ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ผู้ดูแล: Cycling B®y, spinbike, velocity
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3092
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
- Tel: 0865040751
- team: Team Bike And Body Cycoling
- Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
- ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
- ติดต่อ:
ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ปัญหาหัวใจ
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องราวของหัวใจอันอ้างว้าง หรือความโสดสนิทเอาเศร้าหมองของนางแบบสาวนะครับ เรื่องนั้นไปแก้ไขด้วยตัวเอง แต่ที่ต้องจับมาทดลองกันหน่อยเพราะเป็นปัญหาที่หลายๆคนสนใจกันมาก และเกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานโดยตรงเลย เมื่อเราใช้"ชีพจร" เป็นตัวบ่งบอกทั้งการตอบสนองและเป็นเครื่องชี้วัดการปั่นและพัฒนาการโดยรวมของการปั่นจักรยาน ซึ่งหนึ่งในปัญหาหลักที่พบกันบ่อยมากที่สุดคือ "หัวใจสุง" หรือว่ากันตามหลักการก็หมายถึง "อัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น" ซึ่งมีสาเหตุเป็นไปได้มากมายตั้งแต่ปัญหาด้าน"กรรม" หรือตัวของผู้ปั่นเองมีกายภาพเช่นนั้นไปจนปัญหาโลกแตกซึ่งก็คือ "ความแน่นอนของฮาร์ทเรทโมนิเตอร์" หรือว่ากันอีกอย่างก็คือ เครื่องมือวัดที่มีความคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง
หนูทดลองในกรณีนี้คือ "น้องมิณมิณ" สมาชิกในทีม Bike And Body Cycling ที่มีขนาดสารร่างที่จิ๋วที่สุด หรือถูกเรียกกันติดปากว่า"สเมิร์ฟ" ความสูงที่แทบจะคร่อมจักรยานไม่ได้ น้ำหนักตัวไม่เกิน 45 กก. ยังไม่นับขนาดเท้า เสื้อ และหมวก ที่แทบจะใส่ไซส์เล็กสุดของทุกยี่ห้อไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่กลายเป็นบ่อเกิดของปัญหาหัวใจในครั้งนี้ต้องมาขุดคุ้ยกัน
ปัญหาที่พบ
ในการปั่นโดยทั่วไป บนทางราบปกติ ที่ระดับความหนักและความเร็วปกติของค่าเฉลี่ยของร่างกายสมาชิกในทีมโดยรวม ส่วนมากแล้วทุกคนจะมีหัวใจตอบสนองอยู่ในช่วงที่สมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ที่ระดับความหนักของ Pace 2 หรือช่วงแอโรบิคทั่วไป สมาชิกโดยส่วนมากจะมีหัวใจเต้นอยู่ที่ 100-125 ครั้งต่อนาทีจากการติดตามเช็คทุกครั้งขณะปั่น แต่ "น้องมิณมิณ" จะมีหัวใจเด้งไปอยู่ที่ 160+ ให้ตกใจกันทันที และหากเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังเริ่มเหนื่อยกับหัวใจเต้นราวๆ 160 ครั้งต่อนาที น้องมิณมิณ จะมีหัวใจเต้นราวๆ 180 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป และยังสามารถยืนระยะนั้นต่อไปได้
ถามตอบกันได้สั้นๆ เป็นที่ฉงน สงสัยของทุกคนทั้งในทีมและนอกทีมที่อยู่รอบๆตัวเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นในครั้งนี้มีโอกาสผมจึงนัดมาเพื่อทำการทดลองง่ายๆเพื่อขอดูการตอบสนองของหัวใจที่มีต่อความหนักในแต่ละช่วงอย่างจำเพาะเจาะจงสักนิด เพื่อตัดปัจจัยหลายๆอย่างออกไป กล่าวคือ หากหัวใจตอบสนองไล่มาต่อความหนักเป็นเหตุเป็นผลกันก็แปลว่าจริงๆแล้วหัวใจอาจไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงหรือมีการตอบสนองแต่ละช่่วงผิดปกติ จะได้วางสมมุติฐานไปที่เรื่องอื่น หรือถ้าไปที่เรื่องอื่นแล้วยังแก้ไม่ได้ ขั้นต่อไปคงต้องเข้าแล็บทดสอบสมรรถภาพทางการกีฬากันจริงจังต่อไป
วิธีการทดสอบเบื้องต้น
เพื่อสังเกตุดูการตอบสนองของหัวใจในแต่ละช่วงความหนักในการออกแรงผมเลือกใช้วิธีระบุความหนักค่อยๆไล่ไปแต่ละช่วงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นปล่อยให้พักสักครู่แล้วเริ่มทำใหม่เพื่อดูเทร็นด์ในการตอบสนองเทียบกันและห่าค่าที่น่าจะไม่มีปัจจัยอื่นๆมาเกี่ยวข้องมากนัก ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการระบุความหนักในครั้งนี้ก็คือ
-เทรนเนอร์ที่วัดวัตต์ได้ ใช้ BKOOL และซอฟท์แวร์ที่แสดงค่าวัตต์ได้ในระดับ +-5% ซึ่งเกินพอสำหรับระยะเวลาในการทดลองครั้งนี้ ทั้งยังเป็นอุปกรณ์เดิมที่เจ้าตัวใช้ในการทดสอบหาค่าวัตต์ส่วนตัว(FTP)อยู๋แล้วจึงไม่มีผลเรื่องความแตกต่างอย่างแน่นอน
-ฮาร์ทเรทโมนิเตอร์ เลือกใช้แบบพื้นฐานง่ายที่สุด สายคาดของการ์มินนั่นเอง แน่นอนครับว่ามันไม่ใช่ระบบที่แม่นยำที่สุดแต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือจริงๆของที่ใช้อยู่ ผมอยากเห็นว่ามีการกระโดดหรือค่าสวิงหรือไม่
มาดูรายละเอียดการทดสอบกันครับ
FTP ของผู้ทดสอบ 126 วัตต์
อัตราชีพจรสูงสุดที่วัดได้ 204 ครั้งต่อนาที
อัตราชีพจรขณะพัก 45 ครั้งต่อนาที
วอร์มอัพจนหัวใจขึ้นมาอยู๋ในช่วงพร้อมตอบสนอง (10 นาที)
ระดับความหนักเบา 50-70 วัตต์ หรือช่วงโซน 1 และคาบเกี่ยว (3 นาที)
ระดับความหนักแบบสบายๆ 65-85 วัตต์ หรือคาบเกี่ยวโซน 2 (3 นาที)
ระดับความหนักแบบปานกลาง 80-100 วัตต์ (3 นาที)
ระดับความหนักแบบเข้มข้น 95-115 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงเทรสโชลด์ 110-130 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงระดับสูง ตั้งแต่ 130 วัตต์ไล่ไปจนสูงสุดที่ทำได้ใน 3 นาที
พักให้หัใจลดลงมา ในช่วง 5 นาทีที่ความหนัก 30-40 วัตต์แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
กราฟแสดงผลการทดสอบ
นี่คือ live record จากระบบที่บันทึกได้ ซึ่งค่าหัวใจสูงสุดที่บันทึกไว้คือ 199 ครั้งต่อนาที ที่ 309 วัตต์ แต่ถ้ามาจับแยกเป็นช่วงข้อมูลจะได้ดังนี้ครับ
ครั้งที่ 1
50-70w เฉลี่ย 135bpm
65-85w เฉลี่ย 143bpm
80-100w เฉลี่ย 142bpm
95-115w เฉลี่ย 157bpm
110-130w เฉลี่ย 161bpm
130-full gas เฉลี่ย 192bpm
ครั้งที่ 2
50-70w เฉลี่ย 149bpm
65-85w เฉลี่ย 156bpm
80-100w เฉลี่ย 168bpm
95-115w เฉลี่ย 171bpm
110-130w เฉลี่ย 174bpm
130-full gas เฉลี่ย 194bpm
นอกจากนั้นยังได้ทดลองดูการตอบสนองของความหนักของอัตราการเต้นหัวใจของน้องมิณมิณเทียบเป็นคะแนนความหนักตั้งแต่ 0-10 คะแนนเพื่อเช็คว่าหัวใจเท่าไหร่ รู็สึกอย่างไรบ้าง
การตีความจากผลการทดลอง
จากเดิมสมมุติฐานที่ผมต้องการศึกษาคือช่วงของการตอบสนองในแต่ละช่วงว่ามีอัตรากระโดดมากหรือน้อยอย่างไรบ้าง เพราะหากมีการกระโดดจะได้ไปเจาะที่ช่วงนั้นอีกที แต่จากที่ดูแล้วก็มีทิศทางของการตอบสนองไปในทางที่สอดคล้องกับการออกแรง ไม่ได้มีช่วงไหนที่กระโดดมากจนเกินไป อาจมีช่วงที่สวิงไปเนื่องจากเจ้าตัวขี่ไม่นิ่งเองแต่ก็เป็นปกติของช่วงระดับความหนักตั้งแต่ต้น Tempo จนถึง Sweetspot และช่วง Threshold ระยะแรก ที่หากไม่ซ้อมจนชินก็จะยากที่จะแยกแยะเกลี่ยความหนัก
ดังนั้นเราพอจะสรุปกันได้เลยว่าจริงๆแล้วการตอบสนองของอัตราชีพจรของน้องมิณมิณ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติจากคนอื่นๆจนต้องไปตรวจเชิงลึกกับสถาบันการแพทย์ หากจะไปตรวจจริงๆน่าจะไปเน้นที่การตรวจทางสมรรถภาพการกีฬาไปเลย เพื่อดูการตอบสนองของเคมีในร่างกายของแต่ละช่วงด้วย
แล้วทำไมหัวใจจึงสูงมาก?
สมมุติฐานแรกที่ผมมีเอาไว้ก่อนจะมาทำการทดลองนี้คือ "ร่างกายที่เล็กจิ๋ว" ไม่ต่างจากเด็ก (แม้สีหน้าจะบ่งบอกอายุจริง) มีแรงออกได้น้อยนิดเหมือนเด็กไปด้วย เราไม่พูดถึงบนเขานะครับกรณีนี้ขอว่ากันที่ทางราบเป็นหลักก่อน เพราะบนทางราบแน่นอนว่ากฏฟิสิกส์พื้นฐานมวลน้อยใช้แรงน้อยในการขับเคลื่อนก็จริง แต่มวลน้อยก็มีโมเมนตัมน้อยไปด้วย และเมื่อถูกแรงกระทำใดๆก็ตามก็สูญเสียแรงเฉื่อยไปได้มากนักเอง ฟังดูยุ่งยาก ต้องมาแปลกันภาษาจักรยานหน่อยครับ
น้ำหนักตัวที่แสนจะน้อย (และจักรยานที่เบาหวิวๆ เฟรมไซส์สเมิร์ฟชั่งแล้วต่ำเจ็ดขีด) ใช้แรงไม่มากในการออกตัวและเร่งความเร็ว เฟรมสติฟไม่ได้ทอนกำลังส่งไปมากนัก ในทางกลับกันเมื่อโดนลมกรรโชกแรงเข้าใส่ไม่ว่าจะทิศไหนก็ตามก็ส่งผลกับความเร็วมากกว่าคนอื่นๆจนน่าตกใจ และนั่นกลายเป็นหนังชีวิตของเธอที่ปกติซ้อมกันอยู่ที่สกายเลน ที่มีลมแรงทุกฤดูกาล และเอาเข้าจริงบนทางราบ คนสองคนที่น้ำหนักตัวต่างกันมากๆหลายๆสิบกิโลกรัม แต่กลับใช้สัดส่วนกำลังวัตต์ขับเคลื่อนไม่ได้แตกต่างกันมากเท่ากับสมการทางตรงบนกระดาษเสมอไป ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ
ผมมีน้ำหนัก 60 กก. ใช้กำลังขับเคลื่อนไป 160 วัตต์ แต่ที่ 160 วัตต์นั้นเป็นโซน 3 ต้นๆของผมในขณะที่น้องมิณมิณต้องใช้พลัง 120 วัตต์ในการขับเคลื่อนซึ่งน่ันคือโซน 4 ของเธอ ก็ไม่แปลกที่ด้วยสถานการณ์นั้นๆ หัวใจผมจะเต้นราวๆ 150 ครั้งต่อนาทีและน้องเขาจะเต้น 170 ครั้งต่อนาที ยิ่งเมื่อลมกรรโชกมาแรง เธอยิ่งได้รับผลมันมากขึ้นและต้องออกแรงเติมเข้าไป"ล้น" มากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น นี่คือวาระกรรมที่เรียกว่า "กรรมของคนตัวเล็ก" ซึ่งทำให้ทุกครั้งที่ปั่นกับชาวบ้านชาวช่อง ต้องทนปั่นอยู่บนโซน 3.5-4 ขึ้นไปตลอดเวลา และมันก็ตอบสนองสอดคล้องออกมาที่ผลการปั่นด้วยจริงๆเพราะเธอสามารถทนปั่นกับคนอื่นๆได้ในระยะเวลาราวๆ 2-3 ชม. เป็นปกติ ซึ่งนั่นคือพิกัดมาตรฐานของการทนช่วงเวลานั้นไปนานๆ ร่างกายก็จะกรอบ ล้า มากๆ เผลอๆหม้อน้ำระเบิดไปก่อนจบด้วยซ้ำ
ผลเสียทางอ้อมที่ตามมาก็คือ แทบจะไม่สามารถซ้อม endurance หรือการปั่นแบบ low intensity/ high volume แปลง่ายๆคือปั่นเบาๆแต่นานได้เลย ถ้าปั่นคนเดียวก็ต้องทนกับความเร็วที่แสนจะน้อยนิด ประกอบกับช่วงโซนที่แสนจะแคบจากวัตต์ตั้งต้น(FTP)ที่ไม่สูงมากทำให้มีโอกาสปั่นจนล้นพ้นโซนได้ง่ายๆ แค่ลมกระแทกมาก็มีผลแล้ว ทั้งหมดนี้ส่งผลทางอ้อมให้น้องมิณมิณมีระบบความทนทานในช่วงต่ำที่ไม่ดี และมันยืนยันออกมาจากการทดลองที่ช่วงพัก 5 นาทีต่อให้ลดความหนักลงไปขนาดนั้นก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ และเมื่อเริ่มรอบที่สอง หัวใจจึงสูงกว่ารอบแรกในเกือบจะทุกๆช่วง(ช่วงสุดท้ายยังไงๆมันก็ได้แค่นั้นแหละครับ)
หนทางแก้ปัญหาสำหรับคนที่มีปัญหาแนวทางเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าการปั่น low intensity ช่วยในการเพิ่มความทนทานของระบบต่างๆและมีส่วนพัฒนาอัตราชีพจรให้ดีขึ้นจากพื้นฐานการทำงานของระบบต่างๆที่ดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้คือ ลดต่ำลงที่การออกแรงเท่าเดิม แถมยังช่วยให้การฟื้นตัวของร่างกายเมื่อลดความหนักลงมาทำได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย แต่ก็ต้องเพิ่ม"กำลัง"ที่ทำได้ต่อหนึ่งช่วงเวลาเพื่อรองรับความเข้มข้นของการปั่นร่วมกับคนอื่นได้ และสุดท้ายคือลดภาระของการเคลื่อนที่ลงให้มากที่สุด
ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ประการได้แก่
1.Low Intensity Ride
ไม่ว่าจะเรียกมันว่า "เอ็นดูแรนซ์" หรือ "โซนสอง" หรือ "ปั่นโซนซอย" มันก็หมายถึงการปั่นจักรยานที่ระดับความเข้มข้นต่ำๆระยะเวลานานๆ ที่ทุกคนเข้าใจกันนั่นแหละครับ สิ่งที่ได้คือการพัฒนาระบบแอโรบิคที่ดี หลอดเลือด ระบบทางเดินโลหัด กล้ามเนื้อเส้นใยเล็ก และความทนทานของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ต้องทำงานนานๆ ระบบเหล่านี้พัฒนาได้ยากในระดับความเข้มข้นสูง ดังนั้นในทุกๆตำราก็ไม่เคยละทิ้งการฝึกซ้อมแบบนี้ จะมากหรือน้อย ต้องจัดสมดุลย์ให้เหมาะสม ที่ผ่านมาต่อให้น้องมิณมิณไปปั่นกับคนอื่น 3-4 ชม. มันก็ไม่ใช่การปั่นแบบความเข้มข้นต่ำ แต่มันคือการลากสังขารไปกับคนอื่นที่ความเข้มข้นสูงกว่าชาวบ้าน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ในด้านนี้เลย ผมว่าผู้หญิงและคนตัวเล็กน่าจะมีปัญหาเดียวกันไม่มากก็น้อย
ทางออกเบื้องต้นระยะแรก...ไปปั่นคนเดียวครับ
2.FTP Boost
ถ้าใจยังรักจะปั่นจักรยานแข่งขัน ยังชอบที่จะไปกับเพื่อนด้วยความเร็วและสนุกกับเพื่อนได้ อย่างไรก็คงต้อง"บูส"พลังที่สามารถทำได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการเพิ่ม FTP ในการจำกัดโซนให้ได้ก่อนในระยะแรกๆ จากนั้นระยะที่สองทำการบูสระดับช่วงพิกัด 8-15 นาทีให้ได้สัดส่วนมากกว่า เพราะการขี่(แข่ง)จักรยานถนนมันคือการเร่งความเร็ว และชลอ ซ้ำๆกันไปเรื่อยๆโดยแต่ละช่วงยาวนานบ้าง สั้นบ้างปะปนกันไป หากสามารถออกแรงได้เพียงพอกับสถานการณ์นั้นๆได้ก็ย่อมมีโอกาสรอดได้มากขึ้น ซึ่งการบูส FTP ทุกสำนักใช้แนวทางใกล้เคียงกันโดยกำหนดการปั่นมาเป็นเซ็ทๆแบบอินเทอร์วัล เน้นความหนักไปที่โซน 3.5-4.0 หรือช่วง sweetspot ซึ่งพบว่าสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดในระยะเวลาน้อยที่สุดและส่งผลกับ FTP มากที่สุด ในเวลาไม่กี่สัปดาห์สามารถเพิ่มวัตต์พื้นฐานได้อย่างรวดเร็วและสร้างความล้าสะสมน้อยกว่าการปั่นระยะเวลานานๆ
ข้อนี้แก้ไม่ยากแต่อาจจะน่าเบื่อหน่อย ที่สำคัญคือการ"กำหนดโซน" ที่ต้องแม่นยำหน่อย ไม่ว่าจะใช้หัวใจหรือวัตต์ในการกำหนดต้องเลือกใช้และทดสอบจนได้โซนที่ค่อนข้างเป๊ะ เพราะเราเล็งหาพิกัดช่วงการซ้อมที่ค่อนข้างแคบ โอกาสเพี้ยน ผิด หลุดไปจากสิ่งเร้าภายนอกทั้งอากาศ ความล้า อาหาร มีได้ไม่ยาก
3.ปรับท่าขี่ใหม่ทั้งหมด
เป็นกรรมของคนตัวเล็กที่เมื่อเซ็ทจักรยานให้ขี่ได้ ก็จะเซ็ทให้ได้ท่าขี่ที่"ดุดัน"ได้ยาก เพราะช่วงระยะก้ม หรือ stack ของจักรยานก็จะค้ำอยู่ให้ก้มลงไปได้ยาก ระยะเอื้อมก็ไปได้น้อยเนื่องจากความสูงที่น้อยกว่า นั่นทำให้รถที่ได้มามีท่าการขี่ที่เป็นภาระมาก ทางแก้แรกๆก็คือปรับร่างกาย การวางระเบียบของมุมองศาคอ หลัง ศอก ต้องแก้ไข่ใหม่หมด ซึ่งระยะแรกอาจไม่ต้องฟิตรถใหม่แต่ปรับแก้ที่ตัวเราเองได้ไม่ยาก ต่อมาคือการบริหารร่างกายให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้นพอที่จะพัฒนาท่าขี่ได้มากขึ้นโดยไม่เป็นภาระกับร่างกายต้องทนทรมาน
การค่อยๆปรับท่าขี่ให้ลู่ลม การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง และการยืดเหยียดเป็นทางออกที่แก้ปัญหานี้ได้ในทางอ้อม เพราะคนที่ตัวเล็กๆต้องพยายามเป็นภาระทางอากาศให้น้อยลงที่สุด และสามารถทำได้ไม่ยากเพราะมีปริมาตรและพื้นที่ผิวน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ข้อสังเกตุในการทดลองและก้าวต่อไป
HRM หรือ Heart Rate Monitor ที่ใช้ๆกันนั้นมีความเพี้ยนและตอบสนองที่สามารถผิดพลาดได้ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในความไม่มั่นใจแรกสุดในส่วนตัวผมเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ผลที่ได้ถือว่าพอรับได้ไม่มีค่าที่น่าจะใช้งานไม่ได้เพราะยืนดูเลขอยู่เกือบตลอด กราฟก็ไม่ได้แสดงอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หากทดสอบในแล็บที่แม่นยำกว่านี้ก็ย่อมดีกว่า รวมถึงตัว drill ที่ใช้ทดสอบเองก็ยังไม่ได้เจาะจงให้เข้มข้นมากๆ เพราะส่วนตัวผมเล็งไปที่ช่วง 50-100%FTP มากกว่า เท่าที่สังเกตุมาช่วงล้นพ้นเกินนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก มีเพียงเซ็ทสั้นๆที่ทดองให้ไปหา peak ของหัวใจดูว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะลดลงมาได้เร็วแค่ไหน ถ้าจะทำการทดลองตรวจกันจริงจัง คงต้องเจาะจงให้ครบทุกช่วงเพื่อความมั่นใจ อย่างไรก็ดีผมก็ไม่ใช่คนที่จะมาเจาะเลือดมานั่งวัดกรด มาวัดอัตราการดึงอ็อกซิเจน และการตอบสนองอื่นๆในเลือดได้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องมาวัดกันถึงขนาดนั้นในครั้งนี้
สรุป
เอาแค่จากการทดลองนี้ ผมยืนยันได้ 1 ประการว่า คนตัวเล็กมีภาระในการปั่นทั่วไปที่ส่งปัญหาได้มากกว่า และไม่ใช่เรื่องของความผิดปกติทางร่างกายที่เป็นประเด็น มันเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการซ้อมในกิจวัตรปกติที่นำมาต่อด้วยพัฒนาการทางกายภาพที่สะท้อนออกมาเช่นนี้ ทว่ากลับกันหากจับไปขึ้นเขา ด้วยสัดส่วนวัตต์ต่อน้ำหนัก และน้ำหนักตัวเช่นนี้ เธอสามารถขึ้นเขาได้"ฉิว" แบบที่ผู้ชายหลายๆคนตามไม่ได้เลยทีเดียวครับ เป้าหมายต่อไปหากสามารถเพิ่ม FTP ขึ้นไปได้ถึง 160 วัตต์ จะกลายเป็น 1 ในสาวขาแรงบนเขาที่ชายชาตรีต้องได้แต่มองตาม!
เอาไว้อีกสัก 2-3 เดือน มาติดตามต่อว่าทางแก้ปัญหานี้ จะส่งผลออกมาแบบไหนนะครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ กระบวนการซ้อมแบบไหน และการฝึกหัดทักษะอย่างไรบ้างที่จะนำมาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เร็วที่สุดโดยที่พัฒนาได้ยั่งยืนด้วย
ขอลาไปด้วยหน้าหลังทดสอบเสร็จของนางแบบเราในบทความนี้
[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 945201.jpg[/homeimg]
บทความเกี่ยวเนื่อง
มาฝึกซ้อมและพัฒนาการปั่นกันเถอะ ตอนที่ 2 “Heart Rate”
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1212211
Base Training บัญญัติ 6 ประการ ตอนที่ 2
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1236258
คราวนี้ไม่ใช่เรื่องราวของหัวใจอันอ้างว้าง หรือความโสดสนิทเอาเศร้าหมองของนางแบบสาวนะครับ เรื่องนั้นไปแก้ไขด้วยตัวเอง แต่ที่ต้องจับมาทดลองกันหน่อยเพราะเป็นปัญหาที่หลายๆคนสนใจกันมาก และเกี่ยวข้องกับการปั่นจักรยานโดยตรงเลย เมื่อเราใช้"ชีพจร" เป็นตัวบ่งบอกทั้งการตอบสนองและเป็นเครื่องชี้วัดการปั่นและพัฒนาการโดยรวมของการปั่นจักรยาน ซึ่งหนึ่งในปัญหาหลักที่พบกันบ่อยมากที่สุดคือ "หัวใจสุง" หรือว่ากันตามหลักการก็หมายถึง "อัตราการเต้นของหัวใจสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น" ซึ่งมีสาเหตุเป็นไปได้มากมายตั้งแต่ปัญหาด้าน"กรรม" หรือตัวของผู้ปั่นเองมีกายภาพเช่นนั้นไปจนปัญหาโลกแตกซึ่งก็คือ "ความแน่นอนของฮาร์ทเรทโมนิเตอร์" หรือว่ากันอีกอย่างก็คือ เครื่องมือวัดที่มีความคลาดเคลื่อนได้นั่นเอง
หนูทดลองในกรณีนี้คือ "น้องมิณมิณ" สมาชิกในทีม Bike And Body Cycling ที่มีขนาดสารร่างที่จิ๋วที่สุด หรือถูกเรียกกันติดปากว่า"สเมิร์ฟ" ความสูงที่แทบจะคร่อมจักรยานไม่ได้ น้ำหนักตัวไม่เกิน 45 กก. ยังไม่นับขนาดเท้า เสื้อ และหมวก ที่แทบจะใส่ไซส์เล็กสุดของทุกยี่ห้อไม่ได้ด้วยซ้ำ ที่กลายเป็นบ่อเกิดของปัญหาหัวใจในครั้งนี้ต้องมาขุดคุ้ยกัน
ปัญหาที่พบ
ในการปั่นโดยทั่วไป บนทางราบปกติ ที่ระดับความหนักและความเร็วปกติของค่าเฉลี่ยของร่างกายสมาชิกในทีมโดยรวม ส่วนมากแล้วทุกคนจะมีหัวใจตอบสนองอยู่ในช่วงที่สมเหตุสมผล ยกตัวอย่างเช่น ที่ระดับความหนักของ Pace 2 หรือช่วงแอโรบิคทั่วไป สมาชิกโดยส่วนมากจะมีหัวใจเต้นอยู่ที่ 100-125 ครั้งต่อนาทีจากการติดตามเช็คทุกครั้งขณะปั่น แต่ "น้องมิณมิณ" จะมีหัวใจเด้งไปอยู่ที่ 160+ ให้ตกใจกันทันที และหากเร่งขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังเริ่มเหนื่อยกับหัวใจเต้นราวๆ 160 ครั้งต่อนาที น้องมิณมิณ จะมีหัวใจเต้นราวๆ 180 ครั้งต่อนาทีขึ้นไป และยังสามารถยืนระยะนั้นต่อไปได้
ถามตอบกันได้สั้นๆ เป็นที่ฉงน สงสัยของทุกคนทั้งในทีมและนอกทีมที่อยู่รอบๆตัวเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้นในครั้งนี้มีโอกาสผมจึงนัดมาเพื่อทำการทดลองง่ายๆเพื่อขอดูการตอบสนองของหัวใจที่มีต่อความหนักในแต่ละช่วงอย่างจำเพาะเจาะจงสักนิด เพื่อตัดปัจจัยหลายๆอย่างออกไป กล่าวคือ หากหัวใจตอบสนองไล่มาต่อความหนักเป็นเหตุเป็นผลกันก็แปลว่าจริงๆแล้วหัวใจอาจไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงหรือมีการตอบสนองแต่ละช่่วงผิดปกติ จะได้วางสมมุติฐานไปที่เรื่องอื่น หรือถ้าไปที่เรื่องอื่นแล้วยังแก้ไม่ได้ ขั้นต่อไปคงต้องเข้าแล็บทดสอบสมรรถภาพทางการกีฬากันจริงจังต่อไป
วิธีการทดสอบเบื้องต้น
เพื่อสังเกตุดูการตอบสนองของหัวใจในแต่ละช่วงความหนักในการออกแรงผมเลือกใช้วิธีระบุความหนักค่อยๆไล่ไปแต่ละช่วงขึ้นไปเรื่อยๆอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากนั้นปล่อยให้พักสักครู่แล้วเริ่มทำใหม่เพื่อดูเทร็นด์ในการตอบสนองเทียบกันและห่าค่าที่น่าจะไม่มีปัจจัยอื่นๆมาเกี่ยวข้องมากนัก ซึ่งเครื่องมือที่ใช้ในการระบุความหนักในครั้งนี้ก็คือ
-เทรนเนอร์ที่วัดวัตต์ได้ ใช้ BKOOL และซอฟท์แวร์ที่แสดงค่าวัตต์ได้ในระดับ +-5% ซึ่งเกินพอสำหรับระยะเวลาในการทดลองครั้งนี้ ทั้งยังเป็นอุปกรณ์เดิมที่เจ้าตัวใช้ในการทดสอบหาค่าวัตต์ส่วนตัว(FTP)อยู๋แล้วจึงไม่มีผลเรื่องความแตกต่างอย่างแน่นอน
-ฮาร์ทเรทโมนิเตอร์ เลือกใช้แบบพื้นฐานง่ายที่สุด สายคาดของการ์มินนั่นเอง แน่นอนครับว่ามันไม่ใช่ระบบที่แม่นยำที่สุดแต่ก็ถือว่าเป็นเครื่องมือจริงๆของที่ใช้อยู่ ผมอยากเห็นว่ามีการกระโดดหรือค่าสวิงหรือไม่
มาดูรายละเอียดการทดสอบกันครับ
FTP ของผู้ทดสอบ 126 วัตต์
อัตราชีพจรสูงสุดที่วัดได้ 204 ครั้งต่อนาที
อัตราชีพจรขณะพัก 45 ครั้งต่อนาที
วอร์มอัพจนหัวใจขึ้นมาอยู๋ในช่วงพร้อมตอบสนอง (10 นาที)
ระดับความหนักเบา 50-70 วัตต์ หรือช่วงโซน 1 และคาบเกี่ยว (3 นาที)
ระดับความหนักแบบสบายๆ 65-85 วัตต์ หรือคาบเกี่ยวโซน 2 (3 นาที)
ระดับความหนักแบบปานกลาง 80-100 วัตต์ (3 นาที)
ระดับความหนักแบบเข้มข้น 95-115 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงเทรสโชลด์ 110-130 (3 นาที)
ระดับความหนักช่วงระดับสูง ตั้งแต่ 130 วัตต์ไล่ไปจนสูงสุดที่ทำได้ใน 3 นาที
พักให้หัใจลดลงมา ในช่วง 5 นาทีที่ความหนัก 30-40 วัตต์แล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง
กราฟแสดงผลการทดสอบ
นี่คือ live record จากระบบที่บันทึกได้ ซึ่งค่าหัวใจสูงสุดที่บันทึกไว้คือ 199 ครั้งต่อนาที ที่ 309 วัตต์ แต่ถ้ามาจับแยกเป็นช่วงข้อมูลจะได้ดังนี้ครับ
ครั้งที่ 1
50-70w เฉลี่ย 135bpm
65-85w เฉลี่ย 143bpm
80-100w เฉลี่ย 142bpm
95-115w เฉลี่ย 157bpm
110-130w เฉลี่ย 161bpm
130-full gas เฉลี่ย 192bpm
ครั้งที่ 2
50-70w เฉลี่ย 149bpm
65-85w เฉลี่ย 156bpm
80-100w เฉลี่ย 168bpm
95-115w เฉลี่ย 171bpm
110-130w เฉลี่ย 174bpm
130-full gas เฉลี่ย 194bpm
นอกจากนั้นยังได้ทดลองดูการตอบสนองของความหนักของอัตราการเต้นหัวใจของน้องมิณมิณเทียบเป็นคะแนนความหนักตั้งแต่ 0-10 คะแนนเพื่อเช็คว่าหัวใจเท่าไหร่ รู็สึกอย่างไรบ้าง
การตีความจากผลการทดลอง
จากเดิมสมมุติฐานที่ผมต้องการศึกษาคือช่วงของการตอบสนองในแต่ละช่วงว่ามีอัตรากระโดดมากหรือน้อยอย่างไรบ้าง เพราะหากมีการกระโดดจะได้ไปเจาะที่ช่วงนั้นอีกที แต่จากที่ดูแล้วก็มีทิศทางของการตอบสนองไปในทางที่สอดคล้องกับการออกแรง ไม่ได้มีช่วงไหนที่กระโดดมากจนเกินไป อาจมีช่วงที่สวิงไปเนื่องจากเจ้าตัวขี่ไม่นิ่งเองแต่ก็เป็นปกติของช่วงระดับความหนักตั้งแต่ต้น Tempo จนถึง Sweetspot และช่วง Threshold ระยะแรก ที่หากไม่ซ้อมจนชินก็จะยากที่จะแยกแยะเกลี่ยความหนัก
ดังนั้นเราพอจะสรุปกันได้เลยว่าจริงๆแล้วการตอบสนองของอัตราชีพจรของน้องมิณมิณ ไม่ได้มีอะไรผิดปกติจากคนอื่นๆจนต้องไปตรวจเชิงลึกกับสถาบันการแพทย์ หากจะไปตรวจจริงๆน่าจะไปเน้นที่การตรวจทางสมรรถภาพการกีฬาไปเลย เพื่อดูการตอบสนองของเคมีในร่างกายของแต่ละช่วงด้วย
แล้วทำไมหัวใจจึงสูงมาก?
สมมุติฐานแรกที่ผมมีเอาไว้ก่อนจะมาทำการทดลองนี้คือ "ร่างกายที่เล็กจิ๋ว" ไม่ต่างจากเด็ก (แม้สีหน้าจะบ่งบอกอายุจริง) มีแรงออกได้น้อยนิดเหมือนเด็กไปด้วย เราไม่พูดถึงบนเขานะครับกรณีนี้ขอว่ากันที่ทางราบเป็นหลักก่อน เพราะบนทางราบแน่นอนว่ากฏฟิสิกส์พื้นฐานมวลน้อยใช้แรงน้อยในการขับเคลื่อนก็จริง แต่มวลน้อยก็มีโมเมนตัมน้อยไปด้วย และเมื่อถูกแรงกระทำใดๆก็ตามก็สูญเสียแรงเฉื่อยไปได้มากนักเอง ฟังดูยุ่งยาก ต้องมาแปลกันภาษาจักรยานหน่อยครับ
น้ำหนักตัวที่แสนจะน้อย (และจักรยานที่เบาหวิวๆ เฟรมไซส์สเมิร์ฟชั่งแล้วต่ำเจ็ดขีด) ใช้แรงไม่มากในการออกตัวและเร่งความเร็ว เฟรมสติฟไม่ได้ทอนกำลังส่งไปมากนัก ในทางกลับกันเมื่อโดนลมกรรโชกแรงเข้าใส่ไม่ว่าจะทิศไหนก็ตามก็ส่งผลกับความเร็วมากกว่าคนอื่นๆจนน่าตกใจ และนั่นกลายเป็นหนังชีวิตของเธอที่ปกติซ้อมกันอยู่ที่สกายเลน ที่มีลมแรงทุกฤดูกาล และเอาเข้าจริงบนทางราบ คนสองคนที่น้ำหนักตัวต่างกันมากๆหลายๆสิบกิโลกรัม แต่กลับใช้สัดส่วนกำลังวัตต์ขับเคลื่อนไม่ได้แตกต่างกันมากเท่ากับสมการทางตรงบนกระดาษเสมอไป ยกตัวอย่างง่ายๆนะครับ
ผมมีน้ำหนัก 60 กก. ใช้กำลังขับเคลื่อนไป 160 วัตต์ แต่ที่ 160 วัตต์นั้นเป็นโซน 3 ต้นๆของผมในขณะที่น้องมิณมิณต้องใช้พลัง 120 วัตต์ในการขับเคลื่อนซึ่งน่ันคือโซน 4 ของเธอ ก็ไม่แปลกที่ด้วยสถานการณ์นั้นๆ หัวใจผมจะเต้นราวๆ 150 ครั้งต่อนาทีและน้องเขาจะเต้น 170 ครั้งต่อนาที ยิ่งเมื่อลมกรรโชกมาแรง เธอยิ่งได้รับผลมันมากขึ้นและต้องออกแรงเติมเข้าไป"ล้น" มากขึ้นตามไปด้วย
ดังนั้น นี่คือวาระกรรมที่เรียกว่า "กรรมของคนตัวเล็ก" ซึ่งทำให้ทุกครั้งที่ปั่นกับชาวบ้านชาวช่อง ต้องทนปั่นอยู่บนโซน 3.5-4 ขึ้นไปตลอดเวลา และมันก็ตอบสนองสอดคล้องออกมาที่ผลการปั่นด้วยจริงๆเพราะเธอสามารถทนปั่นกับคนอื่นๆได้ในระยะเวลาราวๆ 2-3 ชม. เป็นปกติ ซึ่งนั่นคือพิกัดมาตรฐานของการทนช่วงเวลานั้นไปนานๆ ร่างกายก็จะกรอบ ล้า มากๆ เผลอๆหม้อน้ำระเบิดไปก่อนจบด้วยซ้ำ
ผลเสียทางอ้อมที่ตามมาก็คือ แทบจะไม่สามารถซ้อม endurance หรือการปั่นแบบ low intensity/ high volume แปลง่ายๆคือปั่นเบาๆแต่นานได้เลย ถ้าปั่นคนเดียวก็ต้องทนกับความเร็วที่แสนจะน้อยนิด ประกอบกับช่วงโซนที่แสนจะแคบจากวัตต์ตั้งต้น(FTP)ที่ไม่สูงมากทำให้มีโอกาสปั่นจนล้นพ้นโซนได้ง่ายๆ แค่ลมกระแทกมาก็มีผลแล้ว ทั้งหมดนี้ส่งผลทางอ้อมให้น้องมิณมิณมีระบบความทนทานในช่วงต่ำที่ไม่ดี และมันยืนยันออกมาจากการทดลองที่ช่วงพัก 5 นาทีต่อให้ลดความหนักลงไปขนาดนั้นก็ยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ และเมื่อเริ่มรอบที่สอง หัวใจจึงสูงกว่ารอบแรกในเกือบจะทุกๆช่วง(ช่วงสุดท้ายยังไงๆมันก็ได้แค่นั้นแหละครับ)
หนทางแก้ปัญหาสำหรับคนที่มีปัญหาแนวทางเดียวกัน
เป็นที่ทราบกันดีว่าการปั่น low intensity ช่วยในการเพิ่มความทนทานของระบบต่างๆและมีส่วนพัฒนาอัตราชีพจรให้ดีขึ้นจากพื้นฐานการทำงานของระบบต่างๆที่ดีขึ้น ดีขึ้นในที่นี้คือ ลดต่ำลงที่การออกแรงเท่าเดิม แถมยังช่วยให้การฟื้นตัวของร่างกายเมื่อลดความหนักลงมาทำได้รวดเร็วมากขึ้นด้วย แต่ก็ต้องเพิ่ม"กำลัง"ที่ทำได้ต่อหนึ่งช่วงเวลาเพื่อรองรับความเข้มข้นของการปั่นร่วมกับคนอื่นได้ และสุดท้ายคือลดภาระของการเคลื่อนที่ลงให้มากที่สุด
ดังนั้นแนวทางการแก้ปัญหาจึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ประการได้แก่
1.Low Intensity Ride
ไม่ว่าจะเรียกมันว่า "เอ็นดูแรนซ์" หรือ "โซนสอง" หรือ "ปั่นโซนซอย" มันก็หมายถึงการปั่นจักรยานที่ระดับความเข้มข้นต่ำๆระยะเวลานานๆ ที่ทุกคนเข้าใจกันนั่นแหละครับ สิ่งที่ได้คือการพัฒนาระบบแอโรบิคที่ดี หลอดเลือด ระบบทางเดินโลหัด กล้ามเนื้อเส้นใยเล็ก และความทนทานของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ต้องทำงานนานๆ ระบบเหล่านี้พัฒนาได้ยากในระดับความเข้มข้นสูง ดังนั้นในทุกๆตำราก็ไม่เคยละทิ้งการฝึกซ้อมแบบนี้ จะมากหรือน้อย ต้องจัดสมดุลย์ให้เหมาะสม ที่ผ่านมาต่อให้น้องมิณมิณไปปั่นกับคนอื่น 3-4 ชม. มันก็ไม่ใช่การปั่นแบบความเข้มข้นต่ำ แต่มันคือการลากสังขารไปกับคนอื่นที่ความเข้มข้นสูงกว่าชาวบ้าน ซึ่งไม่ได้ประโยชน์ในด้านนี้เลย ผมว่าผู้หญิงและคนตัวเล็กน่าจะมีปัญหาเดียวกันไม่มากก็น้อย
ทางออกเบื้องต้นระยะแรก...ไปปั่นคนเดียวครับ
2.FTP Boost
ถ้าใจยังรักจะปั่นจักรยานแข่งขัน ยังชอบที่จะไปกับเพื่อนด้วยความเร็วและสนุกกับเพื่อนได้ อย่างไรก็คงต้อง"บูส"พลังที่สามารถทำได้ ซึ่งในกรณีนี้ก็คือการเพิ่ม FTP ในการจำกัดโซนให้ได้ก่อนในระยะแรกๆ จากนั้นระยะที่สองทำการบูสระดับช่วงพิกัด 8-15 นาทีให้ได้สัดส่วนมากกว่า เพราะการขี่(แข่ง)จักรยานถนนมันคือการเร่งความเร็ว และชลอ ซ้ำๆกันไปเรื่อยๆโดยแต่ละช่วงยาวนานบ้าง สั้นบ้างปะปนกันไป หากสามารถออกแรงได้เพียงพอกับสถานการณ์นั้นๆได้ก็ย่อมมีโอกาสรอดได้มากขึ้น ซึ่งการบูส FTP ทุกสำนักใช้แนวทางใกล้เคียงกันโดยกำหนดการปั่นมาเป็นเซ็ทๆแบบอินเทอร์วัล เน้นความหนักไปที่โซน 3.5-4.0 หรือช่วง sweetspot ซึ่งพบว่าสามารถพัฒนาได้เร็วที่สุดในระยะเวลาน้อยที่สุดและส่งผลกับ FTP มากที่สุด ในเวลาไม่กี่สัปดาห์สามารถเพิ่มวัตต์พื้นฐานได้อย่างรวดเร็วและสร้างความล้าสะสมน้อยกว่าการปั่นระยะเวลานานๆ
ข้อนี้แก้ไม่ยากแต่อาจจะน่าเบื่อหน่อย ที่สำคัญคือการ"กำหนดโซน" ที่ต้องแม่นยำหน่อย ไม่ว่าจะใช้หัวใจหรือวัตต์ในการกำหนดต้องเลือกใช้และทดสอบจนได้โซนที่ค่อนข้างเป๊ะ เพราะเราเล็งหาพิกัดช่วงการซ้อมที่ค่อนข้างแคบ โอกาสเพี้ยน ผิด หลุดไปจากสิ่งเร้าภายนอกทั้งอากาศ ความล้า อาหาร มีได้ไม่ยาก
3.ปรับท่าขี่ใหม่ทั้งหมด
เป็นกรรมของคนตัวเล็กที่เมื่อเซ็ทจักรยานให้ขี่ได้ ก็จะเซ็ทให้ได้ท่าขี่ที่"ดุดัน"ได้ยาก เพราะช่วงระยะก้ม หรือ stack ของจักรยานก็จะค้ำอยู่ให้ก้มลงไปได้ยาก ระยะเอื้อมก็ไปได้น้อยเนื่องจากความสูงที่น้อยกว่า นั่นทำให้รถที่ได้มามีท่าการขี่ที่เป็นภาระมาก ทางแก้แรกๆก็คือปรับร่างกาย การวางระเบียบของมุมองศาคอ หลัง ศอก ต้องแก้ไข่ใหม่หมด ซึ่งระยะแรกอาจไม่ต้องฟิตรถใหม่แต่ปรับแก้ที่ตัวเราเองได้ไม่ยาก ต่อมาคือการบริหารร่างกายให้ยืดหยุ่นและแข็งแรงมากขึ้นพอที่จะพัฒนาท่าขี่ได้มากขึ้นโดยไม่เป็นภาระกับร่างกายต้องทนทรมาน
การค่อยๆปรับท่าขี่ให้ลู่ลม การบริหารกล้ามเนื้อแกนกลาง และการยืดเหยียดเป็นทางออกที่แก้ปัญหานี้ได้ในทางอ้อม เพราะคนที่ตัวเล็กๆต้องพยายามเป็นภาระทางอากาศให้น้อยลงที่สุด และสามารถทำได้ไม่ยากเพราะมีปริมาตรและพื้นที่ผิวน้อยกว่าคนอื่นอยู่แล้ว
ข้อสังเกตุในการทดลองและก้าวต่อไป
HRM หรือ Heart Rate Monitor ที่ใช้ๆกันนั้นมีความเพี้ยนและตอบสนองที่สามารถผิดพลาดได้ ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในความไม่มั่นใจแรกสุดในส่วนตัวผมเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ผลที่ได้ถือว่าพอรับได้ไม่มีค่าที่น่าจะใช้งานไม่ได้เพราะยืนดูเลขอยู่เกือบตลอด กราฟก็ไม่ได้แสดงอะไรผิดปกติ อย่างไรก็ตาม หากทดสอบในแล็บที่แม่นยำกว่านี้ก็ย่อมดีกว่า รวมถึงตัว drill ที่ใช้ทดสอบเองก็ยังไม่ได้เจาะจงให้เข้มข้นมากๆ เพราะส่วนตัวผมเล็งไปที่ช่วง 50-100%FTP มากกว่า เท่าที่สังเกตุมาช่วงล้นพ้นเกินนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก มีเพียงเซ็ทสั้นๆที่ทดองให้ไปหา peak ของหัวใจดูว่าเมื่อขึ้นไปแล้วจะลดลงมาได้เร็วแค่ไหน ถ้าจะทำการทดลองตรวจกันจริงจัง คงต้องเจาะจงให้ครบทุกช่วงเพื่อความมั่นใจ อย่างไรก็ดีผมก็ไม่ใช่คนที่จะมาเจาะเลือดมานั่งวัดกรด มาวัดอัตราการดึงอ็อกซิเจน และการตอบสนองอื่นๆในเลือดได้อยู่แล้ว จึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องมาวัดกันถึงขนาดนั้นในครั้งนี้
สรุป
เอาแค่จากการทดลองนี้ ผมยืนยันได้ 1 ประการว่า คนตัวเล็กมีภาระในการปั่นทั่วไปที่ส่งปัญหาได้มากกว่า และไม่ใช่เรื่องของความผิดปกติทางร่างกายที่เป็นประเด็น มันเป็นเรื่องที่ส่งผลต่อการซ้อมในกิจวัตรปกติที่นำมาต่อด้วยพัฒนาการทางกายภาพที่สะท้อนออกมาเช่นนี้ ทว่ากลับกันหากจับไปขึ้นเขา ด้วยสัดส่วนวัตต์ต่อน้ำหนัก และน้ำหนักตัวเช่นนี้ เธอสามารถขึ้นเขาได้"ฉิว" แบบที่ผู้ชายหลายๆคนตามไม่ได้เลยทีเดียวครับ เป้าหมายต่อไปหากสามารถเพิ่ม FTP ขึ้นไปได้ถึง 160 วัตต์ จะกลายเป็น 1 ในสาวขาแรงบนเขาที่ชายชาตรีต้องได้แต่มองตาม!
เอาไว้อีกสัก 2-3 เดือน มาติดตามต่อว่าทางแก้ปัญหานี้ จะส่งผลออกมาแบบไหนนะครับ เพราะสิ่งหนึ่งที่น่าจับตามองก็คือ กระบวนการซ้อมแบบไหน และการฝึกหัดทักษะอย่างไรบ้างที่จะนำมาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้เร็วที่สุดโดยที่พัฒนาได้ยั่งยืนด้วย
ขอลาไปด้วยหน้าหลังทดสอบเสร็จของนางแบบเราในบทความนี้
[homeimg=300,250]http://www.thaimtb.com/forum/picture_mt ... 945201.jpg[/homeimg]
บทความเกี่ยวเนื่อง
มาฝึกซ้อมและพัฒนาการปั่นกันเถอะ ตอนที่ 2 “Heart Rate”
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1212211
Base Training บัญญัติ 6 ประการ ตอนที่ 2
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... &t=1236258
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
-
- สมาชิก
- โพสต์: 74
- ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2013, 14:02
- Tel: 0899982559
- ติดต่อ:
- chaichoosit
- ขาประจำ
- โพสต์: 949
- ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2009, 19:06
- team: ไบค์กาเอ
- Bike: Jamis---Java---Mosso---S work
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
สาระดีๆที่ควรรู้ ขอบคุณครับ
บรรดาผู้ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข มัทธิว 11.28
พระเยซูรักท่าน ฮา เล ลู ยา
พระเยซูรักท่าน ฮา เล ลู ยา
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 210
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ต.ค. 2013, 19:03
- Bike: bianchi nirone 7 , BMC Granfondo GF02
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ผมมีปัญหาแบบนี้เหมือนกันครับ
ผมเป็นตัวเล็ก สูง 160 หนัก 50 อายุ 24 ปี
เวลาปั่นกะกลุ่ม ความเร็วเกิน 35 จน 40 กว่าๆ หัวใจก็เต้นโซน 4 ถึง 5 เป็นประจำ แทบไม่แตะโซน 3 เลย
แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย หัวใจถึกมากๆครับ
ปั่นได้จนจบ ไม่มีหลุดกลุ่มเลย ขึ้นไปเป็นหัวลากด้วยครับ
อาการเจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือ หายใจไม่สะดวกก็ไม่เคยมี
แต่ถ้าหยุดไปนานๆ แล้วมาอัด จะจุกตรงลิ้นปี่บ้างครับ
แต่ถ้าออกปั่นประจำ ไม่มีปัญหาอะรเลยครับ
ต่างจากคนอื่นๆ ที่หัวใจเต้นต่ำกว่าผม แต่ก็ยังมีหลุด
เอาหัวใจของเขามาเทียบดู เขาตกใจกันหมดเลยครับ
หัวใจเดือดมากๆ
ผมก็ปั่นเก็บเอน หลายๆชั่วโมงบ่อยๆ แต่หัวใจก็ไม่ค่อยต่ำลงมาเลยครับ
ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเป็นเพราะอะไร
กรรมพันธุ์ของเราด้วยรึเปล่า
ผมเป็นตัวเล็ก สูง 160 หนัก 50 อายุ 24 ปี
เวลาปั่นกะกลุ่ม ความเร็วเกิน 35 จน 40 กว่าๆ หัวใจก็เต้นโซน 4 ถึง 5 เป็นประจำ แทบไม่แตะโซน 3 เลย
แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย หัวใจถึกมากๆครับ
ปั่นได้จนจบ ไม่มีหลุดกลุ่มเลย ขึ้นไปเป็นหัวลากด้วยครับ
อาการเจ็บหน้าอก หน้ามืด หรือ หายใจไม่สะดวกก็ไม่เคยมี
แต่ถ้าหยุดไปนานๆ แล้วมาอัด จะจุกตรงลิ้นปี่บ้างครับ
แต่ถ้าออกปั่นประจำ ไม่มีปัญหาอะรเลยครับ
ต่างจากคนอื่นๆ ที่หัวใจเต้นต่ำกว่าผม แต่ก็ยังมีหลุด
เอาหัวใจของเขามาเทียบดู เขาตกใจกันหมดเลยครับ
หัวใจเดือดมากๆ
ผมก็ปั่นเก็บเอน หลายๆชั่วโมงบ่อยๆ แต่หัวใจก็ไม่ค่อยต่ำลงมาเลยครับ
ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเป็นเพราะอะไร
กรรมพันธุ์ของเราด้วยรึเปล่า
รถไม่แพง แรงก็ไม่มี T^T
-
- สมาชิก
- โพสต์: 90
- ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ธ.ค. 2014, 19:07
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ยอดเยี่ยมครับ ขอบคุณสำหรับบทความดีๆความรู้เพียบครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 122
- ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ก.ค. 2011, 22:45
- Tel: 081 835 8486
- team: Cool70
- Bike: Surly
- ติดต่อ:
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ขอบคุณมีประโยชน์มากครับ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 1163
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2009, 20:03
- team: วงลงเขา
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
คุณ Giro ตั้งใจเอาไว้ห้อง Roadbike หรือเปล่าครับเอาไว้ในห้อง Downhill กรงว่าคนจะไม่ค่อยเข้ามาดูกัน
-
- สมาชิก
- โพสต์: 44
- ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2015, 11:39
- Tel: 0882939489
- team: Takfa
- Bike: Giant TCR SL
- ตำแหน่ง: ์นครสวรรค์
- ติดต่อ:
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ขอบคุณบทความที่ดีๆแบบนี้ครับ เคยเจอ น้องมิณ กับ น้องเบลล์ ตอนงาน TC100 นครปฐม ดูน้องก็ปั่นตามได้ตลอด ไม่คิดว่าหัวใจจะสูงขนาดนี้
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 3092
- ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 15:14
- Tel: 0865040751
- team: Team Bike And Body Cycoling
- Bike: Kemo KE-R5, Giant Propel Advance SL, Specialized Alez E5 Revolution
- ตำแหน่ง: ซอยอารีย์ พหลโยธิน กทม.
- ติดต่อ:
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ผมวางผิดห้องครับ เดี๋ยวจับย้าย
แว๊บบ ย้ายแล้ว ปัจจุบันตอนนี้โผล่ห้องเสือหมอบแล้ว
แว๊บบ ย้ายแล้ว ปัจจุบันตอนนี้โผล่ห้องเสือหมอบแล้ว
ฟังสาระจักรยาน Podcast
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
https://open.spotify.com/show/76iDUCWXgqqixg1CmoSDIp
ข่าวสารจัรกยาน
https://www.facebook.com/cyclinghubthailand/
- kittisuk1979
- ขาประจำ
- โพสต์: 448
- ลงทะเบียนเมื่อ: 24 เม.ย. 2014, 11:35
- Tel: 0968745979
- Bike: araya muddy fox
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ขอบคุณครับ อ่านแล้วได้ความรู้เยอะมากๆ
ปั่นเข้าไป ยังไง ก็สุขภาพ
line :wizards0005
line :wizards0005
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 509
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ม.ค. 2016, 08:28
- Bike: Avenger R8
- ตำแหน่ง: Louiaiana
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ผมก็มีอาการนี้ครับ สูง 169cm หนัก 65kg
Resting Heart rate วัดตอนพึ่งตื่น 56BPM (แกว่งขึ้นลงบ้าง ต่ำสุด 54 นอนไม่ค่อยหลับขึ้นถึง 61)
แต่ Heart rate ตอนปั่นจักรยาน สูงจนน่าแปลกใจ
ยังไงก็จะติดตามขอคำแนะนำด้วยนะครับ
Resting Heart rate วัดตอนพึ่งตื่น 56BPM (แกว่งขึ้นลงบ้าง ต่ำสุด 54 นอนไม่ค่อยหลับขึ้นถึง 61)
แต่ Heart rate ตอนปั่นจักรยาน สูงจนน่าแปลกใจ
ยังไงก็จะติดตามขอคำแนะนำด้วยนะครับ
แก้ไขล่าสุดโดย Hxs เมื่อ 04 ส.ค. 2016, 05:22, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง
ตัวเล็กก็ยอมรับความจริงบ้าง อย่าหลอกตัวเองแล้วใช้อุปกรณ์ไซส์เกินตัวเลย
สูง 169cm, frame size=50, crank length=165mm, bar width=38cm
สูง 169cm, frame size=50, crank length=165mm, bar width=38cm
- วันชัย คำแพง
- ขาประจำ
- โพสต์: 1666
- ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 07:13
- Tel: 0626825062
- team: ชมรมวิ่ง พิทักษืหัวหิน
- Bike: เหล็กตราหมากลุ๊ก หนักโคตรแต่ทน
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
ขอบคุณครับที่เอามาแชร์ จะคอยติมตามเพราะนี่คือปัญหาที่ตัวผมเป็นเลย คนตัวเล็กต้องคอยเติมตลอด
ผมสูง 160 หนัก47เอง แถมขึ้นเลขสี่แล้วด้วย เวลาไปกับเพื่อน 40+ที่ไรต้องใช้พลังงานเยอะก่วาเขาตลอด
ทำให้อาการหมดมาเยือนเร็วกว่าปกติ น่าจะตัวเล็กกว่านางแบบอีกมั๊งเรา55
ผมสูง 160 หนัก47เอง แถมขึ้นเลขสี่แล้วด้วย เวลาไปกับเพื่อน 40+ที่ไรต้องใช้พลังงานเยอะก่วาเขาตลอด
ทำให้อาการหมดมาเยือนเร็วกว่าปกติ น่าจะตัวเล็กกว่านางแบบอีกมั๊งเรา55
- punya467
- ขาประจำ
- โพสต์: 2222
- ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2012, 14:55
- team: Rayong road bike, On/Off cycling
- Bike: NICH LTD
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
อ่านจบ ผมนึกถึงคนนี้เลย คุณกุ๊ก แมวทอง
ลูกเผลอแล้วเจอกัน
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 313
- ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 21:58
- ติดต่อ:
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
สูง 170 หนัก 60 เป็นเหมือนกันเลยครับ ftp 20 min 220
ไปกับกลุ่มเพื่อนตัวโตๆ ลากกันยาวๆ hr ผมเทียบกับเพื่อน hr zone 4-5 ตลอดแช่ 200 watt เพื่อนๆ ยังhr zone 3-4 กันอยู่เลย
หลังๆ เลยมาขึ้น trainer และปั่นเดี่ยวแทน ตามกลุ่มไม่ค่อยไหวละ
ไปกับกลุ่มเพื่อนตัวโตๆ ลากกันยาวๆ hr ผมเทียบกับเพื่อน hr zone 4-5 ตลอดแช่ 200 watt เพื่อนๆ ยังhr zone 3-4 กันอยู่เลย
หลังๆ เลยมาขึ้น trainer และปั่นเดี่ยวแทน ตามกลุ่มไม่ค่อยไหวละ
-
- ขาประจำ
- โพสต์: 461
- ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ธ.ค. 2011, 09:09
- Bike: หมอบBainchi
- ติดต่อ:
Re: ปัญหาหัวใจ กรณีศึกษาเบื้องต้นคนหัวใจสูง สมมุติฐานของต้นเหตุและแนวทางการทดลองแก้ปัญหา
มิน่าล่ะเพิ่งเข้าใจ ทำไมเวลาปั่นที่สกายเลนช่วงสายๆลมแรงๆ หม้อน้ำแตกทุกที เพื่อนๆที่ปั่นด้วยกันก็หาว่าแกล้ง เพราะเวลาปั่นตอนเย็น(ลมไม่แรงมาก)ฟอร์มผิดกันเป็นหนังคนละม้วน ผมเป็นคนตัวเล็กสูงแค่158เอง แต่HR. max สูงมากเหมือนกันที่ 200 ทั้งๆที่อายุก็มากแล้ว(44ปี) สงสัยต้องเปลี่ยนวิธีซ้อมแล้ว ขอบคุณครับสำหรับบทความดีๆ
ป.ล.น้องต้นเรื่องน่ารักมากครับ
ป.ล.น้องต้นเรื่องน่ารักมากครับ
จักรยานคือมายา แรงขาสิของจริง