อยากได้ 100 รอบต่อนาที
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2317
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 13:07
- Tel: 0898378338
- ตำแหน่ง: 53/95 ม.4 ต.นาดีอ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000
- ติดต่อ:
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
มือเก่าแต่ยังขาอ่อนอยู่ ตามน้ามา มาเข้าห้องเรียนเสริมพิเศษกัน
...มานั่งทบทวนและเราลองมาพิจารณาตัวเองดูซิว่าที่ผ่านๆมาเราฝึกอะไรไปบ้าง อะไรที่ควรจะฝึกแต่ยังไม่ได้ฝึก หรือ เราฝึกข้ามอะไรไปตามที่ควรจะฝึกบ้าง
*หลักสำคัญที่ที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาให้เก่งยิ่งขึ้นหรือสู่ความเป็นเลิศได้คือ พื้นฐานของเรายังไม่แน่นพอครับ พื้นฐานของการปั่นจักรยานให้สู่ความเป็นเลิศมีอยู่สามประการเท่านั้นคือ ความแข็งแรง ความทนทานและประสิทธิภาพในการปั่น พื้นฐานทั้งสามอย่างนี้ต้องฝึกไปพร้อมๆกัน จะขาดอันใดอันนึงไม่ได้เลย การฝึกพื้นฐานต้องมีความอดทน และอดทนรอจนกว่าเราจะสามารถซ้อมพัฒนา พื้นฐานที่สำคัญได้พร้อมและเต็มที่ๆร่างกายจะสามารถพัฒนาได้สูงสุดในปีนั้นๆก่อน เราควรทราบจุดดี จุดอ่อนของเรา ทำให้เราสามารถจะฝึกหรือออกแบบโปรแกรมการซ้อมของเราให้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดครับ นักปั่นจักรยานส่วนมากจะมีปัญหาเรื่องความทนทานมากที่สุด ไม่มากก็น้อย ไม่เว้นแม้แต่มืออาชีพครับ และจะมีปัญหามากที่สุดในคนที่ไม่ได้ให้เวลาฝึกซ้อมสำหรับการสร้างเสริมส่วนนี้ครับ
ส่วนมากแล้วนักปั่นจะมีพื้นฐานไม่ครบครับ มักขาดอย่างใดอย่างนึงหรือสองอย่างหรือทั้งหมดเลยครับ แต่เท่าที่น้าเห็นการฝึกซ้อมของแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มเห็นเน้นแต่การปั่นเร็วๆ หรืออัดแข่งกันซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร ที่นัดกันปั่นช้าๆระยะทางไกลๆหายากนัก นอกจากจะเป็นกลุ่มปั่นท่องเที่ยวครับแต่ก็เป็นการปั่นเพื่อสันทนาการซะมากกว่าคือปั่นเอาสนุกสนาน ปั่นไปกินไป แม้ระยะทางไกล ก็ไม่ใช่การฝึกซ้อมครับ แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์นะครับ ได้ประโยชน์เหมือนกันครับ
พอเราฝึกพื้นฐานได้ดีและแน่นพอแล้วทีนี้ก็ต่อยอดไปฝึกในขั้นสูงต่อไปครับ ขั้นสูงไว้จะอธิบายทีหลังครับ เพราะพวกเราที่ฝึกซ้อมกันอยู่ผิดๆจะได้ปรับตัว เปลี่ยนวิธีฝึกซ้อมใหม่ให้ถูกต้องครับ
....เพื่อนๆพอมองปัญหาของตัวเองออกรึยังครับ
ต่อให้อีกหน่อยครับ จะอธิบายพื้นฐานคร่าวๆให้ครับ
ความทนทาน(endurance) - คือความสมารถที่จะทำอะไรก็ตามได้นานๆโดยไม่รู้จักเหนื่อย เมื่อยล้า ถ้าในกีฬาจักรยานก็เรียกว่าความอึดนั่นเองครับ ความทนทานจะใช้เวลานานที่สุดในการสร้างและสะสม ร่างกายจะใช้เวลานานหลายปีกว่าที่จะสะสมปริมาณได้มากและเพียงพอสำหรับนักจักรยานทุกประเภท ทุกชนิด
ความแข็งแรง(strength) - คือความสามารถในการออกแรงต่อบันไดเพื่อให้เกิดแรงบิดที่ขาจานไปหมุนเฟืองทำๆให้จักรยานเคลื่อนที่ให้ชนะแรงต้านต่างๆเช่นแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลม การฝึกสร้างความแข็งแรงก็คือ การฝึกเพื่อให้เราสามารถออกแรงกดบันไดให้ได้แรงขึ้นหรือปั่นได้เกียร์หนักขึ้น เมื่อความแข็งแรงมาพร้อมกับความทนทาน เราจะปั่นได้ไกลขึ้นและเร็วขึ้น การฝึกส่วนนี้ในช่วงแรก เราจะฝึกโดยการเล่นเวท เทรนนิ่ง แล้วค่อยเปลี่ยนไปฝึกบนจักรยานจริงในช่วงหลัง
ประสิทธิภาพ(efficency) - ภาษาจักรยานคือการปั่นให้เนียนและนิ่ง หมายความว่าเป็นการ ปั่นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ใช้แรงน้อยแต่ได้งานหรือความเร็วมากกว่าคนอื่นเช่น เทคนิคการปั่นลูกบันได การเข้าโค้ง การขี่ขึ้นเขา ลงเขา การปั่นเป็นกลุ่ม การsprint ท่านั่งในการปั่น อื่นๆ การฝึกส่วนนี้ส่วนมากจะเป็นการฝึกปั่นเกียร์เบารอบขาสูงๆ การฝึกปั่นขาเดียว การฝึกเข้าโค้งและออกจากโค้งทั้งทางราบและบนเขา ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน ฝึกๆๆและก็ฝึก จนทำให้ได้เป็นปกติครับ
* การปั่นแบบ long duration extensive aerobic endurance หมายความถึงการปั่นยาวๆนาน ปั่นสะสมไมล์ ไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนซึ้งเป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นปั่นจักรยานเพื่อสะสมพลัง aerobic มือใหม่(นักแข่ง)ทุกท่านต้องผ่านการฝึกแบบนี้ เป็นปีก่อนเข้าสู่การแข่งขัน ถึงจะเป็นนักปั่นที่สมบูรณ์แบบ ในระบบนี้สามารถฝึกเพิ่มเติมได้เรื่อยๆไม่มีจำกัด ตามชื่อหัวข้อ
แล้วอย่างไรที่จะเรียกว่าปั่นแบบLong duration extensive aerobic endurance การปั่นในลักษณะนี้ ก็คือการปั่นช้าๆนั่นเอง ต่อเนื่อง ไม่สนใจความเร็ว ไปเรื่อยๆเน้นเวลาที่ยาวนาน และที่สำคัญที่หลายๆคนทนอยู่ตรงนี้ไม่ได้คือ มันต้องปั่นคนเดียวนั่นเอง บางคนขี้เหงา ติดเพื่อน ติดกลุ่ม แบบนี้น้าขอบอกว่าอย่าหวังเลยนะครับว่าจะสามารถปั่นได้เก่งหรือพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงได้
การปั่นเรื่อยๆเปื่อยๆแบบที่กล่าวมา ถ้าปั่นแบบไม่มีหลักการอะไร มันก็จะได้แค่ความทนทานและความแข็งแรงของร่างกายในระดับต้นๆเท่านั้น ถ้าต้องการพัฒนาล่ะ เราต้องทำอย่างไร
ใช่ครับ การปั่นแบบ endurance เพื่อการพัฒนา มันไม่ใช่การปั่นช้าๆเรื่อยเปื่อย นิ่งๆยาวๆนานๆ อีกต่อไปแล้ว เราควรต้องสามารถวัดระดับความหนัก ความเข้มข้นในการปั่นด้วยว่าอยู่ประมาณไหน และสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาไปยิ่งกว่านั้นควรที่จะต้องมี มอนิเตอร์ ที่สามารถนับรอบขาให้เราอีกด้วย
*ความหนักแค่ไหนถึงจะถูกต้องและเหมาะสมกับการปั่นแบบ endurance
...ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่มี hrm ใช้กัน ก็คือการปั่นแบบรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พอมีเหงื่อซึมๆ ยังสามารถปั่นไปร้องเพลงไปได้ ถ้าปั่นไปแล้วร้องเพลงเริ่มไม่จบท่อน ขาดๆหายๆนี่ เกินขอบเขตไปแล้วครับ
...ปัจจุบันมีเครื่องวัดชีพจรเข้ามาช่วยให้เราทราบถึงการเต้นของหัวใจเราว่าเต้นหนักมากน้อยแค่ไหน ซึ่งความผิดพลาดแทบไม่มีเลย ดีกว่าใช้ความรู้สึกจับเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้มาก
...ความเข้มข้นในการปั่นสร้างความทนทานแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ
1. ความทนทานในระดับการสร้างพื้นฐาน คือ การปั่นโดยคุมชีพจรอยู่ที่ 60-70% ของ ชีพจรสูงสุดของเรา(maximum heartrate)
2.ความทนทานในระดับที่สูงและเข้มข้นขึ้น คือ การปั่นคุมชีพจรอยู่ที่ 70-79% ของชีพจรสูงสุด
3.หรือการปั่นสร้างความทนทานแบบโดยรวมที่นิยมปั่นกันมากที่สุดคือ การปั่นที่ชีพจร 60-75% ของชีพจรสูงสุด
*ความนานล่ะแค่ไหนถึงจะเหมาะสม อันนี้อยู่ที่เป้าหมายนะครับว่าเป้าหมายเราแค่ไหน ถ้าเป้าหมายสูงส่ง ก็ต้องปั่นให้นานเข้าไว้ ว่ากันที่ระดับ 3 ชม. ขึ้นไป ถ้าเป้าหมายไม่สูงนักก็ลดเวลาลงมาได้ แต่ให้จำไว้ว่า ปั่นตรงนี้ ยิ่งนานยิ่งเป็นผลดีกับตัวเราเอง
*ความถี่ เอาแค่ไหนดี? สำหรับช่วงพื้นฐานขอบอกไว้เลยว่า ถ้าปั่น endurance ยิ่งบ่อยแค่ไหนก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้นครับ มือใหม่ จริงสัปดาห์ละอย่างนัอยสองวัน หรือมากกว่า
* แล้วจะปั่น endurance ไปจนถึงเมื่อไรล่ะ. น้าขอบอกไว้ในที่นี้เลยว่า " ตลอดไปครับ " ไม่ว่าเราจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว เรายังต้องเสริม ความทนทานอยู่ตลอดเวลานะครับ
* แล้วเมื่อปั่นตามข้างต้นแล้ว ควรจะคุมรอบขาไปด้วยนะ เพื่อประสิทธิภาพในการปั่นจะได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
...แล้วรอบขาเท่าไรถึงจะเรียกว่าเหมาะสมล่ะ รอบขาที่เหมาะสมในการปั่น endurance เพื่อการพัฒนาคือ 90 ขึ้นไปครับ แต่ไม่จำเป็นต้องเกิน 100 รอบ
________เป้ มหาชัย 29/7/2015
...มานั่งทบทวนและเราลองมาพิจารณาตัวเองดูซิว่าที่ผ่านๆมาเราฝึกอะไรไปบ้าง อะไรที่ควรจะฝึกแต่ยังไม่ได้ฝึก หรือ เราฝึกข้ามอะไรไปตามที่ควรจะฝึกบ้าง
*หลักสำคัญที่ที่ทำให้เราไม่สามารถพัฒนาให้เก่งยิ่งขึ้นหรือสู่ความเป็นเลิศได้คือ พื้นฐานของเรายังไม่แน่นพอครับ พื้นฐานของการปั่นจักรยานให้สู่ความเป็นเลิศมีอยู่สามประการเท่านั้นคือ ความแข็งแรง ความทนทานและประสิทธิภาพในการปั่น พื้นฐานทั้งสามอย่างนี้ต้องฝึกไปพร้อมๆกัน จะขาดอันใดอันนึงไม่ได้เลย การฝึกพื้นฐานต้องมีความอดทน และอดทนรอจนกว่าเราจะสามารถซ้อมพัฒนา พื้นฐานที่สำคัญได้พร้อมและเต็มที่ๆร่างกายจะสามารถพัฒนาได้สูงสุดในปีนั้นๆก่อน เราควรทราบจุดดี จุดอ่อนของเรา ทำให้เราสามารถจะฝึกหรือออกแบบโปรแกรมการซ้อมของเราให้ตรงกับความต้องการของเรามากที่สุดครับ นักปั่นจักรยานส่วนมากจะมีปัญหาเรื่องความทนทานมากที่สุด ไม่มากก็น้อย ไม่เว้นแม้แต่มืออาชีพครับ และจะมีปัญหามากที่สุดในคนที่ไม่ได้ให้เวลาฝึกซ้อมสำหรับการสร้างเสริมส่วนนี้ครับ
ส่วนมากแล้วนักปั่นจะมีพื้นฐานไม่ครบครับ มักขาดอย่างใดอย่างนึงหรือสองอย่างหรือทั้งหมดเลยครับ แต่เท่าที่น้าเห็นการฝึกซ้อมของแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มเห็นเน้นแต่การปั่นเร็วๆ หรืออัดแข่งกันซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีใครยอมใคร ที่นัดกันปั่นช้าๆระยะทางไกลๆหายากนัก นอกจากจะเป็นกลุ่มปั่นท่องเที่ยวครับแต่ก็เป็นการปั่นเพื่อสันทนาการซะมากกว่าคือปั่นเอาสนุกสนาน ปั่นไปกินไป แม้ระยะทางไกล ก็ไม่ใช่การฝึกซ้อมครับ แต่ก็ใช่ว่าไม่ได้ประโยชน์นะครับ ได้ประโยชน์เหมือนกันครับ
พอเราฝึกพื้นฐานได้ดีและแน่นพอแล้วทีนี้ก็ต่อยอดไปฝึกในขั้นสูงต่อไปครับ ขั้นสูงไว้จะอธิบายทีหลังครับ เพราะพวกเราที่ฝึกซ้อมกันอยู่ผิดๆจะได้ปรับตัว เปลี่ยนวิธีฝึกซ้อมใหม่ให้ถูกต้องครับ
....เพื่อนๆพอมองปัญหาของตัวเองออกรึยังครับ
ต่อให้อีกหน่อยครับ จะอธิบายพื้นฐานคร่าวๆให้ครับ
ความทนทาน(endurance) - คือความสมารถที่จะทำอะไรก็ตามได้นานๆโดยไม่รู้จักเหนื่อย เมื่อยล้า ถ้าในกีฬาจักรยานก็เรียกว่าความอึดนั่นเองครับ ความทนทานจะใช้เวลานานที่สุดในการสร้างและสะสม ร่างกายจะใช้เวลานานหลายปีกว่าที่จะสะสมปริมาณได้มากและเพียงพอสำหรับนักจักรยานทุกประเภท ทุกชนิด
ความแข็งแรง(strength) - คือความสามารถในการออกแรงต่อบันไดเพื่อให้เกิดแรงบิดที่ขาจานไปหมุนเฟืองทำๆให้จักรยานเคลื่อนที่ให้ชนะแรงต้านต่างๆเช่นแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลม การฝึกสร้างความแข็งแรงก็คือ การฝึกเพื่อให้เราสามารถออกแรงกดบันไดให้ได้แรงขึ้นหรือปั่นได้เกียร์หนักขึ้น เมื่อความแข็งแรงมาพร้อมกับความทนทาน เราจะปั่นได้ไกลขึ้นและเร็วขึ้น การฝึกส่วนนี้ในช่วงแรก เราจะฝึกโดยการเล่นเวท เทรนนิ่ง แล้วค่อยเปลี่ยนไปฝึกบนจักรยานจริงในช่วงหลัง
ประสิทธิภาพ(efficency) - ภาษาจักรยานคือการปั่นให้เนียนและนิ่ง หมายความว่าเป็นการ ปั่นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ใช้แรงน้อยแต่ได้งานหรือความเร็วมากกว่าคนอื่นเช่น เทคนิคการปั่นลูกบันได การเข้าโค้ง การขี่ขึ้นเขา ลงเขา การปั่นเป็นกลุ่ม การsprint ท่านั่งในการปั่น อื่นๆ การฝึกส่วนนี้ส่วนมากจะเป็นการฝึกปั่นเกียร์เบารอบขาสูงๆ การฝึกปั่นขาเดียว การฝึกเข้าโค้งและออกจากโค้งทั้งทางราบและบนเขา ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน ฝึกๆๆและก็ฝึก จนทำให้ได้เป็นปกติครับ
* การปั่นแบบ long duration extensive aerobic endurance หมายความถึงการปั่นยาวๆนาน ปั่นสะสมไมล์ ไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนซึ้งเป็นพื้นฐานของการเริ่มต้นปั่นจักรยานเพื่อสะสมพลัง aerobic มือใหม่(นักแข่ง)ทุกท่านต้องผ่านการฝึกแบบนี้ เป็นปีก่อนเข้าสู่การแข่งขัน ถึงจะเป็นนักปั่นที่สมบูรณ์แบบ ในระบบนี้สามารถฝึกเพิ่มเติมได้เรื่อยๆไม่มีจำกัด ตามชื่อหัวข้อ
แล้วอย่างไรที่จะเรียกว่าปั่นแบบLong duration extensive aerobic endurance การปั่นในลักษณะนี้ ก็คือการปั่นช้าๆนั่นเอง ต่อเนื่อง ไม่สนใจความเร็ว ไปเรื่อยๆเน้นเวลาที่ยาวนาน และที่สำคัญที่หลายๆคนทนอยู่ตรงนี้ไม่ได้คือ มันต้องปั่นคนเดียวนั่นเอง บางคนขี้เหงา ติดเพื่อน ติดกลุ่ม แบบนี้น้าขอบอกว่าอย่าหวังเลยนะครับว่าจะสามารถปั่นได้เก่งหรือพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงได้
การปั่นเรื่อยๆเปื่อยๆแบบที่กล่าวมา ถ้าปั่นแบบไม่มีหลักการอะไร มันก็จะได้แค่ความทนทานและความแข็งแรงของร่างกายในระดับต้นๆเท่านั้น ถ้าต้องการพัฒนาล่ะ เราต้องทำอย่างไร
ใช่ครับ การปั่นแบบ endurance เพื่อการพัฒนา มันไม่ใช่การปั่นช้าๆเรื่อยเปื่อย นิ่งๆยาวๆนานๆ อีกต่อไปแล้ว เราควรต้องสามารถวัดระดับความหนัก ความเข้มข้นในการปั่นด้วยว่าอยู่ประมาณไหน และสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาไปยิ่งกว่านั้นควรที่จะต้องมี มอนิเตอร์ ที่สามารถนับรอบขาให้เราอีกด้วย
*ความหนักแค่ไหนถึงจะถูกต้องและเหมาะสมกับการปั่นแบบ endurance
...ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ยังไม่มี hrm ใช้กัน ก็คือการปั่นแบบรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย พอมีเหงื่อซึมๆ ยังสามารถปั่นไปร้องเพลงไปได้ ถ้าปั่นไปแล้วร้องเพลงเริ่มไม่จบท่อน ขาดๆหายๆนี่ เกินขอบเขตไปแล้วครับ
...ปัจจุบันมีเครื่องวัดชีพจรเข้ามาช่วยให้เราทราบถึงการเต้นของหัวใจเราว่าเต้นหนักมากน้อยแค่ไหน ซึ่งความผิดพลาดแทบไม่มีเลย ดีกว่าใช้ความรู้สึกจับเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งมีโอกาสผิดพลาดได้มาก
...ความเข้มข้นในการปั่นสร้างความทนทานแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ
1. ความทนทานในระดับการสร้างพื้นฐาน คือ การปั่นโดยคุมชีพจรอยู่ที่ 60-70% ของ ชีพจรสูงสุดของเรา(maximum heartrate)
2.ความทนทานในระดับที่สูงและเข้มข้นขึ้น คือ การปั่นคุมชีพจรอยู่ที่ 70-79% ของชีพจรสูงสุด
3.หรือการปั่นสร้างความทนทานแบบโดยรวมที่นิยมปั่นกันมากที่สุดคือ การปั่นที่ชีพจร 60-75% ของชีพจรสูงสุด
*ความนานล่ะแค่ไหนถึงจะเหมาะสม อันนี้อยู่ที่เป้าหมายนะครับว่าเป้าหมายเราแค่ไหน ถ้าเป้าหมายสูงส่ง ก็ต้องปั่นให้นานเข้าไว้ ว่ากันที่ระดับ 3 ชม. ขึ้นไป ถ้าเป้าหมายไม่สูงนักก็ลดเวลาลงมาได้ แต่ให้จำไว้ว่า ปั่นตรงนี้ ยิ่งนานยิ่งเป็นผลดีกับตัวเราเอง
*ความถี่ เอาแค่ไหนดี? สำหรับช่วงพื้นฐานขอบอกไว้เลยว่า ถ้าปั่น endurance ยิ่งบ่อยแค่ไหนก็ยิ่งเป็นผลดีเท่านั้นครับ มือใหม่ จริงสัปดาห์ละอย่างนัอยสองวัน หรือมากกว่า
* แล้วจะปั่น endurance ไปจนถึงเมื่อไรล่ะ. น้าขอบอกไว้ในที่นี้เลยว่า " ตลอดไปครับ " ไม่ว่าเราจะพัฒนาไปถึงขั้นไหนแล้ว เรายังต้องเสริม ความทนทานอยู่ตลอดเวลานะครับ
* แล้วเมื่อปั่นตามข้างต้นแล้ว ควรจะคุมรอบขาไปด้วยนะ เพื่อประสิทธิภาพในการปั่นจะได้ดียิ่งขึ้นไปอีก
...แล้วรอบขาเท่าไรถึงจะเรียกว่าเหมาะสมล่ะ รอบขาที่เหมาะสมในการปั่น endurance เพื่อการพัฒนาคือ 90 ขึ้นไปครับ แต่ไม่จำเป็นต้องเกิน 100 รอบ
________เป้ มหาชัย 29/7/2015
- ไฟล์แนบ
-
- 10924734_749044105185122_6876912979015552119_n.jpg (43.32 KiB) เข้าดูแล้ว 2918 ครั้ง
รับฝึกสอนและออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมจักรยาน :https://www.facebook.com/100rpmclassroombypemahachai
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/
-
- สมาชิก
- โพสต์: 41
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2014, 22:56
- Bike: หมอบ
- oa56789
- สมาชิก
- โพสต์: 42
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ธ.ค. 2013, 19:40
- Tel: 0814761070
- Bike: เสือหมอบ
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
รบกวนสอบถามน้าเป้ ครับ
ปั่น Endurance บนเทรนเนอร์ 3-4 ชม. Zone 2-3 รอบขา 90-100 กับปั่นบนถนนทำเหมือนกันทุกอย่าง ผลที่ได้ต่างกันรึป่าว ครับ ถ้าต่างกันแบบไหนจะได้ผลดีกว่าครับ
เทรนเนอร์ รุ่น Kinetic Road Machine
ปั่น Endurance บนเทรนเนอร์ 3-4 ชม. Zone 2-3 รอบขา 90-100 กับปั่นบนถนนทำเหมือนกันทุกอย่าง ผลที่ได้ต่างกันรึป่าว ครับ ถ้าต่างกันแบบไหนจะได้ผลดีกว่าครับ
เทรนเนอร์ รุ่น Kinetic Road Machine
-
- สมาชิก
- โพสต์: 66
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ต.ค. 2014, 19:33
- Tel: 02-7085996
- team: pajero mania
- Bike: หมอบ Specialized ส้มจี๊ด
- ติดต่อ:
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ฝากไว้ก่อน ตามอ่านได้ 25 หน้า ฮาๆๆ จะพยายามตามเก็บความรู้ให้เยอะที่สุดครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2317
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 13:07
- Tel: 0898378338
- ตำแหน่ง: 53/95 ม.4 ต.นาดีอ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000
- ติดต่อ:
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ถ้าเกี่ยวกับระบบจะได้เหมือนกันทุกอย่างครับoa56789 เขียน:รบกวนสอบถามน้าเป้ ครับ
ปั่น Endurance บนเทรนเนอร์ 3-4 ชม. Zone 2-3 รอบขา 90-100 กับปั่นบนถนนทำเหมือนกันทุกอย่าง ผลที่ได้ต่างกันรึป่าว ครับ ถ้าต่างกันแบบไหนจะได้ผลดีกว่าครับ
เทรนเนอร์ รุ่น Kinetic Road Machine
เทรนเนอร์ จะคุมการฝึกได้ง่ายกว่ส เพราะไม่มีอุปสรรค แต่น่าเบื่อ ส่วนบนถนนคุมการฝึกยาก แต่สนุกกว่า ไม่น่าเบื่อ และสามารถฝึกได้ยาวนานกว่าครับ
*จักรยานควรออกไปปั่นถนนจะดีกว่าครับ ได้รับแสงแดด สายลม เป็นผลดีต่อสุขภาพ
รับฝึกสอนและออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมจักรยาน :https://www.facebook.com/100rpmclassroombypemahachai
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/
- oa56789
- สมาชิก
- โพสต์: 42
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ธ.ค. 2013, 19:40
- Tel: 0814761070
- Bike: เสือหมอบ
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ขอบคุณสำหรับคำตอบ ของน้าเป้ มากครับ
- jacka303
- สมาชิก
- โพสต์: 9
- ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ส.ค. 2011, 15:28
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ดีครับ เอาไว้ฝึก
- pairuch
- ขาประจำ
- โพสต์: 687
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 มี.ค. 2010, 13:03
- Bike: -
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ผมกำลังจะรวบรวมสะตังค์ซื้อเทรนเนอร์ รุ่น cycleops รุ่น super megneto pro เผื่อเอาไว้ซ้อมขึ้นเขา เห็นเห็นว่าตัวนี้มันมีปรับแบบซ้อมขึ้นเขาด้วย... ต้นปีหน้ากะว่าจะไปขึ้นอินทนนท์ซักที... พี่ๆ คิดว่าถ้าผมจะซื้อตัวนี้มันจะคุ้มมั๊ยครับ... ถ้าซื้อมาจะเอาเข้าโปรแกรมการฝึกตามน้าเป้... ไม่รู้จะรอดมั๊ย...ผมเคยใช้ magneto ตัวธรรมดา เอามาฝึกแอนดูแร้น ก็โอเคนะครับ แต่ผมขายไปแล้วเพราะว่าตังค์ ร่อยหรอไม่พอใช้... ตอนนี้พร้อมกลับมาซ้อมใหม่ละครับ..
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2733
- ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2012, 12:10
- team: The_Lange
- Bike: Sprint SL
- ติดต่อ:
-
- สมาชิก
- โพสต์: 3
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ย. 2015, 08:48
- Bike: Bianchi Impulso 11 speed
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
สวัสดีครับน้าเป้ ผมพึ่งมาสนใจปั่นจักรยานเมื่อต้นเดือนสิงหานี่เองครับ ก่อนหน้านี้ก็วิ่งอย่างเดียวเกือบทุกวันๆ ละ 8 กม. ก็เลยตัดสินใจถอยหมอบมาคันนึง ก่อนซื้อก็หาข้อมูลพอสมควรจากอากู๋ จากคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจักรยานเลย ตอนนี้ก็โดนจักรยานซึมเข้าเส้นเลือดแล้วครับ พอดีมีโอกาสได้เข้ามาอ่านกระทู้ในห้อง 100 รอบ เห็นจำนวนหน้าแล้วต้องร้องอู้ฮู๊เลยครับ เพราะไม่เคยเห็นกระทู้ที่ยาวข้ามมาเป็นสี่ห้าปีแบบนี้ พอได้เริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก ขอบอกว่าชอบมากๆ ครับ ชอบในความเอื้อเฟื้อของสมาชิกทุกคน โดยเฉพาะตัวน้าเป้เองที่เอาใจใส่กับทุกคำถาม ซึ่งผมมองไม่เห็นความรำคาญของน้าเป้เลยเวลาตอบคำถาม ขอชื่นชมและยกย่องจริงๆ ครับ ร่ายมาซะยาวขอถือโอกาสถามน้าเป้หน่อยครับ ตอนนี้ผมอายุ 43 RHR จากที่วัดดูทุกเช้าตอนตื่นนอนส่วนมากอยู่ที่ 50-53 มีบางวันวัดได้ 44 บ้าง 47 บ้างไม่รู้ว่าโดนเครื่องหลอกหรือเปล่า ผมใช้แอ็พฯ ของมือถือวัดเอาครับ อยากทราบว่าถ้าผมจะเริ่มฝึกปั่นควรจะใช้ MHR ที่เท่าไหร่ครับ ตอนนี้ผมปั่นอยู่วันละ 20 กว่ากิโล AV28 พยามรักษารอบขาไม่ให้ต่ำกว่า 90 ปั่นมาได้อาทิตย์กว่าๆ เองครับ มีความรู้สึกว่าวิ่งจะเหนื่อยกว่าปั่นจักรยาน คงเป็นเพราะผมปั่นระยะทางน้อยไปรึปล่าวครับ รบกวนน้าเป้ช่วยจัด Heart Zone ให้ด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
- omax
- สมาชิก
- โพสต์: 2
- ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2015, 18:49
- Bike: Twitter TW-8900
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ขอบคุณพี่เป้มากเลยครับ
- BLEble
- ขาประจำ
- โพสต์: 165
- ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มี.ค. 2015, 15:53
- Bike: TREK MADONE 3.1 / Emonda SL
- ตำแหน่ง: ลำลูกกา
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 207
- ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2013, 22:36
- Bike: GT
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ปักไว้ก่อน
"คุณค่า ไม่ได้อยู่ที่จุดหมาย ปลายทาง
แต่มัน อยู่ระหว่างทางที่คุณปั่นไป"
แต่มัน อยู่ระหว่างทางที่คุณปั่นไป"
- noppadon27
- สมาชิก
- โพสต์: 13
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2015, 10:52
- Bike: TREK, Giant TCR SLR
- ตำแหน่ง: 221 Moo.7, Tambon Prangmoo, Amphur Muang, Phatthalung, 93000
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ความรู้ทั้งนั้น จด จด จด
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 2317
- ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2008, 13:07
- Tel: 0898378338
- ตำแหน่ง: 53/95 ม.4 ต.นาดีอ.เมือง จ.สมุทรสาคร 74000
- ติดต่อ:
Re: อยากได้ 100 รอบต่อนาที
ถ้าคำนวนตามสูตรจะได้ 220-43 = 177 เป็นการประเมินคร่าวๆครับ จากผู้ที่เริ่มฝึกใหม่ๆหรือผู้ที่ฝึกมานานแล้วแต่ยังไม่สามารถปั่นจริงจนได้ mhr. เกินกว่าค่าที่คำนวนตามสูตรPoochid เขียน:สวัสดีครับน้าเป้ ผมพึ่งมาสนใจปั่นจักรยานเมื่อต้นเดือนสิงหานี่เองครับ ก่อนหน้านี้ก็วิ่งอย่างเดียวเกือบทุกวันๆ ละ 8 กม. ก็เลยตัดสินใจถอยหมอบมาคันนึง ก่อนซื้อก็หาข้อมูลพอสมควรจากอากู๋ จากคนที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับจักรยานเลย ตอนนี้ก็โดนจักรยานซึมเข้าเส้นเลือดแล้วครับ พอดีมีโอกาสได้เข้ามาอ่านกระทู้ในห้อง 100 รอบ เห็นจำนวนหน้าแล้วต้องร้องอู้ฮู๊เลยครับ เพราะไม่เคยเห็นกระทู้ที่ยาวข้ามมาเป็นสี่ห้าปีแบบนี้ พอได้เริ่มอ่านตั้งแต่หน้าแรก ขอบอกว่าชอบมากๆ ครับ ชอบในความเอื้อเฟื้อของสมาชิกทุกคน โดยเฉพาะตัวน้าเป้เองที่เอาใจใส่กับทุกคำถาม ซึ่งผมมองไม่เห็นความรำคาญของน้าเป้เลยเวลาตอบคำถาม ขอชื่นชมและยกย่องจริงๆ ครับ ร่ายมาซะยาวขอถือโอกาสถามน้าเป้หน่อยครับ ตอนนี้ผมอายุ 43 RHR จากที่วัดดูทุกเช้าตอนตื่นนอนส่วนมากอยู่ที่ 50-53 มีบางวันวัดได้ 44 บ้าง 47 บ้างไม่รู้ว่าโดนเครื่องหลอกหรือเปล่า ผมใช้แอ็พฯ ของมือถือวัดเอาครับ อยากทราบว่าถ้าผมจะเริ่มฝึกปั่นควรจะใช้ MHR ที่เท่าไหร่ครับ ตอนนี้ผมปั่นอยู่วันละ 20 กว่ากิโล AV28 พยามรักษารอบขาไม่ให้ต่ำกว่า 90 ปั่นมาได้อาทิตย์กว่าๆ เองครับ มีความรู้สึกว่าวิ่งจะเหนื่อยกว่าปั่นจักรยาน คงเป็นเพราะผมปั่นระยะทางน้อยไปรึปล่าวครับ รบกวนน้าเป้ช่วยจัด Heart Zone ให้ด้วยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ดังนั้นควรใช้ค่า mhr ตามสูตรไปก่อนครับ จนกว่าจะปั่นแล้วได้ค่า mhr ที่สูงกส่า แล้วค่อยเปลี่ยนค่า mhr . ทุกครั้งที่ได้ค่าใหม่ที่มากกว่าเดิมมา
zone1....50-60%...88-106
zone2....60-70%...106-124
zone3....70-80%...124-142
zone4....80-90%....142-160
zone5...90-100%...160-177
รับฝึกสอนและออกแบบโปรแกรมการฝึกซ้อมจักรยาน :https://www.facebook.com/100rpmclassroombypemahachai
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/
กลุ่ม 100 rpm ...https://www.facebook.com/groups/615371001857266/