ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
หลายคนคงจะคุ้นเคยดีกับคำว่า Trainer ซึ่งไม่ได้แปลว่าผู้ฝึกสอน แต่หมายถึงอุปกรณ์ที่นำมาฝึกร่วมกับจักรยานเพื่อเลียนแบบการออกแรงปั่นบนจักรยาน ซึ่งถ้าจะเรียกให้เหมาะสม ก็คือ indoor trainer นั่นเอง
Trainer มีด้วยกันหลายหลายยี่ห้อ หลากหลายแบบ แต่ทั้งหมดล้วนแต่มีเป้าประสงค์เดียวกันทั้งสิ้น คือ เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ เสริมสร้างทักษะในการปั่น และทดแทนการปั่นจักรยานในสภาวะที่ธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย
เราพอจะแบ่ง Trainer ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. จักรยานสำหรับการฝึกโดยเฉพาะ จักรยานกลุ่มนี้เราจะพบเห็นกันได้ใน fitness club ทั่วไป มีตั้งแต่แบบปรับได้แบบหยาบๆ ปรับความสูงของอานเป็นstepหยาบๆ พร้อมกับโปรแกรมการฝึกมากมาย หรือจะเป็นแบบคุณภาพสูงขึ้นมาอีก คือ ปรับทุกอย่างได้แบบcustom ไม่ว่าจะเป็นความสูงของอาน ระยะหน้าหลัง ความยาวของคอแฮนด์ ซึ่งมักพบในห้องฝึกจักรยานของfitness club ราคาสูงๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นจักรยานจำลอง ที่ต้องลงทุนซื้อเพิ่มมาอีกต่างหากอีก 1 ชุด ซึ่งสำหรับของคุณภาพดีๆแล้ว อาจจะมีราคาสูงกว่าจักรยานที่เราใช้งานกันอยู่ก็ได้ครับ
2. อุปกรณ์สำหรับนำมาประกอบกับจักรยาน เพื่อจำลองสภาพการปั่น เช่น จำลองการทรงตัว จำลองความหนักในการปั่น จำลองสภาพแวดล้อม(มีโปรแกรมlinkกับตัวเทรนเนอร์ ขึ้นจอทีวี สร้างบรรยากาศให้คล้ายจริง ) ซึ่งพอจะแบ่งออกหยาบเป็นอีก 2 กลุ่มก็คือ
2.1 เทรนเนอร์ที่ไม่ต้องยึดหรือนำจักรยานไปติดตั้ง ที่เรารู้จักกันดีก็คือ เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้ง 3 ลูก เทรนเนอร์ในกลุ่มนี้จะจำลองการปั่นจริง โดยผู้ใช้จะต้องปรับระยะของลูกกลิ้งให้เหมาะสมกับระยะฐานล้อของจักรยาน ผู้ปั่นจะต้องยกจักรยานขึ้นไปวางบนเทรนเนอร์ หาที่พยุงตัวเองให้ขึ้นไปนั่งบนอาน หาที่พยุงให้จักรยานทรงตัวอยู่บนลูกกลิ้งในขณะที่เริ่มปั่นจนกระทั่งสามารถเลี้ยงตัวได้นิ่งแล้ว จึงปล่อยมือมาตั้งสติกับการปั่น
ข้อเด่น : ได้ประโยชน์สำหรับการฝึกการทรงตัว คือ ฝึกความกลมเกลียวของการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมทั้ง core muscle ( กล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย เช่น หลัง เอว ไหล่ ท้อง ) ทำให้สามารถปั่นได้นิ่งๆ บนที่แคบๆ และยังสร้างความแข็งแรงทางอ้อมให้แก่core muscle โดยไม่ต้องปั่นจริง , เหมาะสำหรับทำactive recovery เพราะไม่สร้างloadให้แก่กล้ามเนื้อขามากมายอย่างที่ีคิด
ข้อด้อย : อาจจะเป็นการเรียนรู้ด้วยความเจ็บปวด โดยเฉพาะคนที่มีทักษะในการทรงตัวที่ีไม่ค่อยจะดีนัก ( แล้วมันก็ไม่ใช่เพลง "เจ็บปวดที่งดงาม"ของป้าง ซะด้วยสิ ) , เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้งโดยทั่วไปมักจะไม่มีอุปกรณ์สำหรับหน่วงหรือเพิ่มความหนักในการออกแรงปั่น แต่สำหรับบางยี่ห้อสามารถซื้อoptionมาใส่เพิ่มได้ ซึ่งก็จะเพิ่มความเข้มข้นในการฝึกได้มากขึ้น
ความเห็นส่วนตัว : จากที่เคยใช้งานมานาน อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ปั่นจักรยานมานานแล้ว และมีพื้นฐานเรื่องการทรงตัวดีแล้ว แต่สำหรับคนหัดใหม่หรือคนหัดเก่าแต่ทิ้งไปนาน แล้วจะกลับมาหัดใหม่ ก็ต้องบอกก่อนว่ามันไม่เหมือนกับการปั่นจริงบนถนน เพราะความฝืดระหว่างผิวลูกกลิ้งกับยางจักรยานมันจะน้อยกว่าการปั่นจริงบนถนน โอกาสที่จะslip ลื่น เสียการทรงตัวจึงเป็นเรื่องที่เป็นได้ทั้งสิ้น
ขั้นตอนในการฝึก จึงต้องเริ่มต้นด้วยการหาตำแหน่งที่วางลูกกลิ้งไว้ใกล้กับผนังหรือ ที่ที่สามารถใช้มือข้างที่ถนัดสามารถจับยึดเพื่อพยุงทั้งคนและรถให้นิ่งเสียก่อน ซึ่งจุดที่เหมาะก็จะเป็นระเบียงที่แข็งแรง ที่สามารถใช้มือจับราวระเบียงไว้ได้อย่างมั่นคง ส่วนผนังห้องนั้นเอาเข้าจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยจะมั่นคงนัก ขอบโต๊ะเองก็ไม่มั่นคงเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีอะไรให้เลือกมากนักก็คงจะต้องใช้ผนังห้องนี่แหละ
สิ่งที่ต้องระลึกไว้ข้อแรกคือ สายตาที่มองไปทางไหน จักรยานก็จะวิ่งไปทางนั้น ดังนั้นในระยะแรกของการปั่นบนลูกกลิ้งสามลูกจึงต้องพยายามมองไปข้างหน้าเท่านั้น อย่าหันหน้า เหลียวซ้าย แลขวา โดยไม่จำเป็น เพราะอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ไม่ยากเลย และที่สำคัญคือ อย่าตื่นเต้น และอย่ากลัวจนเกิดเหตุ เพราะยิ่งกลัว ยิ่งตื่นเต้นจะยิ่งเกิดสิ่งไม่คาดฝันได้ง่ายๆ เทคนิคง่ายๆสำหรับการฝึกปั่นในระยะแรกๆคือ หาขวดน้ำสีขาวๆ หรือ สีสะดุดตา มาวางไว้ข้างหน้าห่างออกไปสัก 1-2เมตร หรือ เอามาวางไว้บนเก้าอี้ด้านหน้า จะได้ไม่ต้องวางไว้ไกลมากนัก และให้วางไว้ตรงกับตำแหน่งกึ่งกลางของลูกกลิ้ง เวลาปั่นก็ให้มองไปที่ขวดน้ำดังกล่าว ร่างกายจะปรับสมดุลได้เองอย่างง่ายๆและคิดไม่ถึงว่ามันจะง่ายแบบนี้
หลายคนอาจจะสงสัยเพราะปั่นลูกกลิ้งก็เหนื่อยและได้เหงื่อเช่นกัน ทำไมผมถึงบอกว่ามันไม่สร้างloadให้แก่กล้ามเนื้อขา จริงๆมันก็มีloadนะครับ แต่loadมันเกิดจากแรงต้านทานในการหมุนล้อ แรงต้านอากาศที่เกิดจากซี่ล้อตัดกับอากาศ ความต้านทานในการหมุนของลูกกลิ้ง ซึ่งรวมๆกันยังอาจจะไม่แตกต่างจากการปั่นเกาะท้ายรถพ่วง 18 ล้อ แต่ที่เหนื่อยและได้เหงื่อนั้น เกิดจากการทำงานโดยรวมของร่างกาย และส่วนที่ีต้องทำงานมากก็คือกล้ามเนื้อส่วนcore ( ซึ่งคนที่ชำนาญแล้วก็แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายเลย ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติไปหมด ) บางคนก็บอกว่าชีพจรขึ้นตั้งเยอะนะ ผมเองก็ขึ้นครับ แต่ชีพจรที่ีขึ้นไม่ได้สัมพันธ์กับความหนักของการฝึก เพราะถ้าพิจารณาถึงแรงที่ออกแรงกับบันไดแล้ว จะพบว่ามันไม่ได้สัมพันธ์กันอย่างที่ควรจะเป็น
สรุปโดยรวม เหมาะสำหรับการฝึกการทรงตัว และ active recovery จนไปถึงระดับ aerobic สำหรับระดับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับหัวลาก ( วัด watt สูงสุดแล้ว ไม่มากพอจะเอาไปฝึกระดับ Interval ได้ครับ และถ้าแข็งแรงมากๆระดับหัวลากแล้ว ความหนักที่ได้จะจดอยู่ในระดับที่น้อยเกินไปสำหรับการฝึก Endurance ด้วยซ้ำไป ทำได้แค่ระดับ Active recovery เท่านั้น ) ลูกกลิ้ง 3ลูก จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบกังวลว่าเฟรมคาร์บอนอันเป็นที่รักจะได้รับแรงกระทำบิดไปบิดมา
Trainer มีด้วยกันหลายหลายยี่ห้อ หลากหลายแบบ แต่ทั้งหมดล้วนแต่มีเป้าประสงค์เดียวกันทั้งสิ้น คือ เสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อ เสริมสร้างทักษะในการปั่น และทดแทนการปั่นจักรยานในสภาวะที่ธรรมชาติไม่เอื้ออำนวย
เราพอจะแบ่ง Trainer ออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1. จักรยานสำหรับการฝึกโดยเฉพาะ จักรยานกลุ่มนี้เราจะพบเห็นกันได้ใน fitness club ทั่วไป มีตั้งแต่แบบปรับได้แบบหยาบๆ ปรับความสูงของอานเป็นstepหยาบๆ พร้อมกับโปรแกรมการฝึกมากมาย หรือจะเป็นแบบคุณภาพสูงขึ้นมาอีก คือ ปรับทุกอย่างได้แบบcustom ไม่ว่าจะเป็นความสูงของอาน ระยะหน้าหลัง ความยาวของคอแฮนด์ ซึ่งมักพบในห้องฝึกจักรยานของfitness club ราคาสูงๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นจักรยานจำลอง ที่ต้องลงทุนซื้อเพิ่มมาอีกต่างหากอีก 1 ชุด ซึ่งสำหรับของคุณภาพดีๆแล้ว อาจจะมีราคาสูงกว่าจักรยานที่เราใช้งานกันอยู่ก็ได้ครับ
2. อุปกรณ์สำหรับนำมาประกอบกับจักรยาน เพื่อจำลองสภาพการปั่น เช่น จำลองการทรงตัว จำลองความหนักในการปั่น จำลองสภาพแวดล้อม(มีโปรแกรมlinkกับตัวเทรนเนอร์ ขึ้นจอทีวี สร้างบรรยากาศให้คล้ายจริง ) ซึ่งพอจะแบ่งออกหยาบเป็นอีก 2 กลุ่มก็คือ
2.1 เทรนเนอร์ที่ไม่ต้องยึดหรือนำจักรยานไปติดตั้ง ที่เรารู้จักกันดีก็คือ เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้ง 3 ลูก เทรนเนอร์ในกลุ่มนี้จะจำลองการปั่นจริง โดยผู้ใช้จะต้องปรับระยะของลูกกลิ้งให้เหมาะสมกับระยะฐานล้อของจักรยาน ผู้ปั่นจะต้องยกจักรยานขึ้นไปวางบนเทรนเนอร์ หาที่พยุงตัวเองให้ขึ้นไปนั่งบนอาน หาที่พยุงให้จักรยานทรงตัวอยู่บนลูกกลิ้งในขณะที่เริ่มปั่นจนกระทั่งสามารถเลี้ยงตัวได้นิ่งแล้ว จึงปล่อยมือมาตั้งสติกับการปั่น
ข้อเด่น : ได้ประโยชน์สำหรับการฝึกการทรงตัว คือ ฝึกความกลมเกลียวของการเคลื่อนไหวของร่างกาย รวมทั้ง core muscle ( กล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกาย เช่น หลัง เอว ไหล่ ท้อง ) ทำให้สามารถปั่นได้นิ่งๆ บนที่แคบๆ และยังสร้างความแข็งแรงทางอ้อมให้แก่core muscle โดยไม่ต้องปั่นจริง , เหมาะสำหรับทำactive recovery เพราะไม่สร้างloadให้แก่กล้ามเนื้อขามากมายอย่างที่ีคิด
ข้อด้อย : อาจจะเป็นการเรียนรู้ด้วยความเจ็บปวด โดยเฉพาะคนที่มีทักษะในการทรงตัวที่ีไม่ค่อยจะดีนัก ( แล้วมันก็ไม่ใช่เพลง "เจ็บปวดที่งดงาม"ของป้าง ซะด้วยสิ ) , เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้งโดยทั่วไปมักจะไม่มีอุปกรณ์สำหรับหน่วงหรือเพิ่มความหนักในการออกแรงปั่น แต่สำหรับบางยี่ห้อสามารถซื้อoptionมาใส่เพิ่มได้ ซึ่งก็จะเพิ่มความเข้มข้นในการฝึกได้มากขึ้น
ความเห็นส่วนตัว : จากที่เคยใช้งานมานาน อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับคนที่ปั่นจักรยานมานานแล้ว และมีพื้นฐานเรื่องการทรงตัวดีแล้ว แต่สำหรับคนหัดใหม่หรือคนหัดเก่าแต่ทิ้งไปนาน แล้วจะกลับมาหัดใหม่ ก็ต้องบอกก่อนว่ามันไม่เหมือนกับการปั่นจริงบนถนน เพราะความฝืดระหว่างผิวลูกกลิ้งกับยางจักรยานมันจะน้อยกว่าการปั่นจริงบนถนน โอกาสที่จะslip ลื่น เสียการทรงตัวจึงเป็นเรื่องที่เป็นได้ทั้งสิ้น
ขั้นตอนในการฝึก จึงต้องเริ่มต้นด้วยการหาตำแหน่งที่วางลูกกลิ้งไว้ใกล้กับผนังหรือ ที่ที่สามารถใช้มือข้างที่ถนัดสามารถจับยึดเพื่อพยุงทั้งคนและรถให้นิ่งเสียก่อน ซึ่งจุดที่เหมาะก็จะเป็นระเบียงที่แข็งแรง ที่สามารถใช้มือจับราวระเบียงไว้ได้อย่างมั่นคง ส่วนผนังห้องนั้นเอาเข้าจริงๆแล้วก็ไม่ค่อยจะมั่นคงนัก ขอบโต๊ะเองก็ไม่มั่นคงเช่นกัน แต่ถ้าไม่มีอะไรให้เลือกมากนักก็คงจะต้องใช้ผนังห้องนี่แหละ
สิ่งที่ต้องระลึกไว้ข้อแรกคือ สายตาที่มองไปทางไหน จักรยานก็จะวิ่งไปทางนั้น ดังนั้นในระยะแรกของการปั่นบนลูกกลิ้งสามลูกจึงต้องพยายามมองไปข้างหน้าเท่านั้น อย่าหันหน้า เหลียวซ้าย แลขวา โดยไม่จำเป็น เพราะอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันได้ไม่ยากเลย และที่สำคัญคือ อย่าตื่นเต้น และอย่ากลัวจนเกิดเหตุ เพราะยิ่งกลัว ยิ่งตื่นเต้นจะยิ่งเกิดสิ่งไม่คาดฝันได้ง่ายๆ เทคนิคง่ายๆสำหรับการฝึกปั่นในระยะแรกๆคือ หาขวดน้ำสีขาวๆ หรือ สีสะดุดตา มาวางไว้ข้างหน้าห่างออกไปสัก 1-2เมตร หรือ เอามาวางไว้บนเก้าอี้ด้านหน้า จะได้ไม่ต้องวางไว้ไกลมากนัก และให้วางไว้ตรงกับตำแหน่งกึ่งกลางของลูกกลิ้ง เวลาปั่นก็ให้มองไปที่ขวดน้ำดังกล่าว ร่างกายจะปรับสมดุลได้เองอย่างง่ายๆและคิดไม่ถึงว่ามันจะง่ายแบบนี้
หลายคนอาจจะสงสัยเพราะปั่นลูกกลิ้งก็เหนื่อยและได้เหงื่อเช่นกัน ทำไมผมถึงบอกว่ามันไม่สร้างloadให้แก่กล้ามเนื้อขา จริงๆมันก็มีloadนะครับ แต่loadมันเกิดจากแรงต้านทานในการหมุนล้อ แรงต้านอากาศที่เกิดจากซี่ล้อตัดกับอากาศ ความต้านทานในการหมุนของลูกกลิ้ง ซึ่งรวมๆกันยังอาจจะไม่แตกต่างจากการปั่นเกาะท้ายรถพ่วง 18 ล้อ แต่ที่เหนื่อยและได้เหงื่อนั้น เกิดจากการทำงานโดยรวมของร่างกาย และส่วนที่ีต้องทำงานมากก็คือกล้ามเนื้อส่วนcore ( ซึ่งคนที่ชำนาญแล้วก็แทบจะไม่ต้องออกแรงอะไรมากมายเลย ทุกอย่างมันเป็นธรรมชาติไปหมด ) บางคนก็บอกว่าชีพจรขึ้นตั้งเยอะนะ ผมเองก็ขึ้นครับ แต่ชีพจรที่ีขึ้นไม่ได้สัมพันธ์กับความหนักของการฝึก เพราะถ้าพิจารณาถึงแรงที่ออกแรงกับบันไดแล้ว จะพบว่ามันไม่ได้สัมพันธ์กันอย่างที่ควรจะเป็น
สรุปโดยรวม เหมาะสำหรับการฝึกการทรงตัว และ active recovery จนไปถึงระดับ aerobic สำหรับระดับคนทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับหัวลาก ( วัด watt สูงสุดแล้ว ไม่มากพอจะเอาไปฝึกระดับ Interval ได้ครับ และถ้าแข็งแรงมากๆระดับหัวลากแล้ว ความหนักที่ได้จะจดอยู่ในระดับที่น้อยเกินไปสำหรับการฝึก Endurance ด้วยซ้ำไป ทำได้แค่ระดับ Active recovery เท่านั้น ) ลูกกลิ้ง 3ลูก จะเหมาะสำหรับคนที่ชอบกังวลว่าเฟรมคาร์บอนอันเป็นที่รักจะได้รับแรงกระทำบิดไปบิดมา
แก้ไขล่าสุดโดย lucifer เมื่อ 06 ม.ค. 2014, 09:23, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
2.2 เทรนเนอร์ที่ต้องนำจักรยานขึ้นไปติดตั้ง เทรนเนอร์กลุ่มนี้จะมีอุปกรณ์สำหรับหน่วงหรือสร้างloadให้กับการออกแรงปั่นเพื่อเลียนแบบการปั่นในธรรมชาติ ซึ่งเทรนเนอร์ในกลุ่มนี้อาจจะแบ่งย่อยออกเป็น 3 กลุ่ม ตามจุดสัมผัสที่ส่งแรงไปยังตัวปรับความหน่วง หรือ loader ดังนี้
2.2.1 เทรนเนอร์แบบสัมผัสกับขอบล้อบริเวณrim brake : สำหรับยุคปัจจุบัน จะเป็นเทรนเนอร์ที่ีหาไม่ค่อยง่ายนักในเมืองไทย มันเหมาะสำหรับขอบล้อโลหะ ที่เป็นขอบrim brake แต่เสือภูเขาในปัจจุบันใช้disc brakeกันเป็นส่วนใหญ ขอบล้อก็เป็นแบบไม่มีขอบrim brake แล้วเสือหมอบในปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้ขอบล้ออโลหะเพิ่มขึ้น การจับของลูกยางของชุดloader จึงไม่ใช่เรื่องสะดวกนัก
ข้อเด่น : ไม่ต้องห่วงเรื่องยาง ยางอะไรก็ใช้ได้หมด เพราะไม่ได้สัมผัสกับหน้ายาง
ข้อด้อย : ไม่ต้องไปหาหรอกครับ หาตัวเป็นๆใหม่ๆให้ได้ก่อนเถอะครับ
2.2.2 เทรนเนอร์แบบสัมผัสกับหน้ายาง : เป็นเทรนเนอร์ที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบัน เทรนเนอร์จะถูกออกแบบโดยใช้ลูกกลิ้งโลหะที่สามารถปรับเพิ่มแรงกดบนหน้ายาง เพื่อสร้างความฝืดระหว่างหน้ายางกับผิวลูกกลิ้ง ยางจะได้ฉุดให้ลูกกลิ้งหมุนตามยาง ตัวลูกกลิ้งจะเชื่อมต่อกับตัว loader เพื่อสร้างความหนักในการออกแรงต่อไป ,
ข้อเด่น : ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องชนิดของขอบล้อ และความสะดวกในการใช้งาน เพียงแค่ปรับแรงกดลูกกลิ้งที่พอเหมาะบนหน้ายาง ( เอามือหมุนล้อเดินหน้า ถอยหลัง แล้วไม่มีการslipของหน้ายางกับลูกกลิ้ง เป็นอันใช้ได้ )ก็สามารถใช้งานได้
ข้อด้อย : ยางที่ใช้กับเทรนเนอร์แบบนี้จะต้องเป็นยางหน้าเรียบ และที่สำคัญคือมันจะเปลืองยางได้มากกว่าปั่นจริงบนถนนอย่างคิดไม่ถึง ( หน้ายางไม่ได้สึกนะครับ แต่หน้ายางจะเสียคุณสมบัติในการยึดเกาะ เพราะเมื่อต้องออกแรงกดลูกกลิ้ง หน้ายางจะยุบตัวลงมาก ( ยุบตัวลงมากกว่าปั่นจริงบนถนนด้วยน้ำหนักตัวของเราที่กดลงไปเสียอีก เพราะผิวลูกกลิ้งลื่นกว่าผิวถนน และไม่ได้แบนราบแบบพื้นถนน จึงต้องเพิ่มแรงกดหน้ายางให้มากขึ้น ) การยุบตัวและคลายตัวเมื่อหน้ายางผ่านพ้นลูกกลิ้งจะทำให้เกิดความร้อนแก่หน้ายางได้ค่อนข้างมาก ( ลองเอามือคลำดูแล้วจะบอกได้ ) ผิวหน้ายางจะเริ่มเป็นรอยมันวาว และสูญเสียความฝีดของหน้ายาง ดังนั้นถ้าหากใช้ยางนอกราคาแพงๆ ก็ควรจะต้องถอดออกแล้วหายางนอกเก่าๆมาใส่แทน ดูจะเป็นการเข้าท่ากว่า ( ดีกว่านั้นคือ หายางนอกสำหรับใช้กับเทรนเนอร์โดยเฉพาะมาใช้ เพราะหน้ายางจะมีความฝืดสูงกว่า หน้ายางมีชั้นผ้าใบน้อยกว่า เกิดความร้อนน้อยกว่า แต่ราคาบางทีก็อาจจะไม่ได้ถูกกว่ายางนอกเก่าๆเลย ดังนั้นแล้วแต่พิจารณากัน )
2.2.3 เทรนเนอร์ที่ถอดล้อหลังออก แล้วยกจักรยานเข้าไปติดตั้งกับตัวเทรนเนอร์เลย , เทรนเนอร์ในลักษณะนี้จะมีชุดจำลองล้อหลังอยู่บนเทรนเนอร์ ประกอบด้วยโม่และเฟือง ที่จะฉุดชุดล้อถ่วงให้หมุนตาม และหมุนฟรีได้เมื่อฟรีขาเหมือนกับปั่นจริง
ข้อเด่น : ไม่ต้องห่วงว่าจะเปลืองยาง ไม่ต้องกังวลเรื่องขอบล้อรับแรงกดจากลูกกลิ้ง (ในกรณีล้อขึ้นซี่น้อยๆ หรือ ล้อแต่งเบา ขอบเบา ) เพียงแค่ประกอบจักรยานลงไปบนเทรนเนอร์ในลักษณะคล้ายๆกับการใส่ล้อหลังพร้อมเฟือง ล้อคให้แน่น จากนั้นก็สามารถใช้งานได้ในทันที ไม่ต้องปรับแรงกดใดๆด้วย
ข้อด้อย : จะต้องจูนปรับตีนผีใหม่ มากบ้างน้อยบ้าง คล้ายกับคนที่มีล้อหลายชุด เปลี่ยนล้อทีก็ต้องจูนตีนผีกันใหม่ทุกครั้ง เพราะระยะโม่ของแต่ละล้ออาจจะมีหลุบเข้าในหรือยื่นออกนอก นิดๆหน่อย ( แค่ 1 mm หรือ 0.5mm ก็ต้องจูนตีนผีกันใหม่แล้ว ) เท่าที่เห็นในท้องตลาดจะมีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่ใช้ระบบแบบนี้
Edited ( 26-8-61 ) : ปัจจุบัน เทรนเนอร์ในลักษณะนี้ ถูกเรียกว่า "Direct Drive" ซึ่งเทรนเนอร์รุ่นใหม่ๆหลากหลายยี่ห้อ จะผลิตเทรนเนอร์ในลักษณะ Direct drive ออกมากันมากมาย โดยเฉพาะกลุ่ม Smart trainer ที่สามารถเพิ่มส่วนควบคุมต่างๆเข้าไปได้ง่ายขึ้นกว่า เทรนเนอร์ในลักษณะจับล้อหลังแบบเดิมๆ
2.2.1 เทรนเนอร์แบบสัมผัสกับขอบล้อบริเวณrim brake : สำหรับยุคปัจจุบัน จะเป็นเทรนเนอร์ที่ีหาไม่ค่อยง่ายนักในเมืองไทย มันเหมาะสำหรับขอบล้อโลหะ ที่เป็นขอบrim brake แต่เสือภูเขาในปัจจุบันใช้disc brakeกันเป็นส่วนใหญ ขอบล้อก็เป็นแบบไม่มีขอบrim brake แล้วเสือหมอบในปัจจุบันก็เริ่มมีการใช้ขอบล้ออโลหะเพิ่มขึ้น การจับของลูกยางของชุดloader จึงไม่ใช่เรื่องสะดวกนัก
ข้อเด่น : ไม่ต้องห่วงเรื่องยาง ยางอะไรก็ใช้ได้หมด เพราะไม่ได้สัมผัสกับหน้ายาง
ข้อด้อย : ไม่ต้องไปหาหรอกครับ หาตัวเป็นๆใหม่ๆให้ได้ก่อนเถอะครับ
2.2.2 เทรนเนอร์แบบสัมผัสกับหน้ายาง : เป็นเทรนเนอร์ที่พบเห็นเป็นส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบัน เทรนเนอร์จะถูกออกแบบโดยใช้ลูกกลิ้งโลหะที่สามารถปรับเพิ่มแรงกดบนหน้ายาง เพื่อสร้างความฝืดระหว่างหน้ายางกับผิวลูกกลิ้ง ยางจะได้ฉุดให้ลูกกลิ้งหมุนตามยาง ตัวลูกกลิ้งจะเชื่อมต่อกับตัว loader เพื่อสร้างความหนักในการออกแรงต่อไป ,
ข้อเด่น : ไม่ต้องยุ่งยากเรื่องชนิดของขอบล้อ และความสะดวกในการใช้งาน เพียงแค่ปรับแรงกดลูกกลิ้งที่พอเหมาะบนหน้ายาง ( เอามือหมุนล้อเดินหน้า ถอยหลัง แล้วไม่มีการslipของหน้ายางกับลูกกลิ้ง เป็นอันใช้ได้ )ก็สามารถใช้งานได้
ข้อด้อย : ยางที่ใช้กับเทรนเนอร์แบบนี้จะต้องเป็นยางหน้าเรียบ และที่สำคัญคือมันจะเปลืองยางได้มากกว่าปั่นจริงบนถนนอย่างคิดไม่ถึง ( หน้ายางไม่ได้สึกนะครับ แต่หน้ายางจะเสียคุณสมบัติในการยึดเกาะ เพราะเมื่อต้องออกแรงกดลูกกลิ้ง หน้ายางจะยุบตัวลงมาก ( ยุบตัวลงมากกว่าปั่นจริงบนถนนด้วยน้ำหนักตัวของเราที่กดลงไปเสียอีก เพราะผิวลูกกลิ้งลื่นกว่าผิวถนน และไม่ได้แบนราบแบบพื้นถนน จึงต้องเพิ่มแรงกดหน้ายางให้มากขึ้น ) การยุบตัวและคลายตัวเมื่อหน้ายางผ่านพ้นลูกกลิ้งจะทำให้เกิดความร้อนแก่หน้ายางได้ค่อนข้างมาก ( ลองเอามือคลำดูแล้วจะบอกได้ ) ผิวหน้ายางจะเริ่มเป็นรอยมันวาว และสูญเสียความฝีดของหน้ายาง ดังนั้นถ้าหากใช้ยางนอกราคาแพงๆ ก็ควรจะต้องถอดออกแล้วหายางนอกเก่าๆมาใส่แทน ดูจะเป็นการเข้าท่ากว่า ( ดีกว่านั้นคือ หายางนอกสำหรับใช้กับเทรนเนอร์โดยเฉพาะมาใช้ เพราะหน้ายางจะมีความฝืดสูงกว่า หน้ายางมีชั้นผ้าใบน้อยกว่า เกิดความร้อนน้อยกว่า แต่ราคาบางทีก็อาจจะไม่ได้ถูกกว่ายางนอกเก่าๆเลย ดังนั้นแล้วแต่พิจารณากัน )
2.2.3 เทรนเนอร์ที่ถอดล้อหลังออก แล้วยกจักรยานเข้าไปติดตั้งกับตัวเทรนเนอร์เลย , เทรนเนอร์ในลักษณะนี้จะมีชุดจำลองล้อหลังอยู่บนเทรนเนอร์ ประกอบด้วยโม่และเฟือง ที่จะฉุดชุดล้อถ่วงให้หมุนตาม และหมุนฟรีได้เมื่อฟรีขาเหมือนกับปั่นจริง
ข้อเด่น : ไม่ต้องห่วงว่าจะเปลืองยาง ไม่ต้องกังวลเรื่องขอบล้อรับแรงกดจากลูกกลิ้ง (ในกรณีล้อขึ้นซี่น้อยๆ หรือ ล้อแต่งเบา ขอบเบา ) เพียงแค่ประกอบจักรยานลงไปบนเทรนเนอร์ในลักษณะคล้ายๆกับการใส่ล้อหลังพร้อมเฟือง ล้อคให้แน่น จากนั้นก็สามารถใช้งานได้ในทันที ไม่ต้องปรับแรงกดใดๆด้วย
ข้อด้อย : จะต้องจูนปรับตีนผีใหม่ มากบ้างน้อยบ้าง คล้ายกับคนที่มีล้อหลายชุด เปลี่ยนล้อทีก็ต้องจูนตีนผีกันใหม่ทุกครั้ง เพราะระยะโม่ของแต่ละล้ออาจจะมีหลุบเข้าในหรือยื่นออกนอก นิดๆหน่อย ( แค่ 1 mm หรือ 0.5mm ก็ต้องจูนตีนผีกันใหม่แล้ว ) เท่าที่เห็นในท้องตลาดจะมีเพียงยี่ห้อเดียวเท่านั้นที่ใช้ระบบแบบนี้
Edited ( 26-8-61 ) : ปัจจุบัน เทรนเนอร์ในลักษณะนี้ ถูกเรียกว่า "Direct Drive" ซึ่งเทรนเนอร์รุ่นใหม่ๆหลากหลายยี่ห้อ จะผลิตเทรนเนอร์ในลักษณะ Direct drive ออกมากันมากมาย โดยเฉพาะกลุ่ม Smart trainer ที่สามารถเพิ่มส่วนควบคุมต่างๆเข้าไปได้ง่ายขึ้นกว่า เทรนเนอร์ในลักษณะจับล้อหลังแบบเดิมๆ
แก้ไขล่าสุดโดย lucifer เมื่อ 26 ส.ค. 2018, 13:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ชนิดของloader loader หรือ ตัวหน่วง หรือ ตัวที่ทำหน้าที่สร้างแรงต้านทานให้กับการหมุน เพื่อสร้างความหนักให้แก่การปั่นเพื่อเลียนแบบความหนักที่เกิดขึ้นในขณะที่ปั่นบนถนน เท่าที่นึกออกจะมีอยู่ด้วยกัน 4 พวกใหญ่ๆคือ
1. ใช้แม่เหล็กเป็นตัวสร้างความต้านทานในการหมุน loader ชนิดนี้มีความหลากหลายมาก และมีคุณภาพแตกต่างกันได้มากมาย อาจจะพบในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น หรือ พบได้ในเทรนเนอร์ระดับสูง หลักการอาจจะง่ายๆเพียงแค่ใช้หลักการดูดและผลักของขั้วแม่เหล็ก , หรืออาจจะซับซ้อนขึ้นมาโดยอาจจะใช้ EDDY current brake ( ดูรายละเอียดที่ http://demoroom.physics.ncsu.edu/html/demos/192.html ) หรือ อาจจะใช้ส่วนประกอบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งจะพบในเทรนเนอร์รุ่นสูงๆ บางยี่ห้อยังพ่วงระบบelectronics เข้าไปเพื่อปรับเพิ่มความหนักเพื่อเลียนแบบสภาพการใช้งานต่างๆ เช่น เลียนแบบการปั่นขึ้นเขา ลงเขา หรือ ฝึกตามโปรแกรม เลียนแบบสภาพภูมิประเทศจริงๆ
ข้อเด่น : ตัว loaderมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา ไม่จำเป็นต้องใช้ล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) สามารถปรับระดับความหนักเบาได้ และในเทรนเนอร์ระดับสูง ก็ยังสามารถเพิ่มอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เพื่อปรับแต่งความหนักหน่วงเลียนแบบสภาพภูมิประเทศ
ข้อด้อย : ในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น มักจะมีข้อจำกัดในเรื่องของรอบการหมุนของล้อ หากหมุนเร็วเกินไป ความต้านทานจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ( การปั่นจริงๆบนถนน แรงต้านทานของอากาศจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนยกกำลังสองของความเร็วที่เพิ่มขึ้น เช่น ปั่นเร็วขึ้น 2 เท่า แรงต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นมา 4 เท่า ) นอกจากนี้แล้ว บางยี่ห้ออาจจะจำกัดความเร็วไว้ด้วย เพราะหากเร็วเกินไป อาจจะทำให้ชำรุดได้ ดังนั้นในการใช้งานจึงต้องสังเกตว่า เมื่อใช้เกียร์สูงขึ้นแล้วความหนักไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเมื่อไหร่ ก็ให้ตระหนักว่าเรากำลังขึ้นไปถึงข้อจำกัดของมันแล้ว ดังนั้นหากต้องการความต้านทานหรือความหนักเพิ่ม ก็ต้องปรับระดับความหนักที่ตัว loaderเอาเอง ( บางยี่ห้อจึงมีremoteให้สามารถปรับในขณะปั่นได้ แต่บางรุ่นอาจจะต้องปรับตั้งไว้ล่วงหน้าก่อน ) นอกจากนี้ เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็จะเกิดความร้อนสะสมขึ้นในระบบ ความร้อนจะทำให้แม่เหล็กมีคุณสมบัติลดลง จึงทำให้ความหนักในการปั่นลดลงตามไปด้วย
ปัญหาเรื่องความร้อนที่ทำให้เส้นแรงแม่เหล็กลดลงนี้เป็นกฎเกณฑ์ทางPhysics ดังนั้นในเทรนเนอร์รุ่นสูงๆ ผู้ผลิตจึงต้องเลือกชนิดของแม่เหล็กที่มีคุณภาพสูง และทนทานต่อความร้อนได้ดี และระบายความร้อนออกไปได้ดี
รุ่นเริ่มต้นก็อาจจะส่งเสียงรบกวน พอให้รำคาญแก่คนรอบข้างได้บ้าง ( ในขณะที่รุ่นที่ราคาสูงๆก็แทบจะไม่มีเสียงรบกวน )
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ระบบแม่เหล็กมีความหลากหลายค่อนข้างมาก อาจจะพบในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น ซึ่งจะพบกับปัญหาเรื่องความต้านทานการหมุนที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือ อาจจะมีราคาแพงพร้อมทั้งออกแบบให้มีความใกล้เคียงกับการปั่นจริงในธรรมชาติ จึงสรุปง่ายๆว่า เป็นระบบที่จ่ายเท่าไหร่ ก็ได้ตามนั้น
2. ระบบ Fluid โดยหลักการแล้ว จะอาศัยการหมุนของกังหันหรือใบพัดที่แช่อยู่ในของเหลวที่มีความหนืด ( viscous fluid ) เป็นกลไกหลักๆในการสร้างความต้านทานต่อการหมุน
ข้อเด่น : เป็นระบบที่มีอัตราส่วนระหว่างความสามารถในการสร้างความหน่วงต่อขนาดได้ดีที่สุด สามารถสร้างความต้านทานต่อการหมุนสำหรับใช้งานได้ตั้งแต่ฝึกซ้อมเบาๆ ไปถึงระดับจริงๆจังๆ โดยไม่ต้องมีขนาดที่ใหญ่จนเกินไป นอกจากนี้ยังเป็นระบบที่มีเสียงรบกวนน้อย ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับการปั่นในธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องมีตัวปรับความหนัก เพราะเมื่อปั่นเร็วขึ้น แรงต้านทานการหมุนของกังหันที่ปั่นในของเหลวก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ข้อด้อย : ความรู้สึกยังไม่เป็นธรรมชาตินัก ในช่วงเริ่มต้นปั่นจะมีความรู้สึกที่คล้ายกับล้อจมอยู่ในโคลนประมาณครึ่งล้อ แล้วจึงค่อยๆไหลขึ้นไปเรื่อยๆ สัดส่วนการเพิ่มความเร็วกับความหน่วงที่เพิ่มขึ้นจะแตกต่างจากการปั่นจริงบนถนน และเมื่อยกบันได-->ความเร็วจะหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะต้องแก้ด้วยการเพิ่มขนาดล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรวมๆเพิ่มขึ้นไปอีก และต้องออกแรงในการไต่ความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม , นอกไปจากนี้ ระบบนี้จำเป็นที่จะต้องออกแบบและผลิตด้วยความปรานีต เพราะหากทำมาไม่ดีพอ ซีลต่างๆไม่ดีพอ โดยเฉพาะตรงส่วนแกนกังหัน ก็อาจจะมีการรั่วซึมของของเหลวที่บรรจุภายในได้ และยังจะต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพียงพอ เพราะเมื่อเริ่มใช้งาน ของเหลวภายในจะมีความร้อนเพิ่มขึ้น ความร้อนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าความหนืดของของเหลวลดลงไปตามกฎของPhysics
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ความรู้สึกในการออกแรง อาจจะไม่ถึงกับคล้ายธรรมชาตินัก เวลาเร่งความเร็วจะคล้ายๆกับว่ามันหนักแรงกว่าปั่นจริงอยู่บ้าง แต่ก็แลกกับเสียงรบกวนที่น้อย ขนาดที่กระทัดรัด และมีประสิทธิภาพการใช้งานในระดับที่ดี ปรับความรู้สึกในขณะการใช้งานบ้าง ก็จะสามารถคบหากับมันได้ไม่ยาก
3. ระบบกังหันลม โดยหลักการจะคล้ายกับระบบที่2 แต่ใช้กังหันลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแทนกังหันขนาดเล็กที่แช่ในของเหลว
ข้อเด่น : เป็นระบบที่ให้ความรู้สึกได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด กล่าวคือ สามารถออกแบบให้ สัดส่วนการเพิ่มความเร็วกับความหน่วงที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด โดยออกแบบขนาดและมุมของใบกังหันจนได้ค่าที่ต้องการ และเมื่อยกบันได-->ความเร็วจะไม่หล่นลงมารวดเร็วเท่ากับแบบ fluid แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) ให้ช่วยรักษาความเร็วไว้ไม่ให้หล่นลงมาหรือ เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราดอยู่ดี
ข้อด้อย : หากต้องการให้ใกล้เคียงธรรมชาติ ก็จะต้องใช้กังหันลมที่มีขนาดใหญ่พอ จึงทำให้ขนาดโดยรวมๆแล้วใหญ่กว่าแบบfluidมาก ( ถ้ากังหันลมมีขนาดเล็ก ความเร็วในการปั่นจะขึ้นแบบพรวดพราด อาจจะคล้ายกับปั่นฟรี กว่าจะได้ความหนืดที่ต้องการ ก็ต้องใช้เกียร์ที่หนักขึ้น จนกังหันหมุนเร็วได้รอบสูงมากขึ้น แต่พอหมุนได้รอบที่สูงมากๆ แรงต้านอากาศจะพาลไม่มากขึ้นตามสัดส่วนเดิมที่เคยเป็น , พวกวิศวกรรมอากาศพลศาสตร์เขาเข้าใจดี ) กังหันลมที่ใหญ่พอก็จะลงตัวกับรอบการหมุนที่เหมาะสมกับการใช้ฝึกอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ระบบมีขนาดใหญ่และน้ำหนักที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือ มันเป็นระบบที่สร้างเสียงรบกวนได้มากที่สุด (เสียงจะคล้ายๆกับเปิดเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ๆเลยทีเดียว) จึงไม่เหมาะใช้งานในสถานที่แคบๆที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ระบบกังหันลม (แบบดีๆ) จะให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการปั่นบนถนนมากที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการการปรุงแต่งความรู้สึกมากมายนัก แลกกับเสียงรบกวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามความเร็วที่ปั่นเพิ่มขึ้น ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากขึ้น
4. ระบบผสม
บางยี่ห้อจะใช้การผสมผสานข้อดีของระบบต่างๆเข้ามา บางยี่ห้ออาจจะใช้กังหันลมขนาดเล็ก ร่วมกับfluid ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความต้านทานแล้ว กังหันลมก็ยังช่วยระบายความร้อนให้กับชุดfluid ด้วย , บางยี่ห้อก็ใช้ระบบกังหันลมขนาดเล็ก ร่วมกับระบบแม่เหล็ก โดยเฉพาะการใช้ Eddy current brake ซึ่งจะช่วยลดขนาดของชุด loader และสามารถปรับความต้านทานเพิ่มขึ้นได้โดยการปรับที่ eddy current brake โดยการขยับชุดแม่เหล็กเกือกม้าเข้าออก ซึ่งก็จะมีความหลากหลายกันไปตามแต่ผู้ผลิตแต่ละรายจะพัฒนากันขึ้นมา
แก้ไขเพิ่มเติม ( 25 สค. 2561 ) ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ระบบ loader ที่ใช้ Eddy current brake สามารถทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Smart trainer คือ สามารถปรับความหนักเบาโดยควบคุมด้วย Application จาก มือถือ Tablet หรือ จาก computer ได้โดยตรง โดยอาจจะใช้การสื่อสารผ่านระบบ Ant+ , Bluetooth หรือ โบราณที่สุดก็ต่อผ่าน USB port นอกจากนี้ก็ยังมีโปรแกรมในลักษณะ 3rd party อีกมากมาย เช่น Trainerroad , Zwift , OneLap แม้แต่สั่งโดยตรงผ่าน Cyclocomputer เช่น Garmin รุ่นใหม่ๆก็สามารถทำได้อีกเช่นกัน
1. ใช้แม่เหล็กเป็นตัวสร้างความต้านทานในการหมุน loader ชนิดนี้มีความหลากหลายมาก และมีคุณภาพแตกต่างกันได้มากมาย อาจจะพบในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น หรือ พบได้ในเทรนเนอร์ระดับสูง หลักการอาจจะง่ายๆเพียงแค่ใช้หลักการดูดและผลักของขั้วแม่เหล็ก , หรืออาจจะซับซ้อนขึ้นมาโดยอาจจะใช้ EDDY current brake ( ดูรายละเอียดที่ http://demoroom.physics.ncsu.edu/html/demos/192.html ) หรือ อาจจะใช้ส่วนประกอบที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นซึ่งจะพบในเทรนเนอร์รุ่นสูงๆ บางยี่ห้อยังพ่วงระบบelectronics เข้าไปเพื่อปรับเพิ่มความหนักเพื่อเลียนแบบสภาพการใช้งานต่างๆ เช่น เลียนแบบการปั่นขึ้นเขา ลงเขา หรือ ฝึกตามโปรแกรม เลียนแบบสภาพภูมิประเทศจริงๆ
ข้อเด่น : ตัว loaderมีขนาดเล็ก มีน้ำหนักเบา ไม่จำเป็นต้องใช้ล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) สามารถปรับระดับความหนักเบาได้ และในเทรนเนอร์ระดับสูง ก็ยังสามารถเพิ่มอุปกรณ์อีเลคทรอนิคส์เพื่อปรับแต่งความหนักหน่วงเลียนแบบสภาพภูมิประเทศ
ข้อด้อย : ในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น มักจะมีข้อจำกัดในเรื่องของรอบการหมุนของล้อ หากหมุนเร็วเกินไป ความต้านทานจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น ( การปั่นจริงๆบนถนน แรงต้านทานของอากาศจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนยกกำลังสองของความเร็วที่เพิ่มขึ้น เช่น ปั่นเร็วขึ้น 2 เท่า แรงต้านอากาศจะเพิ่มขึ้นมา 4 เท่า ) นอกจากนี้แล้ว บางยี่ห้ออาจจะจำกัดความเร็วไว้ด้วย เพราะหากเร็วเกินไป อาจจะทำให้ชำรุดได้ ดังนั้นในการใช้งานจึงต้องสังเกตว่า เมื่อใช้เกียร์สูงขึ้นแล้วความหนักไม่ได้เพิ่มขึ้นตามเมื่อไหร่ ก็ให้ตระหนักว่าเรากำลังขึ้นไปถึงข้อจำกัดของมันแล้ว ดังนั้นหากต้องการความต้านทานหรือความหนักเพิ่ม ก็ต้องปรับระดับความหนักที่ตัว loaderเอาเอง ( บางยี่ห้อจึงมีremoteให้สามารถปรับในขณะปั่นได้ แต่บางรุ่นอาจจะต้องปรับตั้งไว้ล่วงหน้าก่อน ) นอกจากนี้ เมื่อใช้งานไปนานๆ ก็จะเกิดความร้อนสะสมขึ้นในระบบ ความร้อนจะทำให้แม่เหล็กมีคุณสมบัติลดลง จึงทำให้ความหนักในการปั่นลดลงตามไปด้วย
ปัญหาเรื่องความร้อนที่ทำให้เส้นแรงแม่เหล็กลดลงนี้เป็นกฎเกณฑ์ทางPhysics ดังนั้นในเทรนเนอร์รุ่นสูงๆ ผู้ผลิตจึงต้องเลือกชนิดของแม่เหล็กที่มีคุณภาพสูง และทนทานต่อความร้อนได้ดี และระบายความร้อนออกไปได้ดี
รุ่นเริ่มต้นก็อาจจะส่งเสียงรบกวน พอให้รำคาญแก่คนรอบข้างได้บ้าง ( ในขณะที่รุ่นที่ราคาสูงๆก็แทบจะไม่มีเสียงรบกวน )
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ระบบแม่เหล็กมีความหลากหลายค่อนข้างมาก อาจจะพบในเทรนเนอร์ระดับเริ่มต้น ซึ่งจะพบกับปัญหาเรื่องความต้านทานการหมุนที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือ อาจจะมีราคาแพงพร้อมทั้งออกแบบให้มีความใกล้เคียงกับการปั่นจริงในธรรมชาติ จึงสรุปง่ายๆว่า เป็นระบบที่จ่ายเท่าไหร่ ก็ได้ตามนั้น
2. ระบบ Fluid โดยหลักการแล้ว จะอาศัยการหมุนของกังหันหรือใบพัดที่แช่อยู่ในของเหลวที่มีความหนืด ( viscous fluid ) เป็นกลไกหลักๆในการสร้างความต้านทานต่อการหมุน
ข้อเด่น : เป็นระบบที่มีอัตราส่วนระหว่างความสามารถในการสร้างความหน่วงต่อขนาดได้ดีที่สุด สามารถสร้างความต้านทานต่อการหมุนสำหรับใช้งานได้ตั้งแต่ฝึกซ้อมเบาๆ ไปถึงระดับจริงๆจังๆ โดยไม่ต้องมีขนาดที่ใหญ่จนเกินไป นอกจากนี้ยังเป็นระบบที่มีเสียงรบกวนน้อย ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับการปั่นในธรรมชาติ จึงไม่จำเป็นต้องมีตัวปรับความหนัก เพราะเมื่อปั่นเร็วขึ้น แรงต้านทานการหมุนของกังหันที่ปั่นในของเหลวก็จะเพิ่มขึ้นตาม
ข้อด้อย : ความรู้สึกยังไม่เป็นธรรมชาตินัก ในช่วงเริ่มต้นปั่นจะมีความรู้สึกที่คล้ายกับล้อจมอยู่ในโคลนประมาณครึ่งล้อ แล้วจึงค่อยๆไหลขึ้นไปเรื่อยๆ สัดส่วนการเพิ่มความเร็วกับความหน่วงที่เพิ่มขึ้นจะแตกต่างจากการปั่นจริงบนถนน และเมื่อยกบันได-->ความเร็วจะหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งจะต้องแก้ด้วยการเพิ่มขนาดล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) ซึ่งจะทำให้น้ำหนักรวมๆเพิ่มขึ้นไปอีก และต้องออกแรงในการไต่ความเร็วมากขึ้นกว่าเดิม , นอกไปจากนี้ ระบบนี้จำเป็นที่จะต้องออกแบบและผลิตด้วยความปรานีต เพราะหากทำมาไม่ดีพอ ซีลต่างๆไม่ดีพอ โดยเฉพาะตรงส่วนแกนกังหัน ก็อาจจะมีการรั่วซึมของของเหลวที่บรรจุภายในได้ และยังจะต้องมีระบบระบายความร้อนที่ดีเพียงพอ เพราะเมื่อเริ่มใช้งาน ของเหลวภายในจะมีความร้อนเพิ่มขึ้น ความร้อนที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าความหนืดของของเหลวลดลงไปตามกฎของPhysics
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ความรู้สึกในการออกแรง อาจจะไม่ถึงกับคล้ายธรรมชาตินัก เวลาเร่งความเร็วจะคล้ายๆกับว่ามันหนักแรงกว่าปั่นจริงอยู่บ้าง แต่ก็แลกกับเสียงรบกวนที่น้อย ขนาดที่กระทัดรัด และมีประสิทธิภาพการใช้งานในระดับที่ดี ปรับความรู้สึกในขณะการใช้งานบ้าง ก็จะสามารถคบหากับมันได้ไม่ยาก
3. ระบบกังหันลม โดยหลักการจะคล้ายกับระบบที่2 แต่ใช้กังหันลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นแทนกังหันขนาดเล็กที่แช่ในของเหลว
ข้อเด่น : เป็นระบบที่ให้ความรู้สึกได้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด กล่าวคือ สามารถออกแบบให้ สัดส่วนการเพิ่มความเร็วกับความหน่วงที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด โดยออกแบบขนาดและมุมของใบกังหันจนได้ค่าที่ต้องการ และเมื่อยกบันได-->ความเร็วจะไม่หล่นลงมารวดเร็วเท่ากับแบบ fluid แต่ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมีล้อช่วยหมุน ( Flywheel ) ให้ช่วยรักษาความเร็วไว้ไม่ให้หล่นลงมาหรือ เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราดอยู่ดี
ข้อด้อย : หากต้องการให้ใกล้เคียงธรรมชาติ ก็จะต้องใช้กังหันลมที่มีขนาดใหญ่พอ จึงทำให้ขนาดโดยรวมๆแล้วใหญ่กว่าแบบfluidมาก ( ถ้ากังหันลมมีขนาดเล็ก ความเร็วในการปั่นจะขึ้นแบบพรวดพราด อาจจะคล้ายกับปั่นฟรี กว่าจะได้ความหนืดที่ต้องการ ก็ต้องใช้เกียร์ที่หนักขึ้น จนกังหันหมุนเร็วได้รอบสูงมากขึ้น แต่พอหมุนได้รอบที่สูงมากๆ แรงต้านอากาศจะพาลไม่มากขึ้นตามสัดส่วนเดิมที่เคยเป็น , พวกวิศวกรรมอากาศพลศาสตร์เขาเข้าใจดี ) กังหันลมที่ใหญ่พอก็จะลงตัวกับรอบการหมุนที่เหมาะสมกับการใช้ฝึกอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ระบบมีขนาดใหญ่และน้ำหนักที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือ มันเป็นระบบที่สร้างเสียงรบกวนได้มากที่สุด (เสียงจะคล้ายๆกับเปิดเครื่องดูดฝุ่นขนาดใหญ่ๆเลยทีเดียว) จึงไม่เหมาะใช้งานในสถานที่แคบๆที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น
ความเห็นส่วนตัว : โดยรวมแล้ว ระบบกังหันลม (แบบดีๆ) จะให้ความรู้สึกใกล้เคียงกับการปั่นบนถนนมากที่สุด จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการการปรุงแต่งความรู้สึกมากมายนัก แลกกับเสียงรบกวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆตามความเร็วที่ปั่นเพิ่มขึ้น ขนาดที่ค่อนข้างใหญ่และมีน้ำหนักมากขึ้น
4. ระบบผสม
บางยี่ห้อจะใช้การผสมผสานข้อดีของระบบต่างๆเข้ามา บางยี่ห้ออาจจะใช้กังหันลมขนาดเล็ก ร่วมกับfluid ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความต้านทานแล้ว กังหันลมก็ยังช่วยระบายความร้อนให้กับชุดfluid ด้วย , บางยี่ห้อก็ใช้ระบบกังหันลมขนาดเล็ก ร่วมกับระบบแม่เหล็ก โดยเฉพาะการใช้ Eddy current brake ซึ่งจะช่วยลดขนาดของชุด loader และสามารถปรับความต้านทานเพิ่มขึ้นได้โดยการปรับที่ eddy current brake โดยการขยับชุดแม่เหล็กเกือกม้าเข้าออก ซึ่งก็จะมีความหลากหลายกันไปตามแต่ผู้ผลิตแต่ละรายจะพัฒนากันขึ้นมา
แก้ไขเพิ่มเติม ( 25 สค. 2561 ) ปัจจุบันได้มีการพัฒนาให้ระบบ loader ที่ใช้ Eddy current brake สามารถทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Smart trainer คือ สามารถปรับความหนักเบาโดยควบคุมด้วย Application จาก มือถือ Tablet หรือ จาก computer ได้โดยตรง โดยอาจจะใช้การสื่อสารผ่านระบบ Ant+ , Bluetooth หรือ โบราณที่สุดก็ต่อผ่าน USB port นอกจากนี้ก็ยังมีโปรแกรมในลักษณะ 3rd party อีกมากมาย เช่น Trainerroad , Zwift , OneLap แม้แต่สั่งโดยตรงผ่าน Cyclocomputer เช่น Garmin รุ่นใหม่ๆก็สามารถทำได้อีกเช่นกัน
แก้ไขล่าสุดโดย lucifer เมื่อ 26 ส.ค. 2018, 13:43, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ทำอย่างไรให้การปั่นเทรนเนอร์มีความสนุกสนานได้
บอกจริงๆว่า เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากมากๆ ผมเองปั่นได้นานสุดก็แค่ 1 ชม. 40 นาที ( แต่ผมก็ยังเชื่อว่ากว่าจะผ่านฝนนี้ไปได้ ผมน่าจะทำได้เกิน 2 ชม. ) แต่เพื่อนผมปั่นได้ 3ชม. (ฟังแล้วทึ่งจริงๆ )
เหตุผลไม่กี่ข้อที่ทำให้การปั่นเทรนเนอร์เป็นเรื่องที่ไม่สนุกสนาน
1. ขาดแรงจูงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ดำเนินไปได้ด้วยแรงจูงใจทั้งสิ้น หากไม่มีแรงจูงใจก็จะไม่มีการทำอะไร จริงไหม? แรงจูงใจไม่กี่ข้อที่ทำให้ผมสามารถปั่นเทรนเนอร์ได้ คือ ต้องการรักษาและเพิ่ม performance สิ่งที่สร้างยากทีึ่สุดและรักษาไว้ยากที่สุดก็คือ aerobic capacity นอกจากนี้แล้ว ภายใต้การฝึกที่เหมาะสมและถูกทาง ก็ยังสามารถพัฒนา Functional threshold power และ Power ด้านอื่นๆให้สูงขึ้นได้
2. น่าเบื่อ !!! เกือบจะร้อยละร้อยของคนที่เลิกปั่นเทรนเนอร์บอกผมแบบนี้ ขนาดฝนตกยังยอมจูงจักรยานปั่นตากฝนออกไปด้วยซ้ำ ทำไมมันจะไม่น่าเบื่อ ปั่นอยู่กับที่ เหงื่อแตกพลั่กๆ หยดเลอะเฟรม เลอะพื้น พวกอลูมิเนียมผิวขัดมันกลายเป็นขี้กลาก พื้นสกปรก ไม่เห็นสาวๆ ไม่เห็นวิวทิวทัศน์ ไม่เห็นความก้าวหน้า (เพราะไม่ได้ตั้งเป้าประสงค์ ) แล้วแก้เบื่ออย่างไรดี
- ไม่เห็นวิว ไม่เห็นสาวๆ คำแนะนำให้หาหนังseries มาดู ยิ่งคนที่รู้จักใช้ torrent คงจะไม่ต้องชี้โพรงให้กระรอกหรอกครับ ผมดูจบไปหลายเรื่อง หลายตอนแล้ว แต่เดิมผมไม่ค่อยชอบดูหนังผ่านจอคอมพ์เท่าไหร่ เสียเวลา แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ใช้ฆ่าเวลาของความน่าเบื่อลงไปได้มากๆ
- เหงื่อหล่นเลอะเทอะ คำแนะนำ หาเสื้อกล้ามโปร่งๆมาใส่ช่วยซับเหงื่อ เปิดพัดลมตัวใหญ่ๆช่วยพัดลดความร้อน และช่วยระเหยเหงื่อ นอกจากนี้แล้ว ถ้าหาเสื้อกล้ามตัวใหญ่ๆ เอาส่วนไหล่ของเสื้อมาคล้องแฮนด์ 2 ข้าง แล้วรวบชายเสื้อ ดึงมาพันรัดไว้กับหลักอานด้วยยางยืด เพียงเท่านี้เหงื่อที่หยดลงไปด้านหน้าก็จะไปหยดลงเสื้อกล้ามดังกล่าว ทำให้ลดเหงื่อที่จะหยดลงพื้น รวมถึงป้องกันไม่ให้เหงื่อหยดเลอะจักรยานด้วย และเมื่อบวกกับพัดลมที่พัด ก็จะเร่งการระเหยของเหงื่อให้แห้งไปได้ก่อนที่เสื้อกล้ามดังกล่าวจะเปียก
3. เจ็บก้น เพราะนั่งนาน แล้วปั่นจริงๆบนถนนไม่เจ็บก้นหรือครับ หมั่นยกก้นบ้างก็ได้ ยอมเสียจังหวะบ้างก้ได้ครับ แล้วก้นจะมีความสุขขึ้น
4. ไม่มีเพื่อนร่วมปั่น เออหวะ อันนี้เถียงไม่ออก เพราะบางคนไม่เคยชินกับการทำตัวเป็นศิลปินเดี่ยว เพราะการปั่นจักรยานคนเดียว มันขาดความสนุกสนาน ไม่สามารถพึ่งพาใครได้ ไม่มีห่อหมกให้กิน แต่การปั่นจักรยานคนเดียวมันก็สร้างความสันโดษให้อย่างดี เรียนรู้ในการพึ่งพาตัวเอง
5. ไม่ตื่นเต้น เพราะไม่มี มอไซค์ 2แถว รถเมล์ แทกซี่ รถเก๋ง รถบรรทุก 10ล้อ 18ล้อ เข้ามาเป็นสีสัน งั้นหาหนังตื่นเต้นมาดูแทนก็ได้ครับ หนังยิงกันเลือดสาด ฆ่ากันให้แขนขาหลุดเป็นชิ้นๆ ก็น่าจะสร้างความตื่นเต้นให้ได้บ้างเช่นกัน หรือไม่ก็ใช้เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้ง 3 ลูก พร้อมๆกับซื้อ Option ตัวปรับความหน่วงเข้ามาพ่วงด้วย แล้วจะรู้ว่าทั้งตื่นเต้น ทั้งเหนื่อย แล้วจะรู้ว่า นรกเป็นอย่างไร เพราะผมเคยสัมผัสมาแล้ว
บอกจริงๆว่า เป็นเรื่องที่ตอบได้ยากมากๆ ผมเองปั่นได้นานสุดก็แค่ 1 ชม. 40 นาที ( แต่ผมก็ยังเชื่อว่ากว่าจะผ่านฝนนี้ไปได้ ผมน่าจะทำได้เกิน 2 ชม. ) แต่เพื่อนผมปั่นได้ 3ชม. (ฟังแล้วทึ่งจริงๆ )
เหตุผลไม่กี่ข้อที่ทำให้การปั่นเทรนเนอร์เป็นเรื่องที่ไม่สนุกสนาน
1. ขาดแรงจูงใจ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ดำเนินไปได้ด้วยแรงจูงใจทั้งสิ้น หากไม่มีแรงจูงใจก็จะไม่มีการทำอะไร จริงไหม? แรงจูงใจไม่กี่ข้อที่ทำให้ผมสามารถปั่นเทรนเนอร์ได้ คือ ต้องการรักษาและเพิ่ม performance สิ่งที่สร้างยากทีึ่สุดและรักษาไว้ยากที่สุดก็คือ aerobic capacity นอกจากนี้แล้ว ภายใต้การฝึกที่เหมาะสมและถูกทาง ก็ยังสามารถพัฒนา Functional threshold power และ Power ด้านอื่นๆให้สูงขึ้นได้
2. น่าเบื่อ !!! เกือบจะร้อยละร้อยของคนที่เลิกปั่นเทรนเนอร์บอกผมแบบนี้ ขนาดฝนตกยังยอมจูงจักรยานปั่นตากฝนออกไปด้วยซ้ำ ทำไมมันจะไม่น่าเบื่อ ปั่นอยู่กับที่ เหงื่อแตกพลั่กๆ หยดเลอะเฟรม เลอะพื้น พวกอลูมิเนียมผิวขัดมันกลายเป็นขี้กลาก พื้นสกปรก ไม่เห็นสาวๆ ไม่เห็นวิวทิวทัศน์ ไม่เห็นความก้าวหน้า (เพราะไม่ได้ตั้งเป้าประสงค์ ) แล้วแก้เบื่ออย่างไรดี
- ไม่เห็นวิว ไม่เห็นสาวๆ คำแนะนำให้หาหนังseries มาดู ยิ่งคนที่รู้จักใช้ torrent คงจะไม่ต้องชี้โพรงให้กระรอกหรอกครับ ผมดูจบไปหลายเรื่อง หลายตอนแล้ว แต่เดิมผมไม่ค่อยชอบดูหนังผ่านจอคอมพ์เท่าไหร่ เสียเวลา แต่ตอนนี้มันเป็นเรื่องที่ใช้ฆ่าเวลาของความน่าเบื่อลงไปได้มากๆ
- เหงื่อหล่นเลอะเทอะ คำแนะนำ หาเสื้อกล้ามโปร่งๆมาใส่ช่วยซับเหงื่อ เปิดพัดลมตัวใหญ่ๆช่วยพัดลดความร้อน และช่วยระเหยเหงื่อ นอกจากนี้แล้ว ถ้าหาเสื้อกล้ามตัวใหญ่ๆ เอาส่วนไหล่ของเสื้อมาคล้องแฮนด์ 2 ข้าง แล้วรวบชายเสื้อ ดึงมาพันรัดไว้กับหลักอานด้วยยางยืด เพียงเท่านี้เหงื่อที่หยดลงไปด้านหน้าก็จะไปหยดลงเสื้อกล้ามดังกล่าว ทำให้ลดเหงื่อที่จะหยดลงพื้น รวมถึงป้องกันไม่ให้เหงื่อหยดเลอะจักรยานด้วย และเมื่อบวกกับพัดลมที่พัด ก็จะเร่งการระเหยของเหงื่อให้แห้งไปได้ก่อนที่เสื้อกล้ามดังกล่าวจะเปียก
3. เจ็บก้น เพราะนั่งนาน แล้วปั่นจริงๆบนถนนไม่เจ็บก้นหรือครับ หมั่นยกก้นบ้างก็ได้ ยอมเสียจังหวะบ้างก้ได้ครับ แล้วก้นจะมีความสุขขึ้น
4. ไม่มีเพื่อนร่วมปั่น เออหวะ อันนี้เถียงไม่ออก เพราะบางคนไม่เคยชินกับการทำตัวเป็นศิลปินเดี่ยว เพราะการปั่นจักรยานคนเดียว มันขาดความสนุกสนาน ไม่สามารถพึ่งพาใครได้ ไม่มีห่อหมกให้กิน แต่การปั่นจักรยานคนเดียวมันก็สร้างความสันโดษให้อย่างดี เรียนรู้ในการพึ่งพาตัวเอง
5. ไม่ตื่นเต้น เพราะไม่มี มอไซค์ 2แถว รถเมล์ แทกซี่ รถเก๋ง รถบรรทุก 10ล้อ 18ล้อ เข้ามาเป็นสีสัน งั้นหาหนังตื่นเต้นมาดูแทนก็ได้ครับ หนังยิงกันเลือดสาด ฆ่ากันให้แขนขาหลุดเป็นชิ้นๆ ก็น่าจะสร้างความตื่นเต้นให้ได้บ้างเช่นกัน หรือไม่ก็ใช้เทรนเนอร์แบบลูกกลิ้ง 3 ลูก พร้อมๆกับซื้อ Option ตัวปรับความหน่วงเข้ามาพ่วงด้วย แล้วจะรู้ว่าทั้งตื่นเต้น ทั้งเหนื่อย แล้วจะรู้ว่า นรกเป็นอย่างไร เพราะผมเคยสัมผัสมาแล้ว
แก้ไขล่าสุดโดย lucifer เมื่อ 31 พ.ค. 2012, 11:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- lucifer
- ขาประจำ
- โพสต์: 6413
- ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2010, 14:53
- team: BPMTB , BPRB , Bikeloves
- Bike: Only 2-wheels bike
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เฟรมคาร์บอนกับเทรนเนอร์
เป็นสิ่งที่เจ้าของเฟรมคาร์บอนไม่ค่อยจะมีความสุขนัก เมื่อเห็นเฟรมตัวเองมีการบิดไปบิดมาในทุกๆครั้งที่เอาไปขึ้นเทรนเนอร์
ข้อเท็จจริง : เคยมีคนเอาเฟรมเสือหมอบหลากหลายรุ่น หลากหลายวัสดุ เอาขึ้นแท่นไฮดรอลิคส์ แล้วทำการบิดเฟรมไปมาไปมา เฟรมจะถูกบิดให้มีการขยับตัวในลักษณะจงใจที่ต้องการจะทำลายเฟรมอย่างแท้จริง เพราะเฟรมจะมีการขยับตัวที่มากเกินกว่าแรงคนจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นบนถนนหรือปั่นบนเทรนเนอร์ ผลการทดสอบพบว่าเฟรมคาร์บอนบางเฟรมผ่านการทดสอบได้มากกว่า 200,000 รอบการบิดโดยไม่เกิดความเสียหาย แต่เฟรมsteel และเฟรมไททาเนียมบางตัวมีการแตกหักไปตั้งแต่ยังไม่ถึง 100,000 รอบการบิดด้วยซ้ำไป
แต่เชื่อเถอะ บางท่านก็ยังไม่สบายใจที่จะเอาเฟรมคาร์บอนขึ้นเทรนเนอร์ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ผลิตเทรนเนอร์ที่มีการให้ตัวได้ โดยการใช้ลูกยางelastomer มายึดไว้ระหว่างชุดที่จับดุมล้อหลัง กับ ฐานตั้งเทรนเนอร์ ซึ่งลูกยางelastomer จะเป็นตัวขยับ และให้ตัว ทำให้แรงบิดระหว่างกระโหลกกับดุมหลังลดน้อยลงไป
แต่เทรนเนอร์รุ่นที่ว่านี่ ราคาขายอยู่ที่ราวๆ 15,500 บาท ไม่รู้ว่าจะคุ้มเงินหรือเปล่านะ เอาเป็นว่านะครับ ผมมีข้อคิดแค่ว่า อยากจะปั่นก็ปั่นไปเถอะครับ เอาแค่ควงบันไดแบบต่อเนื่อง ฝึกรอบขา ฝึกกล้ามเนื้อ โดยลดความโหดลงมาบ้าง อย่ายืนโยก ยืนขย่มก็แล้วกัน
ส่วนใครจะลงทุนด้วยการหาเฟรมอลูมิเนียมถูกๆมาประกอบเพื่อปั่นเทรนเนอร์อย่างเดียว ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์นะครับ ไม่มีความคิดเห็นใดๆ
ปล. บทความที่เขียนมานี้ อิงประสพการณ์ส่วนตัว อิงความรู้สึก อิงความรู้เดิมๆที่ร่ำเรียนมา แต่ไม่อิงร้านค้า ไม่อิงสินค้า ไม่อิงโฆษณา ดังนั้นจึงไม่มีรูปประกอบแต่อย่างใด , และที่สำคัญ อาจจะไม่ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นส่วนตัวของเพื่อนๆบางคน ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งแปลกอันใดในชุมชนใหญ่
หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์ให้แก่ชุมชนแห่งนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ
เป็นสิ่งที่เจ้าของเฟรมคาร์บอนไม่ค่อยจะมีความสุขนัก เมื่อเห็นเฟรมตัวเองมีการบิดไปบิดมาในทุกๆครั้งที่เอาไปขึ้นเทรนเนอร์
ข้อเท็จจริง : เคยมีคนเอาเฟรมเสือหมอบหลากหลายรุ่น หลากหลายวัสดุ เอาขึ้นแท่นไฮดรอลิคส์ แล้วทำการบิดเฟรมไปมาไปมา เฟรมจะถูกบิดให้มีการขยับตัวในลักษณะจงใจที่ต้องการจะทำลายเฟรมอย่างแท้จริง เพราะเฟรมจะมีการขยับตัวที่มากเกินกว่าแรงคนจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการปั่นบนถนนหรือปั่นบนเทรนเนอร์ ผลการทดสอบพบว่าเฟรมคาร์บอนบางเฟรมผ่านการทดสอบได้มากกว่า 200,000 รอบการบิดโดยไม่เกิดความเสียหาย แต่เฟรมsteel และเฟรมไททาเนียมบางตัวมีการแตกหักไปตั้งแต่ยังไม่ถึง 100,000 รอบการบิดด้วยซ้ำไป
แต่เชื่อเถอะ บางท่านก็ยังไม่สบายใจที่จะเอาเฟรมคาร์บอนขึ้นเทรนเนอร์ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ผลิตเทรนเนอร์ที่มีการให้ตัวได้ โดยการใช้ลูกยางelastomer มายึดไว้ระหว่างชุดที่จับดุมล้อหลัง กับ ฐานตั้งเทรนเนอร์ ซึ่งลูกยางelastomer จะเป็นตัวขยับ และให้ตัว ทำให้แรงบิดระหว่างกระโหลกกับดุมหลังลดน้อยลงไป
แต่เทรนเนอร์รุ่นที่ว่านี่ ราคาขายอยู่ที่ราวๆ 15,500 บาท ไม่รู้ว่าจะคุ้มเงินหรือเปล่านะ เอาเป็นว่านะครับ ผมมีข้อคิดแค่ว่า อยากจะปั่นก็ปั่นไปเถอะครับ เอาแค่ควงบันไดแบบต่อเนื่อง ฝึกรอบขา ฝึกกล้ามเนื้อ โดยลดความโหดลงมาบ้าง อย่ายืนโยก ยืนขย่มก็แล้วกัน
ส่วนใครจะลงทุนด้วยการหาเฟรมอลูมิเนียมถูกๆมาประกอบเพื่อปั่นเทรนเนอร์อย่างเดียว ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์นะครับ ไม่มีความคิดเห็นใดๆ
ปล. บทความที่เขียนมานี้ อิงประสพการณ์ส่วนตัว อิงความรู้สึก อิงความรู้เดิมๆที่ร่ำเรียนมา แต่ไม่อิงร้านค้า ไม่อิงสินค้า ไม่อิงโฆษณา ดังนั้นจึงไม่มีรูปประกอบแต่อย่างใด , และที่สำคัญ อาจจะไม่ทันสมัย ไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นส่วนตัวของเพื่อนๆบางคน ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งแปลกอันใดในชุมชนใหญ่
หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์ให้แก่ชุมชนแห่งนี้ ไม่มากก็น้อยนะครับ
ถ้าอ่อนซ้อม อ่อนทักษะ ก็จะพบว่าจักรยานคันไหนๆก็ไม่แตกต่างกันหรอก เพราะปั่นไม่ไปเหมือนๆกัน และบังคับควบคุมได้ห่วยพอๆกัน
- wuwu
- สมาชิก
- โพสต์: 75
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2012, 22:08
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เข้ามาเก็บความรู้ครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3751
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ก.ย. 2011, 21:18
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ได้ความรู้มากเลยครับ
กำลังจะซื้อให้แม่บ้านซักตัวอยู่เหมือนกัน...
กำลังจะซื้อให้แม่บ้านซักตัวอยู่เหมือนกัน...
ปั่นให้เป็น เย็นเรื่อยไป อย่าให้ใครแซง....
- rj45
- ขาประจำ
- โพสต์: 2375
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.พ. 2009, 19:46
- Tel: xxx-xxx-xxxx
- team: ชายเดี่ยว
- Bike: polygon xtrada 16" สีแดง, giant tcr size s สีขาวแดง
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เอาเสื้อกล้ามมากันเหงื่อหยดลงเฟรม โอ เจ๋งเลย กำลังหาวิธีอยู่เชียว
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
ขอบคุณครับ สำหรับความรู้
------------------------------------------
ฝากติดตามผลงานครับ
http://www.shutterstock.com/g/p_chiantanrak
------------------------------------------
ฝากติดตามผลงานครับ
http://www.shutterstock.com/g/p_chiantanrak
------------------------------------------
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 188
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 พ.ย. 2011, 09:45
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เยี่ยมครับ ขอบคุณครับสำหรับน้ำใจ และความรู้ที่นำมาแบ่งปันกัน
ของผมเปิดแอร์สัก 23 แล้วก็อัดพัดลม เหงื่อแห้งเหมือนไม่ได้ออกกำลังเลย 5555
ของผมเปิดแอร์สัก 23 แล้วก็อัดพัดลม เหงื่อแห้งเหมือนไม่ได้ออกกำลังเลย 5555
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 148
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2008, 01:30
- Tel: 0818194373
- team: เสือแคราย (เล็ก นะครับ )
- Bike: 8500
- ตำแหน่ง: noblehome
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เยี่ยม
trek กับ cinelli ขายของถ้าว่างขี่จักรยาน
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1202
- ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 21:33
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ผมไม่ใช่นักแข่ง ผมเป็นแค่นักปั่น
หาความสำราญบนอานจักรยาน ดีกว่าไปนอนทรมานที่เตียงโรงพยาบาล
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
หาความสำราญบนอานจักรยาน ดีกว่าไปนอนทรมานที่เตียงโรงพยาบาล
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
- kittichet_l
- ขาประจำ
- โพสต์: 852
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2012, 11:35
- team: 347//K5
- Bike: Specialized
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เยี่ยมเลยครับ ขอบคุณมากๆครับที่แชร์ประสบการณ์ให้ฟัง ได้ความรู้ๆ
- tomalani
- ขาประจำ
- โพสต์: 156
- ลงทะเบียนเมื่อ: 25 มี.ค. 2009, 21:09
- Tel: 083 5155505
- team: re-cycle cycling club
- Bike: Bianchi Impulso, Bianchi JAB, Bianchi Oltre
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ขอบคุณมากครับสำหรับบทความ เดี๋ยวเย็นนี้กลับไปปั่นเทรนเนอร์เลยครับ ตั้งแต่ซื้อมาได้เกือบเดือน พึ่งปั่นเทรนเนอร์ไปได้ครั้งเดียว
เห็นเนินเป็นลม เห็นนมสู้ตาย
- อ่อนล้า
- ขาประจำ
- โพสต์: 2857
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2008, 12:14
- Tel: 080-3118737
- Bike: bianchi..lemond..K2..yeah
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
เห็นด้วยครับ...อ.ลู......
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 909
- ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ส.ค. 2008, 11:29
- Tel: -
- team: KMITL
- Bike: Fisher, M1, Giant 760, Neo-Cot, Ground Control, GT, Pana Grand canyon, SoloistUltra,Miyata
- ติดต่อ:
Re: ปัญหา in Trend สำหรับหน้าฝน : ซื้อ Trainer แบบไหนดี
ขอบคุณครับ ป๋าลู แต่ สิ่งที่เป็นปัญหามากกว่าคือ no money no money (but U. +ให้ครบตามเพลง)