บรอมตั้นขึ้นดอย
- zedth
- สมาชิก
- โพสต์: 65
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2014, 20:24
- team: เสืออินดี้
- Bike: Brompton
บรอมตั้นขึ้นดอย
สวัสดีครับ ผมเพิ่งถอยบรอมตั้นมาเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ปีที่แล้วนี้เองครับ พอได้มาก็ปั่นทุกวันเลย เนื่องจากว่าเห่อครับ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นจักรยานที่ดีมากๆ ปั่นสนุก ไม่มีเบื่อเลย และเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ขึ้นไปเที่ยวเชียงใหม่ ก็เลยเอาน้องบรอมไปด้วย ซึ่งผมก็มีความตั้งใจว่าจะปั่นน้องบรอมขึ้นดอยสุเทพให้ได้ครับ
อันที่จริง ผมเคยขึ้นดอยสุเทพมาครั้งหนึ่งสมัยหนุ่มๆ วัยรุ่น ตอนนั้นขึ้นด้วยเสือภูเขากับเพื่อนๆ จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้แล้ว เลยอยากทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง
วันอังคารที่ 13 ม.ค. เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ผมก็ปั่นจักรยานออกจากโรงแรม ซึ่งอยู่แถวๆ ห้าง Meya ปั่นออกมาไม่เท่าไหร่ ตะคริวขึ้นต้นขา บ๊ะแหล่ววว... จะไปรอดมั้้ยเนี่ย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมมีเคล็ดวิชา กำจัดตะคริว ก็ปั่นๆ ยืดๆ ขาไป ก็หายครับ พอปั่นถึงทางขึ้นก็จอดพักถ่ายรูป และเตรียมใจแป๊บ เพราะว่ากะจะปั่นรวดเดียวให้ถึงเลย โดยไม่หยุดพัก หรือลงจูง
พอถ่ายรูปเสร็จก็ลุยเลยครับ ช่วงแรกๆ ก็ชิลๆ ครับ ปั่นไปถ่ายไป ทางไม่ชันอย่างที่คิด
ปั่นไปก็ถ่ายรูปไป ซึ่งอันนี้ผมไม่แนะนำนะครับ ถ้าท่านไม่เชี่ยวชาญเรื่องการทรงตัวบนจักรยาน เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตราย รถล้ม หรือเป๋ออกนอกทาง แล้วโดนรถข้างหลังสอยเอาได้
พอขี่ไปได้สักพักเห็นป้ายพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ อยู่ห่างออกไปอีกแค่ 4 กม. ก็เลยคิดในใจว่า ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว น่าจะขึ้นไปให้ถึงพระตำหนักฯ พอคิดได้แบบนั้น ก็ตั้งเป้าใหม่เลยครับ ว่าขึ้นให้ถึงพระตำหนักเลยละกัน
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็มาถึงดอยสุเทพ เส้นทางที่ผ่านมา เป็นทางโค้งคดเคี้ยว ความชันไม่มาก มีชันมากๆ แค่ไม่กี่ช่วง ซึ่งผมยกความดีความชอบให้กับระบบเกียร์ของบรอมตั้น ซึ่งเบามาก สามารถส่งกำลังจากขาของผมให้ปั่นขึ้นมาได้จนถึง
ผมยังไม่แวะครับ เนื่องจากว่าจะขี่รวดเดียวให้ถึงเลย ระยะทางตรงหน้าเหลืออีกแค่ 4 กม. ซึ่งผมมองว่ามันไม่เยอะ แต่ไฉน พอปั่นเข้าจริงๆ ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงได้ เกือบๆ เท่ากับช่วง 10 กม. แรกเลย ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าขาผมเริ่มล้าแล้ว ความเร็วที่ทำได้แค่ 5-8 กม./ชม. เท่านั้นเอง แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ผมจะไม่ยอมจอดเด็ดขาด ด้านอัตราการเต้นของหัวใจ ความเหนื่อย ผมไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเกินไปเลยครับ แม้จะไม่ได้มีเครื่องวัด HR แต่คิดว่าประเมินสภาพร่างกายได้อยู่ ผมยังคงหายใจเข้าลึกๆ ได้ ไม่หายใจหอบ แต่ขานี่ล้ามาก กว่าจะกดบันไดแต่ละรอบให้หมุนไปได้ มันหนักเอาการเลยทีเดียวครับ และพอขึ้นมาเหลืออีก 2 กม. ก็เจอกับพระรูปหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าครับ เกิดแรงธรรมฮึดสู้ขึ้นมาทันที ขนาดพระท่านยังเดินขึ้นมาได้ ผมมีพาหนะทุ่นแรงมาด้วย ก็น่าจะไหว ก็เลยกดบันไดแซงพระท่านไปครับ
และแล้วก็มาถึงโค้งสุดท้าย ยาว 200 ม. ..... 200 ม. สุดท้าย เป็นทางที่ค่อนข้างชัน เมื่อผมปั่นมาถึงจุดนี้ ขาก็ล้ามากแล้ว แต่ ณ นาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคือทหารที่กำลังมุ่งหน้าเข้าทำลายที่มั่นสุดท้ายของข้าศึก ซึ่งต่อให้มีธนูยิงเข้าใส่มากี่ดอกก็ตาม ผมจะไม่หยุด จะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะพิชิตยอดลงให้จงได้ ซึ่งถ้าโดนธนูเข้าจริงๆ ผมคงจะบอกว่า ผมเคยจะไปถึงยอดพระตำหนักฯ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า
ป.ล. รูปนี้ถ่ายตอนขาลง มีของที่ระลึกติดตะแกรงหลังมาด้วย
และแล้วผมก็มาถึงพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จนได้ครับ แต่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว 5 โมงกว่า ซึ่งพระตำหนักปิด เข้าชมไม่ได้แล้ว เลยได้แต่เดินชมรอบนอก จุดชมวิว และร้านค้า จะขึ้นไปดอยปุยต่อก็กลัวมืด ผมไม่ใช่คนพื้นที่ ไฟหน้าก็ไม่ค่อยสว่าง เลยตัดสินใจว่าเอาแค่นี้ดีกว่า โอกาสหน้า มาแต่เช้า รับรองถึงดอยปุยแน่นอน
ผมแวะพักตรงจุดชมวิว ถ่ายรูป คุยกับคู่รักฝรั่งสองคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์กันขึ้นมา และก็แวะซื้อเสื้อยืดปักคำว่า ภูพิงค์ เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะลงจากพระตำหนัก ซึ่งก็ใกล้มืดมากแล้ว
ขาลงเป็นอะไรที่เร็วมากครับ ไม่ต้องปั่นเลย ปล่อยไหลอย่างเดียว แต่ว่าอากาศสิครับ หนาวบัดซบ หนาวเข้ากระดูกเลย อากาศที่ผ่านผิวหนังไป นี่เหมือนกรีดเข้าไปในชั้นไขมันหนาๆ ของผมเลยทีเดียว ตอนลงนี่ผมร้องซี้ด อาห์ ซี้ด อาห์ เป็นระยะๆ เลยครับ เคยไหมครับ เวลาที่มันหนาวจัดๆ ต้องครางออกมา (เอ หรือว่าผมจะเป็นอยู่คนเดียว)
แค่ 10 นาที ผมก็กลับมาถึงดอยสุเทพฯ ก็เลยขอขึ้นไปไหว้พระธาตุ กับครูบาศรีวิชัยหน่อยครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว จะมืดก็ไม่เป็นไร ก็พับรถ ยกขึ้นเลยครับ แม่ค้าล็อตเตอรี่นี่มองกันใหญ่
ผมเดินหิ้วจักรยานขึ้นลิฟต์ แล้วเดินวนรอบพระธาตุ ไหว้ครูบา กราบพระธาตุ แต่ไม่ได้เดินเวียนรอบพระธาตุ เนื่องจากจะถือจักรยานเดินเวียน ทางก็แคบเกินไป ไม่สะดวก เลยขอแค่กราบก็พอแล้ว
ก่อนกลับแวะเข้าห้องน้ำสักหนึ่งรอบ หิ้วน้องบรอมเข้าห้องน้ำไปด้วยเลยครับ
สุดท้ายก็ลงลิฟต์
กางจักรยาน แล้วลงเขาอีกรอบ เที่ยวนี้มืดสนิทเลยครับ ไฟหน้ารถก็ไม่ค่อยจะสว่างเท่าไหร่นัก ดังนั้น พอพี่รถสองแถวมา ผมก็เกาะท้ายลงมาเลยครับ เพราะไฟหน้ารถพี่เค้าสว่าง และถือคติที่ว่า "ไหลตามหลังรถแดง โค้งไม่แหก" ครับ
การขี่ลงตอนกลางคืนก็ดีอย่างนะครับ คือได้เห็นวิวกลางคืนของเชียงใหม่ งดงาม ราวกับมองลงมาจากเครื่องบินเลยครับ
แปลกอยู่อย่างหนึ่งครับ ขาลง ผมสวนทางกับนักปั่นหลายท่านเลย เยอะกว่าตอนบ่าย หรือเย็นเยอะเลยครับ ช่วงเย็นผมเห็นคนปั่นไม่ถึงสิบคน มีผม เพื่อนผมอีกคนที่ปั่นหมอบ และแซงผมไปก่อนหน้าไกลโข กลุ่มฝรั่งที่เช่าจักรยานกันมา 3 คน นักปั่นซึ่งน่าจะเป็นเจ้าถิ่น ปั่นลงมาอีก 2-3 คน และฝรั่งคนหนึ่งซึ่งฟิตมาก ตอนผมกำลังขึ้นภูพิงค์ แกปั่นแซงผมไปรอบนึงแล้ว ตอนผมกำลังลงแกก็สวนขึ้นมาอีกรอบ ฟิตมากกกก
แต่ตอนมืดนี่นักปั่นเยอะมากทีเดียว น่าจะประมาณเกือบยี่สิบคัน เท่าที่ผมเห็น สงสัยจะเป็นเจ้าถิ่นที่เพิ่งจะเลิกงาน เพราะพี่เค้าไม่กลัวความมืดกันเลยครับ
ไม่นานนัก ผมก็ลงมาถึงตีนดอย และปั่นกลับเข้าโรงแรมอย่างปลอดภัย พอถึงห้อง อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาหาอะไรทานก่อนนอนครับ ได้แวะซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งด้วย เป็นร้านหนังสือที่น่ารักมากครับ ขอเล่าถึงร้านหนังสือร้านนี้สักหน่อยนะครับ
ร้านหนังสือน่ารักๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่แห่งนี้ มีชื่อว่า "ร้านเล่า" จุดเด่นที่สุดของร้านนี้คงจะเป็นสไตล์การจัดร้านที่ดูอบอุ่น เป็นกันเอง และดูเหมือนไม่ใช่ร้านหนังสือในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห่างไกลจากภาพของตลาดหนังสือใหญ่ๆ ที่ครองประเทศอยู่ในขณะนี้ ที่ชอบที่สุดก็คือ การเลือกหนังสือแต่ละเล่มมาขาย รู้เลยว่าเจ้าของร้านเป็นนักอ่านตัวยง เพราะเลือกแต่หนังสือดีๆ มีคุณภาพเข้ามาทั้งนั้น ประเภท How to , รวยจากนั่นจากนี่ , หนังสือที่ ghost writer เขียน ไม่มีให้เห็นเลย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านหลายเล่ม บางเล่ม หาที่อื่นค่อนข้างยากด้วยซ้ำ นอกจากหนังสือแล้ว ยังมีสมุดบันทึก โปสการ์ด ของกระจุ๊กกระจิ๊กสไตล์เมืองอาร์ตอีกเพียบ
สรุปเลย อยากให้มีร้านแบบนี้ที่กรุงเทพฯ เยอะๆ เพราะผมอิจฉาคนเชียงใหม่มาก
กินข้าวเสร็จ กลับห้อง หลับปุ๋ยเลยครับ ก็จบทริปไปแบบไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่ใช้เวลานานน่าดู 3 ชม. 25 นาที
อันที่จริง ผมเคยขึ้นดอยสุเทพมาครั้งหนึ่งสมัยหนุ่มๆ วัยรุ่น ตอนนั้นขึ้นด้วยเสือภูเขากับเพื่อนๆ จำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้แล้ว เลยอยากทบทวนความจำอีกครั้งหนึ่ง
วันอังคารที่ 13 ม.ค. เวลาบ่ายสองโมงครึ่ง ผมก็ปั่นจักรยานออกจากโรงแรม ซึ่งอยู่แถวๆ ห้าง Meya ปั่นออกมาไม่เท่าไหร่ ตะคริวขึ้นต้นขา บ๊ะแหล่ววว... จะไปรอดมั้้ยเนี่ย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมมีเคล็ดวิชา กำจัดตะคริว ก็ปั่นๆ ยืดๆ ขาไป ก็หายครับ พอปั่นถึงทางขึ้นก็จอดพักถ่ายรูป และเตรียมใจแป๊บ เพราะว่ากะจะปั่นรวดเดียวให้ถึงเลย โดยไม่หยุดพัก หรือลงจูง
พอถ่ายรูปเสร็จก็ลุยเลยครับ ช่วงแรกๆ ก็ชิลๆ ครับ ปั่นไปถ่ายไป ทางไม่ชันอย่างที่คิด
ปั่นไปก็ถ่ายรูปไป ซึ่งอันนี้ผมไม่แนะนำนะครับ ถ้าท่านไม่เชี่ยวชาญเรื่องการทรงตัวบนจักรยาน เพราะอาจจะทำให้เกิดอันตราย รถล้ม หรือเป๋ออกนอกทาง แล้วโดนรถข้างหลังสอยเอาได้
พอขี่ไปได้สักพักเห็นป้ายพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ อยู่ห่างออกไปอีกแค่ 4 กม. ก็เลยคิดในใจว่า ไหนๆ ก็ขึ้นมาแล้ว น่าจะขึ้นไปให้ถึงพระตำหนักฯ พอคิดได้แบบนั้น ก็ตั้งเป้าใหม่เลยครับ ว่าขึ้นให้ถึงพระตำหนักเลยละกัน
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมก็มาถึงดอยสุเทพ เส้นทางที่ผ่านมา เป็นทางโค้งคดเคี้ยว ความชันไม่มาก มีชันมากๆ แค่ไม่กี่ช่วง ซึ่งผมยกความดีความชอบให้กับระบบเกียร์ของบรอมตั้น ซึ่งเบามาก สามารถส่งกำลังจากขาของผมให้ปั่นขึ้นมาได้จนถึง
ผมยังไม่แวะครับ เนื่องจากว่าจะขี่รวดเดียวให้ถึงเลย ระยะทางตรงหน้าเหลืออีกแค่ 4 กม. ซึ่งผมมองว่ามันไม่เยอะ แต่ไฉน พอปั่นเข้าจริงๆ ต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงกว่าจะถึงได้ เกือบๆ เท่ากับช่วง 10 กม. แรกเลย ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะว่าขาผมเริ่มล้าแล้ว ความเร็วที่ทำได้แค่ 5-8 กม./ชม. เท่านั้นเอง แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ผมจะไม่ยอมจอดเด็ดขาด ด้านอัตราการเต้นของหัวใจ ความเหนื่อย ผมไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเกินไปเลยครับ แม้จะไม่ได้มีเครื่องวัด HR แต่คิดว่าประเมินสภาพร่างกายได้อยู่ ผมยังคงหายใจเข้าลึกๆ ได้ ไม่หายใจหอบ แต่ขานี่ล้ามาก กว่าจะกดบันไดแต่ละรอบให้หมุนไปได้ มันหนักเอาการเลยทีเดียวครับ และพอขึ้นมาเหลืออีก 2 กม. ก็เจอกับพระรูปหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าครับ เกิดแรงธรรมฮึดสู้ขึ้นมาทันที ขนาดพระท่านยังเดินขึ้นมาได้ ผมมีพาหนะทุ่นแรงมาด้วย ก็น่าจะไหว ก็เลยกดบันไดแซงพระท่านไปครับ
และแล้วก็มาถึงโค้งสุดท้าย ยาว 200 ม. ..... 200 ม. สุดท้าย เป็นทางที่ค่อนข้างชัน เมื่อผมปั่นมาถึงจุดนี้ ขาก็ล้ามากแล้ว แต่ ณ นาทีนั้น ผมรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองคือทหารที่กำลังมุ่งหน้าเข้าทำลายที่มั่นสุดท้ายของข้าศึก ซึ่งต่อให้มีธนูยิงเข้าใส่มากี่ดอกก็ตาม ผมจะไม่หยุด จะเดินหน้าต่อไปจนกว่าจะพิชิตยอดลงให้จงได้ ซึ่งถ้าโดนธนูเข้าจริงๆ ผมคงจะบอกว่า ผมเคยจะไปถึงยอดพระตำหนักฯ จนกระทั่งโดนธนูปักที่เข่า
ป.ล. รูปนี้ถ่ายตอนขาลง มีของที่ระลึกติดตะแกรงหลังมาด้วย
และแล้วผมก็มาถึงพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์จนได้ครับ แต่ก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว 5 โมงกว่า ซึ่งพระตำหนักปิด เข้าชมไม่ได้แล้ว เลยได้แต่เดินชมรอบนอก จุดชมวิว และร้านค้า จะขึ้นไปดอยปุยต่อก็กลัวมืด ผมไม่ใช่คนพื้นที่ ไฟหน้าก็ไม่ค่อยสว่าง เลยตัดสินใจว่าเอาแค่นี้ดีกว่า โอกาสหน้า มาแต่เช้า รับรองถึงดอยปุยแน่นอน
ผมแวะพักตรงจุดชมวิว ถ่ายรูป คุยกับคู่รักฝรั่งสองคนที่ขี่มอเตอร์ไซค์กันขึ้นมา และก็แวะซื้อเสื้อยืดปักคำว่า ภูพิงค์ เป็นที่ระลึก ก่อนที่จะลงจากพระตำหนัก ซึ่งก็ใกล้มืดมากแล้ว
ขาลงเป็นอะไรที่เร็วมากครับ ไม่ต้องปั่นเลย ปล่อยไหลอย่างเดียว แต่ว่าอากาศสิครับ หนาวบัดซบ หนาวเข้ากระดูกเลย อากาศที่ผ่านผิวหนังไป นี่เหมือนกรีดเข้าไปในชั้นไขมันหนาๆ ของผมเลยทีเดียว ตอนลงนี่ผมร้องซี้ด อาห์ ซี้ด อาห์ เป็นระยะๆ เลยครับ เคยไหมครับ เวลาที่มันหนาวจัดๆ ต้องครางออกมา (เอ หรือว่าผมจะเป็นอยู่คนเดียว)
แค่ 10 นาที ผมก็กลับมาถึงดอยสุเทพฯ ก็เลยขอขึ้นไปไหว้พระธาตุ กับครูบาศรีวิชัยหน่อยครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว จะมืดก็ไม่เป็นไร ก็พับรถ ยกขึ้นเลยครับ แม่ค้าล็อตเตอรี่นี่มองกันใหญ่
ผมเดินหิ้วจักรยานขึ้นลิฟต์ แล้วเดินวนรอบพระธาตุ ไหว้ครูบา กราบพระธาตุ แต่ไม่ได้เดินเวียนรอบพระธาตุ เนื่องจากจะถือจักรยานเดินเวียน ทางก็แคบเกินไป ไม่สะดวก เลยขอแค่กราบก็พอแล้ว
ก่อนกลับแวะเข้าห้องน้ำสักหนึ่งรอบ หิ้วน้องบรอมเข้าห้องน้ำไปด้วยเลยครับ
สุดท้ายก็ลงลิฟต์
กางจักรยาน แล้วลงเขาอีกรอบ เที่ยวนี้มืดสนิทเลยครับ ไฟหน้ารถก็ไม่ค่อยจะสว่างเท่าไหร่นัก ดังนั้น พอพี่รถสองแถวมา ผมก็เกาะท้ายลงมาเลยครับ เพราะไฟหน้ารถพี่เค้าสว่าง และถือคติที่ว่า "ไหลตามหลังรถแดง โค้งไม่แหก" ครับ
การขี่ลงตอนกลางคืนก็ดีอย่างนะครับ คือได้เห็นวิวกลางคืนของเชียงใหม่ งดงาม ราวกับมองลงมาจากเครื่องบินเลยครับ
แปลกอยู่อย่างหนึ่งครับ ขาลง ผมสวนทางกับนักปั่นหลายท่านเลย เยอะกว่าตอนบ่าย หรือเย็นเยอะเลยครับ ช่วงเย็นผมเห็นคนปั่นไม่ถึงสิบคน มีผม เพื่อนผมอีกคนที่ปั่นหมอบ และแซงผมไปก่อนหน้าไกลโข กลุ่มฝรั่งที่เช่าจักรยานกันมา 3 คน นักปั่นซึ่งน่าจะเป็นเจ้าถิ่น ปั่นลงมาอีก 2-3 คน และฝรั่งคนหนึ่งซึ่งฟิตมาก ตอนผมกำลังขึ้นภูพิงค์ แกปั่นแซงผมไปรอบนึงแล้ว ตอนผมกำลังลงแกก็สวนขึ้นมาอีกรอบ ฟิตมากกกก
แต่ตอนมืดนี่นักปั่นเยอะมากทีเดียว น่าจะประมาณเกือบยี่สิบคัน เท่าที่ผมเห็น สงสัยจะเป็นเจ้าถิ่นที่เพิ่งจะเลิกงาน เพราะพี่เค้าไม่กลัวความมืดกันเลยครับ
ไม่นานนัก ผมก็ลงมาถึงตีนดอย และปั่นกลับเข้าโรงแรมอย่างปลอดภัย พอถึงห้อง อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ลงมาหาอะไรทานก่อนนอนครับ ได้แวะซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่งด้วย เป็นร้านหนังสือที่น่ารักมากครับ ขอเล่าถึงร้านหนังสือร้านนี้สักหน่อยนะครับ
ร้านหนังสือน่ารักๆ ในตัวเมืองเชียงใหม่แห่งนี้ มีชื่อว่า "ร้านเล่า" จุดเด่นที่สุดของร้านนี้คงจะเป็นสไตล์การจัดร้านที่ดูอบอุ่น เป็นกันเอง และดูเหมือนไม่ใช่ร้านหนังสือในไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห่างไกลจากภาพของตลาดหนังสือใหญ่ๆ ที่ครองประเทศอยู่ในขณะนี้ ที่ชอบที่สุดก็คือ การเลือกหนังสือแต่ละเล่มมาขาย รู้เลยว่าเจ้าของร้านเป็นนักอ่านตัวยง เพราะเลือกแต่หนังสือดีๆ มีคุณภาพเข้ามาทั้งนั้น ประเภท How to , รวยจากนั่นจากนี่ , หนังสือที่ ghost writer เขียน ไม่มีให้เห็นเลย ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านหลายเล่ม บางเล่ม หาที่อื่นค่อนข้างยากด้วยซ้ำ นอกจากหนังสือแล้ว ยังมีสมุดบันทึก โปสการ์ด ของกระจุ๊กกระจิ๊กสไตล์เมืองอาร์ตอีกเพียบ
สรุปเลย อยากให้มีร้านแบบนี้ที่กรุงเทพฯ เยอะๆ เพราะผมอิจฉาคนเชียงใหม่มาก
กินข้าวเสร็จ กลับห้อง หลับปุ๋ยเลยครับ ก็จบทริปไปแบบไม่หนักหนาเท่าใดนัก แต่ใช้เวลานานน่าดู 3 ชม. 25 นาที
แก้ไขล่าสุดโดย zedth เมื่อ 17 ม.ค. 2015, 22:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
บรอมตั้นขึ้นดอย http://tinyurl.com/lts4qx2
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
- โฟล์กฟาร์ม
- ขาประจำ
- โพสต์: 8209
- ลงทะเบียนเมื่อ: 31 มี.ค. 2010, 20:48
- Tel: 096-8488820
- team: ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกับรถเล็ก
- Bike: จักรยานเก่า
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
อ่านเพลินเลยครับ
DAHON CLASSIC https://www.facebook.com/groups/161405560883997/
Smile bike on the way https://www.facebook.com/pages/Smile-Bi ... ef=tn_tnmn
Smile bike on the way https://www.facebook.com/pages/Smile-Bi ... ef=tn_tnmn
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 4620
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 03:57
- team: รวมมิตร
- Bike: Wheeler Ti, CSK หมอบ
- ติดต่อ:
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
เข้าใจความรู้สึกครับ เคยเอาเสือภูเขาขึ้นถึงพระตำหนัก ช่วงหลังหนักมากครับ เพราะมันชันกว่า
- toop
- ขาประจำ
- โพสต์: 7434
- ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ก.ค. 2012, 22:34
- team: คสลช. / ชมรมจักรยานพับได้
- Bike: จักรยานพับ
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
ขอบคุณที่เอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟังครับ พี่เก่งจริงๆครับ
- shpiak
- ขาประจำ
- โพสต์: 2191
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 10:43
- Bike: พับอย่างเดียว
- ตำแหน่ง: วงเวียนใหญ่
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
อ่านสนุกครับ เล่าได้เห็นภาพเลยครับ ผมไปคงได้แค่ตีนดอย..
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
สิ่งที่คนรวยกับจนมีโอกาสมีได้เท่าๆกันคือบุญ กับมารยาท
มีเงินก็หามารยาทมาประดับตัวเป็นศรีไม่ได้ ต้องทำเอาเอง
สิ่งที่คนรวยกับจนมีโอกาสมีได้เท่าๆกันคือบุญ กับมารยาท
มีเงินก็หามารยาทมาประดับตัวเป็นศรีไม่ได้ ต้องทำเอาเอง
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 518
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2011, 16:42
- Tel: 0801120939
- team: -
- Bike: MTB Bianchi Jab รถพับ BF pocket rocket, dahon horize
- ติดต่อ:
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
อ่านแล้วสนุกมาก สงสัยต้องหา prompton มาปั่นมั่ง จะได้ ซี้ด อาร์ ซี้ด อาร์ มั้ง
- shpiak
- ขาประจำ
- โพสต์: 2191
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ม.ค. 2013, 10:43
- Bike: พับอย่างเดียว
- ตำแหน่ง: วงเวียนใหญ่
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
ซี้ด อาห์ ซี้ด อาห์ นี่คุ้นๆ marine injection ใน starcraft เปล่าครับ.. อิอิ เกมยุคโบราณสุดๆ ใครรู้จักก็บอกอายุได้คร่าวๆล่ะครับ
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
สิ่งที่คนรวยกับจนมีโอกาสมีได้เท่าๆกันคือบุญ กับมารยาท
มีเงินก็หามารยาทมาประดับตัวเป็นศรีไม่ได้ ต้องทำเอาเอง
สิ่งที่คนรวยกับจนมีโอกาสมีได้เท่าๆกันคือบุญ กับมารยาท
มีเงินก็หามารยาทมาประดับตัวเป็นศรีไม่ได้ ต้องทำเอาเอง
- superjeeppe
- สมาชิก
- โพสต์: 11
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2014, 20:46
- Bike: Doppelganger211, Brompton
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
เคยแต่เดินขึ้นดอยตอนเรียนอยู่มช คะ เจอโค้งสปิริต ต้องวิ่งขึ้นแทบจะเป็นลม นี่พี่ปั่นขึ้น ม้วนเดียวจบ สุดยอดดดด
I can't make heads or tails of it.
- pru1
- ขาประจำ
- โพสต์: 181
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 พ.ค. 2012, 11:34
- team: อิสระ
- Bike: vector p9 ........ trek 4300 ........ Reynolds
- ตำแหน่ง: นครพนม - ตรัง
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
ใช้ชุดเกียร์ จานหน้า หลัง เท่าไรครับ
- KIM2010
- ขาประจำ
- โพสต์: 112
- ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2010, 07:13
- Tel: 0816818660
- Bike: WHEELER E10
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
แถวดอยๆเชียงใหม่ หนาวจริงครับ คนปั่นเจ๋งครับ
- wannabe
- ขาประจำ
- โพสต์: 1010
- ลงทะเบียนเมื่อ: 03 พ.ย. 2010, 21:47
- Tel: 0815542467
- Bike: ปั่นมันส์อยู่คันเดียว
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
อยากได้บรอมเลย
วิวสวยจริงๆครับ
วิวสวยจริงๆครับ
- zedth
- สมาชิก
- โพสต์: 65
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2014, 20:24
- team: เสืออินดี้
- Bike: Brompton
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
มาตราฐานบรอมตั้นครับ 6 speed -12% เข้าใจว่าจานหน้า 48 หรือ 44 นี่แหละครับ ตีนผีหลัง 11-13 ส่วนเกียร์ดุม ผมไม่ทราบครับpru1 เขียน:ใช้ชุดเกียร์ จานหน้า หลัง เท่าไรครับ
ขอบคุณทุกๆ ความเห็นนะครับ
บรอมตั้นขึ้นดอย http://tinyurl.com/lts4qx2
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 514
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 00:16
- Tel: 086-346-3360
- Bike: Brompton
- ติดต่อ:
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
จานหน้ามีตัวเลือก 54/50/44
หลัง 12/13/14/15/16
6 สปีด -12% หน้า 44 หลัง 13/16 ครับ
...
..
.
หลัง 12/13/14/15/16
6 สปีด -12% หน้า 44 หลัง 13/16 ครับ
...
..
.
- zedth
- สมาชิก
- โพสต์: 65
- ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2014, 20:24
- team: เสืออินดี้
- Bike: Brompton
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
ขอบคุณครับ ผมไม่สันทัดกรณีนี้เลยครับ ผมนับฟันจานหน้าแล้ว 44 ครับpoommm เขียน:จานหน้ามีตัวเลือก 54/50/44
หลัง 12/13/14/15/16
6 สปีด -12% หน้า 44 หลัง 13/16 ครับ
...
..
.
บรอมตั้นขึ้นดอย http://tinyurl.com/lts4qx2
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
ขึ้นรถไฟจะไปจตุจักร รถไฟไม่มีเลยต้องปั่นไป http://tinyurl.com/lnadabm
- barts
- ขาประจำ
- โพสต์: 2079
- ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2008, 21:09
- Bike: Tyrell FSX,Cervelo R3,Brompton S6L
Re: บรอมตั้นขึ้นดอย
สุดยอดเลยคับ ขึ้นไปเหมือนกัน ยกรถลงไปที่จุดถ่ายรูปภูพิงค์เหมือนกัน คนมองเลยคิดว่ามีทางลง ไม่มีทางลงผมยกรถลงไปถ่ายรูป 555
ตอนผมปั่นขึ้นไปเจอน้องผู้หญิงปั่น ori ขึ้นดอยสุเทพเหมือนกันสุดยอดเลย
ตอนผมปั่นขึ้นไปเจอน้องผู้หญิงปั่น ori ขึ้นดอยสุเทพเหมือนกันสุดยอดเลย
*** ปั่นด้วยกันกับเพื่อนๆ กลุ่ม Freedom Bike ครับ ***