♫♫ ♫♫ สับถังซ่าส์ ( ขึ้นเขา เข้าป่า กีตาร์ กางเต็นท์ ) ♫♫ ♫♫ (ล่าสุด SPITI VALLEY2016,North of India) p. 1491
โพสต์: 02 มี.ค. 2010, 11:25
.
.....สั บ ถั ง ซ่ า ส์ .....
ปั่ น ใ ก ล้ ๆ
ไ ป ช้ า ๆ
ร อ บ ข า ไ ม่ เ กิ น สิ บ
จิ บ ไ ม่ เ กิ น ก ร ะ ป๋ อ ง
เ ป็ น ไ ง ม า ไ ง ห ล ว ม ตั ว ม า ทั ว ริ่ ง
- แต่ก่อนเมื่อวัยผมเป็นเด็กบักหำน้อย รู้แค่ปั่นจักรยาน ผ่อนแรงกว่าเดิน เพลินกว่าวิ่ง
และไปได้ไกลกว่าการเดินด้วยเท้าเปล่าขาเปล่า การปั่นจักรยานได้ครั้งแรกในวัยเด็กน้อยนั้น
เป็นอะไรที่ตื่นเต้นสุดติ่ง เพราะตอนเด็ก เราไม่มีจักรยานไซส์เด็กๆ แบบใน พศ.ปัจจุบัน
ต้องยืมรถจักรยานของพ่อ น้า อา แล้วแต่ผู้ใหญ่จะให้ยืมเพื่อหัดปั่น ซึ่งก็ไซส์รถก็สูงใหญ่ท่วมหัว
กว่าจะปั่นเป็น ก็ต้องแลกด้วยแผล ล้มแล้วล้มอีก การปั่นจักรยานได้ครั้งแรกในวัยเด็กน้อย
มันจึงเป็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของชีวิตสำหรับผมเลยทีเดียว และเมื่อปั่นเป็น ปั่นเก่งสมควร
ก็ใช้งานจักรยานแค่ในระยะใกล้บ้าน อย่างมากก็ปั่นไปโรงเรียน ไปซื้อของจ่ายตลาด
ไม่ก็ปั่นเล่นกับเพื่อนเด็กๆด้วยกัน ในละแวกใกล้ๆ
พอโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านวัยเด็กขึ้นมา ก็ขับมอไซค์ได้
ขับรถยนต์ได้ เจ้าพาหนะสองล้อรถถีบตัวนี้ มันก็หายไปจากความต้องการของชีวิต
ผมไม่เคยมีความคิดเลยว่าจักรยาน จะสามารถพาคนเรา ที่เป็นคนทั่วไปปกติ
คนที่มีความสามารถแค่ธรรมดาแบบเราๆนั้น เดินทางไกลระยะทางแบบรถยนต์
หรือใช้เป็นพาหนะที่ใช้ท่องเที่ยวไกลๆ ได้จริงๆ เคยรู้มาเหมือนกันว่ามีนักปั่นที่
สามารถปั่นได้ไกลๆ เดินทางไกลด้วยจักรยาน ข้ามประเทศ หรือปั่นรอบโลก จำนวนมากมาย
แต่นั่นมันไม่น่าจะเป็นคนระดับความสามารถปกติจะทำกัน ผมนึกไปว่าทีเขาปั่นๆกัน
เป็นแค่การพยายาม สร้างสถิติ หรืออยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ที่ค่อนข้างเกินความจริง
หรือความสามารถมนุษย์ปกติเท่านั้น และยังคิดไปต่อว่า เมื่อทำสถิติต่างๆสำเร็จแล้ว
ก็อาจมีชื่อเสียง หรือ เป็นเกียรติ แล้วเขาก็คงเลิก
ปั่นไกลๆแบบเดิม เพราะปิดงานแล้ว ตอนนั้นมุมมองความคิดเห็นไปแบบนั้นจริงๆ
- เหตุให้เริ่มสนใจให้กลับมาจักรยานมาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้กลับมาในวัยทำงานที่กรุงเทพ
เมืองรถติดอันดับต้นๆของโลก ที่แค่คิดว่าจะปั่น ก็มองเห็นแต่ภาพรถติดบนท้องถนน
หากช่วงรถไม่ติดก็วิ่งรถกันยังกะแข่ง ใครจะบ้าไปปั่นได้วะเดี๋ยวรถใหญ่ไล่ทับได้ไปยมโลกม่องเท่งก่อนแก่ซะหร๊อก
แต่แล้วภาคบังคับ เป็นปี่ที่ช่วงประเทศผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์กลุ่มโอเป็ค ผู้ทรงอิทธิพลพลังงานโลก
ได้บันดาลให้เกิดภาวะน้ำมันแพงจัด เมื่อ คศ. 2005 น้ำมันเบนซิลเติมรถยนต์
ราคาลิตรละเกือบ 50 บาท รถยนต์ของผมเก๋งมือสองเก่าคร่ำครึ Lancer E car เครื่อง 1.5 L
จิบน้ำมันว่าประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว แต่ค่าเติมน้ำมันแทบไม่เหลือตังซื้อข้าวกินให้ผ่านแต่ละเดือน
จนมนุษย์เงินเดือน(น้อย)อย่างผม ต้องหาจักรยานพับมาพกติดท้ายรถและใช้ปั่นสลับ
กับการใช้งานรถยนต์ ปั่นใกล้ๆบ้าง แค่ปั่นไปทำงานไม่กี่สิบกิโลต่อวัน เสาะหาเส้นทางที่เลี่ยงรถใหญ่
และได้ประโยขน์ ปั่นออกกำลังกายสลับกับการวิ่งออกกำลัง เพลินดีเหมือนกัน
ตอนนั้นก็นับว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายค่าจักรยาน ไม่ขาดทุนละ
และช่วงนั้นเองก็เริ่มมีใจให้กับจักรยาน เสพติดการปั่น
วันไหนไม่ได้นั่งบนอานตูดไม่โดนเบาะ แทบนอนไม่หลับ
เริ่มเปิดใจและสนใจการปั่นจักรยานในแบบทัวริ่งที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องของตนที่พยายามสร้างสถิติ
เริ่มเปลี่ยนความคิดว่าหากวันหนึ่ง ที่เราอาจมีสามารถปั่นได้สไตล์ทัวริ่งและปั่นเที่ยวได้จริง
มันคงจะเป็นสีสันชีวิตที่น่าสัมผัสอีกทางนึง เพราะได้ติดตามข่าวการปั่นรอบโลก
ของคู่รักนักปั่นคนไทย คุณวรรณ-คุณหมู
ตั้งแต่ยังอยู่ในระหว่าง ออนทัวร์รอบโลก 5 ปี 11 เดือน 1 วัน ใน 43 ประเทศ 6 ทวีป
ระยะทางกว่า 40,000 กิโลเมตรและเมื่อรอบโลกจนเข้าถึงเมืองไทย
จบทริปและออกพ็อกเกตบุ๊คชุด 4 เล่ม ผมยังตามซื้อมา
อ่านครบทุกเล่ม แต่ไม่เคยคิดว่าจะปั่นแบบพี่เขา ติดตามด้วยความชื่นชมทั้งสองท่านมาตลอด
แต่นั่นยังไม่ใช่รูปแบบการปั่นที่ผมฝันถึง มันไกลเกินตัวตนมนุษย์เงินเดือน ผมจึงยังคงตามหาต้นแบบต่อไป
- แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้รู้สึกว่า นี่สิ ใช่แล้ว การปั่นจักรยานที่ผมฝันไว้ มันเป็นแบบนี้
เมื่อผมได้หลงเข้าไปดงของนักปั่นในโลกไซเบอร์ อ่านกระทู้สรุปทริปในแนวทัวริ่งต่างๆ
ซึ่งสมัยนั้น ในเวปไซท์ ThaiMtb.com จะมีห้อง สรุปทริป
แต่ยังไม่มีห้องทัวริ่ง ต้องเลือกอ่านเอาเอง ว่าทริปไหนเข้าข่ายจักรยานทัวริ่ง
และผมได้รับอิทธิพลโดยตรงจากทริปทัวริ่งจักรยานของหนุ่มน้อยร่างเล็กคนหนึ่งที่เป็น
มนุษย์เงินเดือนเหมือนผม ปั่นจักรยานเสือภูเขารุ่นโคตรธรรมดา ๆ ที่ปั่นท่องเที่ยวอย่างมีสีสัน
ทริปโลดโผน และเขียนสรุปทริป โพสต์เรื่องราวการเดินทางที่แลกความฝันให้เพื่อนๆอ่าน
ภาพถ่ายที่เขาถ่ายก็สวยมาก โดยเขามิได้ต้องการสิ่ง ตอบแทนเป็นเงินทองค่าจ้างใดใด
เขียนให้เพื่อนๆ นักปั่นอ่านกันฟรีๆ ความน่าทึ่ง เป็นนักปั่นสมัครเล่นที่ต้องปั่นไปฉีดอินสุลินไป
ผมเรียกเขาว่า หัวหน้าเอสฯ ทริปนี้แหละครับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 1&start=15
ที่ผมอ่านแล้ว มันมีแรงถีบให้ผมกระเด็นเข้ามาสนใจ จนเข้าข่าย หมกมุ่น กับเรื่องราวของ
ทัวริ่งจักรยาน และติดตาม ศึกษา เก็บข้อมูลอย่างตั้งใจ
และเกิดสาระพัดคำถามในสมองที่กระหายคำตอบมากๆ ว่า
" คนออกทัวริ่งเขาปั่นไปทำอะไร เพื่ออะไร
ปั่นอย่างไร เตรียมตัว เตรียมรถ เตรียมข้าวของ เครื่องใช้ พกพาอะไรบ้าง หอบหิ้วขนไปอย่างไร
แล้วขาอ่อนสามัญชนอย่างเรา หากอยากไปสนุก ไปกางปีกบินรอนแรมแบบพี่ๆเขาบ้าง
เรามันต้องซ้อมปั่นให้ตัวเองเก่งระดับแค่ไหน จึงจะเพียงพอที่จะสามารถออกปั่นทัวริ่งไกลๆ
ได้จริงจริงเหมือนพี่พี่เขาที่เราเฝ้าติดตาม เพราะเรานั้น เคยปั่นไกลแค่ยี่สิบโล ก็แทบลมจับ
แค่คิดตามระยะทาง และเส้นทางที่ตามอ่าน ก็หมดแรงน่องแล้ว เฮ้อ " ...
- ทั้งๆ ที่ แค่เริ่มสนใจ ยังไม่มีจักรยานทัวริ่งมาครอบครอง น่องยังเหลว ขายังอ่อนหัด
ยังมิทันผ่านการปั่นทางราบร้อยกิโลต่อวันแม้สักครั้ง แต่ในใจเล็งไว้เฉพาะแต่ เส้นทางภูเขา
ไอ่ทางคดเคี้ยว เลื้ยววนโค้งไปเลื้อยมาไปตามซอกเขา ทางชันๆ สูงๆ
งงเหมือนกันว่า ทำไม มันชื่นชอบนั่งอ่านได้เป็นวันๆ นั่งดูภาพบรรยากาศงัดเนิน
ภาพในจอคอม ที่เห็นนักปั่นที่ผ่านสายหมอกและอากาศหนาวๆ เย็นๆ
บนทางภูเขา เส้นทางที่โดนใจมากๆ ในแรกเจอคือ เส้นทางวงกลมเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน
เคยตามอ่าน ตามชม ทริปของ หน.เอสฯ และจักรยานในฝันของผม ตอนเวลานั้นนอน
ฝันถึงแต่ trek 520 มันใช่เลย แต่ไม่มีปัญญาซื้อหรอก ราคาเกือนแสน แต่ก็รู้สึกแค่ว่ามันเท่มากๆ
- เฮ้อ ...ไอ้ที่เราคิดมันง่าย แต่ทำจริงมันคงยากไม่น้อย แม้นใจจะอยากสักปานใด ต้องเก็บ
ความอยาก ไว้เนิ่นนานต่อเนื่อง แต่ความคิดอยากปั่นทัวริ่ง มันยังวนเวียนในหัวเป็นปีข้ามปี
แต่ผมก็ไม่ทิ้งความอยากนั้น ยังซุ่มซ้อมน่องกระจอก เสมอเสมอ ปั่นต่อเนื่องหลงไหลไม่รู้ตัว
นักปั่นไร้ระดับ น่องกระจอก อย่างเรา แค่ปั่นรถเปล่าๆ ไปถึงเลียบคลองเปรมรังสิตไปอยุธยา
แค่ไปกลับ ก็หน้ามืดแทบเป็นลม หน้าเหลือง ฟ้าเหลือง ทุกครั้ง ที่ปั่นไปกลับ บนทางเส้นนี้
แต่นั่นก็แหละ ยังโชคดี (หรือโชคร้ายไม่แน่ใจ )
ที่ผมไม่เข็ดง่ายๆ แบบว่าดื้อปั่น เสาร์ไหน อาทิตย์ไหน มีเวลาว่าง ก็เพียรซ้อม
ปั่นรถพับล้อยี่สิบนิ้ว ระยะทางไกลขนาดย่อมๆ บนถนนเลียบคลองเปรม
ปั่น กรุงเทพ-บางปะอิน - อยุธยา แทบทุกเสาร์ที่ว่างต่อเนื่องกันมา
ด้วยความสนุกในการปั่น และค่อยๆอึดขึ้นไม่รู้ตัว
- และแล้วสิ่งที่โหยหา ก็มาโผล่ขึ้นมาจนได้ เพราะหลังจากเพียรมั่วปั่นซ้อม กรุงเทพ-บางปะอิน- อยุธยา
เดือนละครั้ง ทำแบบนี้ทุกเดือน ๆ ตั้งแต่ปี คศ.2006 ติดต่อกัน 4 ปีไม่เคยขาด จนต่อมา เมื่อต้นกุมภา
ของปี คศ.2010 เงินที่เหลือจากโบนัสลูกจ้างรัฐ และค่าใช้จ่ายตอนนั้นมี เล็กๆ
ไม่เยอะ ไม่กี่พันหรอก ผมได้มีโอกาส ซื้อจักรยานทัวริ่ง สับถัง มือสอง เก่ามาก ๆ
ตั้งชื่อให้ว่า น้ อ ง เ ขี ย ว แ ก่
นับเป็นจักรยานทัวริ่งคันแรกในชีวิต ตั้งใจทีแรกว่า จะเอาไปปั่นเส้นทางในฝันเล็กๆ
ทัวริ่งแบบส่วนตัวเล็กๆ ตั้งความหวังอยากปั่น กรุงเทพไปเขาใหญ่ นึกได้แค่นั้น
ไม่กล้าฝันให้ไกลเกินกำลัง
- ภาพ และเรื่องเล่าสับถัง ที่ผมบันทึกไว้ในที่นี้ นอกจากเขียนไว้ เพื่อวันหน้า จะได้อ่าน
รอยล้อของตนเองแล้ว ยังเป็นการเขียน เพื่อใช้หนี้เก่า แก่พี่พี่นักปั่นรุ่นก่อน ที่ผมได้ติดตาม
อ่านทริปของพี่พี่เขา ที่เขียนลงไว้ใน thaimtb.com จนตอนนี้ผมสามารถปั่นเที่ยวได้เอง
ยังหวังว่าข้อมูลที่เขียนเล่า บรรยากาศการท่องทัวร์จักรยานแบบมือสมัครเล่นนี้
อาจจะช่วยเสริมบรรยากาศ การท่องเที่ยว หรือทัวริ่งจักรยานในเมืองไทยบ้านเรา
ให้มีสีสันเพิ่มเข้ามาอีกมุมหนึ่ง และอาจมีส่วนกระตุ้นให้ เพื่อนนักปั่นมือใหม่ หรือเพื่อนนักปั่น
ที่อาจยังไม่เคยได้ออกท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ที่เข้ามาอ่าน อาจเกิดแรงบันดาลใจตัวเอง
ให้ได้กล้า ได้ลอง และรับความสนุก ในการท่องเที่ยวด้วยจักรยานในบ้านเรา เพิ่มจำนวนมากขึ้น
- ทัวริ่งจักรยาน คำๆนี้ สำหรับผมไม่อาจหมายถึงการปั่นทัวริ่งทางไกลๆ
ข้ามประเทศ หรือตั้งฝันเป้าหมายรอบโลก มันคงเกินตัวมากไป ยิ่งใหญ่เกินตัว
แม้นว่าจะชื่นชอบ และติดตามอ่าน เรื่องราวของการปั่นทั้งไทยและเทศ
ที่เดินทางปั่นข้ามประเทศ ข้ามทวีป รอบโลกก็ได้เพียงชื่นชมและจินตนาการตามไปตามแผนที่
แต่ทัวริ่งจักรยานที่ผมไฝ่ฝันไว้และตั้งหน้าตั้งตา
ลุยกับมันสักตั้งนั้น เป็นแค่การปั่นทัวริ่งแบบบ้านๆ ที่มิได้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไร
แค่อยากมีความสุข ความสนุกแบบบ้านๆวางเอาแค่เป้าเล็กๆ ตามกำลังจ่อยๆ
ขาจ่อยๆ จะพาไป ตามกำลังทรัพย์เล็กๆ พอจะเจียดจ่าย
ปั่นได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ตามความอยากความคัน ตามแต่งบจะอำนวย
ตามแต่เวลาลาพักร้อนของมนุษย์เงินเดือน ที่มีเวลารูทีนของอาชีพบีบกรอบไว้
เจียดเวลา วันลาได้แค่ไหน ก็คงไปเท่านั้น เงินหมด เวลาหมด ก็กลับบ้าน
ผมแค่ฝันถึงภาพหล่อๆ เท่ๆ ขอตนเอง ที่ปั่นจักรยานคู่ใจ แบกสัมภาระ
งัดเนินไปตามเส้นทางภูเขาลูกนั้น ลูกนี้ ไปนั่งต้มกาแฟ ตามสถานที่ที่ธรรมชาติสวยๆในเมืองไทย
ตบตูดต้วยเบียร์ช้าง เบียร์สิงห์ หรือลีโอ สักป่อง ขึ้นเขา เข้าป่า กีตาร์ กางเต็นท์
แค่อยากปั่นขึ้นภูเขาเล็กๆ สักลูก ปั่นขึ้นไปต้มมาม่า ซดร้อนๆ บนยอดเขา
แค่อยากปั่นไปนอนกางเต็นท์นับดาว ร้องเพลงคาราบาว บนภูเขาลูกนั้น
สถานที่นั้น ที่ๆ ผมเคยแบกเป้เที่ยวตอนเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ
ที่ๆ สวยๆ ในวรสาร อนุสาร อสท. ที่เคยยืนอ่านตามแผงหนังสือ (แต่ไม่ซื้อสักที )
- ณ วันเวลาที่ผมเริ่มเขียนบันทึกสับถังซ่าส์นี้ เป็นช่วงเวลาขณะที่ผมเริ่มสามารถออกปั่นจักรยานท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง
และได้เกิดความหลงไหล หลงรัก ในการปั่นทัวริ่งเข้าแล้ว ผมตั้งธงไว้ ว่าจะออกปั่นจักรยานทัวริ่ง ท่องเที่ยว
งัดเนินงัดดอย จนแก่เฒ่าอยากรู้เหมือนกันว่า ดูซิมันจะไปหมดแรงหมดสภาพสักอายุเท่าไหร่ ที่เรางัดเนินไม่ไหว
ไปปั่นเที่ยวที่ไหนสนุกๆและน่าสนใจ ก็จะมาเขียนบันทึกไว้ให้เพื่อนๆอ่านเล่นในนี้ ตามที่โอกาสการเขียนจะอำนวย
คนเรามีความสุขแทนกันไม่ได้ รูปแบบความสุขของคนอื่น เราอาจไม่ชอบ ไม่ใช่
ออกไปปั่นทัวริ่งให้มีความสุข ตามแบบฉบับทีุ่คณชอบ ตามสไตล์ตัวเราเอง
แบบไหนที่เรามีความสุขและอิสระเป็นตัวของตัวเอง เราก็ทัวริ่งในรูปแบบนั้นไม่ต้องไปตามลอกแบบใคร
เหมือนชื่อเพลงของ วงดนตรี Nirvana บอกไว้ว่า ..COME AS YOU ARE ....
ปั่นในแบบที่คุณชอบ ออกทัวร์ในอย่างที่คุณเป็น รวมทั้งผมเองด้วยก็ทำแบบนั้น เช่นกัน ครับ
ไม่รีบ แค่ปั่น ไหลไหล
ชื่นใจ ทางที่ ใฝ่หา
ขอแบ่ง บางช่วง เวลา
ปั่นมา ตามหา หัวใจตน
ซาฯ
ประทับรอยล้อแห่งทัวริ่ง since 2010
.....สั บ ถั ง ซ่ า ส์ .....
ปั่ น ใ ก ล้ ๆ
ไ ป ช้ า ๆ
ร อ บ ข า ไ ม่ เ กิ น สิ บ
จิ บ ไ ม่ เ กิ น ก ร ะ ป๋ อ ง
เ ป็ น ไ ง ม า ไ ง ห ล ว ม ตั ว ม า ทั ว ริ่ ง
- แต่ก่อนเมื่อวัยผมเป็นเด็กบักหำน้อย รู้แค่ปั่นจักรยาน ผ่อนแรงกว่าเดิน เพลินกว่าวิ่ง
และไปได้ไกลกว่าการเดินด้วยเท้าเปล่าขาเปล่า การปั่นจักรยานได้ครั้งแรกในวัยเด็กน้อยนั้น
เป็นอะไรที่ตื่นเต้นสุดติ่ง เพราะตอนเด็ก เราไม่มีจักรยานไซส์เด็กๆ แบบใน พศ.ปัจจุบัน
ต้องยืมรถจักรยานของพ่อ น้า อา แล้วแต่ผู้ใหญ่จะให้ยืมเพื่อหัดปั่น ซึ่งก็ไซส์รถก็สูงใหญ่ท่วมหัว
กว่าจะปั่นเป็น ก็ต้องแลกด้วยแผล ล้มแล้วล้มอีก การปั่นจักรยานได้ครั้งแรกในวัยเด็กน้อย
มันจึงเป็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของชีวิตสำหรับผมเลยทีเดียว และเมื่อปั่นเป็น ปั่นเก่งสมควร
ก็ใช้งานจักรยานแค่ในระยะใกล้บ้าน อย่างมากก็ปั่นไปโรงเรียน ไปซื้อของจ่ายตลาด
ไม่ก็ปั่นเล่นกับเพื่อนเด็กๆด้วยกัน ในละแวกใกล้ๆ
พอโตเป็นผู้ใหญ่ ผ่านวัยเด็กขึ้นมา ก็ขับมอไซค์ได้
ขับรถยนต์ได้ เจ้าพาหนะสองล้อรถถีบตัวนี้ มันก็หายไปจากความต้องการของชีวิต
ผมไม่เคยมีความคิดเลยว่าจักรยาน จะสามารถพาคนเรา ที่เป็นคนทั่วไปปกติ
คนที่มีความสามารถแค่ธรรมดาแบบเราๆนั้น เดินทางไกลระยะทางแบบรถยนต์
หรือใช้เป็นพาหนะที่ใช้ท่องเที่ยวไกลๆ ได้จริงๆ เคยรู้มาเหมือนกันว่ามีนักปั่นที่
สามารถปั่นได้ไกลๆ เดินทางไกลด้วยจักรยาน ข้ามประเทศ หรือปั่นรอบโลก จำนวนมากมาย
แต่นั่นมันไม่น่าจะเป็นคนระดับความสามารถปกติจะทำกัน ผมนึกไปว่าทีเขาปั่นๆกัน
เป็นแค่การพยายาม สร้างสถิติ หรืออยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง ที่ค่อนข้างเกินความจริง
หรือความสามารถมนุษย์ปกติเท่านั้น และยังคิดไปต่อว่า เมื่อทำสถิติต่างๆสำเร็จแล้ว
ก็อาจมีชื่อเสียง หรือ เป็นเกียรติ แล้วเขาก็คงเลิก
ปั่นไกลๆแบบเดิม เพราะปิดงานแล้ว ตอนนั้นมุมมองความคิดเห็นไปแบบนั้นจริงๆ
- เหตุให้เริ่มสนใจให้กลับมาจักรยานมาใช้ในชีวิตประจำวัน ได้กลับมาในวัยทำงานที่กรุงเทพ
เมืองรถติดอันดับต้นๆของโลก ที่แค่คิดว่าจะปั่น ก็มองเห็นแต่ภาพรถติดบนท้องถนน
หากช่วงรถไม่ติดก็วิ่งรถกันยังกะแข่ง ใครจะบ้าไปปั่นได้วะเดี๋ยวรถใหญ่ไล่ทับได้ไปยมโลกม่องเท่งก่อนแก่ซะหร๊อก
แต่แล้วภาคบังคับ เป็นปี่ที่ช่วงประเทศผู้ค้าน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับยานยนต์กลุ่มโอเป็ค ผู้ทรงอิทธิพลพลังงานโลก
ได้บันดาลให้เกิดภาวะน้ำมันแพงจัด เมื่อ คศ. 2005 น้ำมันเบนซิลเติมรถยนต์
ราคาลิตรละเกือบ 50 บาท รถยนต์ของผมเก๋งมือสองเก่าคร่ำครึ Lancer E car เครื่อง 1.5 L
จิบน้ำมันว่าประหยัดเชื้อเพลิงแล้ว แต่ค่าเติมน้ำมันแทบไม่เหลือตังซื้อข้าวกินให้ผ่านแต่ละเดือน
จนมนุษย์เงินเดือน(น้อย)อย่างผม ต้องหาจักรยานพับมาพกติดท้ายรถและใช้ปั่นสลับ
กับการใช้งานรถยนต์ ปั่นใกล้ๆบ้าง แค่ปั่นไปทำงานไม่กี่สิบกิโลต่อวัน เสาะหาเส้นทางที่เลี่ยงรถใหญ่
และได้ประโยขน์ ปั่นออกกำลังกายสลับกับการวิ่งออกกำลัง เพลินดีเหมือนกัน
ตอนนั้นก็นับว่าคุ้มกับเงินที่จ่ายค่าจักรยาน ไม่ขาดทุนละ
และช่วงนั้นเองก็เริ่มมีใจให้กับจักรยาน เสพติดการปั่น
วันไหนไม่ได้นั่งบนอานตูดไม่โดนเบาะ แทบนอนไม่หลับ
เริ่มเปิดใจและสนใจการปั่นจักรยานในแบบทัวริ่งที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องของตนที่พยายามสร้างสถิติ
เริ่มเปลี่ยนความคิดว่าหากวันหนึ่ง ที่เราอาจมีสามารถปั่นได้สไตล์ทัวริ่งและปั่นเที่ยวได้จริง
มันคงจะเป็นสีสันชีวิตที่น่าสัมผัสอีกทางนึง เพราะได้ติดตามข่าวการปั่นรอบโลก
ของคู่รักนักปั่นคนไทย คุณวรรณ-คุณหมู
ตั้งแต่ยังอยู่ในระหว่าง ออนทัวร์รอบโลก 5 ปี 11 เดือน 1 วัน ใน 43 ประเทศ 6 ทวีป
ระยะทางกว่า 40,000 กิโลเมตรและเมื่อรอบโลกจนเข้าถึงเมืองไทย
จบทริปและออกพ็อกเกตบุ๊คชุด 4 เล่ม ผมยังตามซื้อมา
อ่านครบทุกเล่ม แต่ไม่เคยคิดว่าจะปั่นแบบพี่เขา ติดตามด้วยความชื่นชมทั้งสองท่านมาตลอด
แต่นั่นยังไม่ใช่รูปแบบการปั่นที่ผมฝันถึง มันไกลเกินตัวตนมนุษย์เงินเดือน ผมจึงยังคงตามหาต้นแบบต่อไป
- แต่แล้ววันหนึ่ง ผมได้รู้สึกว่า นี่สิ ใช่แล้ว การปั่นจักรยานที่ผมฝันไว้ มันเป็นแบบนี้
เมื่อผมได้หลงเข้าไปดงของนักปั่นในโลกไซเบอร์ อ่านกระทู้สรุปทริปในแนวทัวริ่งต่างๆ
ซึ่งสมัยนั้น ในเวปไซท์ ThaiMtb.com จะมีห้อง สรุปทริป
แต่ยังไม่มีห้องทัวริ่ง ต้องเลือกอ่านเอาเอง ว่าทริปไหนเข้าข่ายจักรยานทัวริ่ง
และผมได้รับอิทธิพลโดยตรงจากทริปทัวริ่งจักรยานของหนุ่มน้อยร่างเล็กคนหนึ่งที่เป็น
มนุษย์เงินเดือนเหมือนผม ปั่นจักรยานเสือภูเขารุ่นโคตรธรรมดา ๆ ที่ปั่นท่องเที่ยวอย่างมีสีสัน
ทริปโลดโผน และเขียนสรุปทริป โพสต์เรื่องราวการเดินทางที่แลกความฝันให้เพื่อนๆอ่าน
ภาพถ่ายที่เขาถ่ายก็สวยมาก โดยเขามิได้ต้องการสิ่ง ตอบแทนเป็นเงินทองค่าจ้างใดใด
เขียนให้เพื่อนๆ นักปั่นอ่านกันฟรีๆ ความน่าทึ่ง เป็นนักปั่นสมัครเล่นที่ต้องปั่นไปฉีดอินสุลินไป
ผมเรียกเขาว่า หัวหน้าเอสฯ ทริปนี้แหละครับ http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 1&start=15
ที่ผมอ่านแล้ว มันมีแรงถีบให้ผมกระเด็นเข้ามาสนใจ จนเข้าข่าย หมกมุ่น กับเรื่องราวของ
ทัวริ่งจักรยาน และติดตาม ศึกษา เก็บข้อมูลอย่างตั้งใจ
และเกิดสาระพัดคำถามในสมองที่กระหายคำตอบมากๆ ว่า
" คนออกทัวริ่งเขาปั่นไปทำอะไร เพื่ออะไร
ปั่นอย่างไร เตรียมตัว เตรียมรถ เตรียมข้าวของ เครื่องใช้ พกพาอะไรบ้าง หอบหิ้วขนไปอย่างไร
แล้วขาอ่อนสามัญชนอย่างเรา หากอยากไปสนุก ไปกางปีกบินรอนแรมแบบพี่ๆเขาบ้าง
เรามันต้องซ้อมปั่นให้ตัวเองเก่งระดับแค่ไหน จึงจะเพียงพอที่จะสามารถออกปั่นทัวริ่งไกลๆ
ได้จริงจริงเหมือนพี่พี่เขาที่เราเฝ้าติดตาม เพราะเรานั้น เคยปั่นไกลแค่ยี่สิบโล ก็แทบลมจับ
แค่คิดตามระยะทาง และเส้นทางที่ตามอ่าน ก็หมดแรงน่องแล้ว เฮ้อ " ...
- ทั้งๆ ที่ แค่เริ่มสนใจ ยังไม่มีจักรยานทัวริ่งมาครอบครอง น่องยังเหลว ขายังอ่อนหัด
ยังมิทันผ่านการปั่นทางราบร้อยกิโลต่อวันแม้สักครั้ง แต่ในใจเล็งไว้เฉพาะแต่ เส้นทางภูเขา
ไอ่ทางคดเคี้ยว เลื้ยววนโค้งไปเลื้อยมาไปตามซอกเขา ทางชันๆ สูงๆ
งงเหมือนกันว่า ทำไม มันชื่นชอบนั่งอ่านได้เป็นวันๆ นั่งดูภาพบรรยากาศงัดเนิน
ภาพในจอคอม ที่เห็นนักปั่นที่ผ่านสายหมอกและอากาศหนาวๆ เย็นๆ
บนทางภูเขา เส้นทางที่โดนใจมากๆ ในแรกเจอคือ เส้นทางวงกลมเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน
เคยตามอ่าน ตามชม ทริปของ หน.เอสฯ และจักรยานในฝันของผม ตอนเวลานั้นนอน
ฝันถึงแต่ trek 520 มันใช่เลย แต่ไม่มีปัญญาซื้อหรอก ราคาเกือนแสน แต่ก็รู้สึกแค่ว่ามันเท่มากๆ
- เฮ้อ ...ไอ้ที่เราคิดมันง่าย แต่ทำจริงมันคงยากไม่น้อย แม้นใจจะอยากสักปานใด ต้องเก็บ
ความอยาก ไว้เนิ่นนานต่อเนื่อง แต่ความคิดอยากปั่นทัวริ่ง มันยังวนเวียนในหัวเป็นปีข้ามปี
แต่ผมก็ไม่ทิ้งความอยากนั้น ยังซุ่มซ้อมน่องกระจอก เสมอเสมอ ปั่นต่อเนื่องหลงไหลไม่รู้ตัว
นักปั่นไร้ระดับ น่องกระจอก อย่างเรา แค่ปั่นรถเปล่าๆ ไปถึงเลียบคลองเปรมรังสิตไปอยุธยา
แค่ไปกลับ ก็หน้ามืดแทบเป็นลม หน้าเหลือง ฟ้าเหลือง ทุกครั้ง ที่ปั่นไปกลับ บนทางเส้นนี้
แต่นั่นก็แหละ ยังโชคดี (หรือโชคร้ายไม่แน่ใจ )
ที่ผมไม่เข็ดง่ายๆ แบบว่าดื้อปั่น เสาร์ไหน อาทิตย์ไหน มีเวลาว่าง ก็เพียรซ้อม
ปั่นรถพับล้อยี่สิบนิ้ว ระยะทางไกลขนาดย่อมๆ บนถนนเลียบคลองเปรม
ปั่น กรุงเทพ-บางปะอิน - อยุธยา แทบทุกเสาร์ที่ว่างต่อเนื่องกันมา
ด้วยความสนุกในการปั่น และค่อยๆอึดขึ้นไม่รู้ตัว
- และแล้วสิ่งที่โหยหา ก็มาโผล่ขึ้นมาจนได้ เพราะหลังจากเพียรมั่วปั่นซ้อม กรุงเทพ-บางปะอิน- อยุธยา
เดือนละครั้ง ทำแบบนี้ทุกเดือน ๆ ตั้งแต่ปี คศ.2006 ติดต่อกัน 4 ปีไม่เคยขาด จนต่อมา เมื่อต้นกุมภา
ของปี คศ.2010 เงินที่เหลือจากโบนัสลูกจ้างรัฐ และค่าใช้จ่ายตอนนั้นมี เล็กๆ
ไม่เยอะ ไม่กี่พันหรอก ผมได้มีโอกาส ซื้อจักรยานทัวริ่ง สับถัง มือสอง เก่ามาก ๆ
ตั้งชื่อให้ว่า น้ อ ง เ ขี ย ว แ ก่
นับเป็นจักรยานทัวริ่งคันแรกในชีวิต ตั้งใจทีแรกว่า จะเอาไปปั่นเส้นทางในฝันเล็กๆ
ทัวริ่งแบบส่วนตัวเล็กๆ ตั้งความหวังอยากปั่น กรุงเทพไปเขาใหญ่ นึกได้แค่นั้น
ไม่กล้าฝันให้ไกลเกินกำลัง
- ภาพ และเรื่องเล่าสับถัง ที่ผมบันทึกไว้ในที่นี้ นอกจากเขียนไว้ เพื่อวันหน้า จะได้อ่าน
รอยล้อของตนเองแล้ว ยังเป็นการเขียน เพื่อใช้หนี้เก่า แก่พี่พี่นักปั่นรุ่นก่อน ที่ผมได้ติดตาม
อ่านทริปของพี่พี่เขา ที่เขียนลงไว้ใน thaimtb.com จนตอนนี้ผมสามารถปั่นเที่ยวได้เอง
ยังหวังว่าข้อมูลที่เขียนเล่า บรรยากาศการท่องทัวร์จักรยานแบบมือสมัครเล่นนี้
อาจจะช่วยเสริมบรรยากาศ การท่องเที่ยว หรือทัวริ่งจักรยานในเมืองไทยบ้านเรา
ให้มีสีสันเพิ่มเข้ามาอีกมุมหนึ่ง และอาจมีส่วนกระตุ้นให้ เพื่อนนักปั่นมือใหม่ หรือเพื่อนนักปั่น
ที่อาจยังไม่เคยได้ออกท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ที่เข้ามาอ่าน อาจเกิดแรงบันดาลใจตัวเอง
ให้ได้กล้า ได้ลอง และรับความสนุก ในการท่องเที่ยวด้วยจักรยานในบ้านเรา เพิ่มจำนวนมากขึ้น
- ทัวริ่งจักรยาน คำๆนี้ สำหรับผมไม่อาจหมายถึงการปั่นทัวริ่งทางไกลๆ
ข้ามประเทศ หรือตั้งฝันเป้าหมายรอบโลก มันคงเกินตัวมากไป ยิ่งใหญ่เกินตัว
แม้นว่าจะชื่นชอบ และติดตามอ่าน เรื่องราวของการปั่นทั้งไทยและเทศ
ที่เดินทางปั่นข้ามประเทศ ข้ามทวีป รอบโลกก็ได้เพียงชื่นชมและจินตนาการตามไปตามแผนที่
แต่ทัวริ่งจักรยานที่ผมไฝ่ฝันไว้และตั้งหน้าตั้งตา
ลุยกับมันสักตั้งนั้น เป็นแค่การปั่นทัวริ่งแบบบ้านๆ ที่มิได้ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่อะไร
แค่อยากมีความสุข ความสนุกแบบบ้านๆวางเอาแค่เป้าเล็กๆ ตามกำลังจ่อยๆ
ขาจ่อยๆ จะพาไป ตามกำลังทรัพย์เล็กๆ พอจะเจียดจ่าย
ปั่นได้แค่ไหน ก็แค่นั้น ตามความอยากความคัน ตามแต่งบจะอำนวย
ตามแต่เวลาลาพักร้อนของมนุษย์เงินเดือน ที่มีเวลารูทีนของอาชีพบีบกรอบไว้
เจียดเวลา วันลาได้แค่ไหน ก็คงไปเท่านั้น เงินหมด เวลาหมด ก็กลับบ้าน
ผมแค่ฝันถึงภาพหล่อๆ เท่ๆ ขอตนเอง ที่ปั่นจักรยานคู่ใจ แบกสัมภาระ
งัดเนินไปตามเส้นทางภูเขาลูกนั้น ลูกนี้ ไปนั่งต้มกาแฟ ตามสถานที่ที่ธรรมชาติสวยๆในเมืองไทย
ตบตูดต้วยเบียร์ช้าง เบียร์สิงห์ หรือลีโอ สักป่อง ขึ้นเขา เข้าป่า กีตาร์ กางเต็นท์
แค่อยากปั่นขึ้นภูเขาเล็กๆ สักลูก ปั่นขึ้นไปต้มมาม่า ซดร้อนๆ บนยอดเขา
แค่อยากปั่นไปนอนกางเต็นท์นับดาว ร้องเพลงคาราบาว บนภูเขาลูกนั้น
สถานที่นั้น ที่ๆ ผมเคยแบกเป้เที่ยวตอนเป็นวัยรุ่นใหม่ๆ
ที่ๆ สวยๆ ในวรสาร อนุสาร อสท. ที่เคยยืนอ่านตามแผงหนังสือ (แต่ไม่ซื้อสักที )
- ณ วันเวลาที่ผมเริ่มเขียนบันทึกสับถังซ่าส์นี้ เป็นช่วงเวลาขณะที่ผมเริ่มสามารถออกปั่นจักรยานท่องเที่ยวได้ด้วยตนเอง
และได้เกิดความหลงไหล หลงรัก ในการปั่นทัวริ่งเข้าแล้ว ผมตั้งธงไว้ ว่าจะออกปั่นจักรยานทัวริ่ง ท่องเที่ยว
งัดเนินงัดดอย จนแก่เฒ่าอยากรู้เหมือนกันว่า ดูซิมันจะไปหมดแรงหมดสภาพสักอายุเท่าไหร่ ที่เรางัดเนินไม่ไหว
ไปปั่นเที่ยวที่ไหนสนุกๆและน่าสนใจ ก็จะมาเขียนบันทึกไว้ให้เพื่อนๆอ่านเล่นในนี้ ตามที่โอกาสการเขียนจะอำนวย
คนเรามีความสุขแทนกันไม่ได้ รูปแบบความสุขของคนอื่น เราอาจไม่ชอบ ไม่ใช่
ออกไปปั่นทัวริ่งให้มีความสุข ตามแบบฉบับทีุ่คณชอบ ตามสไตล์ตัวเราเอง
แบบไหนที่เรามีความสุขและอิสระเป็นตัวของตัวเอง เราก็ทัวริ่งในรูปแบบนั้นไม่ต้องไปตามลอกแบบใคร
เหมือนชื่อเพลงของ วงดนตรี Nirvana บอกไว้ว่า ..COME AS YOU ARE ....
ปั่นในแบบที่คุณชอบ ออกทัวร์ในอย่างที่คุณเป็น รวมทั้งผมเองด้วยก็ทำแบบนั้น เช่นกัน ครับ
ไม่รีบ แค่ปั่น ไหลไหล
ชื่นใจ ทางที่ ใฝ่หา
ขอแบ่ง บางช่วง เวลา
ปั่นมา ตามหา หัวใจตน
ซาฯ
ประทับรอยล้อแห่งทัวริ่ง since 2010