรรมดีย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ไม่ให้เดือดร้อน ทุกข์ใจ ดังพุทธภาษิตที่ว่า   “ธรรม ย่อมรักษาผู้มีปกติประพฤติธรรม (ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ)”    <br /><br />        ธรรมในพุทธภาษิตนี้หมายถึง กุศลธรรม กล่าวคือ ธรรมที่เป็นความฉลาด ความดี บุคคลทำแล้ว สุขใจ ไม่เดือดร้อน เป็นสุข นอนสบาย  บุคคลที่ทำแต่บาปกรรมย่อมอยู่ร้อนเป็นทุกข์ ไม่สุขใจจะประกอบสัมมาอาชีพก็ไม่เจริญ มีแต่คนตำหนิ ติเตียน ไม่คบค้าสมาคมด้วย เพราะการคบค้าสมาคมกับคนชั่ว พาตัวให้เดือดร้อน   <br /><br />        ส่วนบุคคลผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ  ย่อมมีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ไม่คิดเบียดเบียนใคร เพราะจิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีความเมตตารักใคร่ต่อคนทั่วไป   <br /><br />        บุคคลผู้ไม่ประพฤติธรรม ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลประเภทนี้ จะเป็นคนมีอายุสั้น มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำ เพราะโทษของการเบียดเบียนสัตว์   <br /><br />        บุคคลที่ชอบลักทรัพย์ผู้อื่น คือเอาสิ่งของผู้อื่นโดยเขาไม่ได้ให้ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เพราะคนที่เป็นขโมย ใคร ๆ ก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใกล้ ถ้าจะมีคนคบด้วย ก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน โทษของการลักทรัพย์ นอกจากจะทุกข์ ถูกจับติดตะรางในชาตินี้แล้ว ตายไปแล้ว จะไปเกิดในนรกจนกว่าจะหมดกรรมที่ทำไว้ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นคนยากจน ขัดสนอยู่ร่ำไป   <br /><br />        บุคคลที่ชอบประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่น ได้รับโทษในชาตินี้คือ จะไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย มีแต่คนเกลียดชัง อาจจะถูกทำร้าย ทำลายชีวิต ถ้ามีบุตรธิดา ก็จะเป็นคนประพฤติชั่วร้าย อาจจะถูกทำร้ายร่างกายให้ดับชีวิตสิ้นไปได้ เพราะภรรยาสามีใคร ใครก็รักหวงแหนไม่ต้องการให้ใครมาประพฤติล่วงสิทธิ์ของตน คนมีศีลธรรม ย่อมประพฤติหลีกเว้นเสีย ให้ห่างไกล   <br /><br />        บุคคลที่ชอบพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นประจำจะได้รับโทษในปัจจุบัน กล่าวคือ จะไม่มีใครเชื่อถือคำพูด บุตรธิดาก็ไม่เชื่อ สอนไม่ฟัง เป็นบิดามารดาของบุตรธิดา ควรพูดแต่ความจริงอันไพเราะ บุตรธิดาจะได้เอาอย่างเป็นแนวทางประพฤติตาม   <br /><br />         บุคคลที่ชอบดื่มน้ำเมา คือ สุราเมรัย ย่อมได้รับโทษ   6 ประการ คือ <br /><br />             เสียทรัพย์ซื้อสุรา    ก่อการทะเลาะวิวาทพราะเมา   เกิดโรคตามมาหลายชนิด   ถูกติเตียนยามเมาไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัว   ไม่รู้จักอายกลาทำเกินงาม   <br /><br />    ปัญญาเสื่อมเพราะถูกพิษสุราทำลาย หากหวังความเจริญจงอย่ายินดีในความชั่วแม้มันจะให้ประโยชน์มากก็ตามเพราะไม่นานก็ย่อมทำลายความดีในตัวเราได้   <br /><br />             บุคคลที่ต้องการจะเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป จะต้องตั้งอยู่ในศีล  5 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย บุคคลที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ต้องอาศัยศีล 5 เป็นที่ตั้ง  <br /><br />        ดังมีเรื่องเล่าว่า นางสุชาดา ภรรยาของพระอินทร์ ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นนางนกกระยางที่ลำธารแห่งหนึ่ง ท้าวสักกะเทวราช ทรงตรวจสอบดูอัครมเหสีของตนก็ทรงทราบว่า นางสุธัมมา นางสุนันทา นางสุจิตตา บังเกิดแล้วในสวรรค์ ส่วนนางสุชาดา เกิดเป็นนางนกกระยาง ก็ทรงสลดพระทัย ทรงคิดจะช่วยนางให้เกิดเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ จึงสั่งสอนนางนกกระยางให้ถือศีล  5 นางนกกระยางสิ้นชีวิตแล้ว จึงไปเกิดบนสวรรค์ ด้วยอานุภาพของศีล  <br /><br />        ผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมและประพฤติธรรม บุคคลผู้ประพฤติธรรมชื่อรักษาตนและคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยพิบัติ ในชาตินี้และชาติหน้าได้โดยแท้   <br /><br />        บุคคลผู้ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ ธรรมก็ย่อมคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขเจริญงอกงาม ทั้งทางโลกและทางธรรม บุคคลผู้ประพฤติธรรม ก็เหมือนคนอาบน้ำชำระร่างกาย ให้สะอาดปราศจากมลทิน ฉะนั้น   <br /><br />         บุคคลผู้เจริญงอกงามในชีวิต ก็เพราะประพฤติธรรม ส่วนบุคคลที่ประสบความลำบากยากจน ไม่มีคนนับถือก็เพราะไม่ประพฤติธรรม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ ให้ได้มรรคผลและนิพพาน ตามสมควรแก่ความประพฤติ
ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม (อาจารย์ โกศล คงสมปราชญ์)

บุคคลผู้เจริญงอกงามในชีวิต ก็เพราะประพฤติธรรม ส่วนบุคคลที่ประสบความลำบากยากจน ไม่มีคนนับถือก็เพราะไม่ประพฤติธรรม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ
บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมประสบสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ด้วยอำนาจของการกระทำผู้ที่ทำกรรมดี ย่อมมีความสุขผู้ที่ทำกรรมชั่ว ย่อมมีความทุกข์

ความดีและความชั่วเป็นของเที่ยงธรรม ไม่มีลำเอียง ใครทำดีย่อมได้รับผลดี ใครทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว หว่านพืช เช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ธรรมดีย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ไม่ให้เดือดร้อน ทุกข์ใจ ดังพุทธภาษิตที่ว่า “ธรรม ย่อมรักษาผู้มีปกติประพฤติธรรม (ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ)”

ธรรมในพุทธภาษิตนี้หมายถึง กุศลธรรม กล่าวคือ ธรรมที่เป็นความฉลาด ความดี บุคคลทำแล้ว สุขใจ ไม่เดือดร้อน เป็นสุข นอนสบาย บุคคลที่ทำแต่บาปกรรมย่อมอยู่ร้อนเป็นทุกข์ ไม่สุขใจจะประกอบสัมมาอาชีพก็ไม่เจริญ มีแต่คนตำหนิ ติเตียน ไม่คบค้าสมาคมด้วย เพราะการคบค้าสมาคมกับคนชั่ว พาตัวให้เดือดร้อน

ส่วนบุคคลผู้ประพฤติธรรมเป็นปกติ ย่อมมีจิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ไม่คิดเบียดเบียนใคร เพราะจิตใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม มีความเมตตารักใคร่ต่อคนทั่วไป

บุคคลผู้ไม่ประพฤติธรรม ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลประเภทนี้ จะเป็นคนมีอายุสั้น มีแต่โรคภัยไข้เจ็บเป็นประจำ เพราะโทษของการเบียดเบียนสัตว์

บุคคลที่ชอบลักทรัพย์ผู้อื่น คือเอาสิ่งของผู้อื่นโดยเขาไม่ได้ให้ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย เพราะคนที่เป็นขโมย ใคร ๆ ก็ไม่ชอบ ไม่เข้าใกล้ ถ้าจะมีคนคบด้วย ก็จะเป็นคนประเภทเดียวกัน โทษของการลักทรัพย์ นอกจากจะทุกข์ ถูกจับติดตะรางในชาตินี้แล้ว ตายไปแล้ว จะไปเกิดในนรกจนกว่าจะหมดกรรมที่ทำไว้ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นคนยากจน ขัดสนอยู่ร่ำไป

บุคคลที่ชอบประพฤติผิดในภรรยาของผู้อื่น ได้รับโทษในชาตินี้คือ จะไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย มีแต่คนเกลียดชัง อาจจะถูกทำร้าย ทำลายชีวิต ถ้ามีบุตรธิดา ก็จะเป็นคนประพฤติชั่วร้าย อาจจะถูกทำร้ายร่างกายให้ดับชีวิตสิ้นไปได้ เพราะภรรยาสามีใคร ใครก็รักหวงแหนไม่ต้องการให้ใครมาประพฤติล่วงสิทธิ์ของตน คนมีศีลธรรม ย่อมประพฤติหลีกเว้นเสีย ให้ห่างไกล

บุคคลที่ชอบพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ เป็นประจำจะได้รับโทษในปัจจุบัน กล่าวคือ จะไม่มีใครเชื่อถือคำพูด บุตรธิดาก็ไม่เชื่อ สอนไม่ฟัง เป็นบิดามารดาของบุตรธิดา ควรพูดแต่ความจริงอันไพเราะ บุตรธิดาจะได้เอาอย่างเป็นแนวทางประพฤติตาม

บุคคลที่ชอบดื่มน้ำเมา คือ สุราเมรัย ย่อมได้รับโทษ 6 ประการ คือ

เสียทรัพย์ซื้อสุรา ก่อการทะเลาะวิวาทพราะเมา เกิดโรคตามมาหลายชนิด ถูกติเตียนยามเมาไม่รู้เรื่องไม่รู้ตัว ไม่รู้จักอายกลาทำเกินงาม

ปัญญาเสื่อมเพราะถูกพิษสุราทำลาย หากหวังความเจริญจงอย่ายินดีในความชั่วแม้มันจะให้ประโยชน์มากก็ตามเพราะไม่นานก็ย่อมทำลายความดีในตัวเราได้

บุคคลที่ต้องการจะเกิดเป็นมนุษย์ต่อไป จะต้องตั้งอยู่ในศีล 5 คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูดเท็จ ไม่ดื่มสุราเมรัย บุคคลที่จะเกิดเป็นมนุษย์ได้ ก็ต้องอาศัยศีล 5 เป็นที่ตั้ง

ดังมีเรื่องเล่าว่า นางสุชาดา ภรรยาของพระอินทร์ ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นนางนกกระยางที่ลำธารแห่งหนึ่ง ท้าวสักกะเทวราช ทรงตรวจสอบดูอัครมเหสีของตนก็ทรงทราบว่า นางสุธัมมา นางสุนันทา นางสุจิตตา บังเกิดแล้วในสวรรค์ ส่วนนางสุชาดา เกิดเป็นนางนกกระยาง ก็ทรงสลดพระทัย ทรงคิดจะช่วยนางให้เกิดเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ จึงสั่งสอนนางนกกระยางให้ถือศีล 5 นางนกกระยางสิ้นชีวิตแล้ว จึงไปเกิดบนสวรรค์ ด้วยอานุภาพของศีล

ผู้ที่ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีธรรมและประพฤติธรรม บุคคลผู้ประพฤติธรรมชื่อรักษาตนและคุ้มครองตนให้พ้นจากภัยพิบัติ ในชาตินี้และชาติหน้าได้โดยแท้

บุคคลผู้ประพฤติธรรมสม่ำเสมอ ธรรมก็ย่อมคุ้มครองให้อยู่เย็นเป็นสุขเจริญงอกงาม ทั้งทางโลกและทางธรรม บุคคลผู้ประพฤติธรรม ก็เหมือนคนอาบน้ำชำระร่างกาย ให้สะอาดปราศจากมลทิน ฉะนั้น

บุคคลผู้เจริญงอกงามในชีวิต ก็เพราะประพฤติธรรม ส่วนบุคคลที่ประสบความลำบากยากจน ไม่มีคนนับถือก็เพราะไม่ประพฤติธรรม เพราะธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นให้อยู่เย็นเป็นสุข ไม่ทุกข์ใจ ให้ได้มรรคผลและนิพพาน ตามสมควรแก่ความประพฤติ
IMG_1178.PNG (88.48 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (817).JPG
ปั่นแสวงบุญ (817).JPG (198.18 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (818).JPG
ปั่นแสวงบุญ (818).JPG (250.41 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (819).JPG
ปั่นแสวงบุญ (819).JPG (298.14 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (820).JPG
ปั่นแสวงบุญ (820).JPG (305.37 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (821).JPG
ปั่นแสวงบุญ (821).JPG (385.76 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (827).JPG
ปั่นแสวงบุญ (827).JPG (201.45 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (830).JPG
ปั่นแสวงบุญ (830).JPG (210.2 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (832).JPG
ปั่นแสวงบุญ (832).JPG (386.19 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (834).JPG
ปั่นแสวงบุญ (834).JPG (328.64 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (838).JPG
ปั่นแสวงบุญ (838).JPG (334.33 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (839).JPG
ปั่นแสวงบุญ (839).JPG (366.36 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (840).JPG
ปั่นแสวงบุญ (840).JPG (408.49 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (841).JPG
ปั่นแสวงบุญ (841).JPG (281.51 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นแสวงบุญ (842).JPG
ปั่นแสวงบุญ (842).JPG (289.79 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
ปั่นเลียบรางรถไฟเส้นในคู่ขนานกับ เส้นทางหลักไฮเวย์ที่รถวิ่งกันรวดเร็วอันตราย และเส้นต้นยางที่ถนนแคบช่วงเวลาเย็น ๆ รถจะเยอะมาก สรุปจากลำพูนเข้า อ.เมืองเชียงใหม่ผ่าน สารภีปากกองมีสามทางครับ<br /><br />ปั่นเรียบทางรถไฟก็จะเข้าหลังบ้าน ตรงหมู่ที่ ๑๐ พอดิบพอดี เราอำลาลุงป๊อก ณ จุดนี้ ข้ามทางรถไฟก็เข้าบ้านลัดเลาะเข้าไปอีกนิดเดียวก็ออกถนนใหญ่ ถนนต้นยางก็เข้าบ้านพอดีครับ<br /><br />บ้านเต็มไปด้วยใบไม้ที่ล่วงหล่นเพราะลมฝน ฯ แต่ไม่หมองปกติบ้านถ้าไม่มีคนอยู่จะดูเศร้าหมองเหมือนบ้านร้าง บ้านผมไม่เป็นแบบนั้นครับ ไม่มีคนบ้านก็ยังดูเหมือนมีคนขนาดว่าเราทิ้งบ้านไปเป็นเดือน กลับมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคงดูเหมือนมีคนอยู่ตามปกติ ผมจึงมั่นใจและกล้าพูดกับเพื่อนว่า &quot;ฝากบ้านไว้กับเทวดา&quot; <br /><br />การเดินทางครั้งนี้รวมระยะเวลา ๗ คืน ๘ วัน เที่ยววัดได้สิบกว่าวัด มีวัดประทับใจก็หลายวัด และตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปปฏิบัติธรรมอีกเมื่อมีเวลา โดยเฉพาะที่วัดป่ากู่ท่งศาลา อ.เสริมงาเกาะคา ลำปางครับ <br /><br />นำพาท่านเดินทางเป็นภาพและการบรรยายรวมได้ ๒ เดือน และตลอดเดือนตุลาเราไม่ได้ปั่นไปไหนเลย เนื่องจากเป็นเดือนที่เตรียมการถวายพระเพลิงพ่อหลวงในดวงใจของพวกเรา คงอยู่บ้านปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลส่งดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย <br /><br />ขอได้รับคำขอบคุณจากพวกเราทั้ง ๓ คน กับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ได้กรุณาติดตาม เข้ามาเยี่ยมชมและอ่านศึกษาธรรมะนิด ๆ หน่อย ๆ ที่สอดแทรกพอเป็นกษัย ผิดพลาดพลั้งไปเมตตา ชี้แนะและอภัยให้ผู้ที่ยังปัญญาไม่แก่กล้า แต่หาญอาสาเข้ามาชี้แนะในหลายเรื่องหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งอาจจะขัดใจหรือผิดพลาดพลั้งไป แต่หากเกิดเป็นบุญกุศลก็ขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ที่ได้เพียรทำมา ให้กับเจ้ากรรมนายเวรตลอดจนทุกท่านให้ได้รับบุญกุศลในครั้งนี้ จงถ้วนหน้ากันทุกผู้ทุกคน หวังใจว่าคงติดตามเป็นกำลังใจในการเดินทางในแบบ ธุดงค์จักรยาน กันต่อไป พบกันกับทริปหน้าที่จะไปท่องเที่ยวแสวงธรรมกันอีกนะครับ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ สวัสดีครับ.
ปั่นเลียบรางรถไฟเส้นในคู่ขนานกับ เส้นทางหลักไฮเวย์ที่รถวิ่งกันรวดเร็วอันตราย และเส้นต้นยางที่ถนนแคบช่วงเวลาเย็น ๆ รถจะเยอะมาก สรุปจากลำพูนเข้า อ.เมืองเชียงใหม่ผ่าน สารภีปากกองมีสามทางครับ

ปั่นเรียบทางรถไฟก็จะเข้าหลังบ้าน ตรงหมู่ที่ ๑๐ พอดิบพอดี เราอำลาลุงป๊อก ณ จุดนี้ ข้ามทางรถไฟก็เข้าบ้านลัดเลาะเข้าไปอีกนิดเดียวก็ออกถนนใหญ่ ถนนต้นยางก็เข้าบ้านพอดีครับ

บ้านเต็มไปด้วยใบไม้ที่ล่วงหล่นเพราะลมฝน ฯ แต่ไม่หมองปกติบ้านถ้าไม่มีคนอยู่จะดูเศร้าหมองเหมือนบ้านร้าง บ้านผมไม่เป็นแบบนั้นครับ ไม่มีคนบ้านก็ยังดูเหมือนมีคนขนาดว่าเราทิ้งบ้านไปเป็นเดือน กลับมาก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงคงดูเหมือนมีคนอยู่ตามปกติ ผมจึงมั่นใจและกล้าพูดกับเพื่อนว่า "ฝากบ้านไว้กับเทวดา"

การเดินทางครั้งนี้รวมระยะเวลา ๗ คืน ๘ วัน เที่ยววัดได้สิบกว่าวัด มีวัดประทับใจก็หลายวัด และตั้งใจไว้ว่าจะกลับไปปฏิบัติธรรมอีกเมื่อมีเวลา โดยเฉพาะที่วัดป่ากู่ท่งศาลา อ.เสริมงาเกาะคา ลำปางครับ

นำพาท่านเดินทางเป็นภาพและการบรรยายรวมได้ ๒ เดือน และตลอดเดือนตุลาเราไม่ได้ปั่นไปไหนเลย เนื่องจากเป็นเดือนที่เตรียมการถวายพระเพลิงพ่อหลวงในดวงใจของพวกเรา คงอยู่บ้านปฏิบัติธรรมถวายเป็นพระราชกุศลส่งดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านเป็นครั้งสุดท้าย

ขอได้รับคำขอบคุณจากพวกเราทั้ง ๓ คน กับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่ได้กรุณาติดตาม เข้ามาเยี่ยมชมและอ่านศึกษาธรรมะนิด ๆ หน่อย ๆ ที่สอดแทรกพอเป็นกษัย ผิดพลาดพลั้งไปเมตตา ชี้แนะและอภัยให้ผู้ที่ยังปัญญาไม่แก่กล้า แต่หาญอาสาเข้ามาชี้แนะในหลายเรื่องหลายสิ่งหลายอย่าง ซึ่งอาจจะขัดใจหรือผิดพลาดพลั้งไป แต่หากเกิดเป็นบุญกุศลก็ขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ที่ได้เพียรทำมา ให้กับเจ้ากรรมนายเวรตลอดจนทุกท่านให้ได้รับบุญกุศลในครั้งนี้ จงถ้วนหน้ากันทุกผู้ทุกคน หวังใจว่าคงติดตามเป็นกำลังใจในการเดินทางในแบบ ธุดงค์จักรยาน กันต่อไป พบกันกับทริปหน้าที่จะไปท่องเที่ยวแสวงธรรมกันอีกนะครับ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ สวัสดีครับ.
ปั่นแสวงบุญ (843).JPG (253.37 KiB) เข้าดูแล้ว 233 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
NOKNICE
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 10311
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2012, 11:33
team: ไร้สังกัด,ปั่นตามใจตรู
Bike: MERIDA MATT 40D(ของแฟน),Trek8500 , Storck G2

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย NOKNICE »

สวัสดีครับลุงแดง ลุงเนตรและทุกท่าน
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ น้องแดง หลานนก และทุกท่าน.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:) :D อรุณสวัสดิ์ครับ พี่เนตร หลานนกและทุก ๆ ท่านที่เคารพ เมือคืนที่ผ่านมาผมได้ไปร่วมในพิธีงานศพเพื่อนอันเป็นที่รักของพวกเราชาวยุพราชปี ๒๕๐๘ คุณชัยวุฒิ นิมมลังกุล ชัยวุฒิ ฯ เป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เกษียณมาได้ ๘ ปี ชัยวุฒิ ฯ เป็นประธานรุ่นยุพราช ๐๘ มาโดยตลอด และสมัยเป็นนักเรียนก็ดำรงตำแหน่งหัวหน้าชั้นตั้งแต่ มศ.๑ - มศ.๓ การสูญเสียเพื่อนไปในครั้งนี้มีความหมายกับ ยว.๐๘ เป็นอย่างมาก ซึ่งพวกเราคงต้องประชุมหารือกันในเรื่องของการ ดำรงรุ่นให้ยืนยาวสืบต่อไปให้นานแสนนาน และในวันที่ ๑๘ พ.ย.๖๐ นี้เราก็จะมีการกินเลี้ยงรุ่นประจำปีที่เขื่อนสิริกิตต์ จ.อุตรดิตถ์ คงถือเป็นวาระประชุมใหญ่แน่นอน :( :(
ไฟล์แนบ
งูจงอาง.๒jpg.jpg
งูจงอาง.๒jpg.jpg (95.33 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
ศพท่านชัยวุฒิ ฯ ตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัด หมื่นสาร ประตูเชียงใหม่ ออกจากบ้านปากกองสารภีตรงไปวัดหมื่นสาร ต้องเจออุปสรรครถติดกันแบบยาวเป็นหางว่าว หงุดหงิดมากครับขนาดเป็นเวลามืดค่ำแล้วยังติด เชียงใหม่ปัจจุบันสำหรับตัวผมเองแล้ว ไม่น่าอยู่ แต่ผลการสำรวจระดับโลกกลายเป็นว่า เชียงใหม่เป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับ ๓ ของโลก..ก็ว่ากันไป ดีใจครับกับการจัดลำดับโลก ส่วนตัวที่ชื่นชอบความสงบ สงัด วิเวก จึงไม่เหมาะกับเฉพาะตัวเราดังนั้นจึงบอกตัวเองเสมอ ๆ ว่า อย่าไปพร่ำบ่นอะไร ๆ ที่ไม่ดีไม่งามให้เป็นตราบาปต่อเมืองเชียงใหม่อันเป็นที่รักของคนอีกนับแสน
ศพท่านชัยวุฒิ ฯ ตั้งบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัด หมื่นสาร ประตูเชียงใหม่ ออกจากบ้านปากกองสารภีตรงไปวัดหมื่นสาร ต้องเจออุปสรรครถติดกันแบบยาวเป็นหางว่าว หงุดหงิดมากครับขนาดเป็นเวลามืดค่ำแล้วยังติด เชียงใหม่ปัจจุบันสำหรับตัวผมเองแล้ว ไม่น่าอยู่ แต่ผลการสำรวจระดับโลกกลายเป็นว่า เชียงใหม่เป็นเมืองน่าอยู่ติดอันดับ ๓ ของโลก..ก็ว่ากันไป ดีใจครับกับการจัดลำดับโลก ส่วนตัวที่ชื่นชอบความสงบ สงัด วิเวก จึงไม่เหมาะกับเฉพาะตัวเราดังนั้นจึงบอกตัวเองเสมอ ๆ ว่า อย่าไปพร่ำบ่นอะไร ๆ ที่ไม่ดีไม่งามให้เป็นตราบาปต่อเมืองเชียงใหม่อันเป็นที่รักของคนอีกนับแสน
งูจงอาง.jpg (150.82 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
งูจงอาง๓.jpg
งูจงอาง๓.jpg (56.4 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
งูจงอาง๔.jpg
งูจงอาง๔.jpg (155.95 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (1).JPG
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (1).JPG (187.74 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
ก่อนการเทศนาธรรมพวกเราได้มอบเงินรุ่นสมทบร่วมในการทำบุญให้กับภรรยาท่าน ชัยวุฒิฯ ตุ๋ย เป็นภรรยาชัยวุฒิ ต่อจากนี้ไปเธอต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียว เพราะลูกชายคนเดียวทำงานอยู่ชลบุรี นี่ละครับชีวิตสุดท้ายจริง ๆ หนีไม่พ้นต้องอยู่ลำพัง ไม่ว่าครอบครัวใดจะเหมือนกันหมด รีบ ๆ ทำใจกันเสียนะครับ
ก่อนการเทศนาธรรมพวกเราได้มอบเงินรุ่นสมทบร่วมในการทำบุญให้กับภรรยาท่าน ชัยวุฒิฯ ตุ๋ย เป็นภรรยาชัยวุฒิ ต่อจากนี้ไปเธอต้องอยู่เพียงลำพังคนเดียว เพราะลูกชายคนเดียวทำงานอยู่ชลบุรี นี่ละครับชีวิตสุดท้ายจริง ๆ หนีไม่พ้นต้องอยู่ลำพัง ไม่ว่าครอบครัวใดจะเหมือนกันหมด รีบ ๆ ทำใจกันเสียนะครับ
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (2).JPG (151.54 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
พระท่านที่เป็นองค์เทศนาธรรมเมื่อคืนเป็นพระระดับ มหา ดร.แห่งวัดผ้าขาว ท่านแสดงธรรมได้ยอดเยี่ยมมากไล่เรียงไปตามลำดับของความง่ายไปหายาก ฟังเพลิน สรุปได้ใจความเกี่ยวกับ การมาร่วมในพิธีงานศพเราจะได้อะไร โดยเฉพาะรุ่นที่นาน ๆ ทีมาพบกันงานศพเลยกลายเป็นงานสังสรรค์รุ่น ความสนุกสนานน่าจะมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งก็ถูกของท่านบางที่บางแห่งพระเทศน์ก็เทศน์ไปไม่สนใครจะทำไม? สำหรับเรื่องยากตบท้ายการเทศน์ท่านแสดงเรื่องของ กรรม ซึ่งทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยและมีกรรมเป็นผู้ติดตาม ก่อนจบท่านสอนให้ใช้ชีวิตอย่าประมาท <br /><br />ผมฟังแล้วก็ได้คิดครับว่า เรื่องของ กรรม ในพุทธศาสนานี้เป็นเรื่องยากและลึกซึ้งมาก ทำให้ผมคิดถึงทุกท่านที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ &quot;จักรยานธุดงค์&quot; กลับถึงบ้านผมไม่รอช้ารีบค้นหาตำรับตำรา ที่กล่าวถึงเรื่องของ กรรม ที่คิดว่าชัดเจนพอจะเป็นแนวทางได้ ซึ่งก็โชคดีมาก ๆ ค้นเจอหนังสือ &quot;หนึ่งในพระไตรปิฏก&quot; ที่เขียนขึ้นแต่ปี ๒๕๔๖ ถวายเป็นอาจาริยบูชาเนื่องในวันครบรอบ ๘๐ ปีของหลวงพ่อทอง สิริมงฺคโล อ่านทบทวนคร่าว ๆ เห็นว่าเหมาะที่จะนำเสนอ ผมจึงตัดสินใจขอนำเรื่อง กรรม ที่มีในหนังสือเล่มนี้มาเป็นบรรณาการแด่ทุกท่าน ก็ได้โปรดติดตามไปเก็บเกี่ยว บุญ กันนะครับ.
พระท่านที่เป็นองค์เทศนาธรรมเมื่อคืนเป็นพระระดับ มหา ดร.แห่งวัดผ้าขาว ท่านแสดงธรรมได้ยอดเยี่ยมมากไล่เรียงไปตามลำดับของความง่ายไปหายาก ฟังเพลิน สรุปได้ใจความเกี่ยวกับ การมาร่วมในพิธีงานศพเราจะได้อะไร โดยเฉพาะรุ่นที่นาน ๆ ทีมาพบกันงานศพเลยกลายเป็นงานสังสรรค์รุ่น ความสนุกสนานน่าจะมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งก็ถูกของท่านบางที่บางแห่งพระเทศน์ก็เทศน์ไปไม่สนใครจะทำไม? สำหรับเรื่องยากตบท้ายการเทศน์ท่านแสดงเรื่องของ กรรม ซึ่งทุกคนมีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัยและมีกรรมเป็นผู้ติดตาม ก่อนจบท่านสอนให้ใช้ชีวิตอย่าประมาท

ผมฟังแล้วก็ได้คิดครับว่า เรื่องของ กรรม ในพุทธศาสนานี้เป็นเรื่องยากและลึกซึ้งมาก ทำให้ผมคิดถึงทุกท่านที่กรุณาเข้ามาเยี่ยมชมกระทู้ "จักรยานธุดงค์" กลับถึงบ้านผมไม่รอช้ารีบค้นหาตำรับตำรา ที่กล่าวถึงเรื่องของ กรรม ที่คิดว่าชัดเจนพอจะเป็นแนวทางได้ ซึ่งก็โชคดีมาก ๆ ค้นเจอหนังสือ "หนึ่งในพระไตรปิฏก" ที่เขียนขึ้นแต่ปี ๒๕๔๖ ถวายเป็นอาจาริยบูชาเนื่องในวันครบรอบ ๘๐ ปีของหลวงพ่อทอง สิริมงฺคโล อ่านทบทวนคร่าว ๆ เห็นว่าเหมาะที่จะนำเสนอ ผมจึงตัดสินใจขอนำเรื่อง กรรม ที่มีในหนังสือเล่มนี้มาเป็นบรรณาการแด่ทุกท่าน ก็ได้โปรดติดตามไปเก็บเกี่ยว บุญ กันนะครับ.
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (3).JPG (150.19 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (4).JPG
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (4).JPG (46.19 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (5).JPG
จิตอาสา ๑๕ ต.ค (5).JPG (191.77 KiB) เข้าดูแล้ว 203 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อรุณสวัสดิ์ ท่านที่เคารพทุกท่าน เรามาเริ่มศึกษาเรื่องกรรมกันเลยนะครับว่า

การรับรองหรือปฏิเสธเรื่องกรรมเป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ใครมีความรู้ความเห็นอย่างไรจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ย่อมขึ้นกับวิจารณญาณและข้อเท็จจริงของเขา ทางพระพุทธศาสนาก็ไม่บังคับให้เชื่อ แต่ก็แสดงว่ากรรมเป็นสัจธรรมอย่างหนึ่ง โดยนัยดังกล่าวแล้วจะเห็นว่าชีวิตของคน มีส่วนดำเนินไปตามกระแสกรรม ดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจในเรื่องกรรมก่อน โดยสังเขปตามควร ในเรื่องกรรมมีปัญหาที่น่าพิจารณาดังนี้

๑.กรรมคืออะไร
๒.กรรมมีจริงหรือไม่ ผลของกรรมมีจริงหรือไม่
๓.กรรมเก่ามีจริงหรือไม่
๔.กรรมติดตามเราไปได้อย่างไร มองไม่เห็น
๕.ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริงหรือไม่
๖.หลักกรรมแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างไร


๑.กรรมคืออะไร กรรมคือการกระทำ เป็นคำกลาง ๆ ถ้าทำดีก็เรียกว่ากุศลกรรม ถ้าทำชั่วก็เรียกอกุศลกรรม ถ้าทำเป็นกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่วเรียกว่า อัพยากตกรรม คำว่า กรรม หรือ กัมมเป็นภาษาทางพระพุทธศาสนา ส่วนคำว่า กระทำเป็นคำไทย และเป็นคำแปลของคำว่า กรรม หรือกัมมนั้น คำว่ากรรมมาจากภาษาสันสกฤต คำว่ากัมมมาจากภาษาบาลี เรานำภาษาของเขามาใช้เป็นภาษาไทย

๒.กรรมมีจริงหรือไม่ ถ้าสงสัยเรื่องนี้ก็ควรคิดว่าการกระทำมีหรือไม่ เช่นการกระทำทางกายเป็นต้นว่าเขียนหนังสือ การกระทำทางวาจาคือการพูด การกระทำทางใจคือคิดเหล่านี้มีหรือไม่ ถ้ายอมรับว่ามีก็เป็นอันยอมรับว่า กรรม นั้นมีจริง

ส่วนข้อที่ว่า กรรมมีผลจริงหรือไม่ นั้นก็ขอให้คิดดูว่าเมื่อทำเหตุแล้วผลจะมีหรือไม่ เมื่อจับไฟ(อันเป็นเหตุ) ก็ต้องร้อนมือ(อันเป็นผล) เราอ่านหนังสือออกเพราะเหตุคือการเรียนอย่างนี้จริงหรือไม่ ถ้ายอมรับว่าจริงก็เป็นอันยอมรับว่า กรรมมีจริง :lol: :lol:
ไฟล์แนบ
IMG_1858.JPG
IMG_1858.JPG (93.14 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
S__12132358.jpg
S__12132358.jpg (269.27 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
เย็นวันวาน(๑๑ พ.ย.๖๐)ผมและคุณนายได้พาพระอรหันต์ของเรา(คุณแม่ ๙๑ ปี) ไปพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ให้นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมวันแล้วคืนเล่า เราพาไปแช่น้ำร้อนที่ น้ำพุร้อนสันกำแพง ครับ<br /><br />อรหันต์ แปลว่า ไกลจากกิเลส<br /> พ่อแม่ยังเสพเมถุน(sex)กันอยู่ ไหนว่าอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว สอนขัดกันเองอะไรแบบนี้<br /> ไม่ควรใช้คำว่า &quot;อรหันต์&quot;<br />ผมจึงเชื่อว่าไม่มีในพระไตรปิฎก ถ้ามีก็ยกมาบอกด้วยนะว่าเล่มไหน<br /> สุภาษิตนี้ เป็นคำที่พวกสาวกแต่งขึ้นภายหลัง<br />...<br />น่าจะเกิดในยุคที่คนชอบเข้าป่าไปหาพระตามป่าตามเขา<br /> เพื่อกราบไหว้พระอรหันต์<br /> พระหลายรูปท่านก็ปรารถนาดี<br /> เลยบอกว่า พระอรหันต์อยู่ที่บ้าน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก<br /> ไปๆ มาๆ คนก็เลยเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้<br /> พระท่านก็เจตนาดีแหละ แต่ก็ใช้ผิด word<br />ท่านคงจะประสงค์ว่า พ่อแม่ควรที่ลูกจะบูชาให้ความเคารพ ดูแลเอาใจใส่ ก่อนที่จะมาหาพระนอกบ้าน<br /> ก็จึงควรใช้ว่า &quot;พ่อแม่เป็นปูชนียบุคคลของลูก&quot;<br />ปูชนียบุคคล = คนที่ควรบูชา<br /> อันนี้จะไม่ผิดทั้งความหมาย และตัวพยัญชนะเลย(เครดิตจาก พันธิพย์ดอทคอมครับ)
เย็นวันวาน(๑๑ พ.ย.๖๐)ผมและคุณนายได้พาพระอรหันต์ของเรา(คุณแม่ ๙๑ ปี) ไปพักผ่อนหย่อนใจ ไม่ให้นั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมวันแล้วคืนเล่า เราพาไปแช่น้ำร้อนที่ น้ำพุร้อนสันกำแพง ครับ

อรหันต์ แปลว่า ไกลจากกิเลส
พ่อแม่ยังเสพเมถุน(sex)กันอยู่ ไหนว่าอรหันต์ไม่มีกิเลสแล้ว สอนขัดกันเองอะไรแบบนี้
ไม่ควรใช้คำว่า "อรหันต์"
ผมจึงเชื่อว่าไม่มีในพระไตรปิฎก ถ้ามีก็ยกมาบอกด้วยนะว่าเล่มไหน
สุภาษิตนี้ เป็นคำที่พวกสาวกแต่งขึ้นภายหลัง
...
น่าจะเกิดในยุคที่คนชอบเข้าป่าไปหาพระตามป่าตามเขา
เพื่อกราบไหว้พระอรหันต์
พระหลายรูปท่านก็ปรารถนาดี
เลยบอกว่า พระอรหันต์อยู่ที่บ้าน พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
ไปๆ มาๆ คนก็เลยเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้
พระท่านก็เจตนาดีแหละ แต่ก็ใช้ผิด word
ท่านคงจะประสงค์ว่า พ่อแม่ควรที่ลูกจะบูชาให้ความเคารพ ดูแลเอาใจใส่ ก่อนที่จะมาหาพระนอกบ้าน
ก็จึงควรใช้ว่า "พ่อแม่เป็นปูชนียบุคคลของลูก"
ปูชนียบุคคล = คนที่ควรบูชา
อันนี้จะไม่ผิดทั้งความหมาย และตัวพยัญชนะเลย(เครดิตจาก พันธิพย์ดอทคอมครับ)
กาแฟ.jpg (283.99 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน.jpg
การนอน.jpg (293.88 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
พรหมสูตร<br /> ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม <br /> สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์<br /> สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล <br /> ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา <br /> คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา <br /> คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา<br /> ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ<br /> มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ และว่าอาหุไนยบุคคล <br /> เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการและ สักการะ มารดาบิดา<br /> ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การ  อบกลิ่น การให้อาบน้ำ <br /> และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล <br /> บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
พรหมสูตร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีพรหม
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีบุรพาจารย์
สกุลใดบุตรบูชามารดาบิดาในเรือนตน สกุลนั้นมีอาหุไนยบุคคล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำว่าพรหมนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าบุรพาจารย์นี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
คำว่าอาหุไนยบุคคลนี้ เป็นชื่อของมารดาและบิดา
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ฯ
มารดาบิดาผู้อนุเคราะห์บุตร ท่านเรียกว่าพรหม ว่าบุรพาจารย์ และว่าอาหุไนยบุคคล
เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงนมัสการและ สักการะ มารดาบิดา
ด้วยข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน การ อบกลิ่น การให้อาบน้ำ
และการล้างเท้าทั้งสอง เพราะการปรนนิบัติในมารดาบิดา นั้นแล
บัณฑิตย่อมสรรเสริญเขาในโลกนี้เอง เขาละไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์ ฯ
การนอน๒.jpg (300.42 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๓.jpg
การนอน๓.jpg (310.71 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๔.jpg
การนอน๔.jpg (262.11 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๕.jpg
การนอน๕.jpg (322.03 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๖.jpg
การนอน๖.jpg (249.73 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๗.jpg
การนอน๗.jpg (264.7 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
สองคนอ้วนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวดองกัน เป็นเพียงบังเอิญมานั่งใกล้กัน ก็เลยเก็บภาพนำมาเปรียบเทียบให้หลานดูจะได้ดูแลหุ่นของตัวเอง หลานคนนี้เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน แม่เขาคือคนที่ดูแลแม่ผมอยู่ด้วยกันมานับสิบปีกว่าปีแล้ว ปัจจุบันกลายเป็นลูกคนสุดท้องของแม่และเป็นน้องเล็กของพวกเรา พอแต่งงานก็ไม่ไปไหนยังคงอยู่ดูแลแม่มาตลอด ปัจจุบันมีลูกสาวคนหนึ่งอายุได้ ๙ ปี ก็เลยกลายเป็นหลานย่าและเป็นหลานของคนในครอบครัวทั้งหมด
สองคนอ้วนนี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวดองกัน เป็นเพียงบังเอิญมานั่งใกล้กัน ก็เลยเก็บภาพนำมาเปรียบเทียบให้หลานดูจะได้ดูแลหุ่นของตัวเอง หลานคนนี้เป็นที่รักของทุกคนในบ้าน แม่เขาคือคนที่ดูแลแม่ผมอยู่ด้วยกันมานับสิบปีกว่าปีแล้ว ปัจจุบันกลายเป็นลูกคนสุดท้องของแม่และเป็นน้องเล็กของพวกเรา พอแต่งงานก็ไม่ไปไหนยังคงอยู่ดูแลแม่มาตลอด ปัจจุบันมีลูกสาวคนหนึ่งอายุได้ ๙ ปี ก็เลยกลายเป็นหลานย่าและเป็นหลานของคนในครอบครัวทั้งหมด
การนอน๘.jpg (189.3 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๙.jpg
การนอน๙.jpg (274.19 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๑๐.jpg
การนอน๑๐.jpg (240.52 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
การนอน๑๑.jpg
การนอน๑๑.jpg (250.81 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
ผลบุญที่ได้ทำให้กับพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ท่านสรรเสริญมาก เรียกว่าได้บุญเต็ม ๆ ดังนั้นผลบุญใด ๆ ที่เกิดมีขึ้น ผมขอส่วนแห่งบุญนั้น จงถึงแก่ญาติธรรม(ผู้เข้ามาติดตาม)ให้ได้รับผลบุญนั้น ๆ จงถ้วนทั่วทุกคน ขอให้ทุกท่านจงมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนานเหมือนคุณแม่ผมนะครับ.
ผลบุญที่ได้ทำให้กับพ่อ-แม่ ครูบาอาจารย์ท่านสรรเสริญมาก เรียกว่าได้บุญเต็ม ๆ ดังนั้นผลบุญใด ๆ ที่เกิดมีขึ้น ผมขอส่วนแห่งบุญนั้น จงถึงแก่ญาติธรรม(ผู้เข้ามาติดตาม)ให้ได้รับผลบุญนั้น ๆ จงถ้วนทั่วทุกคน ขอให้ทุกท่านจงมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนนานเหมือนคุณแม่ผมนะครับ.
การนอน๑๒.jpg (192.24 KiB) เข้าดูแล้ว 194 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
ลุงเนตร
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 19852
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 19:20
Tel: 0898133936
team: อิสระ
Bike: Trek 3900, Dark Rock ทัวร์ริ่ง
ตำแหน่ง: ๔๖๕ ซอยจ่าโสด ถนนทางรถไฟเก่า แขวง,เขตบางนา กทม.๑๐๒๖๐
ติดต่อ:

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย ลุงเนตร »

"..สวัสดีครับ น้องแดง (ขอบคุณมากสำหรับสิ่งดีๆ) หลานนก ฯ.."
*..ยิ่งปั่น..ยิ่งแข็ง..แรงยิ่งดี..โรคไม่ค่อยมี..ไม่ทุกข์..*
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4364
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

Re: ......จักรยานธุดงค์..........

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: อรุณสวัสดิ์ พี่เนตรหลานนกและท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทุกท่าน เราคงมาศึกษาเรื่อง กรรม กันต่อครับ

๓.กรรมเก่ามีจริงหรือไม่ โดยเฉพาะกรรมในชาติก่อน ข้อนี้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่รอบตัวเรา ว่าแต่เราจะดูออกหรือไม่เท่านั้น เช่นคนเกิดมาไม่เหมือนกัน บางคนเกิดมาพิการ บางคนไม่พิการ บางคนพอเกิดมาก็ตาย บางคนอยู่จนเบื่อทั้ง ๆ ที่อ่อนแอ บางคนเป็นใบ้ บางคนอายุ ๖ ขวบพูดได้ ๖ ภาษา(เช่นกิมอี้วุง เด็กเกาหลี)บางคนปัญญาอ่อน บางคนสำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พี่น้องท้องเดียวกันพิมพ์เดียวกัน ให้เป็นฝาแฝดด้วยก็ไม่เหมือนกัน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ที่ปรากฏผลอย่างนี้ แสดงว่าต้องมีเหตุ เหตุนั้นทางพระพุทธศาสนาแสดงว่า คือกรรมเก่าแต่ปางก่อนนั่นเองจัดสรร ถ้าทุกคนเป็นของใหม่ คนทุกคนก็ต้องเหมือน ๆ หรือต่างกันไม่มาก หรือเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้ากันเป็นถิวแถวแล้ว

พระพุทธองค์ก็ตรัสไว้ดังในปัญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย ความเป็นไทยว่า เราเกิดมาเพราะกรรม(กมฺมโยนิ)เรามีกรรมติดตัวไป(กมฺมพนฺธุ) และตรัสไว้ดังในอปาทาน ขุททกนิกาย ทรงแจ้งให้รู้ว่า การที่พระองค์ได้ทรงสำเร็จเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ต้องบำเพ็ญเหตุคือบารมีมากเหลือประมาณ มาแต่ชาติก่อน ๆ ตลอดจนในชาตินี้ ในอุทา ขุททกนิกาย ก็ตรัสไว้ว่า เราท่องเที่ยวในชาติภพสังสารวัฏเป็นอเนก

ข้อนี้แสดงว่าที่เป็นอย่างนั้น ๆ เริ่มตั้งแต่เกิดมานั้นเพราะเหตุคือกรรมเก่าแต่ชาติก่อน จะว่าเป็นกรรมในชาตินี้ส่งผลก็ไม่ได้ เพราะตอนเกิดนั้นยังเล็กยังไม่ได้ก่อกรรมทำดีชั่วทางกายวาจาอะไร เราไม่ควรลืมหลักที่ว่า ผลในปัจจุบันย่อมแสดงเหตุในอดีต ข้อนี้ย่อมเป็นที่รับรองกันอยู่แล้ว พระอุโบสถวัดพระแก้วยังมั่นคงไม่พังจนปัจจุบันนี้ เราก็รู้ว่าเพราะเหตุคือ ก่อสร้างดีทั้ง ๆ ที่เราเกิดไม่ทันเห็นการก่อสร้างนั้น เห็นแต่ผลของเหตุคือความคงทนอยู่ของวัดพระแก้ว ผลย่อมแสดงเหตุแม้ที่มองไม่เห็นอย่างนี้ ถ้าจะว่าเป็นเพราะบังเอิญ ก็ควรคิดว่าบังเอิญนั้นควรใช้เมื่อยังหาเหตุผลยังไม่ได้ ก็นี่มีเหตุคือกรรมแล้วก็ควรงดใช้

อนึ่ง การกระทำในปัจจุบันเรียกว่ากรรมในปัจจุบัน การกระทำในวินาทีที่แล้วมา นาที ชั่วโมง วัน เดือน ปี ที่แล้วมาเรียกว่ากรรมเก่าหรืออดีตกรรม และวันนี้ก็คือพรุ่งนี้ของเมื่อวานนี้ วันซืนนี้ก็คือเมื่อวานนี้ของเมื่อวานนี้ ชาติที่แล้วมาก็เป็นชาติปางก่อนของชาตินี้ ชาตินี้ก้คือชาติหน้าของชาติที่แล้วมา การกระทำในชาติที่แล้วมาจึงเป็นการกระทำหรือกรรมแต่ปางก่อน

อนึ่งเรื่องกรรมเก่า - ใหม่นี้อาจจำกัดความโดยกำหนดเอาชาติก่อนชาตินี้เป็นหลักดังนี้คือ กรรมที่ทำไว้ในชาติปางก่อนเป็นกรรมเก่า กรรมที่ทำในชาตินี้เป็นกรรมใหม่ กรรมทั้งสองนี้ย่อมอาศัยกันและกัน เช่นเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช แล้วทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุโมกธรรม และทรงประสบความสำเร็จ คนอื่นออกบวชบำเพ็ญเพียรแต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้เพราะกรรมเก่าคือบารมีที่ทรงบำเพ็ญไว้แต่ชาติปางก่อนมีมากอย่างยิ่ง จึงทำให้ประสบผลสำเร็จ กรรมเก่าคือบารมีดังกล่าว และกรรมใหม่คือการบำเพ็ญเพียร ต่างอาศัยกันอย่างนี้ แต่ว่าการทำกรรมใหม่โดยไม่เกี่ยวกับกรรมเก่าก็มีอยู่มากเหมือนกัน มิใช่ต้องเกี่ยวไปกับกรรมเก่าไปทุกอย่าง :idea: :idea:
ไฟล์แนบ
งานแต่งน้องอิ๋ม (62).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (62).JPG (75.52 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (63).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (63).JPG (105.67 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (1).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (1).JPG (335.31 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (22).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (22).JPG (300.07 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (24).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (24).JPG (325.93 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (34).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (34).JPG (323.31 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (38).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (38).JPG (310.92 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (43).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (43).JPG (311.42 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (59).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (59).JPG (282.38 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
งานแต่งน้องอิ๋ม (64).JPG
งานแต่งน้องอิ๋ม (64).JPG (338.71 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
เมื่อวานที่ ๑๒ พ.ย.๖๐ ไปร่วมพิธีแต่งงานหลานสาวคุณนาย(น้องนิ่ม)ที่หลัง ม.พายัพ กรรมพิธีเรียบง่ายประหยัดน่ารัก ไม่เยิ่นเย้อบรรยากาศเป็นที่โล่งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ มีลมหนาวโชยอ่อน ๆ มันโรแมนติกมาก หลานสาวคนนี้เป็นลูกฝาแฝด ของแม่นีซึ่งเป็นญาติกับคุณนาย พล.ต.ท.สิทธิพงษ์ ปุนโณทก มีศักดิ์เป็นอา มาให้เกียรติเป็นประธานในพิธี งานนี้เชิญเฉพาะเครือญาติเท่านั้น ขนาดเครือญาติกันก็ประมาณสามร้อยกว่า นาน ๆ เจอกันทีก็เป็นเรื่องสนุกสนาน กิจกรรมของมนุษย์หนีไม่พ้นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งมาตรงกับกับธรรมะที่กำลังนำเสนออยู่พอดิบพอดี<br /><br />สิ่งที่ผมทึ่งคือคู่บ่าวสาวทั้งสองมองแล้วทำไมหน้าตาท่าทางทั้งคู่ เหมือนกันมากน่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่า สำหรับนิ่มเป็นแฝดกับนัด นัดนั้นไม่คิดจะมีคู่ เห็นไหมครับว่าขนาดฝาแฝดแท้ ๆ ยังคิดไม่เหมือนกัน ก็ถามนัดว่าจะแต่งงานไหม คำตอบ&quot;คงไม่&quot; เราต้องมาติดตามดูกัน เคยไปฟังคนที่ทำตัวเป็นเกจิอาจารย์สอนธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่แปลกไปจากคำสอนเขาอ้าง คนที่เกิดมาทั้งหมดในโลกนี้มีโปรแกรมที่ถูกสร้างมาแล้ว ดังนั้นชีวิตทุกชีวิตต้องดำเนินไปตามโปรแกรม คุณไม่มีสิทธิ์ไปฝืนโปรแกรมนั้นได้ มีผู้หลงทางไปเชื่อมากมายซึ่งสำนักนี้ยังดำเนินกรรมวิธีสอนแบบนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน สิ่งที่ผมถือว่าทุเรศสุด ๆ คือไปผนวกคำสอนเรื่อง กรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ตัวเองนำมาสอน<br /><br />สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนที่เราบอกได้สอนได้เราก็ให้สติ ด้วยเหตุและผล เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง เหตุ - ผล ไม่ใช่การดลบรรดาลหรือเป็นไปตามโปรแกรมของใครผู้ใด ขอย้ำที่ตรงนี้ว่า เพราะ กรรม ทั้งอดีตชาติและกรรมในปัจจุบันชาติ คือเหตุที่ทำให้มีผลในการดำเนินชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ และต่อจากนี้สิ่งที่เราต้องกระทำเพื่อให้เป็น กรรมดีที่จะส่งผลในชาติหน้าก็คือ การคิดดี พูดดี และทำดี เท่านั้นครับ.<br /><br />เป้าหมายแห่งการแต่งงานอยู่ที่การสร้างครอบครัวที่มีแต่ความรักใคร่กลมเกลียวโดยไม่มีการหย่าร้าง สามีภรรยาจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ชีวิตคู่เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะฝ่ามรสุมต่างๆไปได้ ดังนั้น คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีชีวิตการแต่งงานที่ยั่งยืนตลอดไปต้องร่วมกันปฏิบัติธรรม <br /><br />            คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุณธรรมและจริยธรรม <br /><br />            คุณธรรม ได้แก่ คุณสมบัติที่ดีภายในจิตใจ เช่น ความรัก ความสงสาร ซึ่งช่วยให้คนเราทำหน้าที่ของสามีภรรยาได้โดยไม่ต้องฝืนใจ<br /><br />            จริยธรรม ได้แก่ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงามที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคม จริยธรรมเป็นข้อปฏิบัติซึ่งกำหนดไว้โดยศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่สามีภรรยาจะต้องทำเพื่อความผาสุกแห่งครอบครัว<br /><br />            จริยธรรมเป็นเรื่องการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและทางวาจา ซึ่งคนอื่นสามารถรับรู้และประเมินได้ว่าเรามีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด เช่น การที่สามีภรรยาต้องให้เกียรติกันและกันเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่ง คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ให้เกียรติกันและกันหรือไม่ ตรงกันข้ามกับคุณธรรมซึ่งเป็นเรื่องภายในจิตใจซึ่งยากที่คนทั่วไปจะตรวจสอบได้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น ความรักเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง คนอื่นไม่สามารถจะมองเห็นความรักภายในจิตใจของเราว่ามีมากน้อยเพียงใด เท่าที่คนทั่วไปจะทำได้ก็คือคาดคะเนจากพฤติกรรมภายนอกของเราว่าเรามีความรักในใจมากน้อยแค่ไหน<br /><br />            คุณธรรมเป็นรากฐานของจริยธรรม เมื่อสามีมีคุณธรรมคือความรักภรรยาอยู่ในหัวใจ เขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยาโดยไม่ต้องฝืนใจ ความรักทำให้สามียอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อครอบครัวของเขา ดังนั้น ความรักจึงเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตการแต่งงาน คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันด้วยความรักจะสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดีกว่าคู่ที่แต่งงานกันโดยไม่มีความรัก เพราะความรักจะทำให้คู่รักยอมลงให้กันและทนกันได้<br /><br />            คำว่า ความรัก ในพระพุทธศาสนามี ๒ ประเภท ดังนี้ <br /><br />            ๑. เปมะ ได้แก่ ความรักใคร่หรือความรักแบบโรแมนติกซึ่งเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการ คือ (๑) บุพสันนิวาส หญิงชายเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อเกิดใหม่มาพบกันในชาตินี้จึงเป็นเนื้อคู่กันและรักกัน (๒) การดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความรัก แม้หญิงชายจะไม่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งคู่ก็รักกันได้เพราะความมีน้ำใจของอีกฝ่ายหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน <br /><br />            ๒. เมตตา ได้แก่ ความปรารถนาดีหรือความหวังดีที่จะให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งเกิดจากการมองเห็นความดีงามหรือความน่ารักของคนอื่นแล้วเกิดความประทับใจจนถึงกับคิดส่งเสริมให้เขามีความดีงามหรือความน่ารักยิ่งๆขึ้นไป <br /><br />            ชีวิตการแต่งงานจะยั่งยืนนานถ้ามีความรักทั้งสองอย่างคือมีทั้งความรักแบบโรแมนติกและความรักแบบเมตตาเป็นพื้นฐาน ความรักแบบโรแมนติกสร้างความสุขความเพลินใจเมื่ออยู่ใกล้คนรัก แต่ไฟแห่งความรักใคร่มักโชติช่วงอยู่ได้ไม่นาน ความเคยชินเพราะอยู่ด้วยกันมานานมักทำให้ความรักใคร่จืดจางไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีความรักแบบเมตตาตามประกบความรักใคร่เพื่อให้ความรักยั่งยืนยาวนาน <br /><br />            ความรักแบบโรแมนติกถูกความน่ารักน่าปรารถนาของคู่ครองเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รัก ความรักใคร่นี้มีธรรมชาติไม่แน่นอน เวลาใดคนรักทำตัวมีเสน่ห์น่ารัก เวลานั้นอารมณ์รักใคร่ก็จะเบ่งบานมีพลัง เวลาใดคนรักเอาแต่ใจทำตัวไม่น่ารัก เวลานั้นความรักใคร่ก็จะอับเฉาร่วงโรย ความรักใคร่แบบโรแมนติกจึงมีสภาวะขึ้นลงตามปัจจัยเงื่อนไขภายนอกอันได้แก่กิริยาอาการของคนรักเป็นสำคัญ โดย พระธรรมโกศาจารย์  (2549)
เมื่อวานที่ ๑๒ พ.ย.๖๐ ไปร่วมพิธีแต่งงานหลานสาวคุณนาย(น้องนิ่ม)ที่หลัง ม.พายัพ กรรมพิธีเรียบง่ายประหยัดน่ารัก ไม่เยิ่นเย้อบรรยากาศเป็นที่โล่งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ มีลมหนาวโชยอ่อน ๆ มันโรแมนติกมาก หลานสาวคนนี้เป็นลูกฝาแฝด ของแม่นีซึ่งเป็นญาติกับคุณนาย พล.ต.ท.สิทธิพงษ์ ปุนโณทก มีศักดิ์เป็นอา มาให้เกียรติเป็นประธานในพิธี งานนี้เชิญเฉพาะเครือญาติเท่านั้น ขนาดเครือญาติกันก็ประมาณสามร้อยกว่า นาน ๆ เจอกันทีก็เป็นเรื่องสนุกสนาน กิจกรรมของมนุษย์หนีไม่พ้นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งมาตรงกับกับธรรมะที่กำลังนำเสนออยู่พอดิบพอดี

สิ่งที่ผมทึ่งคือคู่บ่าวสาวทั้งสองมองแล้วทำไมหน้าตาท่าทางทั้งคู่ เหมือนกันมากน่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่า สำหรับนิ่มเป็นแฝดกับนัด นัดนั้นไม่คิดจะมีคู่ เห็นไหมครับว่าขนาดฝาแฝดแท้ ๆ ยังคิดไม่เหมือนกัน ก็ถามนัดว่าจะแต่งงานไหม คำตอบ"คงไม่" เราต้องมาติดตามดูกัน เคยไปฟังคนที่ทำตัวเป็นเกจิอาจารย์สอนธรรมะ แต่เป็นธรรมะที่แปลกไปจากคำสอนเขาอ้าง คนที่เกิดมาทั้งหมดในโลกนี้มีโปรแกรมที่ถูกสร้างมาแล้ว ดังนั้นชีวิตทุกชีวิตต้องดำเนินไปตามโปรแกรม คุณไม่มีสิทธิ์ไปฝืนโปรแกรมนั้นได้ มีผู้หลงทางไปเชื่อมากมายซึ่งสำนักนี้ยังดำเนินกรรมวิธีสอนแบบนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน สิ่งที่ผมถือว่าทุเรศสุด ๆ คือไปผนวกคำสอนเรื่อง กรรม ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้มาประยุกต์ใช้กับสิ่งที่ตัวเองนำมาสอน

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม คนที่เราบอกได้สอนได้เราก็ให้สติ ด้วยเหตุและผล เพราะพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่ง เหตุ - ผล ไม่ใช่การดลบรรดาลหรือเป็นไปตามโปรแกรมของใครผู้ใด ขอย้ำที่ตรงนี้ว่า เพราะ กรรม ทั้งอดีตชาติและกรรมในปัจจุบันชาติ คือเหตุที่ทำให้มีผลในการดำเนินชีวิตอยู่ในทุกวันนี้ และต่อจากนี้สิ่งที่เราต้องกระทำเพื่อให้เป็น กรรมดีที่จะส่งผลในชาติหน้าก็คือ การคิดดี พูดดี และทำดี เท่านั้นครับ.

เป้าหมายแห่งการแต่งงานอยู่ที่การสร้างครอบครัวที่มีแต่ความรักใคร่กลมเกลียวโดยไม่มีการหย่าร้าง สามีภรรยาจะบรรลุถึงเป้าหมายดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่อมีการปฏิบัติธรรมร่วมกัน การปฏิบัติธรรมจะช่วยให้ชีวิตคู่เข้มแข็งมั่นคงพอที่จะฝ่ามรสุมต่างๆไปได้ ดังนั้น คู่สามีภรรยาที่ต้องการมีชีวิตการแต่งงานที่ยั่งยืนตลอดไปต้องร่วมกันปฏิบัติธรรม

คำว่า ธรรม ในที่นี้หมายถึงคุณธรรมและจริยธรรม

คุณธรรม ได้แก่ คุณสมบัติที่ดีภายในจิตใจ เช่น ความรัก ความสงสาร ซึ่งช่วยให้คนเราทำหน้าที่ของสามีภรรยาได้โดยไม่ต้องฝืนใจ

จริยธรรม ได้แก่ หลักแห่งความประพฤติที่ดีงามที่จะต้องปฏิบัติเพื่อประโยชน์สุขของตนเอง ครอบครัว และสังคม จริยธรรมเป็นข้อปฏิบัติซึ่งกำหนดไว้โดยศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีและกฎหมายว่าอะไรเป็นหน้าที่ที่สามีภรรยาจะต้องทำเพื่อความผาสุกแห่งครอบครัว

จริยธรรมเป็นเรื่องการควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกทางกายและทางวาจา ซึ่งคนอื่นสามารถรับรู้และประเมินได้ว่าเรามีจริยธรรมมากน้อยเพียงใด เช่น การที่สามีภรรยาต้องให้เกียรติกันและกันเป็นจริยธรรมอย่างหนึ่ง คนทั่วไปสามารถมองเห็นได้ว่าสามีภรรยาคู่นี้ให้เกียรติกันและกันหรือไม่ ตรงกันข้ามกับคุณธรรมซึ่งเป็นเรื่องภายในจิตใจซึ่งยากที่คนทั่วไปจะตรวจสอบได้ว่ามีมากน้อยเพียงใด เช่น ความรักเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง คนอื่นไม่สามารถจะมองเห็นความรักภายในจิตใจของเราว่ามีมากน้อยเพียงใด เท่าที่คนทั่วไปจะทำได้ก็คือคาดคะเนจากพฤติกรรมภายนอกของเราว่าเรามีความรักในใจมากน้อยแค่ไหน

คุณธรรมเป็นรากฐานของจริยธรรม เมื่อสามีมีคุณธรรมคือความรักภรรยาอยู่ในหัวใจ เขาก็จะปฏิบัติหน้าที่ของสามีต่อภรรยาโดยไม่ต้องฝืนใจ ความรักทำให้สามียอมเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อครอบครัวของเขา ดังนั้น ความรักจึงเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตการแต่งงาน คู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันด้วยความรักจะสามารถปรับตัวเข้าหากันได้ดีกว่าคู่ที่แต่งงานกันโดยไม่มีความรัก เพราะความรักจะทำให้คู่รักยอมลงให้กันและทนกันได้

คำว่า ความรัก ในพระพุทธศาสนามี ๒ ประเภท ดังนี้

๑. เปมะ ได้แก่ ความรักใคร่หรือความรักแบบโรแมนติกซึ่งเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการ คือ (๑) บุพสันนิวาส หญิงชายเคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน เมื่อเกิดใหม่มาพบกันในชาตินี้จึงเป็นเนื้อคู่กันและรักกัน (๒) การดูแลช่วยเหลือเกื้อกูลกันในชาติปัจจุบันก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งของความรัก แม้หญิงชายจะไม่เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ชาติปางก่อน ทั้งคู่ก็รักกันได้เพราะความมีน้ำใจของอีกฝ่ายหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

๒. เมตตา ได้แก่ ความปรารถนาดีหรือความหวังดีที่จะให้คนอื่นมีความสุข ซึ่งเกิดจากการมองเห็นความดีงามหรือความน่ารักของคนอื่นแล้วเกิดความประทับใจจนถึงกับคิดส่งเสริมให้เขามีความดีงามหรือความน่ารักยิ่งๆขึ้นไป

ชีวิตการแต่งงานจะยั่งยืนนานถ้ามีความรักทั้งสองอย่างคือมีทั้งความรักแบบโรแมนติกและความรักแบบเมตตาเป็นพื้นฐาน ความรักแบบโรแมนติกสร้างความสุขความเพลินใจเมื่ออยู่ใกล้คนรัก แต่ไฟแห่งความรักใคร่มักโชติช่วงอยู่ได้ไม่นาน ความเคยชินเพราะอยู่ด้วยกันมานานมักทำให้ความรักใคร่จืดจางไปได้ ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องมีความรักแบบเมตตาตามประกบความรักใคร่เพื่อให้ความรักยั่งยืนยาวนาน

ความรักแบบโรแมนติกถูกความน่ารักน่าปรารถนาของคู่ครองเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รัก ความรักใคร่นี้มีธรรมชาติไม่แน่นอน เวลาใดคนรักทำตัวมีเสน่ห์น่ารัก เวลานั้นอารมณ์รักใคร่ก็จะเบ่งบานมีพลัง เวลาใดคนรักเอาแต่ใจทำตัวไม่น่ารัก เวลานั้นความรักใคร่ก็จะอับเฉาร่วงโรย ความรักใคร่แบบโรแมนติกจึงมีสภาวะขึ้นลงตามปัจจัยเงื่อนไขภายนอกอันได้แก่กิริยาอาการของคนรักเป็นสำคัญ โดย พระธรรมโกศาจารย์ (2549)
งานแต่งน้องอิ๋ม (73).JPG (335.53 KiB) เข้าดูแล้ว 186 ครั้ง
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “คุยนอกเรื่องใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับจักรยาน”