ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
- Steve
- ขาประจำ
- โพสต์: 1100
- ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ส.ค. 2008, 12:21
- team: 347 Cycle Square
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
เเม่เจ้า ถ้าเรื่องเเบบนี้ค่อยคุนกันรู้เรื่องหน่อย กำลังดูอยู่ว่าใครจะสมาธิเเตกก่อน เเละเเล้วเราก็ได็ผู้ชนะ
- phok8
- ขาประจำ
- โพสต์: 156
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 06:41
- team: 347 Cycling Team / Mammoths
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
555 กำลังจะแปรเปลี่ยนค่าwatt meter ไปเป็น watt lover แล้วแหง่ๆ
- velocity
- ขาประจำ
- โพสต์: 1064
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 มิ.ย. 2009, 10:15
- Tel: 081 595 5975
- Bike: VENGE ViAS
- ตำแหน่ง: เชียงใหม่
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
เดี๋ยวมาแจมครับ
บริการด้วยใจ ไม่ใช่ธุรกิจ
STRAVA ส่วนตัว http://app.strava.com/athletes/393418
THAI's 1st RETÜL certified fitter
THAI's 1st F.I.S.T certified fitter
ASIA's 1st IBFI certified fitter
Body Geometry certified fitter
ISCO certified fitter
STRAVA ส่วนตัว http://app.strava.com/athletes/393418
THAI's 1st RETÜL certified fitter
THAI's 1st F.I.S.T certified fitter
ASIA's 1st IBFI certified fitter
Body Geometry certified fitter
ISCO certified fitter
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 931
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 09:24
- Tel: 081-825-5188
- team: 347team rama9 sawasdee-bikestation
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
ยินดีมากครับ...คุณตั้มvelocity เขียน:เดี๋ยวมาแจมครับ
WE LOVE THE KING.....WE LOVE THAILAND
- zembae
- ขาประจำ
- โพสต์: 911
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 พ.ย. 2009, 19:04
- Tel: ***
- team: 347
- Bike: Zero.7, Cervelo S5
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
ช่วยดันรอคุณตั้มBeer เขียน:ยินดีมากครับ...คุณตั้มvelocity เขียน:เดี๋ยวมาแจมครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3092
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
- Tel: 0865040751
- team: Team Bike And Body Cycoling
- Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
- ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
รายงานตัวครับ PowerTap Pro+ ครับ เป็นพาวเวอร์มิเตอร์ที่ผมชั่งแล้วพบว่าความคุ้มค่าราคาและการใช้งานเหมาะเป็นอย่างยิ่งด้วยราคาค่าตัวไม่เกินสามหมื่นบาทไม่เกิน(ถ้าไม่ได้เอาไปขึ้นกับล้อเทพ) น้ำหนักที่มากกว่า SL+ ครึ่งขีด ความแม่นยำและการส่งสัญญาณเดียวกันเป๊ะๆ ข้อเสียคือดุมใหญ่มหึมาเพราะเป็นผนังอลูมินั่ม จึงมีความได้เปรียบอากาศพลศาสตร์แย่มาก กรณีเป็นล้อซ้อมและขี่เรื่อย(เปื่อย) ก็เพียงพอมากๆ หรือจะเอาแบบประหยัดเงินจริงๆลงไปเล่น Elite+ ก็จะสนนราคาถูกไปอีกร่วมหมื่นสบายๆ
มาแจมรอบนี้ขอแนะนำคำว่า CP ครับ ไม่เกี่ยวกับอตสาหกรรมอาหารและเกษตรนะครับ เป็นค่า critical power ตค่อหนึ่งช่วงเวลา เช่น CP60 คือค่าพลังที่ใช้ได้มากที่สุดในเวลา 60 นาที ค่า CP30 หรือ CP20 ก็คือค่าในพิกัดเวลาตามตัวเลข
ค่านี้มีประโยชน์ช่วยในการหา Functional Treshold Power หรือ FTP ที่มิตรรักนักติดหวัดถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะค่า FTP ก็คือค่า CP60 นั่นเอง อันนี้เพราะค่ากำลังวัตต์ทำได้ยาวกว่านี้มีค่าใกล้เคียงแทบจะเทียบเท่ากับที่เวลาดังกล่าวจึงไม่นำมาคิดอีก จะขี่สามชั่วโมงก็จะถือว่าทำได้อยู่บนค่า FTP นั่นเอง (ในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยเรื่องใจมาเกี่ยวข้องด้วยครับ ขี่นานมากๆตามทฤษฏีระบบการทำงานของร่างกายทำงานหนักเท่าเดิม แต่ใจมักจะแป้วเพราะความล้าทำให้แรงยิ่งหดลงๆเรื่อยๆ) ที่ CP60 นี้ถึงจะขี่จนหมดก๊อกไปแล้วแต่ถ้าได้พักที่ระดับความหนักแบบพักผ่อน(recoverry rate) ก็จะสามารถกลับมาออกแรงเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมได้อีกไปเรื่อยๆ (แต่อย่างที่ว่าครับ ใจมันมักจะบอกว่า"พอ")
แต่ค่า CP ที่น่านำเสนอจริงๆก็คือค่า CP20 และ CP6
CP20 นั้นไม่ขอกล่าวถึงมากครับเพราะว่ากันมาแล้วแน่ๆ(ยังไม่ได้อ่านนะครับแต่ต้องคุยกันแล้วชั่วร์ไ)
ขอนำเสนอ CP6 ค่าทางลัดมหัศจรรย์ครับ ค่านี้จริงๆมันคือความหนักที่เก็บข้อมูลได้ว่ามันเป็นพิกัดสุดท้ายของการใช้พลังงานแบบแอโรบิคหรือจุดแรกที่สุดที่ร่างกายเริ่มผลิตกรดแลคติคอย่างพรวดพราด และหรือแปลว่ามันคือจุดสูงสุดที่่ร่างกายใช้อ็อกซิเจนเข้ามาสันดาปพลังงาน มีค่าโดยประมาณอยู่ที่ 120% ของ FTP ของทุกคน ดังนั้นวิธีนี้นำไปช่วยหา FTP ได้แบบรวดเร็วและคร่าวๆ(สำหรับคนขี้เกียจ) ทดสอบง่ายๆด้วยการขี่เต็มปรี๊ดที่หมดทุกหยดเวลา 6 นาทีเอาแบบหมดทุกหยดจริงๆทำซ้ำ 3 ครั้งแล้วเอาค่าครั้งที่สามเป็นหลัก
สมมุติได้ 240 เอาไปคุณด้วย 0.83 จะได้ FTP ออกมาโดยเร็ว
แต่มีข้อแม้อยู่ที่ ....ต้องได้จากการขจี่เดี่ยวๆเท่านั้นเลยนะครับไม่เอาค่าจากการขี่ฝูง ทางราบๆยิ่งดีไม่มีสะพานมากวนใจ เพราะค่านี้ต้องเป็นค่าที่ไม่โดนรบกวนจากการระเบิดมาเกี่ยวข้อง แม้จะได้ค่า normpower มาก็จะมีโอกาสไม่ตรงได้
ข้อดีของการหาค่าด้วยวิธีนี้คือ...มันทำได้ง่ายมากครับ เรามีแนวโน้มที่จะระเบิดหมดตัวที่ระยะเวลาสั้นๆได้ดีกว่าการต้องพยายามขี่นานๆ และที่พิกัด 6 นาทีคือเพดานสุดท้ายที่เป็นระบบแอโรบิคซึ่งจะนำไปคำนวนหาได้ หากสั้นกว่านี้จะลงไปที่ระบบอะแนโรบิคแล้ว เอาไปเทียบหา FTP ไม่ได้ครับ
การคำนวนด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบอย่างง่ายเพื่อติดตามพัฒนาการ(และความเสื่อม)ของร่างกายเรา อาศัยเวลาไม่มาก หากพบว่าค่าที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นั่นแปลว่าเราต้องทำการตรวจหา FTP ใหม่โดยด่วน หากค่าที่ได้อยู่ในจำนวนบวกลบ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าร่่างกายยังไม่ได้ฟิตเปลี่ยนไปมากนัก
แต่ยังมีข้อแม้อีกนิดหน่อยครับ ค่านี้จะเพี้ยนบรรลัยโลกทันทีถ้าท่านเป็นพวกสปรินท์เตอร์ตัวแรง นักระเบิดพลังงานระดับจรวดทางเรียบ เพราะพวกท่านสามารถระเบิด 6 นาทีที่ทะลุขีด 120% ไปโข ทำให้ค่าที่ได้สูงเกิน FTP จริงๆที่ควรเป็น วิธีตรวจสอบว่าจะเป็นข่ายนี้หรือไม่ให้ดูจากค่าที่ยังไม่ได้คุยกันก็คือ "Pwer to Weight Ratio" หากท่านมีพิกัดค่านี้ในระยะเวลาสั้นๆเช่นไม่ถึงหนึ่งนาทีหรือไม่เกินสามนาที ที่มากกว่าค่า 6 นาทีขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัดมากๆ ท่านคือพวกนักระเบิดตูมตาม ใช้วิธีนี้เมื่อใด เพี้ยนแหลกครับ
ปิดท้ายด้วยวิธีส่วนตัวปรับจากวิธีนี้นะครับ ผมใช้มันเป็น"กำแพง"หาความฟิต กล่าวคือสมมุติฐานความฟิตมากขึ้นนิดหน่อย จากเดิมผมมี CP6 ที่ 230w ผมก็จะทดลองดูว่าหลังจากที่ซ้อมมาแล้วสองสัปดาห์ผมแกร่งขึ้นมั้ยด้วยการทดสอบขี่ที่ 6 นาทีให้ได้ 240w หรือ 250w ทำซ้ำหลายๆรอบ ถ้าทำได้แปลว่าได้เวลาทดสอบ FTP ใหม่อย่างแน่นอน
ปิดท้าย(อีกที) แม้ว่าจะไม่ได้เอาค่า CP ไปหา FTP แต่ค่านี้บ่งบอกตัวตนของเราได้อย่างชัดเจน แถมทำให้เรามองหาจุดเด่นจุดด้อยของเราได้ด้วย รอคุยกันเรื่อง Power to Weight ก่อนค่อยมาแจมต่อครับ
ปล.ผมได้ชาร์ทโปรไฟล์การแข่งไครทีเรี่ยมระดับ cat2 มาคิดเป็น % จาก FTP แล้ว เอามาขี่ตามนั้นได้ 20 นาทีก็ร่วงครับ เอาใว้หลังๆจะเอามาลงให้ลองซัดกัน ทำให้การซ้อมในร่มมันส์ขึ้นเป็นกอง
ปฝ2. พักนี้งานเยอะครับ ขอส่งใบลาพี่ๆเพื่อนๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ เจอกันอีกทีสัปดาห์แรกของเมษายนนี้เลยนะครับ ระหว่างนี้เน้นในร่ม เผื่อว่าจะขาวขึ้น
มาแจมรอบนี้ขอแนะนำคำว่า CP ครับ ไม่เกี่ยวกับอตสาหกรรมอาหารและเกษตรนะครับ เป็นค่า critical power ตค่อหนึ่งช่วงเวลา เช่น CP60 คือค่าพลังที่ใช้ได้มากที่สุดในเวลา 60 นาที ค่า CP30 หรือ CP20 ก็คือค่าในพิกัดเวลาตามตัวเลข
ค่านี้มีประโยชน์ช่วยในการหา Functional Treshold Power หรือ FTP ที่มิตรรักนักติดหวัดถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะค่า FTP ก็คือค่า CP60 นั่นเอง อันนี้เพราะค่ากำลังวัตต์ทำได้ยาวกว่านี้มีค่าใกล้เคียงแทบจะเทียบเท่ากับที่เวลาดังกล่าวจึงไม่นำมาคิดอีก จะขี่สามชั่วโมงก็จะถือว่าทำได้อยู่บนค่า FTP นั่นเอง (ในความเป็นจริงแล้วมีปัจจัยเรื่องใจมาเกี่ยวข้องด้วยครับ ขี่นานมากๆตามทฤษฏีระบบการทำงานของร่างกายทำงานหนักเท่าเดิม แต่ใจมักจะแป้วเพราะความล้าทำให้แรงยิ่งหดลงๆเรื่อยๆ) ที่ CP60 นี้ถึงจะขี่จนหมดก๊อกไปแล้วแต่ถ้าได้พักที่ระดับความหนักแบบพักผ่อน(recoverry rate) ก็จะสามารถกลับมาออกแรงเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิมได้อีกไปเรื่อยๆ (แต่อย่างที่ว่าครับ ใจมันมักจะบอกว่า"พอ")
แต่ค่า CP ที่น่านำเสนอจริงๆก็คือค่า CP20 และ CP6
CP20 นั้นไม่ขอกล่าวถึงมากครับเพราะว่ากันมาแล้วแน่ๆ(ยังไม่ได้อ่านนะครับแต่ต้องคุยกันแล้วชั่วร์ไ)
ขอนำเสนอ CP6 ค่าทางลัดมหัศจรรย์ครับ ค่านี้จริงๆมันคือความหนักที่เก็บข้อมูลได้ว่ามันเป็นพิกัดสุดท้ายของการใช้พลังงานแบบแอโรบิคหรือจุดแรกที่สุดที่ร่างกายเริ่มผลิตกรดแลคติคอย่างพรวดพราด และหรือแปลว่ามันคือจุดสูงสุดที่่ร่างกายใช้อ็อกซิเจนเข้ามาสันดาปพลังงาน มีค่าโดยประมาณอยู่ที่ 120% ของ FTP ของทุกคน ดังนั้นวิธีนี้นำไปช่วยหา FTP ได้แบบรวดเร็วและคร่าวๆ(สำหรับคนขี้เกียจ) ทดสอบง่ายๆด้วยการขี่เต็มปรี๊ดที่หมดทุกหยดเวลา 6 นาทีเอาแบบหมดทุกหยดจริงๆทำซ้ำ 3 ครั้งแล้วเอาค่าครั้งที่สามเป็นหลัก
สมมุติได้ 240 เอาไปคุณด้วย 0.83 จะได้ FTP ออกมาโดยเร็ว
แต่มีข้อแม้อยู่ที่ ....ต้องได้จากการขจี่เดี่ยวๆเท่านั้นเลยนะครับไม่เอาค่าจากการขี่ฝูง ทางราบๆยิ่งดีไม่มีสะพานมากวนใจ เพราะค่านี้ต้องเป็นค่าที่ไม่โดนรบกวนจากการระเบิดมาเกี่ยวข้อง แม้จะได้ค่า normpower มาก็จะมีโอกาสไม่ตรงได้
ข้อดีของการหาค่าด้วยวิธีนี้คือ...มันทำได้ง่ายมากครับ เรามีแนวโน้มที่จะระเบิดหมดตัวที่ระยะเวลาสั้นๆได้ดีกว่าการต้องพยายามขี่นานๆ และที่พิกัด 6 นาทีคือเพดานสุดท้ายที่เป็นระบบแอโรบิคซึ่งจะนำไปคำนวนหาได้ หากสั้นกว่านี้จะลงไปที่ระบบอะแนโรบิคแล้ว เอาไปเทียบหา FTP ไม่ได้ครับ
การคำนวนด้วยวิธีนี้เหมาะสำหรับการตรวจสอบอย่างง่ายเพื่อติดตามพัฒนาการ(และความเสื่อม)ของร่างกายเรา อาศัยเวลาไม่มาก หากพบว่าค่าที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน นั่นแปลว่าเราต้องทำการตรวจหา FTP ใหม่โดยด่วน หากค่าที่ได้อยู่ในจำนวนบวกลบ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าร่่างกายยังไม่ได้ฟิตเปลี่ยนไปมากนัก
แต่ยังมีข้อแม้อีกนิดหน่อยครับ ค่านี้จะเพี้ยนบรรลัยโลกทันทีถ้าท่านเป็นพวกสปรินท์เตอร์ตัวแรง นักระเบิดพลังงานระดับจรวดทางเรียบ เพราะพวกท่านสามารถระเบิด 6 นาทีที่ทะลุขีด 120% ไปโข ทำให้ค่าที่ได้สูงเกิน FTP จริงๆที่ควรเป็น วิธีตรวจสอบว่าจะเป็นข่ายนี้หรือไม่ให้ดูจากค่าที่ยังไม่ได้คุยกันก็คือ "Pwer to Weight Ratio" หากท่านมีพิกัดค่านี้ในระยะเวลาสั้นๆเช่นไม่ถึงหนึ่งนาทีหรือไม่เกินสามนาที ที่มากกว่าค่า 6 นาทีขึ้นไปอย่างเห็นได้ชัดมากๆ ท่านคือพวกนักระเบิดตูมตาม ใช้วิธีนี้เมื่อใด เพี้ยนแหลกครับ
ปิดท้ายด้วยวิธีส่วนตัวปรับจากวิธีนี้นะครับ ผมใช้มันเป็น"กำแพง"หาความฟิต กล่าวคือสมมุติฐานความฟิตมากขึ้นนิดหน่อย จากเดิมผมมี CP6 ที่ 230w ผมก็จะทดลองดูว่าหลังจากที่ซ้อมมาแล้วสองสัปดาห์ผมแกร่งขึ้นมั้ยด้วยการทดสอบขี่ที่ 6 นาทีให้ได้ 240w หรือ 250w ทำซ้ำหลายๆรอบ ถ้าทำได้แปลว่าได้เวลาทดสอบ FTP ใหม่อย่างแน่นอน
ปิดท้าย(อีกที) แม้ว่าจะไม่ได้เอาค่า CP ไปหา FTP แต่ค่านี้บ่งบอกตัวตนของเราได้อย่างชัดเจน แถมทำให้เรามองหาจุดเด่นจุดด้อยของเราได้ด้วย รอคุยกันเรื่อง Power to Weight ก่อนค่อยมาแจมต่อครับ
ปล.ผมได้ชาร์ทโปรไฟล์การแข่งไครทีเรี่ยมระดับ cat2 มาคิดเป็น % จาก FTP แล้ว เอามาขี่ตามนั้นได้ 20 นาทีก็ร่วงครับ เอาใว้หลังๆจะเอามาลงให้ลองซัดกัน ทำให้การซ้อมในร่มมันส์ขึ้นเป็นกอง
ปฝ2. พักนี้งานเยอะครับ ขอส่งใบลาพี่ๆเพื่อนๆในวันหยุดสุดสัปดาห์ เจอกันอีกทีสัปดาห์แรกของเมษายนนี้เลยนะครับ ระหว่างนี้เน้นในร่ม เผื่อว่าจะขาวขึ้น
แก้ไขล่าสุดโดย giro เมื่อ 14 มี.ค. 2011, 13:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 931
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 09:24
- Tel: 081-825-5188
- team: 347team rama9 sawasdee-bikestation
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
มาช้า....ยังดีกว่าไม่มา....สงสัยมีปัญหากับเด็กเหมือนพี่โจ(ลูกชายเหมือนกัน)giro เขียน:มาแล้วๆ เพิ่งว่างมาครับ
เดี๋ยวขออ่านตั้งแต่แรกให้หมดก่อนจะได้คุยต่อได้แบบไม่ซ้ำซาก
WE LOVE THE KING.....WE LOVE THAILAND
- Gymie
- ขาประจำ
- โพสต์: 180
- ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2008, 14:37
- team: True sawasdee hotel bike station rama9
- Bike: Allumilized Tarmak , Colnatouy Master sEX, CAN-GIAOUN super69 , etc....
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
ดีใจชักคึกคัก และมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆแล้วBeer เขียน:มาช้า....ยังดีกว่าไม่มา....สงสัยมีปัญหากับเด็กเหมือนพี่โจ(ลูกชายเหมือนกัน)giro เขียน:มาแล้วๆ เพิ่งว่างมาครับ
เดี๋ยวขออ่านตั้งแต่แรกให้หมดก่อนจะได้คุยต่อได้แบบไม่ซ้ำซาก
ยินดีครับพี่ตั้ม โปรเบียร์ต้องถามสูตรขึ้นเขาจากพี่ Velocity แล้วละครับถึงถูกคน เพราะดูจากเวลาของอินทนนท์แล้วบอกได้เลยว่า "inw" ต้องมีเทคนิคอะไรดีๆเป็นแน่ หรือ ต้องใช้เวลาเบาๆ จึงทำให้ได้เวลาน้อยๆBeer เขียน:ยินดีมากครับ...คุณตั้มvelocity เขียน:เดี๋ยวมาแจมครับ
ช่วงนี้ผมก็ไม่ค่อยว่าง เพราะต้องซ้อม miniไตรกีฬา ว่ายสระน้ำอุ่น ปํ่น... วิ่งไล่จับ
เตรียมตัว ต่อเรื่อง POWER To weight Ratio ครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1703
- ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 12:29
- Tel: 0846605533
- team: Cycle Square Rama 3
- Bike: Bianchi Oltre XR2
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
Polar LOOK Kéo Power being tested by team Cofidis coached by Vincent Villerius
[youtube]nCeaAQNPGbI&feature=player_embedded[/youtube]
Final version of the Polar LOOK Kéo Power.
[youtube]nCeaAQNPGbI&feature=player_embedded[/youtube]
Final version of the Polar LOOK Kéo Power.
"เทคนิคการปั่นเสือหมอบ"
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=129&t=6760
"Prowut Bike Fitting"
https://www.facebook.com/prowut.bikefitting
"Power tends to corrupt and Absolute Power corrupts absolutely". Lord Acton
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=129&t=6760
"Prowut Bike Fitting"
https://www.facebook.com/prowut.bikefitting
"Power tends to corrupt and Absolute Power corrupts absolutely". Lord Acton
- เสือเชน
- ขาประจำ
- โพสต์: 4128
- ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มี.ค. 2009, 21:12
- team: M-78, OSK-109, AFAPS-32
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
Gym
กำลังจะได้กลับมาซ้อมมากขึ้น
ว่าจะรบกวนคอร์สซ้อม ให้เข้ากลุ่ม 35+ ทันภายใน 1 เดือน ... if you have it
ตอนนี้ ไม่ถึง 140 watt
กำลังจะได้กลับมาซ้อมมากขึ้น
ว่าจะรบกวนคอร์สซ้อม ให้เข้ากลุ่ม 35+ ทันภายใน 1 เดือน ... if you have it
ตอนนี้ ไม่ถึง 140 watt
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1930
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 22:34
- team: we r soitan
- ติดต่อ:
- Gymie
- ขาประจำ
- โพสต์: 180
- ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2008, 14:37
- team: True sawasdee hotel bike station rama9
- Bike: Allumilized Tarmak , Colnatouy Master sEX, CAN-GIAOUN super69 , etc....
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
ว้าวๆ สวยครับ อยากให้ถ่ายเต็มๆแบบทั้งคันจังเลย พี่ๆน้องๆติดหวัดด้วยนะครับถ้าใครมีรูปแนวทางติดหวัดกับรถสวยๆนำมาโชว์กันหน่อยจิGDB เขียน:
พักนี้ผมเองไม่ได้ซ้อมเลยครับ ส่วนจะขี่ให้ได้35นั้นคงต้องเริ่มจากการฝึก base training ก่อนเลยครับเสือเชน เขียน:Gym
กำลังจะได้กลับมาซ้อมมากขึ้น
ว่าจะรบกวนคอร์สซ้อม ให้เข้ากลุ่ม 35+ ทันภายใน 1 เดือน ... if you have it
ตอนนี้ ไม่ถึง 140 watt
- เสือเชน
- ขาประจำ
- โพสต์: 4128
- ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มี.ค. 2009, 21:12
- team: M-78, OSK-109, AFAPS-32
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
งั้นต้องกลับไปเริ่มจากจุดแรกคือ อาหารการกิน
สุกี้หม้อรวมน่าจะดี
สุกี้หม้อรวมน่าจะดี
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3092
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
- Tel: 0865040751
- team: Team Bike And Body Cycoling
- Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
- ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
หลายวันที่ผ่านมาผมได้หนูทดลองใหม่บนพาวเวอร์มิเตอร์ เนื่องมาจากท่านผู้การใหญ่ที่บ้านประสงค์จะออกกำลังกาย เล็งไปเล็งมารถ TT ขนาดกำลังเหมาะสมเอาขึ้นเทรนอนอร์แล้วคุณเธอก็ปั่นติดต่อกันมาหลายวันจนได้
ซึ่งผมก็ค้นหาข้อมูลต่างๆของการปั่นแบบเอาใจสาวที่ขายตามฟิตเนสชื่อดังทั้งหลายที่ว่าปั่นแล้วลดน้ำหนัก ผสมไปกับข้อมูลจักรยาน ออกมาได้คอร์ส 8 เดือน
อันนี้ไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้อถึงขั้นต้องเอามาอัพเพราะสอดคล้องกับพวกหนุ่มๆบ้าพลังยิ่งติดหวัดกันงอมแงมยิ่งเกี่ยวคือ
"เคยมีใครสังเกตพลังงานที่เสียไปและได้มา" มั้ยครับ?
มันมีอยู่ว่า เจ้าพาวเวอร์แท็ปมันรายงานงานที่ได้จากการปั่นเป็นกิโลจูล แต่เมื่อเอาข้อมูลจากฮาร์ทเรทไปเข้าโปรแกรมตรวจสอบการเผาผลาญได้ออกมาเป็นแคลลอรี่ ก็ทำให้ผมสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสองหน่วยนี้ จึงไปรื้อๆค้นๆดูพบว่า
1 กิโลจูล = 0.24 แคลอรี
เอาล่ะทีนี้ ท่าน ผบ. ผมปั่นไปเบาะๆ 80 กิโลจูล คำนวนออกมาได้ราว 20 แคลอรีี อ้าวเฮ้ยน้อยขนาดนี้ กาแฟครึ่งถ้วยยังเผาไม่หมดเลย แต่ค่าที่ได้จากชีพจรฟ้องว่าราว 150 แคลอรีถูกเผาผลาญไปจากกระบวนการออกกำลังกายนี้
เอาล่ะครับ งง ครับงานนี้ ผมก็ไปเช็คของผมต่อ ที่มอเตอร์เวย์เสาร์ที่ผ่านมาผมปั่นไปราว 900 แคลอรี ได้ค่าจากพาวเวอร์แท็ปมา 700 กิโลจูล เทียบออกมาได้เพียง 175 แคลอรี เท่านั้น แม่เจ้าข้าวขาหมูหนึ่งจานยังมากกว่านี้เลย
ผมเลยนั่งค้นข้อมูลต่อว่าเกิดอะไรขึ้น สูตรผิดหรือว่าพาวเวอร์แท็ปผมพัง
อันดับแรกที่พบคือ ระบบการคำนวนพลังงานที่เผาผลาญจากชีพจรนั้นไม่แม่นยำเอาพอสมควร ถ้าจะให้แม่นมากๆที่สุดต้องใส่ทั้งน้ำหนักตัว ส่วนสูง น้ำหนักกล้ามเนื้อ และ มวลกระดูก ซึ่งยากจะวัดได้ ส่วนมากก็ใส่แค่อายุ น้ำหนักตัว ส่วนสูง ก็จะได้ค่าคร่าวๆออกมา เพี้ยนไปได้ในพิกัดบวกลบ 10% ก็พอถูไถเอามาดูคร่าวๆได้ว่าเผาไปประมาณใหน
อันดับต่อมา ค่าที่พาวเวอร์แท็ปได้มาคือค่าของพลังที่ได้เพื่อกระทำในการขับเคลื่อนมวลของเราและจักรยานเท่านั้น กล่าวคือแรงกำเนิดการขับเคลื่อนทเ่านั้นที่จะได้รับประเมินออกมา ไม่รวมแรงอื่นๆเช่นแรงที่ต้องขยับขา แรงที่ต้องยันร่างกายใว้ แรงที่ต้องรักษาสมดุลย์ และ พลังงานที่ต้่องใช้เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ ทั้งหมดนี้ไม่นับ
มันให้ข้อสรถปแรกก่อนเลยครับว่า การปั่นจักรยารนของเราๆนั้น แรงเพียงน้อยนิดไม่ถึงหนึ่งในสี่ถูกส่งลงไปที่รถเพื่อใช้ขับเคลื่อน แต่แรงอีกมากมายมหาศาลถูกเผาผลาญใช้ใปกับกระบวนการอื่น ผมพบว่าในสภาพอากาศที่ร้อน(ของฝรั่ง ซึ่งก็คือธรรมดาบ้านเรา) พลังงานราวครึ่งหนึ่งจะถูกเผาผลาญไปเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายในลักษณะกระบวนการผลิตและปล่อยเหงื่อออกมา ดังนั้นในสภาพอากาศเย็นร่างกายจะใช้พลังงานน้อยกว่ามาก ยิ่งอากาศร้อนกระบวนการตรงนี้ยิ่งมาก ฟ้องออกมาที่กระบวนการเผาผลาญ(เมตาบอลิสซึ่ม)ที่มากขึ้น และฟ้องมาบนหน้าจอพวกเราเป็นชีพจรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับวันปั่นอากาศเย็นๆ ดังนั้นในการแข่งหรือทริปโหดๆ แม้แต่การซ้อมหนักๆในวันอากาศร้อน เราจะสามารถรีดพลังได้สูงกว่าเมื่อเราปั่นแล้วหาทางระบายความร้อนไปด้วย ซึ่งการซ้อมในอากาศที่เย็นกำลังดีร่างกายไม่ต้องต่อสู้กับการควบคุมอุณหภูมิมากนัก เราจะสามารถขึ้นไปถึงจุดที่กล้ามเนื้อทั้งร่างกายและระบบเผาผลาญทำงานได้หนักมากๆได้ง่ายและสูงกว่า นั่นทำให้ในการซ้อมขั้นหนักหน่วง ที่อากาศพอดีจะทำได้บ่อยและนานกว่าอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป
บางคนเข้าใจผิดว่ายิ่งซ้อมร้อนยิ่งดีสิ จะได้ชีพจรสูงๆ ดีต่อระบบหัวใจ(มั้ง) อาจเป็นได้ แแต่ก็แปลว่าชีพจรจะสูงมากๆโดยที่กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่ถึงพิกัดที่ต้องการจริงๆ หรือถ้าพวกบ้าวัตต์อย่างเราพยายามรีดอัดให้มันถึงตามพิกัดและระยะเวลาที่ต้องการ หัวใจก็จะทำงานหนักสุดๆ คงไม่ต้องบอกว่าก็น่ากลัวจะม่องคารถนะครับ
ด้วยเหตุนี้เป็นหนึ่งในสมมุติฐานที่เคยอ่านเจอว่านักปั่นที่อยู่ในภูมิอากาศที่เอื้อจะซ้อมจนสร้างร่างกายที่สุดยอดมากกว่าที่อยู่ในสภาพอากาศ"ม่อำนวย
ทีนี้มาดูอัตราส่วนพลังงานที่ใช้ไปและได้มาของกระผมกับท่านผู้การ
20:150= 1:7.5 หรือใช้พลังงานไป 7.5 แคลอรีได้งานมา 1 แคลอรี
175:900= 1:5.1 หรือใช้พลังงานไป 5.1 แคลอรีได้งานมา 1 แคลอรี
อัตราส่วนดังกล่าวแตกต่างกันถึง 32% สอดคล้องกับอีกข้อมูลน่าสนใจที่ผมอ่านเจอนั่นคือ
"นักจักรยานที่ผ่านระบบการซ้อมจะใช้พลังงานที่ผลิตได้ออกมาได้งานที่คุ้มค่ามากกว่า" นั่งคือทั้งระบบของวงรอบการปั่นที่ขาไปจึนถึงการรักษาสภาพความสมดุลย์ของร่างกายและรับมือแรงตอบสนองบนถนน นักจักรยานที่ได้รับการฝึกฝนจะสูญเสียพลังงานไปกับตรงนี้น้อยกว่า ในระดับโปรจักรยานมีคนเคยคำนวนว่าโปรมีอัตราการสูญเสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็นน้อยกว่านักปั่นทั่วไปครึ่งต่อครึ่ง
มาถึงตรงนี้ทำให้ได้ข้อคิดมาหนึ่งข้อว่า หากเราไม่สามารถเพิ่มวัตต์ เพิ่มความทนถึกได้ในระยะเวลาที่ต้องการ อันที่จริงการฝึกซ้อมเพื่อจะลดการสูญเสียและได้งานอย่างเต็มที่คือทางออกที่ดีที่สุด
แดเนียลเล่าให้ผมฟังว่า เคยมีการทดสอบนักวิ่งมาราธอนสองคน คนแรกร่างกายพระเจ้าส่งมันมาวิ่ง มีกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจและค่าการดึงออกซิเจนไปใช้สูงเป็นพรสวรรค์ ส่วนอีกคนมีศักยภาพเหล่านี้ด้อยกว่า แต่ในการวิ่งจริงพบว่าคนแรกแพ้มากกว่า ทำให้เค้าจับมาประเมินพบว่า รายที่สองแม้จะด้อยกว่าทางด้านร่างกายที่พระเจ้าสร้างมาดีไม่เท่า แต่มีท่าวิ่งและการก้าวที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ทำให้ร่างกายสูยเสียพลังงานไปน้อยกว่ามาก
และอีกปัจจัยที่พบว่าขาดไม่ได้ก็คือร่างกายของคนที่เล่นกีฬาแบบความทนทานจะมีกระบวนเผาผลาญพลังงานที่มีศักยภาพกว่าคนทั่วไปหรือนักกีฬาแบบอะแนโรบิคราว 20-25% นั่นคือ ในหนึ่งหน่วยพลังงานงานที่ร่างกายต้องการ เราต้องช้พลังงานเผาผลาญมันออกมาน้อยกว่าคนอื่นหนึ่งในสี่ งง กันมั้ยครับ?
เพื่อความกระจ่างคิดง่ายๆดังนี้
ร่างกายต้องการพลังงานงานออกมา 80 หน่วย แต่เพื่อกระบวนการนั้นร่างกายต้องมีพลังงานที่จะใช้เพื่อสร้างพลังงานนั้น 20 หน่วย ทำให้ในผลรวมของพลังงานที่ใช้ไป ณ ขณะนั้นเป็น 100 หน่วย หากร่างกายมีระบบการเผาผลาญพลังงานที่ด้อยกว่าก็จะใช้มากกว่า 20 หน่วยเพื่อสร้างพลังงาน 80 หน่วย เช่นใช้ไป 24 หน่วย ส่งผลให้ใช้พลังานไปรวมแล้ว 104 หน่วยเพื่อให้ได้งานที่ต้องการ และกระบวนการพวกนี้จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อระดับการออกกำลังกายอยู่ในช่วงแอโรบิค ทั้งช่วงรีคัฟเวอร์ ช่วงเอนดูแรนซ์ และ เทมโปของพวกเรา และจัยิ่งลดความได้เปรียบลงเมื่อเข้าสู่ช่วงอะแนโรบิค ทว่าในความเป็นจริงก็ยังได้เรปียบอยู่ดี
ซึ่งนั่นแถมรวมถึงในบรรดาหนุ่มหรือสาวที่ต้องการลดพุงลดหุ่นให้ดูดี พึงเข้าใจอีกหนึ่งอย่างว่า ไม่เพียงแต่ขณะที่ออกกำลังเท่านั้นที่นักปั่น(หรือนักกีฬาที่ออกกำลังกายประจำ) เผาผลาญพลังงานได้ดีกว่า แต่หมายถึงในการใช้ชีวิตประจำวันอื่นๆด้วย
ประการแรกมาจากมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่า กล้ามเนื้อที่มากกว่าและได้รับการฝึกฝนมา จะเผาผลาญพลังงานได้สูงกว่าในกิจกรรมเดียวกันเมื่อเทียบกับไขมัน ดังนั้นในคน 2 คนที่หนักเท่ากัน คนหนึ่งมีกล้ามเนื้อมากกว่า อีกคนมีไขมันมากกว่า คนที่มีกล้ามเนื้อมากกว่าจะใช้พลังงานไปมากกว่าในการดำเนินชีวิต ในขณะที่คนที่มีไขมันมากกว่าใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้เมื่อกินเข้าไปเท่ากัน คนแรกจะเผาผลาญได้โดยไม่เหลือหรอ ทว่าคนที่สองกลับใช้พลังงานไปนิดเดียวส่วนที่เหลือก็ต้องเก็บเป็นไขมันยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวีมากขึ้นๆต่อไปอีก
ประการต่อมาคือกระบวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่ได้รับการกระตุ้นให้ทำงานสม่ำเสมอจะทำงานตอบสนองได้เร็วและดีกว่า แปลว่าร่างกายที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลงเพียงนิดเดียว คนที่เล่นกีฬาจะผลิตเหงื่อออกมาเร็วและมากกว่าเพื่อรักษาอุณหภูมิได้มีประสิทธิภาพกว่าซึ่งถือว่าเผาผลาญพลังงานไปได้มากกว่า ในขณะที่อีกคนที่ไม่ค่อยได้กระตุ้นกระบวนการนี้วันๆนั่งในห้องแอร์สบายๆเอนหลังจิบเบียร์คลอเคลียเมียน้อย เมื่อต้องคุมอุณหภูมิร่างกายจะตอบสนองช้าและด้อยประสิทธิภาพกว่า และใช้พลังงานไปน้อยกว่า
อา่นมาถึงตรงนี้อย่าเอาการเผาผลาญได้ดีไปปนกับเรื่องประหยัดพลังงานนะครับ เช่นถ้างั้นข้าขอนอนอู้เยอะๆจะได้เซฟพลังงานไม่ต้องไปใช้ผลิตเหงื่อลดอุณหภูมิ เพราะนั่นคือการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพเอาเข้าจขริงๆร่างกายร้อน ร้อน ร้อน มากๆ เกิดสภาพหมดประสิทธิภาพการทำงานเอาดื้อๆ บ้านเราเรียกว่า "เป็นลม" กันไปเป็นอันจบเห่
ต้องขอบคุณท่านผู้บังคับการในบ้านจริงๆที่ทำให้ต้องค้นคว้าจนได้เนื้อหาแบบนี้ออกมา หลายๆอย่างเรารู้และได้ยินมานานแล้วแต่ไม่เคยได้รับความกระจ่างเชิงลึกกว่านั้น ก็ได้มาบางอ้อในบัดนี้
จริงๆมีลึกและเข้ากึ๋นกว่านี้เช่นว่าด้วยเรื่องของขนาดร่างกายและการเผาผลาญพลังงานเทียบกับวัตต์ที่ได้(กิโลจูล ที่ได้) พบว่าคนตัวใหญ่ที่มีค่าน้ำหนักต่อกำลังสูงกว่า ไม่ได้เปรียบคนตัวเล็กที่มีค่านี้ใกล้เคยงกันมากนัก แม้ว่าจะสร้างกำลังได้มากกว่าแต่ร่ารงกายก็ต้องการพลังงานในทุกกระบวนการมากกว่า ในด้านความทนทานแล้วหลายกรณีพบว่าเสียเปรียบด้วยซ้ำ ซึ่งยังอ่านไม่จบครับเอาใว้จบแล้วค่อยว่ากัน
ซึ่งผมก็ค้นหาข้อมูลต่างๆของการปั่นแบบเอาใจสาวที่ขายตามฟิตเนสชื่อดังทั้งหลายที่ว่าปั่นแล้วลดน้ำหนัก ผสมไปกับข้อมูลจักรยาน ออกมาได้คอร์ส 8 เดือน
อันนี้ไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นเรื่องที่เกี่ยวข้อถึงขั้นต้องเอามาอัพเพราะสอดคล้องกับพวกหนุ่มๆบ้าพลังยิ่งติดหวัดกันงอมแงมยิ่งเกี่ยวคือ
"เคยมีใครสังเกตพลังงานที่เสียไปและได้มา" มั้ยครับ?
มันมีอยู่ว่า เจ้าพาวเวอร์แท็ปมันรายงานงานที่ได้จากการปั่นเป็นกิโลจูล แต่เมื่อเอาข้อมูลจากฮาร์ทเรทไปเข้าโปรแกรมตรวจสอบการเผาผลาญได้ออกมาเป็นแคลลอรี่ ก็ทำให้ผมสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างสองหน่วยนี้ จึงไปรื้อๆค้นๆดูพบว่า
1 กิโลจูล = 0.24 แคลอรี
เอาล่ะทีนี้ ท่าน ผบ. ผมปั่นไปเบาะๆ 80 กิโลจูล คำนวนออกมาได้ราว 20 แคลอรีี อ้าวเฮ้ยน้อยขนาดนี้ กาแฟครึ่งถ้วยยังเผาไม่หมดเลย แต่ค่าที่ได้จากชีพจรฟ้องว่าราว 150 แคลอรีถูกเผาผลาญไปจากกระบวนการออกกำลังกายนี้
เอาล่ะครับ งง ครับงานนี้ ผมก็ไปเช็คของผมต่อ ที่มอเตอร์เวย์เสาร์ที่ผ่านมาผมปั่นไปราว 900 แคลอรี ได้ค่าจากพาวเวอร์แท็ปมา 700 กิโลจูล เทียบออกมาได้เพียง 175 แคลอรี เท่านั้น แม่เจ้าข้าวขาหมูหนึ่งจานยังมากกว่านี้เลย
ผมเลยนั่งค้นข้อมูลต่อว่าเกิดอะไรขึ้น สูตรผิดหรือว่าพาวเวอร์แท็ปผมพัง
อันดับแรกที่พบคือ ระบบการคำนวนพลังงานที่เผาผลาญจากชีพจรนั้นไม่แม่นยำเอาพอสมควร ถ้าจะให้แม่นมากๆที่สุดต้องใส่ทั้งน้ำหนักตัว ส่วนสูง น้ำหนักกล้ามเนื้อ และ มวลกระดูก ซึ่งยากจะวัดได้ ส่วนมากก็ใส่แค่อายุ น้ำหนักตัว ส่วนสูง ก็จะได้ค่าคร่าวๆออกมา เพี้ยนไปได้ในพิกัดบวกลบ 10% ก็พอถูไถเอามาดูคร่าวๆได้ว่าเผาไปประมาณใหน
อันดับต่อมา ค่าที่พาวเวอร์แท็ปได้มาคือค่าของพลังที่ได้เพื่อกระทำในการขับเคลื่อนมวลของเราและจักรยานเท่านั้น กล่าวคือแรงกำเนิดการขับเคลื่อนทเ่านั้นที่จะได้รับประเมินออกมา ไม่รวมแรงอื่นๆเช่นแรงที่ต้องขยับขา แรงที่ต้องยันร่างกายใว้ แรงที่ต้องรักษาสมดุลย์ และ พลังงานที่ต้่องใช้เพื่อรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ ทั้งหมดนี้ไม่นับ
มันให้ข้อสรถปแรกก่อนเลยครับว่า การปั่นจักรยารนของเราๆนั้น แรงเพียงน้อยนิดไม่ถึงหนึ่งในสี่ถูกส่งลงไปที่รถเพื่อใช้ขับเคลื่อน แต่แรงอีกมากมายมหาศาลถูกเผาผลาญใช้ใปกับกระบวนการอื่น ผมพบว่าในสภาพอากาศที่ร้อน(ของฝรั่ง ซึ่งก็คือธรรมดาบ้านเรา) พลังงานราวครึ่งหนึ่งจะถูกเผาผลาญไปเพื่อลดอุณหภูมิร่างกายในลักษณะกระบวนการผลิตและปล่อยเหงื่อออกมา ดังนั้นในสภาพอากาศเย็นร่างกายจะใช้พลังงานน้อยกว่ามาก ยิ่งอากาศร้อนกระบวนการตรงนี้ยิ่งมาก ฟ้องออกมาที่กระบวนการเผาผลาญ(เมตาบอลิสซึ่ม)ที่มากขึ้น และฟ้องมาบนหน้าจอพวกเราเป็นชีพจรที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับวันปั่นอากาศเย็นๆ ดังนั้นในการแข่งหรือทริปโหดๆ แม้แต่การซ้อมหนักๆในวันอากาศร้อน เราจะสามารถรีดพลังได้สูงกว่าเมื่อเราปั่นแล้วหาทางระบายความร้อนไปด้วย ซึ่งการซ้อมในอากาศที่เย็นกำลังดีร่างกายไม่ต้องต่อสู้กับการควบคุมอุณหภูมิมากนัก เราจะสามารถขึ้นไปถึงจุดที่กล้ามเนื้อทั้งร่างกายและระบบเผาผลาญทำงานได้หนักมากๆได้ง่ายและสูงกว่า นั่นทำให้ในการซ้อมขั้นหนักหน่วง ที่อากาศพอดีจะทำได้บ่อยและนานกว่าอากาศที่ร้อนหรือหนาวเกินไป
บางคนเข้าใจผิดว่ายิ่งซ้อมร้อนยิ่งดีสิ จะได้ชีพจรสูงๆ ดีต่อระบบหัวใจ(มั้ง) อาจเป็นได้ แแต่ก็แปลว่าชีพจรจะสูงมากๆโดยที่กล้ามเนื้อทำงานได้ไม่ถึงพิกัดที่ต้องการจริงๆ หรือถ้าพวกบ้าวัตต์อย่างเราพยายามรีดอัดให้มันถึงตามพิกัดและระยะเวลาที่ต้องการ หัวใจก็จะทำงานหนักสุดๆ คงไม่ต้องบอกว่าก็น่ากลัวจะม่องคารถนะครับ
ด้วยเหตุนี้เป็นหนึ่งในสมมุติฐานที่เคยอ่านเจอว่านักปั่นที่อยู่ในภูมิอากาศที่เอื้อจะซ้อมจนสร้างร่างกายที่สุดยอดมากกว่าที่อยู่ในสภาพอากาศ"ม่อำนวย
ทีนี้มาดูอัตราส่วนพลังงานที่ใช้ไปและได้มาของกระผมกับท่านผู้การ
20:150= 1:7.5 หรือใช้พลังงานไป 7.5 แคลอรีได้งานมา 1 แคลอรี
175:900= 1:5.1 หรือใช้พลังงานไป 5.1 แคลอรีได้งานมา 1 แคลอรี
อัตราส่วนดังกล่าวแตกต่างกันถึง 32% สอดคล้องกับอีกข้อมูลน่าสนใจที่ผมอ่านเจอนั่นคือ
"นักจักรยานที่ผ่านระบบการซ้อมจะใช้พลังงานที่ผลิตได้ออกมาได้งานที่คุ้มค่ามากกว่า" นั่งคือทั้งระบบของวงรอบการปั่นที่ขาไปจึนถึงการรักษาสภาพความสมดุลย์ของร่างกายและรับมือแรงตอบสนองบนถนน นักจักรยานที่ได้รับการฝึกฝนจะสูญเสียพลังงานไปกับตรงนี้น้อยกว่า ในระดับโปรจักรยานมีคนเคยคำนวนว่าโปรมีอัตราการสูญเสียพลังงานไปโดยไม่จำเป็นน้อยกว่านักปั่นทั่วไปครึ่งต่อครึ่ง
มาถึงตรงนี้ทำให้ได้ข้อคิดมาหนึ่งข้อว่า หากเราไม่สามารถเพิ่มวัตต์ เพิ่มความทนถึกได้ในระยะเวลาที่ต้องการ อันที่จริงการฝึกซ้อมเพื่อจะลดการสูญเสียและได้งานอย่างเต็มที่คือทางออกที่ดีที่สุด
แดเนียลเล่าให้ผมฟังว่า เคยมีการทดสอบนักวิ่งมาราธอนสองคน คนแรกร่างกายพระเจ้าส่งมันมาวิ่ง มีกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจและค่าการดึงออกซิเจนไปใช้สูงเป็นพรสวรรค์ ส่วนอีกคนมีศักยภาพเหล่านี้ด้อยกว่า แต่ในการวิ่งจริงพบว่าคนแรกแพ้มากกว่า ทำให้เค้าจับมาประเมินพบว่า รายที่สองแม้จะด้อยกว่าทางด้านร่างกายที่พระเจ้าสร้างมาดีไม่เท่า แต่มีท่าวิ่งและการก้าวที่ประหยัดพลังงานมากกว่า ทำให้ร่างกายสูยเสียพลังงานไปน้อยกว่ามาก
และอีกปัจจัยที่พบว่าขาดไม่ได้ก็คือร่างกายของคนที่เล่นกีฬาแบบความทนทานจะมีกระบวนเผาผลาญพลังงานที่มีศักยภาพกว่าคนทั่วไปหรือนักกีฬาแบบอะแนโรบิคราว 20-25% นั่นคือ ในหนึ่งหน่วยพลังงานงานที่ร่างกายต้องการ เราต้องช้พลังงานเผาผลาญมันออกมาน้อยกว่าคนอื่นหนึ่งในสี่ งง กันมั้ยครับ?
เพื่อความกระจ่างคิดง่ายๆดังนี้
ร่างกายต้องการพลังงานงานออกมา 80 หน่วย แต่เพื่อกระบวนการนั้นร่างกายต้องมีพลังงานที่จะใช้เพื่อสร้างพลังงานนั้น 20 หน่วย ทำให้ในผลรวมของพลังงานที่ใช้ไป ณ ขณะนั้นเป็น 100 หน่วย หากร่างกายมีระบบการเผาผลาญพลังงานที่ด้อยกว่าก็จะใช้มากกว่า 20 หน่วยเพื่อสร้างพลังงาน 80 หน่วย เช่นใช้ไป 24 หน่วย ส่งผลให้ใช้พลังานไปรวมแล้ว 104 หน่วยเพื่อให้ได้งานที่ต้องการ และกระบวนการพวกนี้จะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเมื่อระดับการออกกำลังกายอยู่ในช่วงแอโรบิค ทั้งช่วงรีคัฟเวอร์ ช่วงเอนดูแรนซ์ และ เทมโปของพวกเรา และจัยิ่งลดความได้เปรียบลงเมื่อเข้าสู่ช่วงอะแนโรบิค ทว่าในความเป็นจริงก็ยังได้เรปียบอยู่ดี
ซึ่งนั่นแถมรวมถึงในบรรดาหนุ่มหรือสาวที่ต้องการลดพุงลดหุ่นให้ดูดี พึงเข้าใจอีกหนึ่งอย่างว่า ไม่เพียงแต่ขณะที่ออกกำลังเท่านั้นที่นักปั่น(หรือนักกีฬาที่ออกกำลังกายประจำ) เผาผลาญพลังงานได้ดีกว่า แต่หมายถึงในการใช้ชีวิตประจำวันอื่นๆด้วย
ประการแรกมาจากมวลกล้ามเนื้อที่มากกว่า กล้ามเนื้อที่มากกว่าและได้รับการฝึกฝนมา จะเผาผลาญพลังงานได้สูงกว่าในกิจกรรมเดียวกันเมื่อเทียบกับไขมัน ดังนั้นในคน 2 คนที่หนักเท่ากัน คนหนึ่งมีกล้ามเนื้อมากกว่า อีกคนมีไขมันมากกว่า คนที่มีกล้ามเนื้อมากกว่าจะใช้พลังงานไปมากกว่าในการดำเนินชีวิต ในขณะที่คนที่มีไขมันมากกว่าใช้พลังงานน้อยกว่า ทำให้เมื่อกินเข้าไปเท่ากัน คนแรกจะเผาผลาญได้โดยไม่เหลือหรอ ทว่าคนที่สองกลับใช้พลังงานไปนิดเดียวส่วนที่เหลือก็ต้องเก็บเป็นไขมันยิ่งเพิ่มพูนเป็นเท่าทวีมากขึ้นๆต่อไปอีก
ประการต่อมาคือกระบวนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายที่ได้รับการกระตุ้นให้ทำงานสม่ำเสมอจะทำงานตอบสนองได้เร็วและดีกว่า แปลว่าร่างกายที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลงเพียงนิดเดียว คนที่เล่นกีฬาจะผลิตเหงื่อออกมาเร็วและมากกว่าเพื่อรักษาอุณหภูมิได้มีประสิทธิภาพกว่าซึ่งถือว่าเผาผลาญพลังงานไปได้มากกว่า ในขณะที่อีกคนที่ไม่ค่อยได้กระตุ้นกระบวนการนี้วันๆนั่งในห้องแอร์สบายๆเอนหลังจิบเบียร์คลอเคลียเมียน้อย เมื่อต้องคุมอุณหภูมิร่างกายจะตอบสนองช้าและด้อยประสิทธิภาพกว่า และใช้พลังงานไปน้อยกว่า
อา่นมาถึงตรงนี้อย่าเอาการเผาผลาญได้ดีไปปนกับเรื่องประหยัดพลังงานนะครับ เช่นถ้างั้นข้าขอนอนอู้เยอะๆจะได้เซฟพลังงานไม่ต้องไปใช้ผลิตเหงื่อลดอุณหภูมิ เพราะนั่นคือการทำงานที่ด้อยประสิทธิภาพเอาเข้าจขริงๆร่างกายร้อน ร้อน ร้อน มากๆ เกิดสภาพหมดประสิทธิภาพการทำงานเอาดื้อๆ บ้านเราเรียกว่า "เป็นลม" กันไปเป็นอันจบเห่
ต้องขอบคุณท่านผู้บังคับการในบ้านจริงๆที่ทำให้ต้องค้นคว้าจนได้เนื้อหาแบบนี้ออกมา หลายๆอย่างเรารู้และได้ยินมานานแล้วแต่ไม่เคยได้รับความกระจ่างเชิงลึกกว่านั้น ก็ได้มาบางอ้อในบัดนี้
จริงๆมีลึกและเข้ากึ๋นกว่านี้เช่นว่าด้วยเรื่องของขนาดร่างกายและการเผาผลาญพลังงานเทียบกับวัตต์ที่ได้(กิโลจูล ที่ได้) พบว่าคนตัวใหญ่ที่มีค่าน้ำหนักต่อกำลังสูงกว่า ไม่ได้เปรียบคนตัวเล็กที่มีค่านี้ใกล้เคยงกันมากนัก แม้ว่าจะสร้างกำลังได้มากกว่าแต่ร่ารงกายก็ต้องการพลังงานในทุกกระบวนการมากกว่า ในด้านความทนทานแล้วหลายกรณีพบว่าเสียเปรียบด้วยซ้ำ ซึ่งยังอ่านไม่จบครับเอาใว้จบแล้วค่อยว่ากัน
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1703
- ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2008, 12:29
- Tel: 0846605533
- team: Cycle Square Rama 3
- Bike: Bianchi Oltre XR2
- ติดต่อ:
Re: ชวนพูดคุยและการฝึกซ้อมด้วยpowermeter
ชอบครับพี่จิโร่ รออ่านต่อ
"เทคนิคการปั่นเสือหมอบ"
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=129&t=6760
"Prowut Bike Fitting"
https://www.facebook.com/prowut.bikefitting
"Power tends to corrupt and Absolute Power corrupts absolutely". Lord Acton
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=129&t=6760
"Prowut Bike Fitting"
https://www.facebook.com/prowut.bikefitting
"Power tends to corrupt and Absolute Power corrupts absolutely". Lord Acton