สัมผัสแรก SAVA Steiner "ซาว่า" สไตเนอร์ เสือหมอบฟูลคาร์บอน ครบองค์
โพสต์: 23 ก.ย. 2016, 18:01
SAVA Steiner
พบกันอีกรอบนะครับ กับบทความแนะนำรถแบรนด์ใหม่ ที่ครั้งนี้ได้รับรถตัวอย่างมาให้ลองขี่กันจริงๆในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นผมขอเน้นไปที่เรื่องของการพูดคัยแบบ "สัมผัสแรก" หรือฝรั่งเรียกมันว่า "first ride" เป็นหลัก อาจจะไม่สามารถลงลึกกันได้จริงๆว่าเบื้องลึกแล้วเจ้ารถสีสันจับตา รูปทรงสวยจับใจคันนี้ มีรายละเอียดการใช้งานจริงแบบไหน แต่รับรองว่าเพียงพอที่จะบอกเล่าบุคลิกภาพของรถคันนี้ได้แบบไม่ผิดทางอย่างแน่นอน
ขอยืนยันอีกครั้งตามคอนเซ็ปท์ของช่วงนี้ว่า "อำนาจอยู่ในมือของเรา" เมื่อเกิดการแข่งขันทางด้านการขายของบรรดาผู้นำเข้าจักรยานแบรนด์ต่างๆมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งสยามประเทศ จากที่เคยเป็นกลุ่มเล็กๆกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ จากที่เคยเป็นตัวเลือกของหลักๆไม่กี่เจ้า ก็ขยายขึ้นมาเป็นแบรนด์ต่างๆมากมาย และเมื่อการแข่งขันยังไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่ตามมาคือสวรรค์ของพวกเรานักปั่น ที่มีแบรนด์ต่างๆพุ่งเข้ามาเป็นทางเลือกที่หลากหลาย แตกต่าง และเข้าถึงกระดองใจของแต่ละคนมากขึ้น แน่นอนครับว่าทุกเจ้าย่อมนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดที่ตนเชื่อมั่นให้กับพวกเรา แต่ในฐานะของตัวแทนเพื่อนๆนักปั่น วันนี้ผมขอแนะนำ SAVA และลองมาหากันดูว่า ใครที่น่าจะถูกใจกับน้องใหม่ค่ายนี้
SAVA
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการ แบรนด์ "ซาว่า" ถูกกำเนิดและจดทะเบียนอยู่ที่เยอรมัน โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์จักรยาน โดยมีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีน เป็นเจ้าของโรงงานผลิตเอง ต่อมาจึงก็ได้ผลิตจักรยานในแบรนด์ตนเองออกมาขาย หลังจากที่เป็นแหล่งผลิตให้กับชิ้นส่วนและแบรนด์อื่นๆมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งตัวอักษรทั้ง 4 ตัวของชื่อ"ซาว่า" หมายถึงสมรรถนะสำคัญทั้ง 4 ของจักรยานที่ดีควรจะมี รวมกันอยู่ในส่วนผสมที่ลงตัวของ SAVA นั่นเอง
SAVA Steiner
"สไตเนอร์" เป็นเสือหมอบในกลุ่มระดับกลาง ที่พร้อมจะเป็นจักรยานสำหรับการออกกำลังกาย ถึงระดับเริ่มต้นไปสู่เส้นทางของการกีฬาอย่างพอดี ด้วยการออกแบบและเลือกองค์ประกอบของชิ้นส่วนทั้งหมด ตอบสนองอยู๋บนฐานของการสร้างจักรยานในลักษณะที่เรียกรวมๆว่า "performance bike" ถ้าจะแปลเป็นไทยแบบง่ายๆก็คือ "รถเน้นซิ่ง" แน่นอนว่าในกลุ่มนี้ต้องเน้นออกมาในลักษณะของกิจกรรมจักรยานที่เน้นไปที่การปั่นทำความเร็วได้ดี ขี่สนุก อะไหล่ทั้งหมดต้องตอบความต้องการในการใช้งานเพื่อความท้าทายของผู้ขี่ได้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "ลุค" หรือรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ
เสป็ค จากเสป็คก็จะเห็นว่า ชื่อยี่ห้อต่างๆที่ SAVA จับมาประกอบกันเป็นรถสำเร็จ ล้วนแต่มีที่มาที่ไป และจุดเด่นคือการเลือกใช้ชุดขับเคลื่อน Shimano 105 แบบเต็มชุด (โซ่ไม่ใช่ 105 นะครับแต่เป็น KMC ก็หยวนๆไป) ไม่มีชิ้นไหนเป็น non-series หรือ house brand มาปะปัน และแน่นอนว่าเมื่อเป็น 105 ก็หมายถึงอยู่ในระดับมาตรฐานของกลุ่ม performance ได้อย่างเต็มตัว มีจำนวนเกียร์และกลไกการทำงานโดยรวมไม่แตกต่างอะไรจากรุ่นใหญ่ระดับแข่งขันและระดับโปร ซึ่งในอนาคตก็สามารถรองรับการอัพเกรดได้อย่างสะดวกง่ายดาย
จุดที่น่าสนใจคือการให้ชิ้นส่วนคาร์บอนเต็มที่หมดไล่มาตั้งแต่ล้อ ไปจนเสต็ม และแฮนด์คาร์บอน ที่พบได้ไม่บ่อยในกลุ่มเสือหมอบสุดคุ้ม หรือแม้แต่ เสือหมอบระดับกลางๆของแบรนด์ใหญ่ๆระดับโลก น้อยค่ายที่จะให้ข้อเสนอโดนๆมาแบบนี้ เอาง่ายๆถ้าซื้อไปแล้ว จะหาข้ออ้างในการอัพเกรดแฮนด์ และเสต็ม ไม่ง่ายเลย (แต่สุดท้าย 2 ชิ้นส่วนนี้ ก็จะเชื่อมโยงกับการทำฟิตติ้งและความเหมาะมือในการจับอยู่ดี บางทีไม่อยากเปลี่ยนก็จำต้องเปลี่ยน)
น้ำหนักของรถทั้งคัน ชั่งได้ที่ 8.6 กิโลกรัม แยกออกมาเป็นน้ำหนักล้อ+ยาง+เฟือง 3.1 กก. และน้ำหนักเฟรมรวมกับชิ้นส่วนที่เหลือทั้งหมด 5.5 กก. ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสป็คบอกและไม่สามารถจับรื้อชั่งได้ แต่เชื่อว่าเฟรมน่าจะมีน้ำหนักราวๆ 1.15-1.2 กก. บวกลบซัก 50 กริม เป็นน้ำหนักที่กลางๆครับสำหรับเฟรมคาร์บอนทรงแบบนี้ ไม่ถือว่าหนักมาและไม่ถือว่าเบาจนเป็นจุดเด่น
สิ่งที่ดูแล้วไม่ค่อยจะโดนใจคือชุดล้อที่ถึงแม้จะไม่ได้รื้อออกมาชั่นเช่นกัน แต่น้ำหนักรวมทั้งหมด 3.1 กก. ไม่ค่อยน่าชื่นใจสักเท่าไหร่ แต่ก็แลกกับหน้าตาที่สวยสด กับขอบคาร์บอนแท้ๆ 50 มม. ยางงัด ดุมโครโมลี่ ซี่ล้อแบบหน้าตัดกลม ที่แต่งเติมให้รถดูหล่อเต็มขั้นได้ ทางด้านสมรรถนะการขี่ ต้องไปลองกันจริงๆถึงจะบอกได้ และอย่างไรก็ตาม ล้อก็เป็นชิ้นส่วนแรกๆของอาการคันอยู่แล้ว คงไม่แปลกอะไรที่สุดท้ายจะไปหารองเท้าคู่ใหม่ที่ถูกใจกว่ามาลงกันให้ถูกโฉลกแต่ละท่านอยู่ดี
จุดขัดใจอีก 2 อย่างของผมในการสัมผัสแรกลองชมตัวจริงคือแฮนด์และผ้าพันแฮนด์ อันดับแรกเรื่องผ้าพันแฮนด์ที่ทำให้จักรยานคันนี้ดูมีราคาไม่น่าจะเกิน 2 หมื่นบาทไปได้ แทบจะอยากบอกไปเลยว่า ขายแพงกว่านี้อีกซักร้อยนึง แล้วช่วยหาผ้าพันแฮนด์ที่ดูดีกว่านี้เถอะครับ แต่คำตอบที่เกิดในใจผมทันทีก็คือ .... แล้วจะไปเอาอะไรมากกับผ้าพันแฮนด์ ไปหามาพันใหม่ก็ได้นี่นา ผมแนะนำว่า ผ้าพันแฮนด์ยี่ห้อปกติธรรมดา ราคาไม่เกิน 400 บาท รีบจัดมาพันได้เลยครับ แล้วจะรู้สึกดีขึ้นในการจับที่ถนัดมืออีกเยอะ
ส่วนแฮนด์แม้ว่าจุดที่ยึดกับเสต็มจะมาแบบโอเวอร์ไซส์ก็ตาม แต่ขนาดของแฮนด์ในส่วนอื่นๆเป็นแบบหน้าตัดท่อกลม รัศมีไซส์ปกติ เหมือนๆกับแฮนด์เสือหมอบยุคโครโมลี่นั่นล่ะครับ งานนี้ใครมือใหญ่ๆ มาจับต้องรู้สึกไม่สบายมือบนระยะทางยาวๆแน่นอน แต่ถ้าขี่บนระยะปกติสามัญ 1-2 ชั่วโมง ก็คงไม่ได้ก่อให้เกิดอาการกดมากจนพาลไม่สนุก ทางแก้ง่ายๆที่ทำได้แบบไม่ต้องเปลี่ยนแฮนด์ ก็ย้อนไปที่ผ้าพันแฮนด์ครับ ไปลองหาผ้าพันแฮนด์เบอร์หน้าๆ หรือเลือกใช้แบบเนื้อโฟมหนาๆก็จะช่วยได้ดี ถ้ายังไม่ถูกใจ ลองทำ double-wrap หรือพันสองชั้นไปเลย เท่านี้ก็จับได้เต็มมือขึ้นแล้ว
ทรงเฟรมเป็นแบบร่วมสมัย จังหวะและวิธีการออกแบบเลือกมาแบบสมัยนิยม ท่อนั่งรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ จากการออกแบบให้รับแรงได้ในหลายๆทิศทาง ท่อล่างบึกบึน ท่อคอแข็งแกร่ง หางหลังลดต่ำลงเพื่อช่วยในการลดแรงสะเทือนจากถนนที่จะมาถึงตัวผู้ขี่ได้ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบเน้นไปที่การสร้างสมดุลย์ให้ SAVA Steiner เป็นเสือหมอบที่มีความลงตัวโดยรวมมากกว่าเน้นไปที่ทิศทางหนึ่งมากเป็นพิเศษ ดังนั้น น้ำหนักที่ไม่ได้เบามากนัก ก็ชดเชยมาด้วยข้อดีทางด้านอื่นที่มาแทนที่ได้ไม่ยาก
มาทอลองปั่นกัน
ถึงแม้ว่าผมจะมีโอกาสได้ทดสอบขี่ SAVA Steiner ระยะเวลาสั้นๆ แต่จุดประสงค์หลักของการทดลองในครั้งนี้คือจับเอาบุคลิกภาพและทดลองขี่แบบต่างๆดูว่าเทียบแล้ว Steiner จะตอบสนองเราไปในทิศทางแบบไหนบ้าง จริงๆทุกอย่างของการทำบทความ "สัมผัสแรก" เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเซ็ทรถให้เหมาะสมกับตัวคนขี่เลยทีเดียว อย่างน้อยในไซส์ของผม นับว่าชิ้นส่วนต่างๆที่ให้มา ปรับให้เข้ากับสรีระได้ไม่ยากนัก ท่อคอไม่สั้นจนมี stack ต่ำเกินไป และไม่สุงจนต้องมองหาเสต็มมุมกดมากๆหากอยากจะซิ่ง ผมจัดการปรับองศาแฮนด์นิดๆหน่อย และเอาแหวนรองเสต็มออกจนหมด ก็ได้มิติรถที่ขี่สนุกใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าต้องการความดุดันกว่านี้ มองหาเสต็มที่ยาวขึ้นอีกนิดก็จะได้ท่าขี่ที่โหดขึ้นอีก (แต่ก็โหดกับสังขารด้วยเช่นกันนะครับ)
เบาะทรงหนานุ่ม เป็นปัญหาที่สุดในการปรับให้พอดีอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่ในการนั่งค่อนข้างกว้าง วางกระดูกก้น(เชิงกราน) ลงไปแล้วจัดหา sit zone ไม่ง่ายนัก ปรับขึ้นๆลงๆหน้าหลังอยู่พักใหญ่กว่าจะได้ลงตัวพอดีถูกระยะที่ควรเป็น ส่วนตัวผมมองว่าเบาะแบนและบาง ที่มีจำแหน่งนั่งชัดเจนไม่กว้างมาก ไม่ยุบตัวมาก จะจัดทำเซ็ทอัพรถได้ง่ายกว่า (เพราะมัน fix กว่าว่าต้องนั่งตรงไหนกันแน่) ทั้งนี้เรื่องเบาะนั้น "ก้นใครก้นมัน" ครับ
โดยรวมถือว่า SAVA เป็นรถที่ตอบสนองการเซ็ทอัพได้หลากหลาย ชิ้นส่วนในการจัดไซส์รถมาได้สมเหตุสมผล เรื่องการปรับง่ายหรือยากไม่ต้องใส่ใจกับมันมากครับ เพราะทุกๆท่านคงไม่ได้เปลี่ยนรถกันบ่อยๆ หรือต้องมาปรับรถให้เสร็จเร็วๆและดีที่สุดก่อนแน่ๆ แต่ต้องยอมรับกันอย่างนึงครับว่า รถสำเร็จบางตัว แค่เอาระยะต่างๆถ่ายมาลงก็ปั่นได้เลยไม่ต้องปรับละเอียดยิบย่อยมาก ถ้าถามผมว่าองค์ประกอบนี้อยู่ในเกณฑ์ไหน ก็ยกนิ้วให้ว่าดีครับ แต่ไม่สุดขีด ใครใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นชินกับมันหน่อยกว่าจะได้ตำแหน่งและระยะลงตัว หรือแนะนำให้ไปทำฟิตติ้งจริงจังไปเลยจะง่ายกว่า
จากนั้นลองมาขี่ช้าๆกันดูครับ ช้าขนาดเดินเร็วกว่า ช้าจนไมล์การ์มินไม่ขึ้นความเร็วนั่นแหละครับ ผมมักจะทำความรู้จักกับจักรยานทุกคันด้วยสิ่งนี้ก่อนที่จะเริ่มออกแรงใส่กัน เพราะผมเชื่อเสมอว่ารถที่ออกแบบมาดี จะส่งผลให้ได้รถที่ควบคุมได้ง่ายเสมอ มีสมดุลย์และการตอบสนองต่อการจัดสมดุลย์ของร่างกายเราได้อย่างดี ซึ่ง SAVA Steiner ทำได้ในระดับดีพอใช้ครับ ไม่ถึงกับว่าขี่ยาก แต่น่าจะเพราะองศาที่ออกไปทางซิ่งๆ และพยายามใส่บุคลิกภาพความซนเข้าไป ทำให้ได้รถที่ค่อนข้างยุกยิกมา แต่ในทางกลับกัน คันนี้กลับไม่ใช่รถวงเลี้ยวแคบเท่าไหร่นะครับ เป็นที่น่าแลปกใจพอสมควร เพราะรถซนๆส่วนมากวงเลี้ยวจะแคบ เรื่องการควบคุมรถและการถ่ายน้ำหนักจึงอยู่ในระดับพอใช้ แต่ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นข้อเสียที่เลวร้ายเลยครับ ขี่สองล้อเป็นก็ขี่ได้แน่นอนครับ อาจจะปล่อยสองมือยากนิดหน่อยในขั้นแรกๆ แต่ขี่ๆไปสักพัก มนุษย์เราเก่งครับ ไม่นานก็ปรับตัวกับมันได้ และชินกับมันไปเอง รายละเอียดเหล่านี้มันยิบย่อยมากๆ ถึงระดับของการออกแบบองศา และจุดศูนย์ถ่วงของเฟรมที่ต่างกันเพียงนิดเดียวก็ส่งผลแล้ว และถ้าจะให้บอกจริงๆ ตรงๆ จักรยานแบรนด์ที่แพงกว่านี้สองเท่าบางคัน ก็มีคุณสมบัติเรื่องการควบคุมแย่กว่านี้ก็มี!
หลังจากนั้นก็ทดลองปั่นกัน โดยที่ผมแบ่งการลองขี่ออกเป็น 4 แบบ ตามรูปแบบการใช้งานของเพื่อนๆนักปั่นทั่วๆไปครับ
1.ขี่กินลมชมวิว คุยกันไป อยากรู้ว่าที่ความเร็วต่ำๆ สบายๆ รถจะให้ความรู้สึกอย่างไร
2.ขี่ลากช่วงความเร็วสูงแช่ระยะหนึ่ง นิ่งๆ ผมเลือก pace ที่สร้างแรงกำลังวัตต์ได้นิ่งบนระยะ 10 นาทีแช่ไว้
3.ทดสอบดูการตอบสนองต่อการสปรินท์ ก็ง่ายๆครับ กระทืบ 20-30 วินาที แล้วสลับพักไปเรื่อยๆ
4.ทดลองดูว่าตั้งความเร็วลากมาไล่ไปจนสุดท้ายสปรินท์สุดๆแบบการแข่งจะเป็นอย่างไร
ที่การปั่นสบายๆ รับรู้ได้เลยว่าด้วยองค์ประกอบทั้งหมดของชิ้นส่วนคาร์บอนทำให้ SAVA Steiner เป็นรถที่ขี่สบาย แรงสะเทือนจากถนนน้อย เทียบกับแรงดันลมปกติที่ใช้แล้วถือว่าโดยรวมปั่นนุ่มนวลดีมากเลยครับ แบบนี้เอาไปขี่ 4-5 ชั่วโมงได้แน่นอน แต่ไม่ถึงกับนุ่มแบบพวกรถเอนดูแรนซ์ทำนองนั้น (เพราะรถเอนดูแรนซ์เดี๋ยวนี้แต่ละคัน ออกแบบมาล้ำจริงๆ กระจายแรงได้สุดขีดมากๆ) ผมขอยกให้จัดอยู๋เทียบชั้นรถขี่สบายแบบออลราวด์ได้เลย
พอทดสอบแช่กำลังนิ่งๆทำแรงบิดคงที่ระยะเวลานานๆ พบว่าจักรยานตอบสนองแรงได้ดีเลยทีเดียว ออกแรงลงไปเท่าไหร่ก็ไปได้หมดเต็มที่ที่ส่งแรงลงไป แต่ถ้าถามว่ากับล้อขอบสูงขนาดนี้เทียบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็ต้องบอกกันตรงๆครับว่านี่ไม่ใช่ล้อ"เหวี่ยง" อะไรมากมายนัก และกินลมเอาเรื่องเลยด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีลมกระแทกมา รถจะออกอาการตื้อให้เห็นทันที ยิ่งถ้าลมข้างด้วยแล้วแม้จะคุมรถเอาไว้ได้ไม่โบก ก็ตื้อต้องเสริมแรงย่ำตั้งขึ้นไปใหม่ทดระลอกลม ผมขอไม่ฟันนะครับว่าเป็นที่ล้อหรือเฟรม เพราะหากจะหากันขนาดนั้นคงต้องทดสอบกับล้อหลายๆชุด แต่รอบนี้เราเน้นไปที่รถสำเร็จ ก็ว่ากันตามเนื้อผ้าของล้อนี้เป็นหลัก
ส่วนการตอบสนองการสปรินท์ กำลังแมวๆอย่างผมสปรินท์ต่อเนื่องบนถนนอยู่ที่ราวๆ 600-700 วัตต์ กระทืบต่อกัน 4-5 ดอกก็ตกแล้ว ดังนั้นถ้าใครพลังเยอะกว่านี้ อาจตีความออกมาไม่เหมือนกันก็ได้ ส่วนถ้าใครที่คิดว่าไม่เน้นกระทืบแบบนี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ แต่ก็ขอเล่าไว้ใช่ว่าแล้วกัน โดยรวมผมไม่รู็สึกว่าเฟรมเป็นภาระอะไรในการกระทืบลงไป อาการหน่วงๆก็เป็นปกติของน้ำหนักล้อขนาดนี้ที่คาดเอาไว้แล้วว่านิสัย "พุ่ง" คงไม่ได้มาสุดแน่นอน แต่สิ่งที่น่าสงสัยมีเกิดขึ้น 2 จุด
1.ถ้าเอียงรถมากๆแล้วอัดลงไปจะรู้สึกว่าล้อมีอาการบิดตัวได้ แต่ไม่ถึงกับสีเบรคครับ และถ้าไม่ตั้งใจขย่มก็ไม่พบอาการด้วย อย่างไรก็ตาม แปลว่าถ้าน้ำหนักตัว 56-57 อย่างผมขย่มให้มันดึ๋งได้ ท่านๆที่หนัก 80+ อาจจะเกิดอาการเบรคสีได้ โดยเฉพาะบนเขาที่แรงบิดตัวมากๆ
2.ระหว่างสปรินท์แล้วทิ้งน้ำหนักตัวอัดให้รถโยกสวนแรงขา ผมรู็สึกว่าหน้ารถมีอาการให้ตัวเช่นกัน ซึ่งเมื่อปั่นเสร็จก็มาทดลองยืนจับบิดไปมาก็พบว่าเหตุของการบิดตัวมาจากแฮนด์เป็นหลัก เสต็มไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ ข้อนี้แก้ไขไม่ได้ครับนอกจากเปลี่ยนแฮนด์ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ... มันไม่ได้แปลว่ามันจะหักนะครับ การไม่สติฟ ไม่ได้แปลว่าไม่แข็งแรง มันแค่ทำให้ท่านเสียแรงไป 0.46872 วัตต์ การสปรินท์เต็มเหนี่ยว (ผมมั่วเลขนะครับอย่าคิดมาก เอาเป็นว่ามันส่งผลด้านความรู้สึกมากกว่า)
ทั้งหมดนี้บอกอะไรเราได้?
สังเกตุดีๆว่า สิ่งที่จับได้แทบทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่เฟรมครับ เฟรมนี้ทำงานได้ในระดับน่าพอใจเลยทีเดียว และเป็นนัยยะสำคัญที่ดีเพราะในจักรยานที่ดีสักคัน เราต้องการเฟรมที่ดีมาก่อน ส่วนอื่นๆสามารถปรับแต่งเปลี่ยนบุคลิกกันได้ไม่ยากหรอก
และสุดท้ายเมื่อจับมาทิ้งทวนหน้าเส้นกัน ก็สรุปได้ว่า ที่ความเร็วสูงๆ 45+ เจ้า Steiner แบบเดิมๆจากโรงงานพาให้หอบได้แล้ว พอทะยานไล่ไปหาย่านเลข 5 ก่อนจะเป็นช่วงส่งตัวเข้าห้องหอก็เริ่มหน้าเบี้ยวแล้วล่ะครับ องค์ประกอบนี้เป็นผลพวงจากล้อที่แม้จะขอบสูงแต่ก็ไม่ได้แอโร่ฯมากนักตามปกติวิสัยของล้อหล่อติดรถ สุดท้ายพออัดสุดตัวออกไปจึงต้องใช้แรงสูงในการไต่ขึ้นไปหาแรงบิดสูงสุดที่มีปัญญาทำได้ และกลายเป็นอุปสรรคในการแช่ค้างเอาไว้เพื่อรักษาความเร็วท้ายสุด ใครอยากเอา Steiner ไปลงสนามแข่งแล้วไปหวดหน้าเส้น เตรียมระยะทำการให้พอดีนะครับ
ฟังดูแล้วเหมือนมีข้อเสียจนน่าผิดหวัง? ไม่ใช่เลยครับ เพราะทั้งหมดนี้มาในราคาค่าตัว สี่หมื่นบาทมีทอน ราคานีั้ ได้รถที่ตอบสนองการขี่แนวซิ่งได้ระดับนี้ ขี่สบายแบบนี้ ถือว่าแบรนด์นี้จับเอาข้อเสนอดีเกินราคามารวมกันแล้ว ข้อเสียอื่นๆที่มาก็เป็นข้อเสียปกติวิสัยของรถในระดับเดียวๆกัน ดังนั้นสรุปกันให้ตรงๆก็คือ ในราคาที่เปิดมา มีจุดเด่นเหนือกว่าตลาดอื่นๆตรงลักษณะของรถที่ครบเครื่อง มาพร้อมอะไหล่ที่เต็มชุด ชิ้นส่วนคาร์บอน ล้อสวย และลงตัวกับรูปลักษณ์ของจักรยาน เป็นฐานอันดีสำหรับการต่อยอดไปสู่ชิ้นส่วนอื่นๆเมื่อต้องการอัพเกรด ถ้าท่านจะใจแข็ง อัพไปทั้งคนจนสุดทางเหลือแต่เฟรมเอาไว้ ผมก็คิดว่าโดยรวมก็ยังได้รถที่ขี่ดีในระดับที่ฟาดงานแข่งสนุกสนานได้ไม่ต้องกลัวว่าจะรองแรงเท้าไม่ไหว และเหลือเฟือ เกินพอสำหรับการขี่ออกกำลังกาย ออกทริป จะปั่นทางไกลก็รับได้ จะเน้นปั่นสนุกก็รับไหว
ที่สำคัญที่ละเสียมิได้
หน้าตาแบบนี้ แต่งสวยไม่ยากเลยครับ และก่อนที่จะมีคอมเม้นต์ให้เห็นกัน ผมยืนยันข้อเสีย (ที่ได้บอกผู้นำเข้าไปตรงๆแล้วด้วย) ว่าทำไมหนอ ชื่อต้อง "...ว่า" ชื่ออื่นมีตั้งมากมายไม่ยอมตั้งกัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับรถดีหรือไม่ดีหรอกครับ แต่อย่าบอกนะว่า....คุณไม่คิด?
สุดท้าย... ไปชม และสัมผัสตัวจริงได้ที่งาน International Bangkok Bike 2016 เมืองทองธานี 6-9 ตุลาคมนี้ กับบูธอลังการงานสร้างกว่า 100 ตารางเมตร (9x14 เมตร) อย่าคิดว่าแบรนด์เน้นคุ้มแบบนี้จะมาแบขายอย่างเดียวนะครับ ผู้นำเข้าเตรียมจัดแสดงเอาไว้รอทุกท่าน รวมแล้วกว่าครึ่งล้านบาท !!
เสียงค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ว่า...คันนี้สวยเตะตามาก[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 034577.jpg[/homeimg]
พบกันอีกรอบนะครับ กับบทความแนะนำรถแบรนด์ใหม่ ที่ครั้งนี้ได้รับรถตัวอย่างมาให้ลองขี่กันจริงๆในระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นผมขอเน้นไปที่เรื่องของการพูดคัยแบบ "สัมผัสแรก" หรือฝรั่งเรียกมันว่า "first ride" เป็นหลัก อาจจะไม่สามารถลงลึกกันได้จริงๆว่าเบื้องลึกแล้วเจ้ารถสีสันจับตา รูปทรงสวยจับใจคันนี้ มีรายละเอียดการใช้งานจริงแบบไหน แต่รับรองว่าเพียงพอที่จะบอกเล่าบุคลิกภาพของรถคันนี้ได้แบบไม่ผิดทางอย่างแน่นอน
ขอยืนยันอีกครั้งตามคอนเซ็ปท์ของช่วงนี้ว่า "อำนาจอยู่ในมือของเรา" เมื่อเกิดการแข่งขันทางด้านการขายของบรรดาผู้นำเข้าจักรยานแบรนด์ต่างๆมากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์แห่งสยามประเทศ จากที่เคยเป็นกลุ่มเล็กๆกลายเป็นตลาดขนาดใหญ่ จากที่เคยเป็นตัวเลือกของหลักๆไม่กี่เจ้า ก็ขยายขึ้นมาเป็นแบรนด์ต่างๆมากมาย และเมื่อการแข่งขันยังไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่ตามมาคือสวรรค์ของพวกเรานักปั่น ที่มีแบรนด์ต่างๆพุ่งเข้ามาเป็นทางเลือกที่หลากหลาย แตกต่าง และเข้าถึงกระดองใจของแต่ละคนมากขึ้น แน่นอนครับว่าทุกเจ้าย่อมนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดที่ตนเชื่อมั่นให้กับพวกเรา แต่ในฐานะของตัวแทนเพื่อนๆนักปั่น วันนี้ผมขอแนะนำ SAVA และลองมาหากันดูว่า ใครที่น่าจะถูกใจกับน้องใหม่ค่ายนี้
SAVA
ตามข้อมูลอย่างเป็นทางการ แบรนด์ "ซาว่า" ถูกกำเนิดและจดทะเบียนอยู่ที่เยอรมัน โดยเริ่มต้นจากการเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์จักรยาน โดยมีฐานการผลิตอยู่ในประเทศจีน เป็นเจ้าของโรงงานผลิตเอง ต่อมาจึงก็ได้ผลิตจักรยานในแบรนด์ตนเองออกมาขาย หลังจากที่เป็นแหล่งผลิตให้กับชิ้นส่วนและแบรนด์อื่นๆมาได้ระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งตัวอักษรทั้ง 4 ตัวของชื่อ"ซาว่า" หมายถึงสมรรถนะสำคัญทั้ง 4 ของจักรยานที่ดีควรจะมี รวมกันอยู่ในส่วนผสมที่ลงตัวของ SAVA นั่นเอง
SAVA Steiner
"สไตเนอร์" เป็นเสือหมอบในกลุ่มระดับกลาง ที่พร้อมจะเป็นจักรยานสำหรับการออกกำลังกาย ถึงระดับเริ่มต้นไปสู่เส้นทางของการกีฬาอย่างพอดี ด้วยการออกแบบและเลือกองค์ประกอบของชิ้นส่วนทั้งหมด ตอบสนองอยู๋บนฐานของการสร้างจักรยานในลักษณะที่เรียกรวมๆว่า "performance bike" ถ้าจะแปลเป็นไทยแบบง่ายๆก็คือ "รถเน้นซิ่ง" แน่นอนว่าในกลุ่มนี้ต้องเน้นออกมาในลักษณะของกิจกรรมจักรยานที่เน้นไปที่การปั่นทำความเร็วได้ดี ขี่สนุก อะไหล่ทั้งหมดต้องตอบความต้องการในการใช้งานเพื่อความท้าทายของผู้ขี่ได้ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ "ลุค" หรือรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวเร้าใจ
เสป็ค จากเสป็คก็จะเห็นว่า ชื่อยี่ห้อต่างๆที่ SAVA จับมาประกอบกันเป็นรถสำเร็จ ล้วนแต่มีที่มาที่ไป และจุดเด่นคือการเลือกใช้ชุดขับเคลื่อน Shimano 105 แบบเต็มชุด (โซ่ไม่ใช่ 105 นะครับแต่เป็น KMC ก็หยวนๆไป) ไม่มีชิ้นไหนเป็น non-series หรือ house brand มาปะปัน และแน่นอนว่าเมื่อเป็น 105 ก็หมายถึงอยู่ในระดับมาตรฐานของกลุ่ม performance ได้อย่างเต็มตัว มีจำนวนเกียร์และกลไกการทำงานโดยรวมไม่แตกต่างอะไรจากรุ่นใหญ่ระดับแข่งขันและระดับโปร ซึ่งในอนาคตก็สามารถรองรับการอัพเกรดได้อย่างสะดวกง่ายดาย
จุดที่น่าสนใจคือการให้ชิ้นส่วนคาร์บอนเต็มที่หมดไล่มาตั้งแต่ล้อ ไปจนเสต็ม และแฮนด์คาร์บอน ที่พบได้ไม่บ่อยในกลุ่มเสือหมอบสุดคุ้ม หรือแม้แต่ เสือหมอบระดับกลางๆของแบรนด์ใหญ่ๆระดับโลก น้อยค่ายที่จะให้ข้อเสนอโดนๆมาแบบนี้ เอาง่ายๆถ้าซื้อไปแล้ว จะหาข้ออ้างในการอัพเกรดแฮนด์ และเสต็ม ไม่ง่ายเลย (แต่สุดท้าย 2 ชิ้นส่วนนี้ ก็จะเชื่อมโยงกับการทำฟิตติ้งและความเหมาะมือในการจับอยู่ดี บางทีไม่อยากเปลี่ยนก็จำต้องเปลี่ยน)
น้ำหนักของรถทั้งคัน ชั่งได้ที่ 8.6 กิโลกรัม แยกออกมาเป็นน้ำหนักล้อ+ยาง+เฟือง 3.1 กก. และน้ำหนักเฟรมรวมกับชิ้นส่วนที่เหลือทั้งหมด 5.5 กก. ถึงแม้ว่าจะไม่มีเสป็คบอกและไม่สามารถจับรื้อชั่งได้ แต่เชื่อว่าเฟรมน่าจะมีน้ำหนักราวๆ 1.15-1.2 กก. บวกลบซัก 50 กริม เป็นน้ำหนักที่กลางๆครับสำหรับเฟรมคาร์บอนทรงแบบนี้ ไม่ถือว่าหนักมาและไม่ถือว่าเบาจนเป็นจุดเด่น
สิ่งที่ดูแล้วไม่ค่อยจะโดนใจคือชุดล้อที่ถึงแม้จะไม่ได้รื้อออกมาชั่นเช่นกัน แต่น้ำหนักรวมทั้งหมด 3.1 กก. ไม่ค่อยน่าชื่นใจสักเท่าไหร่ แต่ก็แลกกับหน้าตาที่สวยสด กับขอบคาร์บอนแท้ๆ 50 มม. ยางงัด ดุมโครโมลี่ ซี่ล้อแบบหน้าตัดกลม ที่แต่งเติมให้รถดูหล่อเต็มขั้นได้ ทางด้านสมรรถนะการขี่ ต้องไปลองกันจริงๆถึงจะบอกได้ และอย่างไรก็ตาม ล้อก็เป็นชิ้นส่วนแรกๆของอาการคันอยู่แล้ว คงไม่แปลกอะไรที่สุดท้ายจะไปหารองเท้าคู่ใหม่ที่ถูกใจกว่ามาลงกันให้ถูกโฉลกแต่ละท่านอยู่ดี
จุดขัดใจอีก 2 อย่างของผมในการสัมผัสแรกลองชมตัวจริงคือแฮนด์และผ้าพันแฮนด์ อันดับแรกเรื่องผ้าพันแฮนด์ที่ทำให้จักรยานคันนี้ดูมีราคาไม่น่าจะเกิน 2 หมื่นบาทไปได้ แทบจะอยากบอกไปเลยว่า ขายแพงกว่านี้อีกซักร้อยนึง แล้วช่วยหาผ้าพันแฮนด์ที่ดูดีกว่านี้เถอะครับ แต่คำตอบที่เกิดในใจผมทันทีก็คือ .... แล้วจะไปเอาอะไรมากกับผ้าพันแฮนด์ ไปหามาพันใหม่ก็ได้นี่นา ผมแนะนำว่า ผ้าพันแฮนด์ยี่ห้อปกติธรรมดา ราคาไม่เกิน 400 บาท รีบจัดมาพันได้เลยครับ แล้วจะรู้สึกดีขึ้นในการจับที่ถนัดมืออีกเยอะ
ส่วนแฮนด์แม้ว่าจุดที่ยึดกับเสต็มจะมาแบบโอเวอร์ไซส์ก็ตาม แต่ขนาดของแฮนด์ในส่วนอื่นๆเป็นแบบหน้าตัดท่อกลม รัศมีไซส์ปกติ เหมือนๆกับแฮนด์เสือหมอบยุคโครโมลี่นั่นล่ะครับ งานนี้ใครมือใหญ่ๆ มาจับต้องรู้สึกไม่สบายมือบนระยะทางยาวๆแน่นอน แต่ถ้าขี่บนระยะปกติสามัญ 1-2 ชั่วโมง ก็คงไม่ได้ก่อให้เกิดอาการกดมากจนพาลไม่สนุก ทางแก้ง่ายๆที่ทำได้แบบไม่ต้องเปลี่ยนแฮนด์ ก็ย้อนไปที่ผ้าพันแฮนด์ครับ ไปลองหาผ้าพันแฮนด์เบอร์หน้าๆ หรือเลือกใช้แบบเนื้อโฟมหนาๆก็จะช่วยได้ดี ถ้ายังไม่ถูกใจ ลองทำ double-wrap หรือพันสองชั้นไปเลย เท่านี้ก็จับได้เต็มมือขึ้นแล้ว
ทรงเฟรมเป็นแบบร่วมสมัย จังหวะและวิธีการออกแบบเลือกมาแบบสมัยนิยม ท่อนั่งรูปทรงเป็นเอกลักษณ์ จากการออกแบบให้รับแรงได้ในหลายๆทิศทาง ท่อล่างบึกบึน ท่อคอแข็งแกร่ง หางหลังลดต่ำลงเพื่อช่วยในการลดแรงสะเทือนจากถนนที่จะมาถึงตัวผู้ขี่ได้ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบเน้นไปที่การสร้างสมดุลย์ให้ SAVA Steiner เป็นเสือหมอบที่มีความลงตัวโดยรวมมากกว่าเน้นไปที่ทิศทางหนึ่งมากเป็นพิเศษ ดังนั้น น้ำหนักที่ไม่ได้เบามากนัก ก็ชดเชยมาด้วยข้อดีทางด้านอื่นที่มาแทนที่ได้ไม่ยาก
มาทอลองปั่นกัน
ถึงแม้ว่าผมจะมีโอกาสได้ทดสอบขี่ SAVA Steiner ระยะเวลาสั้นๆ แต่จุดประสงค์หลักของการทดลองในครั้งนี้คือจับเอาบุคลิกภาพและทดลองขี่แบบต่างๆดูว่าเทียบแล้ว Steiner จะตอบสนองเราไปในทิศทางแบบไหนบ้าง จริงๆทุกอย่างของการทำบทความ "สัมผัสแรก" เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการเซ็ทรถให้เหมาะสมกับตัวคนขี่เลยทีเดียว อย่างน้อยในไซส์ของผม นับว่าชิ้นส่วนต่างๆที่ให้มา ปรับให้เข้ากับสรีระได้ไม่ยากนัก ท่อคอไม่สั้นจนมี stack ต่ำเกินไป และไม่สุงจนต้องมองหาเสต็มมุมกดมากๆหากอยากจะซิ่ง ผมจัดการปรับองศาแฮนด์นิดๆหน่อย และเอาแหวนรองเสต็มออกจนหมด ก็ได้มิติรถที่ขี่สนุกใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าต้องการความดุดันกว่านี้ มองหาเสต็มที่ยาวขึ้นอีกนิดก็จะได้ท่าขี่ที่โหดขึ้นอีก (แต่ก็โหดกับสังขารด้วยเช่นกันนะครับ)
เบาะทรงหนานุ่ม เป็นปัญหาที่สุดในการปรับให้พอดีอย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่ในการนั่งค่อนข้างกว้าง วางกระดูกก้น(เชิงกราน) ลงไปแล้วจัดหา sit zone ไม่ง่ายนัก ปรับขึ้นๆลงๆหน้าหลังอยู่พักใหญ่กว่าจะได้ลงตัวพอดีถูกระยะที่ควรเป็น ส่วนตัวผมมองว่าเบาะแบนและบาง ที่มีจำแหน่งนั่งชัดเจนไม่กว้างมาก ไม่ยุบตัวมาก จะจัดทำเซ็ทอัพรถได้ง่ายกว่า (เพราะมัน fix กว่าว่าต้องนั่งตรงไหนกันแน่) ทั้งนี้เรื่องเบาะนั้น "ก้นใครก้นมัน" ครับ
โดยรวมถือว่า SAVA เป็นรถที่ตอบสนองการเซ็ทอัพได้หลากหลาย ชิ้นส่วนในการจัดไซส์รถมาได้สมเหตุสมผล เรื่องการปรับง่ายหรือยากไม่ต้องใส่ใจกับมันมากครับ เพราะทุกๆท่านคงไม่ได้เปลี่ยนรถกันบ่อยๆ หรือต้องมาปรับรถให้เสร็จเร็วๆและดีที่สุดก่อนแน่ๆ แต่ต้องยอมรับกันอย่างนึงครับว่า รถสำเร็จบางตัว แค่เอาระยะต่างๆถ่ายมาลงก็ปั่นได้เลยไม่ต้องปรับละเอียดยิบย่อยมาก ถ้าถามผมว่าองค์ประกอบนี้อยู่ในเกณฑ์ไหน ก็ยกนิ้วให้ว่าดีครับ แต่ไม่สุดขีด ใครใส่ใจกับเรื่องแบบนี้ อาจต้องใช้เวลาทำความคุ้นชินกับมันหน่อยกว่าจะได้ตำแหน่งและระยะลงตัว หรือแนะนำให้ไปทำฟิตติ้งจริงจังไปเลยจะง่ายกว่า
จากนั้นลองมาขี่ช้าๆกันดูครับ ช้าขนาดเดินเร็วกว่า ช้าจนไมล์การ์มินไม่ขึ้นความเร็วนั่นแหละครับ ผมมักจะทำความรู้จักกับจักรยานทุกคันด้วยสิ่งนี้ก่อนที่จะเริ่มออกแรงใส่กัน เพราะผมเชื่อเสมอว่ารถที่ออกแบบมาดี จะส่งผลให้ได้รถที่ควบคุมได้ง่ายเสมอ มีสมดุลย์และการตอบสนองต่อการจัดสมดุลย์ของร่างกายเราได้อย่างดี ซึ่ง SAVA Steiner ทำได้ในระดับดีพอใช้ครับ ไม่ถึงกับว่าขี่ยาก แต่น่าจะเพราะองศาที่ออกไปทางซิ่งๆ และพยายามใส่บุคลิกภาพความซนเข้าไป ทำให้ได้รถที่ค่อนข้างยุกยิกมา แต่ในทางกลับกัน คันนี้กลับไม่ใช่รถวงเลี้ยวแคบเท่าไหร่นะครับ เป็นที่น่าแลปกใจพอสมควร เพราะรถซนๆส่วนมากวงเลี้ยวจะแคบ เรื่องการควบคุมรถและการถ่ายน้ำหนักจึงอยู่ในระดับพอใช้ แต่ก็อย่าไปคิดว่ามันเป็นข้อเสียที่เลวร้ายเลยครับ ขี่สองล้อเป็นก็ขี่ได้แน่นอนครับ อาจจะปล่อยสองมือยากนิดหน่อยในขั้นแรกๆ แต่ขี่ๆไปสักพัก มนุษย์เราเก่งครับ ไม่นานก็ปรับตัวกับมันได้ และชินกับมันไปเอง รายละเอียดเหล่านี้มันยิบย่อยมากๆ ถึงระดับของการออกแบบองศา และจุดศูนย์ถ่วงของเฟรมที่ต่างกันเพียงนิดเดียวก็ส่งผลแล้ว และถ้าจะให้บอกจริงๆ ตรงๆ จักรยานแบรนด์ที่แพงกว่านี้สองเท่าบางคัน ก็มีคุณสมบัติเรื่องการควบคุมแย่กว่านี้ก็มี!
หลังจากนั้นก็ทดลองปั่นกัน โดยที่ผมแบ่งการลองขี่ออกเป็น 4 แบบ ตามรูปแบบการใช้งานของเพื่อนๆนักปั่นทั่วๆไปครับ
1.ขี่กินลมชมวิว คุยกันไป อยากรู้ว่าที่ความเร็วต่ำๆ สบายๆ รถจะให้ความรู้สึกอย่างไร
2.ขี่ลากช่วงความเร็วสูงแช่ระยะหนึ่ง นิ่งๆ ผมเลือก pace ที่สร้างแรงกำลังวัตต์ได้นิ่งบนระยะ 10 นาทีแช่ไว้
3.ทดสอบดูการตอบสนองต่อการสปรินท์ ก็ง่ายๆครับ กระทืบ 20-30 วินาที แล้วสลับพักไปเรื่อยๆ
4.ทดลองดูว่าตั้งความเร็วลากมาไล่ไปจนสุดท้ายสปรินท์สุดๆแบบการแข่งจะเป็นอย่างไร
ที่การปั่นสบายๆ รับรู้ได้เลยว่าด้วยองค์ประกอบทั้งหมดของชิ้นส่วนคาร์บอนทำให้ SAVA Steiner เป็นรถที่ขี่สบาย แรงสะเทือนจากถนนน้อย เทียบกับแรงดันลมปกติที่ใช้แล้วถือว่าโดยรวมปั่นนุ่มนวลดีมากเลยครับ แบบนี้เอาไปขี่ 4-5 ชั่วโมงได้แน่นอน แต่ไม่ถึงกับนุ่มแบบพวกรถเอนดูแรนซ์ทำนองนั้น (เพราะรถเอนดูแรนซ์เดี๋ยวนี้แต่ละคัน ออกแบบมาล้ำจริงๆ กระจายแรงได้สุดขีดมากๆ) ผมขอยกให้จัดอยู๋เทียบชั้นรถขี่สบายแบบออลราวด์ได้เลย
พอทดสอบแช่กำลังนิ่งๆทำแรงบิดคงที่ระยะเวลานานๆ พบว่าจักรยานตอบสนองแรงได้ดีเลยทีเดียว ออกแรงลงไปเท่าไหร่ก็ไปได้หมดเต็มที่ที่ส่งแรงลงไป แต่ถ้าถามว่ากับล้อขอบสูงขนาดนี้เทียบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็ต้องบอกกันตรงๆครับว่านี่ไม่ใช่ล้อ"เหวี่ยง" อะไรมากมายนัก และกินลมเอาเรื่องเลยด้วย เมื่อไหร่ก็ตามที่มีลมกระแทกมา รถจะออกอาการตื้อให้เห็นทันที ยิ่งถ้าลมข้างด้วยแล้วแม้จะคุมรถเอาไว้ได้ไม่โบก ก็ตื้อต้องเสริมแรงย่ำตั้งขึ้นไปใหม่ทดระลอกลม ผมขอไม่ฟันนะครับว่าเป็นที่ล้อหรือเฟรม เพราะหากจะหากันขนาดนั้นคงต้องทดสอบกับล้อหลายๆชุด แต่รอบนี้เราเน้นไปที่รถสำเร็จ ก็ว่ากันตามเนื้อผ้าของล้อนี้เป็นหลัก
ส่วนการตอบสนองการสปรินท์ กำลังแมวๆอย่างผมสปรินท์ต่อเนื่องบนถนนอยู่ที่ราวๆ 600-700 วัตต์ กระทืบต่อกัน 4-5 ดอกก็ตกแล้ว ดังนั้นถ้าใครพลังเยอะกว่านี้ อาจตีความออกมาไม่เหมือนกันก็ได้ ส่วนถ้าใครที่คิดว่าไม่เน้นกระทืบแบบนี้ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงครับ แต่ก็ขอเล่าไว้ใช่ว่าแล้วกัน โดยรวมผมไม่รู็สึกว่าเฟรมเป็นภาระอะไรในการกระทืบลงไป อาการหน่วงๆก็เป็นปกติของน้ำหนักล้อขนาดนี้ที่คาดเอาไว้แล้วว่านิสัย "พุ่ง" คงไม่ได้มาสุดแน่นอน แต่สิ่งที่น่าสงสัยมีเกิดขึ้น 2 จุด
1.ถ้าเอียงรถมากๆแล้วอัดลงไปจะรู้สึกว่าล้อมีอาการบิดตัวได้ แต่ไม่ถึงกับสีเบรคครับ และถ้าไม่ตั้งใจขย่มก็ไม่พบอาการด้วย อย่างไรก็ตาม แปลว่าถ้าน้ำหนักตัว 56-57 อย่างผมขย่มให้มันดึ๋งได้ ท่านๆที่หนัก 80+ อาจจะเกิดอาการเบรคสีได้ โดยเฉพาะบนเขาที่แรงบิดตัวมากๆ
2.ระหว่างสปรินท์แล้วทิ้งน้ำหนักตัวอัดให้รถโยกสวนแรงขา ผมรู็สึกว่าหน้ารถมีอาการให้ตัวเช่นกัน ซึ่งเมื่อปั่นเสร็จก็มาทดลองยืนจับบิดไปมาก็พบว่าเหตุของการบิดตัวมาจากแฮนด์เป็นหลัก เสต็มไม่ค่อยเป็นปัญหาเท่าไหร่ ข้อนี้แก้ไขไม่ได้ครับนอกจากเปลี่ยนแฮนด์ แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ... มันไม่ได้แปลว่ามันจะหักนะครับ การไม่สติฟ ไม่ได้แปลว่าไม่แข็งแรง มันแค่ทำให้ท่านเสียแรงไป 0.46872 วัตต์ การสปรินท์เต็มเหนี่ยว (ผมมั่วเลขนะครับอย่าคิดมาก เอาเป็นว่ามันส่งผลด้านความรู้สึกมากกว่า)
ทั้งหมดนี้บอกอะไรเราได้?
สังเกตุดีๆว่า สิ่งที่จับได้แทบทั้งหมด ไม่ได้อยู่ที่เฟรมครับ เฟรมนี้ทำงานได้ในระดับน่าพอใจเลยทีเดียว และเป็นนัยยะสำคัญที่ดีเพราะในจักรยานที่ดีสักคัน เราต้องการเฟรมที่ดีมาก่อน ส่วนอื่นๆสามารถปรับแต่งเปลี่ยนบุคลิกกันได้ไม่ยากหรอก
และสุดท้ายเมื่อจับมาทิ้งทวนหน้าเส้นกัน ก็สรุปได้ว่า ที่ความเร็วสูงๆ 45+ เจ้า Steiner แบบเดิมๆจากโรงงานพาให้หอบได้แล้ว พอทะยานไล่ไปหาย่านเลข 5 ก่อนจะเป็นช่วงส่งตัวเข้าห้องหอก็เริ่มหน้าเบี้ยวแล้วล่ะครับ องค์ประกอบนี้เป็นผลพวงจากล้อที่แม้จะขอบสูงแต่ก็ไม่ได้แอโร่ฯมากนักตามปกติวิสัยของล้อหล่อติดรถ สุดท้ายพออัดสุดตัวออกไปจึงต้องใช้แรงสูงในการไต่ขึ้นไปหาแรงบิดสูงสุดที่มีปัญญาทำได้ และกลายเป็นอุปสรรคในการแช่ค้างเอาไว้เพื่อรักษาความเร็วท้ายสุด ใครอยากเอา Steiner ไปลงสนามแข่งแล้วไปหวดหน้าเส้น เตรียมระยะทำการให้พอดีนะครับ
ฟังดูแล้วเหมือนมีข้อเสียจนน่าผิดหวัง? ไม่ใช่เลยครับ เพราะทั้งหมดนี้มาในราคาค่าตัว สี่หมื่นบาทมีทอน ราคานีั้ ได้รถที่ตอบสนองการขี่แนวซิ่งได้ระดับนี้ ขี่สบายแบบนี้ ถือว่าแบรนด์นี้จับเอาข้อเสนอดีเกินราคามารวมกันแล้ว ข้อเสียอื่นๆที่มาก็เป็นข้อเสียปกติวิสัยของรถในระดับเดียวๆกัน ดังนั้นสรุปกันให้ตรงๆก็คือ ในราคาที่เปิดมา มีจุดเด่นเหนือกว่าตลาดอื่นๆตรงลักษณะของรถที่ครบเครื่อง มาพร้อมอะไหล่ที่เต็มชุด ชิ้นส่วนคาร์บอน ล้อสวย และลงตัวกับรูปลักษณ์ของจักรยาน เป็นฐานอันดีสำหรับการต่อยอดไปสู่ชิ้นส่วนอื่นๆเมื่อต้องการอัพเกรด ถ้าท่านจะใจแข็ง อัพไปทั้งคนจนสุดทางเหลือแต่เฟรมเอาไว้ ผมก็คิดว่าโดยรวมก็ยังได้รถที่ขี่ดีในระดับที่ฟาดงานแข่งสนุกสนานได้ไม่ต้องกลัวว่าจะรองแรงเท้าไม่ไหว และเหลือเฟือ เกินพอสำหรับการขี่ออกกำลังกาย ออกทริป จะปั่นทางไกลก็รับได้ จะเน้นปั่นสนุกก็รับไหว
ที่สำคัญที่ละเสียมิได้
หน้าตาแบบนี้ แต่งสวยไม่ยากเลยครับ และก่อนที่จะมีคอมเม้นต์ให้เห็นกัน ผมยืนยันข้อเสีย (ที่ได้บอกผู้นำเข้าไปตรงๆแล้วด้วย) ว่าทำไมหนอ ชื่อต้อง "...ว่า" ชื่ออื่นมีตั้งมากมายไม่ยอมตั้งกัน มันไม่เกี่ยวอะไรกับรถดีหรือไม่ดีหรอกครับ แต่อย่าบอกนะว่า....คุณไม่คิด?
สุดท้าย... ไปชม และสัมผัสตัวจริงได้ที่งาน International Bangkok Bike 2016 เมืองทองธานี 6-9 ตุลาคมนี้ กับบูธอลังการงานสร้างกว่า 100 ตารางเมตร (9x14 เมตร) อย่าคิดว่าแบรนด์เน้นคุ้มแบบนี้จะมาแบขายอย่างเดียวนะครับ ผู้นำเข้าเตรียมจัดแสดงเอาไว้รอทุกท่าน รวมแล้วกว่าครึ่งล้านบาท !!
เสียงค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ว่า...คันนี้สวยเตะตามาก[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 034577.jpg[/homeimg]