มือใหม่สงสัย ล้อหมอบ มีขอบสูงแต่ละขนาดเหมาะกับความเร็วเท่าไหร่

[akekb]

[Jarkkit]

ล้อขอบสูงมีการเหวี่ยงที่สม่ำเสมออยู่ที่ความเร็วและการเหวี่ยงของล้อจะมีทิศทางที่ต่างกันอยู่ที่ความเร็ว
ขออธิบายจากรูปละกันนะครับ

ตำแหน่งที่ 1 การเหวี่ยงจะทำให้เราเหนื่อยมากกว่าเดิมในความเร็วต่ำๆ เช่นประมาณ 25-30 km/h ล้อจะเหวี่ยงโดยมีทิศทางตรงกันข้ามกับเส้นทางข้างหน้า จะแยกไม่ออกว่าขอบสูงหรือต่ำ แต่หากน้ำหนักที่เบากว่าก็จะไปได้ดีกว่า

ตำแหน่งที่ 2 อันนี้ค่อนข้างคล้ายกับตำแหน่งที่ 1 แต่จะรู้สึกเบาขาขึ้นมาหน่อย ความเร็วจะอยู่ที่ประมาณ 30-35 km/h

ตำแหน่งที่ 3 อันนี้จะทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพของขอบสูงอย่างเห็นได้ชัด ล้อจะมีการเหวี่ยงไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ยืนความเร็วช่วง 35-45 km/h ได้เป็นอย่างดี (อยู่ที่แรง) และเมื่อความเร็วสูงขึ้นมากๆก็จะวนมาตำแหน่งที่ 1 อีกครั้ง ที่หลายๆคนเรียกว่าอาการตื้อนั่นเอง

ปล. ล้อ 50/50 ครับ

[iPower]

การฟิตติ้งล้อน่าจะเหมาะ

เรื่องล้อผมคิดว่าควรมีการฟิตติ้งด้วย
ระยะขาและแรงแต่ละคนไม่เท่ากันการหาล้อที่เหมาะกับคนจึงไม่เท่ากัน

ที่ผ่านมาทุกคนต้องเสียเงินซื้อเพื่อลองล้อที่เหมาะกับแรงและระยะเหยียดขาของตัวเอง
เสียเงินเป็นหมืนเป็นแสนเพื่อได้ลองและยังอยากลองเรื่อยๆเพราะคิดว่าอาจมีที่เหมะกับตัวเองมากกว่า

การฟิตติ้งล้ออาจติดกับเทรนเนอร์ที่ทำหน้าที่ได้เหมือนถนนจริงๆ
แรงเหวี่ยเกิดจากล้อไม่ใช้เกิจากเทรนเนอร์

อีกกอย่างขาของคนพัฒนาได้ช่วงแรกอาจเหมาะกับล้อแบบหนึง
ต่อไปขาแรงขึ้นอาจเหมาะกับล้ออีกแบบหนึง

ล้อทีเหมาะกับเราที่ผมรู้สึกคือพอเหยียบไปที่ตำแหน่ง 3-5 นาฬิกาของขาจาน
แล้วรู้สึกว่าได้ออกแรงเต็มๆ และไม่หนักไปเพราะจะทำได้ไม่กี่ทีก็หมด
ล้อที่เหมาะจริงๆคือออกแรงที่ตำแหน่งนั้นแล้วยังรู้สึกว่าเหลือหน่อยๆไม่ถึงกับตึงแรง
คือพอสุดที่ระยะ 3-5 นาฬิกายังรู้สึกวืดๆไม่สุดแรงไม่หนัก
เพราะทุกครั้งที่ปั่นจะรู้สึกว่าเติมแรงได้ตลอดไม่หมด

จากล้ออลูยูรัส มา Zipp 303 404 ตอนนี้เป็น Zipp 808 ก็รู้สึกแบบนั้นแล้ว
คือไม่ตึงมากรู้สึกว่ายังใส่ได้อีก
เพราะขาของเราพัฒนาขึ้นถ้าวันแรกๆใส่ 808 เลยผมคงเลิกไปแล้ว

ดังนั้นการฟิตติ่งล้อให้เหมาะกับเราในแต่ละช่วงเวลาจึงจำเป็น
ไม่ต้องเสียเงินซื้อล้อมาลองไปเรื่อยๆแบบเดิมอีกต่อไป

[giro]

ขออธิบายนะครับ ว่าหลายท่านเข้าใจผิดคำว่า "เหวี่ยง" ของล้อขอบสูง ซึ่งเคยมีการอธิบายถกกันไปแล้วหลายรอบตั้งแต่บอร์ดเก่าหน้าสีแดๆง
ล้อที่ดีต้องไม่มีอาการ "เหวี่ยง" ตัวเมื่อหมุนครับ อย่างงนะครับ คือล้อต้องหมุนสม่ำเสมอครับไม่มีการเหวี่ยงดึ๋งๆเวลาหมุน น้ำหนักทั้งล้อต้องเท่ากันสม่ำเสมอ ล้อที่เหวี่ยงตัวน้ำหนักไม่เท่ากันจะเกิดสภาพอย่างที่ข้างบนได้นำกราฟฟิคมาลงเอาไว้ ซึ่งนั่นคือล้อที่ "มไม่ดี" ครับ
ล้อขอบสูงที่ดี ที่ความเร็วได้ๆก็ตาม จะ "ไม่มีอาการเหวี่ยงตัวฉุดต้านแรงการหมุน) ไม่เกี่ยวกับทิศทางทางที่รถเคลื่อนที่ครับ
ตกม้าตายกันมามาก ไม่ใช่ฟิสิกส์ ม.ปลายที่แรงมันย้อนทิศทางการเคลือ่นที่แล้วสร้างแรงต้านครับ
จริงๆล้อ"*ไม่ได้หมุนไปข้างหน้า*" แต่ล้อ "*หมุนอยู่กับที่*"ไ แรงเสียดทานจากพื้นต่างหากครับที่ดันให้เราไปด้านหน้า ดังนั้นน้ำหนักล้อที่ขอบจะหมุนอย่างไร ไม่ส่งผลให้ล้อหมุนหรือวิ่งได้ช้าลงครับ

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ล้อขอบสูงไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ "เหวี่ยง" ครับ แต่ออกแบบมาเพื่อลดความยาวของซี่ลวด ทำไมต้องลดความยาวซี่ลวด? เพราะซี่ลวดหนึ่งซี่ต้องฝ่าอากาศไปตลอดเวลาไม่ว่าจะวิ่งตามลมหรือทวนลม ด้วยความเร็วที่มากกว่าจักรยานวิ่งอยู่จริงเสมอ เพราะล้อหมุนเป็นวงกลมครับไม่ได้วิ่งไปด้านหน้า การที่มันต้องตัดอกาศสร้างปัจจัย 2 ประการที่ทำให้มัน"หน่วง"การเดินทางของจักรยาน
1.เกิดแรงต้านที่ด้านหน้าพื้นผิวการแหวกฝ่าอากาศไป เรียกง่ายๆก็คือมันต้านลมครับ
2.เกิดแรงฉุดที่ด้านหลังของซี่ลด *ทุกเส้น* ยิ่งบริเวรณปลายซี่ลวดที่ติดกับขออบล้อ ยิ่งเกิดแรงฉุด(drag) ด้านหลังมาก

ดังนั้นล้อขอบสูงทั้งหลาย จึงเพิ่มความสูงของขอบเพื่อให้มีแรงต้านและฉุดดังกล้าวน้อยลง ย้อนกลับไปยุคก่อนที่จะมีล้อขอบสูง จักรยานได้พยายาามลดแรงต้านซี่ลวดมาด้วยทางแก้ปัญหา 2 ทางออกมาแล้วครับ อันแรกคือการปิดครอบล้อทั้งหมดไม่ให้โดนกระแสอากาศเข้ามารบกวน หรือพวกตระกูลล้อดิสค์ อันดับต่อมาคือการทำล้อ 3 ก้าน 4 ก้าน 5 ก้าน จุดหลักคือเพื่อ *ลดจำนวนซี่ล้อ* ทว่ากติกา UCI ไม่อนุญาตให้ใช้ล้อเหล่านี้ในการแข่งประเภทถนนอินเลน์เรซได้ท้งแบบคลาสสิคและแบบเสตจเรซ จึงได้พัฒนาล้อขอบสุงนี้ขึ้นมาแทน และพบว่าในหลายๆสภาพแวดล้อม ล้อขอบสูงสามารถทำงานได้ดีกว่าล้อ 3 ก้านเสียด้วยซ้ำ (แน่นอนว่ามันเบากว่า)

เป็นเกร็ดเพิ่มให้อีกประการนะครับ ล้อขอบสูง จะยิ่งลดอัตราการพัฒนาความได้เปรียบทางอากาศพลศาสจ์ลงเมื่อขอบสุงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ล้อขอบสูง 50 อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าล้อขอบสูง 28 มากอย่างชัดเจน แต่ล้อขอบสูง 86อาจไม่ได้แตกต่างจากล้อ 50 มากเท่ากับที่ได้เปรียบจากล้อเตี้ยกว่า เพราะอะไร?? กลับไปที่วิธีการทำงานของล้อนะครับ
เพราะว่า ซี่ลวดใกล้ดุมที่หมุน วิ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วที่น้อยกว่าซี่ลดที่ขอบติดมาก (อย่าลืมว่าล้อเคลื่อนที่"หมุน"อยู่ครับไม่ได้"วิ่งไปข้างหน้า" จะวิ่งไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ซี่ล้อก็ต้องตัดอากาศไปตลอดครับ อากาศอยู่เฉยๆให้เราฝ่าไปครับ ลมคืออากาศที่วิ่งสวนมา ไม่มีลมก็ยังต้องฝ่าอากาศไปอยู่ดี ซึ่งเกิดทั้งแรงต้านและแรงฉุดด้านหลังซี่) ทำให้อัตราได้เปรียบทางอากาศพลศาสตร์ได้เปรียบลดลง(ไม่ได้เสียเปรียบครับแค่ลดลง)

ทำไมล้อขอบสูงให้ความรู็สึก"หน่วง" เมื่อมันไม่ได้"เหวี่ยง"?
ถ้าเข้าใจผิดเรื่องเหวี่ยงก็จะเข้าใจเรื่องหน่วงผิดไปด้วยครับ ล้อขอบสูงไม่ได้หน่วงตัวเองครับ ไม่ว่าจะวิ่งไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ล้อก็แค่หมุนเป็นวงกลม องศาใด หรือที่ตำแหน่งกี่นาฬิกา น้ำหนักของขอบก็ไม่ได้ทำให้การเคลื่อนที่ของล้อหน่วงลงไปครับ สิ่งที่เราทำคือเราออกแรง*ผลัก*ขาจาน จากนั้นจาจานที่ติดกับเฟืองหน้าไปดึงโซ่ โซ่ไปดังเฟืองหลัง เฟืองหลังติดอยู่กับล้อ และดันให้ล้อ*หมุน* เราไม่ได้ออกแรงไปด้านหน้าแม้แต่นิดเดียวครับ เมื่อล้อหมุน จะหมุนไปทางไหน เราออกแรงเหมือนกัน และขอบล้อไม่เคยหน่วงหรือส่งแรงต้านทำให้เราเสียงานครั
....มาถึงคำตอบว่าทำไมล้อขอบสูงถึง"หน่วง"
น้ำหนัก คือประเด็นหลักครับ เราต้องกลับไปคุยกันเรื่องพื้นฐาน 2 อย่างครับ
1. ขอบเบาผลักแรงน้อยก็ไป แต่เจอแรงต้านไม่นานก็หยุด ของหนักผลักแรงมากกว่าจึงขยับแต่เก็หยุดได้ยากกว่าเมื่อเจอแรงต้านเท่ากันกับของเบา
รถหนัก รถเบา ก็คงเทียบและอธิบายให้เข้าใจได้ไม่ยากครับ ล้อก็เช่นกัน
2. น้ำหนักดังกล่าวอยู่ที่อบล้อไกลออกไปจากดุม
เราออกแรงกระทำไปที่ดุมล้อครับไม่ใช่ขอบล้อ ซี่ล้อหรือโครงล้อใดๆก็ตามผลักให้ล้อหมุนไปเป็นวงกลม มีระยะทางจากจุดส่งแรงไปที่มวลของมัน ลองคิดง่ายๆว่าท่านยกถังน้ำโดยที่ท่านเอาไม้ยาว 8 แมตรมาต่อแล้วยกจากอีกปลายหนึ่ง มันหนักและยากกว่า

จาก 2 เหตุผลดังกล่าว น่าจะทำให้หลายๆท่านกระจ่างแล้วว่าทำไมล้อขอบสูงจึง "หน่วง"

พักครับทำงานเดี๋ยวมาต่อ

[tonelab]

ขออธิบายนะครับ ว่าหลายท่านเข้าใจผิดคำว่า "เหวี่ยง" ของล้อขอบสูง ซึ่งเคยมีการอธิบายถกกันไปแล้วหลายรอบตั้งแต่บอร์ดเก่าหน้าสีแดๆง
ล้อที่ดีต้องไม่มีอาการ "เหวี่ยง" ตัวเมื่อหมุนครับ อย่างงนะครับ คือล้อต้องหมุนสม่ำเสมอครับไม่มีการเหวี่ยงดึ๋งๆเวลาหมุน น้ำหนักทั้งล้อต้องเท่ากันสม่ำเสมอ ล้อที่เหวี่ยงตัวน้ำหนักไม่เท่ากันจะเกิดสภาพอย่างที่ข้างบนได้นำกราฟฟิคมาลงเอาไว้ ซึ่งนั่นคือล้อที่ "มไม่ดี" ครับ
ล้อขอบสูงที่ดี ที่ความเร็วได้ๆก็ตาม จะ "ไม่มีอาการเหวี่ยงตัวฉุดต้านแรงการหมุน) ไม่เกี่ยวกับทิศทางทางที่รถเคลื่อนที่ครับ
ตกม้าตายกันมามาก ไม่ใช่ฟิสิกส์ ม.ปลายที่แรงมันย้อนทิศทางการเคลือ่นที่แล้วสร้างแรงต้านครับ
จริงๆล้อ"*ไม่ได้หมุนไปข้างหน้า*" แต่ล้อ "*หมุนอยู่กับที่*"ไ แรงเสียดทานจากพื้นต่างหากครับที่ดันให้เราไปด้านหน้า ดังนั้นน้ำหนักล้อที่ขอบจะหมุนอย่างไร ไม่ส่งผลให้ล้อหมุนหรือวิ่งได้ช้าลงครับ

ผมขอย้ำอีกครั้งว่า ล้อขอบสูงไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ "เหวี่ยง" ครับ แต่ออกแบบมาเพื่อลดความยาวของซี่ลวด ทำไมต้องลดความยาวซี่ลวด? เพราะซี่ลวดหนึ่งซี่ต้องฝ่าอากาศไปตลอดเวลาไม่ว่าจะวิ่งตามลมหรือทวนลม ด้วยความเร็วที่มากกว่าจักรยานวิ่งอยู่จริงเสมอ เพราะล้อหมุนเป็นวงกลมครับไม่ได้วิ่งไปด้านหน้า การที่มันต้องตัดอกาศสร้างปัจจัย 2 ประการที่ทำให้มัน"หน่วง"การเดินทางของจักรยาน
1.เกิดแรงต้านที่ด้านหน้าพื้นผิวการแหวกฝ่าอากาศไป เรียกง่ายๆก็คือมันต้านลมครับ
2.เกิดแรงฉุดที่ด้านหลังของซี่ลด *ทุกเส้น* ยิ่งบริเวรณปลายซี่ลวดที่ติดกับขออบล้อ ยิ่งเกิดแรงฉุด(drag) ด้านหลังมาก

ดังนั้นล้อขอบสูงทั้งหลาย จึงเพิ่มความสูงของขอบเพื่อให้มีแรงต้านและฉุดดังกล้าวน้อยลง ย้อนกลับไปยุคก่อนที่จะมีล้อขอบสูง จักรยานได้พยายาามลดแรงต้านซี่ลวดมาด้วยทางแก้ปัญหา 2 ทางออกมาแล้วครับ อันแรกคือการปิดครอบล้อทั้งหมดไม่ให้โดนกระแสอากาศเข้ามารบกวน หรือพวกตระกูลล้อดิสค์ อันดับต่อมาคือการทำล้อ 3 ก้าน 4 ก้าน 5 ก้าน จุดหลักคือเพื่อ *ลดจำนวนซี่ล้อ* ทว่ากติกา UCI ไม่อนุญาตให้ใช้ล้อเหล่านี้ในการแข่งประเภทถนนอินเลน์เรซได้ท้งแบบคลาสสิคและแบบเสตจเรซ จึงได้พัฒนาล้อขอบสุงนี้ขึ้นมาแทน และพบว่าในหลายๆสภาพแวดล้อม ล้อขอบสูงสามารถทำงานได้ดีกว่าล้อ 3 ก้านเสียด้วยซ้ำ (แน่นอนว่ามันเบากว่า)

เป็นเกร็ดเพิ่มให้อีกประการนะครับ ล้อขอบสูง จะยิ่งลดอัตราการพัฒนาความได้เปรียบทางอากาศพลศาสจ์ลงเมื่อขอบสุงขึ้นเรื่อยๆ เช่น ล้อขอบสูง 50 อาจมีประสิทธิภาพดีกว่าล้อขอบสูง 28 มากอย่างชัดเจน แต่ล้อขอบสูง 86อาจไม่ได้แตกต่างจากล้อ 50 มากเท่ากับที่ได้เปรียบจากล้อเตี้ยกว่า เพราะอะไร?? กลับไปที่วิธีการทำงานของล้อนะครับ
เพราะว่า ซี่ลวดใกล้ดุมที่หมุน วิ่งฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วที่น้อยกว่าซี่ลดที่ขอบติดมาก (อย่าลืมว่าล้อเคลื่อนที่"หมุน"อยู่ครับไม่ได้"วิ่งไปข้างหน้า" จะวิ่งไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ซี่ล้อก็ต้องตัดอากาศไปตลอดครับ อากาศอยู่เฉยๆให้เราฝ่าไปครับ ลมคืออากาศที่วิ่งสวนมา ไม่มีลมก็ยังต้องฝ่าอากาศไปอยู่ดี ซึ่งเกิดทั้งแรงต้านและแรงฉุดด้านหลังซี่) ทำให้อัตราได้เปรียบทางอากาศพลศาสตร์ได้เปรียบลดลง(ไม่ได้เสียเปรียบครับแค่ลดลง)

ทำไมล้อขอบสูงให้ความรู็สึก"หน่วง" เมื่อมันไม่ได้"เหวี่ยง"?
ถ้าเข้าใจผิดเรื่องเหวี่ยงก็จะเข้าใจเรื่องหน่วงผิดไปด้วยครับ ล้อขอบสูงไม่ได้หน่วงตัวเองครับ ไม่ว่าจะวิ่งไปข้างหน้าหรือถอยหลัง ล้อก็แค่หมุนเป็นวงกลม องศาใด หรือที่ตำแหน่งกี่นาฬิกา น้ำหนักของขอบก็ไม่ได้ทำให้การเคลื่อนที่ของล้อหน่วงลงไปครับ สิ่งที่เราทำคือเราออกแรง*ผลัก*ขาจาน จากนั้นจาจานที่ติดกับเฟืองหน้าไปดึงโซ่ โซ่ไปดังเฟืองหลัง เฟืองหลังติดอยู่กับล้อ และดันให้ล้อ*หมุน* เราไม่ได้ออกแรงไปด้านหน้าแม้แต่นิดเดียวครับ เมื่อล้อหมุน จะหมุนไปทางไหน เราออกแรงเหมือนกัน และขอบล้อไม่เคยหน่วงหรือส่งแรงต้านทำให้เราเสียงานครั
....มาถึงคำตอบว่าทำไมล้อขอบสูงถึง"หน่วง"
น้ำหนัก คือประเด็นหลักครับ เราต้องกลับไปคุยกันเรื่องพื้นฐาน 2 อย่างครับ
1. ขอบเบาผลักแรงน้อยก็ไป แต่เจอแรงต้านไม่นานก็หยุด ของหนักผลักแรงมากกว่าจึงขยับแต่เก็หยุดได้ยากกว่าเมื่อเจอแรงต้านเท่ากันกับของเบา
รถหนัก รถเบา ก็คงเทียบและอธิบายให้เข้าใจได้ไม่ยากครับ ล้อก็เช่นกัน
2. น้ำหนักดังกล่าวอยู่ที่อบล้อไกลออกไปจากดุม
เราออกแรงกระทำไปที่ดุมล้อครับไม่ใช่ขอบล้อ ซี่ล้อหรือโครงล้อใดๆก็ตามผลักให้ล้อหมุนไปเป็นวงกลม มีระยะทางจากจุดส่งแรงไปที่มวลของมัน ลองคิดง่ายๆว่าท่านยกถังน้ำโดยที่ท่านเอาไม้ยาว 8 แมตรมาต่อแล้วยกจากอีกปลายหนึ่ง มันหนักและยากกว่า

จาก 2 เหตุผลดังกล่าว น่าจะทำให้หลายๆท่านกระจ่างแล้วว่าทำไมล้อขอบสูงจึง "หน่วง"

พักครับทำงานเดี๋ยวมาต่อ

อ่านแล้วคิดตามเห็นภาพครับ ได้ความรู้ ขอบคุณครับ

[Palmmie]

มาเก็บข้อมูลครับ

[giro]

ต่อเนื่องภาคต่อหลังอาหารเที่ยงครับ

เมื่อทราบถึงกฏพื้นฐานของท้งหมดที่กล่าวมาก็จะพบว่า ล้อขอบสูงที่ดี หรือเรียกว่า true wheel น้ำหนัก*ทั้งล้อ* จะเท่ากันสมอที่ขอบทั้งหมด เมื่อน้ำหนักของล้อที่ขอบเท่ากันทั้งหมดไม่มีการเหวี่ยงตัว ล้อขอบสูงหรือต่ำจะมีสภาพการ"เหวี่ยง"อย่างที่เราๆเข้าใจเหมือนกัน คือมีการเหวี่ยงตัวเป็น 0 น้ำหนักที่วงรอบจะวิ่งไปเรือ่ยๆเท่ากันตลอดเวลาครับ ไม่มีสภาวะที่ตำแหน่งไดที่น้ำหนักขอบล้อฉุดเอาไว้
หากจะมีก็คือ "แรงโน้มถ่วงของโลก" ที่ฉุดน้ำหนักของล้อเอาไว้ในตำแหน่งที่ 2 อ้างอิงจากกราฟฟิคด้านบนนะครับ แต่กฏฟิสิกส์พื้นฐานครับ ด้านตรงข้ามของตำแหน่งที่ 2 ก็จะมีแรงที่แรงดึงดูดของโลกกระทำกับน้ำหนักขอบล้ออีกด้านที่"เท่ากัน"(ล้อที่ดีน้ำหนักเท่ากันตลอดวง) ดังนั้นแรงฉุดนี้หักล้างเป้น 0 ครับ เราออกแรงหมุนล้อได้งานเท่าเดิมไม่มมีผลครับ และเอาเข้าจริงแม้จะมีผล แต่เทียบกับระยะเวลาอันน้อยนิดที่น้ำหนักที่ไม่เท่ากันของล้อผ่านจุดนั้นๆเป็นเวลาเสี้ยววินาทีสร้างแรงฉุดน้อยกระจ้อยร่อยเทียบกับ drag ที่เกิดจากอากาศที่เทียบได้กับการลากน้ำหนักเป็นกิโลๆ

เรือ่งน้ำหนักที่ขอบล้อ หน่วงและหนืดเพราะอะไร? เพราะว่ามันต้องการแรงกระทำมากกว่าปกติถึงจะสามารถเคลื่อนที่ได้ จาก 0 ไปเป็นความเร็วไดก็ตาม หรือจากความเร็ว a ไปเป็นความเร็ว b เพราะมวลที่ขอบล้อมากกว่า มีสภาพการรักษาโมเมนตัม(ที่อยู่นิ่ง)มากกว่า เมื่อมันเคลื่อนที่ก็จะรักษาโมเมนตัมเดิมไว้มากกว่าาขอบที่น้ำหนักเบากว่า ที่ความเร็ว 20+ เรารู้สึกหนึบเพราะกระแสอากาศและแรงฉุดที่เกิดไม่ได้มากมายอะไรเทียบกับล้อปกติแต่กลับมีน้ำหนักของขอบล้อมากขึ้น เราจึงต้อง"เติมแรง" รู้สึกว่ามากกว่าการปั่นล้อขอบต่ำๆ มิหนำหากต้องการทำความเร่งจะยิ่งยากเข้าไปอีก แต่ที่ความเร็ว 35-40 ล้อพวกนี้จะรู้สึกว่าเบามากๆเพราะแรงต้านและแรงฉุดน้อยมากเมื่อเทียบกับล้อขอบต่ำ น้ำหนักของขอบล้อรักษาโมเมนตัมของตัวเองเอาไว้ได้ดี เราจึงรู้สึกว่า"เติม"น้อยลงเพราะล้อมันรักษาตัวเองให้เคลื่อนที่ไตามแนวแรง(หมุน)ของตัวเองได้อย่างราบลื่น(ไม่ได้เหวี่ยงตัวเองไป)

ความสูงของขอบไม่ได้ทำให้อาการ"หนึบหน่วง"มีเสมอไปครับ เมื่อเข้าใจกติกาของโลกนี้และที่มาการทำงานของล้อขอบสูงจริงๆแล้ว ท่านจะเข้าใจทันทีว่าล้อขอบสูงไม่ได้หน่วงเสมอไป ..... ถูกแล้วครับ "น้ำหนักของขอบคือปัจจัย"
ผมขอยกตัวอย่างเพื่ออธิบายชัดๆครับ

ล้อ A ขอบสูง 50mm น้ำหนักรวมทั้งล้อ 500g น้ำหนักขอบล้อ 300g คาร์บอนยางงัด
ล้อ B ขอบสูง 28mm น้ำหนักรวมทั้งล้อ 500g น้ำหนักขอบล้อ 300g อลูฯยางฮาล์ฟ
ล้อทั้ง 2 จะ"หน่วง"เท่ากัน ทำอัตราเร่งได้เท่ากัน ขึ้นเขาได้ดีเท่ากัน(สมมุติว่า stiff เท่ากัน) แต่ ล้อ A เมื่อวิ่งความเร็วระดับหนึ่งหรือสภาพแวดล้อลมและอากาศเป็นใจ จะได้เปรียบทางอากาศพลศาสตร์มากกว่า เพราะขอบที่สูงกว่า แม้ว่าน้ำหนักจะเท่ากัน โมเมนตัมเหมือนกัน น้ำหนักขอบเท่ากัน แรงต้านกับแรงฉุดน้อยกว่า ล้อจึงวิ่ง"เหวี่ยง"อย่างที่เราๆเรียกกันได้ดีกว่า

ล้อ A ขอบสูง 30mm น้ำหนักรวมทั้งล้อ 500g น้ำหนักขอบล้อ 150g คาร์บอนยังฮาล์ฟ
ล้อ B ขอบสูง 45mm น้ำหนักรวมทั้งล้อ 500g น้ำหนักขอบล้อ 400เ อลูฯยางงัด (จะมีหรือ??)
ล้อ B จะสามารถทำความเร็วปลายที่สูงได้ดีกว่า รักษาความเร็วได้มากกว่า เพราะขอบที่สูงกว่าและน้ำหนักขอบที่มากกว่า รักษาโมเมนตัมได้ดีกว่า แต่จะออกตัวหนักเป็นหิน ความเร็วต่ำๆก็จะหนึบเป็นหมากฝรั่งเคี้ยวแล้ว 3 วัน เร่ง 0-20 หน่วงเมหือนลากถังใส่น้ำสักใบ ส่วนล้อ A ความเร็วสูงจะลำบากมาก เพราะขอบเตี้ย ซี่ต้านลมและแรงฉุดเยอะเหลือเกิน ขอบก็เบาแสนเบาลมวูบตก วูบตก ฟรีขาเข้าหน่อยรถช้าลงชัดเจน ต้องเติมตลอด แต่ข้อดีคือเจอเขาเจอเนินสบายบินฉิว หรือเวลากระชากดึงความเร็วขึ้นไป 45 กดเฟืองลง 2 เฟืองยืนขึ้นกระแทกก้มตัวงอแขนลงต่ำคางเกยแฮนด์ อัดแรงลงขา ดึงขาหลังขึ้นพร้อมเทน้ำหนักลงแนวแรงบันไดให้หมด เปรี้ยงเดียวรถทะยานออกจากกลุ่มอย่างชัดเจน

ล้อ A ขอบสูง 56mm น้ำหนักรวม 500g น้ำหนักขอบล้อ 150g คาร์บอนยางฮาล์ฟ(งบน้อยใส่ซี่หนักๆดุมตันๆ)
ล้อ B ขอบสูง 25mm น้ำหนักรวม 500g น้ำหนักขอบล้อ 150g อลูฯยางฮาล์ฟ (งบน้อยเหมือนกันแต่ได้ขอบ stiff เบามาก)
ทั้ง 2 ชุดนี้ ขึ้นเขาดีพอๆกันทั้งคู่ครับ แต่พอลงเขาหรือกลับมาเจอทางราบความเร็วสูงๆ กลุ่มลาก 50 ยาวๆ ล้อ B จะกลายเป็นภาระทันที ขอบเตี้ยแสนเตี้ยเบาหวิวไม่ได้ช่วยอะไรในสถานการณ์นี้เลยครับ เติมตลอดทุกเสี้ยววินาที ในขณะที่ล้อ A แม้จะขอบสูงก็ตามแต่เบาเหลือเกิน 0-20 ทำได้ดีมาก แถมขึ้นเขาก็ดี ว่าแล้วเจ้าคนขี่ขอบ A ก็กระแทกออกจากกลุ่มกะฉีกหนีที่ระยะ 500 เมตรจากเส้นชัย คันล้อชุด B อ่านเกมส์ออกกระชากตามในจังหวะเดียวกัน สองคนนี้หลุดกลุ่มออกมาได้ไล่ๆกัน แต่ชุด A ค่อยๆทำระยะทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ เพราะที่ความเร็วสูงขาดนี้ การได้เปรียบทางอากาศพลศาสตร์เพียงนิดเดียวหมายถึงน้ำหนักต้านและฉุดเป็นกิโล


สุดท้ายเพื่อให้ทุกท่านเข้าใจในทางที่ถูกต้องครับ
เราออกแรงปั่นจักรยานเพื่อหมุนล้อครับไม่ได้ผลักล้อไปด้านหน้า
ล้อดีคือล้อที่หมุนเรียบกลม ไม่เหวี่ยงตัวเองโยนไปมา
ขอบสูงหรือต่ำ หนักหรือเบา ไม่สามารถฟันธงได้ว่าจะดีหรือไม่ ต้องดูความสูงและน้ำหนักล้อด้วย
หวังว่าคงเป็นการไขเรื่องล้อขอบสูงได้อย่างกระจ่างครับ
ผมกล้ายืนยันครับว่าล้อขอบสูงบางยี่ห้อน้ำหนักหน้าหลัง ไม่ถึงกิโล ไม่หน่วงหนึบเท่าล้อขอบเตี้ยๆที่น้ำหนักรวมหนักกว่า 2 โลแน่นอนครับ

ปล. เอากรณี Roval ด้วยมั้ยครับ?? เจ้านี้เค้ามาแปลกด้วย"ปลาดาว"ตรงกลาง ที่ตัดลมและสร้างสภาวะ"เหวี่ยง" สุดๆ(เหวี่ยงในที่นี้คือการที่ล้อวิ่งได้ดีมาก ลื่นไม่ต้องเติม) แม้ว่าขอบล้อสูงแค่ 28mm

[shonlawit]

อธิบายได้ กระจ่างดีครับ

[s4110488]

เมื่อก่อน ขี่แต่ ภูเขา

อยากขี่ตามเพื่อนๆให้ทัน เลยถอยหมอบมาคันนึง

รถเดิมๆ ล้อเดิมๆ (เกียร วีโลเซ่)

ขาไป ความเร็ว 30 -35
ขากลับ ต้านลม 22 - 25

ใส่รองเท้าผ้าใบ กำลังหัดใส่รองเท้าจักรยานเพราะมีหลายท่าแนะนำว่าจะทำให้ปั่นดีขึ้น

ชอบปั่นทางราบ ขึ้นสะพาน ข้ามแยกบ้าง ถ้าสะสมแรงขา แล้วหาล้อ 30 -35 mm มา

น่าจะช่วยให้การปั่นดีขึ้น

พี่ๆคิดว่าไงครับ


ใช้ล้ออะไรดี ไบเทค ซีร๊อคโก้ หรือ ที่จะแนะนำแบบไหนดี

ราคา 5000 - 12000

และควรใช้ยางแบบไหนดีราคา 500-1200 ต่อเส้น

ปล ที่ถามราคาเป็นช่วงๆ เพราะเพื่อนๆ ท่านอื่นจะได้ใช้เป็นแนวทางในการเลือกได้

ผมเชื่อว่า มือใหม่ ก็คงขี่ความเร็ว 25 - 35 นี่ละครับ

[giro]

av speed 24.9 แปลว่าที่ปั่นคงความเร็ว 30+ ครับ ถ้ารองเท้าผ้าใบปั่นได้เท่านี้ยังไม่ต้องหาล้อครับเก็บเงินไว้ครับ
5000-10000 ยังไม่ได้ล้อที่ใส่แล้วรู้สึกต่างครับ
หัดใส่รองเท้าปั่น ปั่นให้รอบขาดีๆ ออกแรงได้ทั่วๆ ก็จะปั่นได้เร็วขึ้นเองครับ
ระหว่างนั้นงบก็เก็บเพิ่มแล้วค่อยมาดูล้อ ผมชอบเชียร์ให้เปลี่ยนล้อไปแล้วต่างกันชัดเจนไปเลยครับจะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนอีกรอบให้มันเปลืองเงิน

[s4110488]

ต้องขอขอบคุณ พี่ๆ หลายท่าน ที่เข้ามาให้ข้อมูลครับ

ข้อมูลที่ได้มีประโยชน์มากๆๆครับบบ

สามารถใช้มาปรับปรุงรถให้เหมาะกับผู้ขี่ น้อยประสบการณ์ครับ

[Jangster]

av speed 24.9 แปลว่าที่ปั่นคงความเร็ว 30+ ครับ ถ้ารองเท้าผ้าใบปั่นได้เท่านี้ยังไม่ต้องหาล้อครับเก็บเงินไว้ครับ
5000-10000 ยังไม่ได้ล้อที่ใส่แล้วรู้สึกต่างครับ
หัดใส่รองเท้าปั่น ปั่นให้รอบขาดีๆ ออกแรงได้ทั่วๆ ก็จะปั่นได้เร็วขึ้นเองครับ
ระหว่างนั้นงบก็เก็บเพิ่มแล้วค่อยมาดูล้อ ผมชอบเชียร์ให้เปลี่ยนล้อไปแล้วต่างกันชัดเจนไปเลยครับจะได้ไม่ต้องมาเปลี่ยนอีกรอบให้มันเปลืองเงิน

ขอความรู้เป็นวิทยาทานหน่อยครับว่า AV 24.9 ทำไมถือว่าปั่นความเร็ว 30+ อ่ะครับ...​ผมนึกว่า 24.9 คือ สปีด 24.9กม/ชม ไม่ใช่เหรอครับ หรือมีหลักการเรียกอย่างไรครับ ขอบคุณครับ

[giro]

เพราะเวลาปั่นมันมีทั้งช่วงแรกเริ่ม ช่วงใกล้จบ ยิ่งปั่นบนถนนจริงๆ มีช่วงชลอ แปลว่าจริงๆเวลาปั่นจริงๆคงไปด้วยความเร็ว 31-32 ถึงได้เฉลี่ยมาได้ 24.9 ละครับ
นอกเสียจากว่าเส้นทางที่ปั่นไม่ต้องชลอเลย ไม่มีรถ วิ่งด้วยความเร็วคงที่ และเริ่มมาจาก 0 ก็อัดขึ้นไปหา 25-26 เลย เวลาจะเลิกปั่นก็ชลอแค่นิดเดียวแล้วเบรคหยุดเลยครับ
สังเกตได้ว่าปั่นจริงๆกับค่า av มันไม่ค่อยไปด้วยกันหรอกครับ 1 ชม.ปั่น av 24.9 คิดหักจากตอนเริ่มปั่น ตอนใกล้จบ ตอนชลอรถไม่ว่าจะด้วยอะไร แปลว่าปั่นจริงๆคงเร็วกว่านั้นครับ ส่วนตัวผมไม่ค่อยสนใจความเร็ว av หรอกครับ แต่ที่ปั่นๆกันแล้วได้ av เท่านี้แสดงว่าจริงๆแรงปั่นได้เร็วกว่านี้เยอะครับ ขนาดเป็นรองเท้าผ้าใบด้วย ลองไปฝึกฝนเรือ่งรอบขา เรือ่งการออกแรงปั่นบันได จะสนุกขึ้นแน่นอนครับ

[ballbeing]

ได้ความรู้จากคุณ giro มากมายครับ ขอบคุณที่สละเวลานะครับ ยอดเยี่ยม

[Vichurly]

คุณ giro กลับมาแล้ว ได้ความรู้มากมายขอบคุณครับ