โพสต์
โดย อารมณ์ »
ถามว่า กติกา เราเอามาจากไหน เราก็ยึดเอามาจาก UCI ครับ
แต่ปัญหาคืออะไร
การแข่งขันจักรยานในระดับสากล เขาไม่เคยจัดแข่ง ชาย+หญิงในวันเดียวกัน ไม่มีเสือภูเขาทางเรียบ ไม่มีเสือหมอบแข่งปนกับเสือภูเขา บางอย่างจึงต้องมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกัน
ถ้ากำหนดแยกเส้นทางกันไปเลย เช่น ชายเส้นทางหนึ่ง หญิงเส้นทางหนึ่ง ปัญหาก็คงจะมีตามมาอีก เช่น ไม่เส้นทางมากพอให้เลือก ไม่มีบุคคลากรมากพอให้อำนวยความสะดวก ปิดกั้นรถเพื่อความปลอดภัย ผู้สมัครในบางประเภทน้อยเกินกว่าจะทำเช่นนั้น อะไรเช่นนี้เป็นต้น
ถ้ากำหนดแยกวันจัดการแข่งขันหละ ปัญหาคือ event บ้านเรามันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีแรงงานมากพอจะแยกวันจัด
แต่ถ้าดีที่สุดที่ทำได้คือ แยกแข่ง เช้าบ่าย ก็นั่นแหละ เหนื่อยกันทั้งวัน ( สมัยก่อน แข่งเสือภูเขา จะเริ่มกันประมาณ บ่ายโมง ถึง บ่ายสองโมง แยกย่อยประเภท ทะยอยปล่อยกันถึง บ่ายสองโมงกันเลยทีเดียว แล้วเสือภูเขาในสมัยนั้นเป็นทางภูมิประเทศ ทางsingle tract จะมารอดูดกันแบบนี้คงไม่ได้แน่นอน )
คราวนี้ถ้าถามว่า ปล่อยผู้หญิงให้สตาร์ทก่อนสัก 1 ชม. แล้วปล่อยผู้ชายดีไหม ปัญหาก็คือ สุดท้ายกลุ่มนำผู้ชายที่เร็วกว่า จะไปไล่ทันกลุ่มสุดท้ายของกลุ่มหญิง ก็จะเกิดปัญหาการกีดขวาง หรือ อุบัติเหตุคล้ายๆกับกรณีรถด่วนสนามเขียว กับ คนปั่นนิ๊งหน่องที่ไม่ยอมชิดซ้าย โอเค ไม่ปลอดภัยใช่ไหม สุดท้ายก็จบลงด้วยแข่งวันเดียวกัน ปล่อยผู้ชายก่อน ปล่อยเสือหมอบก่อน อะไรทำนองนั้น
แน่นอนหละ ถ้าปล่อยผู้ชายก่อน ยังไงๆก็จะต้องมี"หัวลาก"มาหยุดรอกลุ่มหญิงอยู่ดี
มองกันง่ายๆ จักรยานชาย เกาะจักรยานชาย ในประเภทเดียวกัน อันนี้กติการะบุไว้อยู่แล้วว่าทำได้ ( ยกเว้นการแข่งไตรกีฬาในลักษณะของ Iron man ที่ห้ามdraft ถ้าdraftแบบจงใจ มาแชลสามารถ DQ ได้เลย ) แต่ถ้า draft ตามรถสิบล้อแบบจงใจ ( ปกติแข่งแบบสากล เขาก็ปิดการจราจรหรือเคลียร์จราจรให้โล่งชั่วขณะหนึ่งได้ ) แบบนี้ก็มีค่าเท่ากับ กลุ่มตามแข่งกับรถสิบล้อ ไม่ได้แข่งกับคนนำ
กรณีนี้ รถสิบล้อไม่ได้ร่วมการแข่งขันนะครับ
เช่นกันครับ นักกีฬาหญิงจงใจเกาะนักกีฬาชาย แบบมีเจตนา (ไม่ใช่ว่า in game แบบหญิงแรงโคตรๆ ไล่กลุ่มชายทัน แต่กลุ่มชายที่ไล่ทันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะปล่อยตัวทีหลังยังไล่ทันได้ ) แบบนี้ก็มีค่าเท่ากับว่า นักกีฬาหญิงกลุ่มตามกำลังแข่งกับนักกีฬาชาย ไม่ได้แข่งกับนักกีฬาหญิงประเภทเดียวกันที่เป็นคนนำ
กรณีนี้ นักกีฬาชายก็ไม่ได้ลงแข่งในประเภทเดียวกับนักกีฬาหญิงเช่นกันกับกรณีของสิบล้อ
กติกาไม่ครอบคลุม กติกาไม่ชัดเจน ผู้ตัดสินกลางไม่ยอมรับการให้ระบุความชัดเจน และไม่ยอมให้สิทธิมาแชลในการชี้โทษ
ถ้าเป็นกรณีแบบนี้ แข่งกันกี่ชาติ ก็มีเรื่องคาใจกันตลอดชาติแหละครับ
อะไรก็ตามนะครับ ที่ตัดสินใจโดยผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว ก็มักจะมีเรื่องลงเอยแบบนี้เสมอๆ แต่ถ้ามีกรรมการกลางมากัน 3 คน แบบนี้อาจจะได้มติ 3:0 หรือ 2:1 ได้
สุดท้ายนะครับ ผมก็คงจะไม่ออกความเห็นแล้ว เพราะตั้งแต่รู้จักกับการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา มาตั้งแต่เริ่มปั่นเสือภูเขาเมื่อ 10กว่าปีก่อน มันมีเรื่องคาใจหลายเรื่อง
และทุกครั้ง คนแพ้หรือพลาด ก็ย่อมเสียใจ แต่ก็มีหลายครั้งที่คนแพ้นั้น ครั้งหนึ่งก็เคยชนะมาก่อนด้วยแทคติกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เคยแข่งขึ้นเขื่อนได้ที่หนึ่ง ชนะที่2 กันหน้าเส้น แต่เบื้องหลังในระหว่างขึ้นทางชัน ก็มีนักแข่งชายทีมเดียวกันเอามือดันหลังปั่นส่งให้ แต่พออีกปีหนึ่ง ร่วมเกาะกลุ่มที่ดูดรถยนต์ไม่ไหว แล้วหลุดไปเสียก่อน ( อันนี้มีภาพถ่ายยืนยันว่า ร่วมขบวนการจริง แต่เกาะไม่ติดแล้วหลุด ) คราวนี้พอไม่สมหวัง ก็ออกมาร้องเรียน ร้องทุกข์ ผิดกับคราวที่ได้ที่ 1 ครั้งนั้น มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน แล้วถามที่ 2 ว่าจะประท้วงไหม จะเป็นพยานให้ แต่คนที่ได้ที่ 2 มีสปิริตดีกว่า บอกคำเดียวว่า "ช่างมัน" ง่ายไหมครับ
วงการจักรยานบ้านเรามันแคบมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักกีฬาหญิง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คนในวงการเห็นกันหมด พูดหรือไม่พูด ประท้วงหรือไม่ประท้วง ก็แล้วแต่กรณีของบุคคลไป
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
สังคมไทย ถูกสอนให้เราเล่นกีฬา เพื่อความสามัคคี ซึ่งแน่นอนครับ มีคนชนะแค่คนเดียว คนที่เหลือจึงต้องเป็นคนแพ้ เขาจึงสอนให้รู้จักคำว่า "รู้แพ้" เป็นวลีนำหน้า
แล้วจึงตามมาด้วยคำว่า "รู้ชนะ" ซึ่งก็มีความหมายในเชิงว่า อย่าลำพอง อย่าลิงโลด หากไม่ได้ชนะอย่างขาวสะอาดมันจะมีความภาคภูมิใจได้อย่างไร
และสุดท้ายคือ สอนให้รู้จักคำว่า "รู้อภัย" เพราะ คนเราล้วนแล้วแต่มี อกุศลมูล 3 คือ โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะความโลภที่มุ่งหวังหาชัยชนะโดยขาด หิริ และโอตตัปปะ
การ"รู้อภัย" จึงเป็นข้อสุดท้ายที่ทำใจให้เข้าใจได้ยากที่สุด
ส่วนใครที่คิดว่า"เหมาะสม" หรือ "ไม่เหมาะสม" ผมคิดว่าวิธีดีที่สุด ก็คือ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งปัญหาเรื่องการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา และความไม่โปร่งใสของกติกาในบางจุด ไปให้ทาง กกท.ได้พิจารณา ดีกว่าครับ
และจากบทเรียนในหลายๆสนามที่ผ่านมา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้จัดทุกๆฝ่ายเคยเจอกันมาทั้งสิ้น
อย่าทำให้ถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติเป็นเพียงแค่วัตถุที่ได้มาโดยปราศจากความภาคภูมิใจเลยครับ ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้ว จะเป็นกีฬาเพื่อชัยชนะก็ตาม
( โถ เมืองนอก แชมป์ในตำนาน 7 ปีซ้อน ยังต้องการเอาชนะด้วยการใช้สารกระตุ้นเลยมิใช่หรือ แต่อันนั้นมันมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเยอะมาก สเกลมันใหญ่กว่าเรื่องราวในบ้านเราเยอะ )
ข้างบน
GibKoranuch
โพสต์ 03 เม.ย. 2015, 14:56
lucifer เขียน:ถามว่า กติกา เราเอามาจากไหน เราก็ยึดเอามาจาก UCI ครับ
แต่ปัญหาคืออะไร
การแข่งขันจักรยานในระดับสากล เขาไม่เคยจัดแข่ง ชาย+หญิงในวันเดียวกัน ไม่มีเสือภูเขาทางเรียบ ไม่มีเสือหมอบแข่งปนกับเสือภูเขา บางอย่างจึงต้องมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกัน
ถ้ากำหนดแยกเส้นทางกันไปเลย เช่น ชายเส้นทางหนึ่ง หญิงเส้นทางหนึ่ง ปัญหาก็คงจะมีตามมาอีก เช่น ไม่เส้นทางมากพอให้เลือก ไม่มีบุคคลากรมากพอให้อำนวยความสะดวก ปิดกั้นรถเพื่อความปลอดภัย ผู้สมัครในบางประเภทน้อยเกินกว่าจะทำเช่นนั้น อะไรเช่นนี้เป็นต้น
ถ้ากำหนดแยกวันจัดการแข่งขันหละ ปัญหาคือ event บ้านเรามันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น ไม่มีแรงงานมากพอจะแยกวันจัด
แต่ถ้าดีที่สุดที่ทำได้คือ แยกแข่ง เช้าบ่าย ก็นั่นแหละ เหนื่อยกันทั้งวัน ( สมัยก่อน แข่งเสือภูเขา จะเริ่มกันประมาณ บ่ายโมง ถึง บ่ายสองโมง แยกย่อยประเภท ทะยอยปล่อยกันถึง บ่ายสองโมงกันเลยทีเดียว แล้วเสือภูเขาในสมัยนั้นเป็นทางภูมิประเทศ ทางsingle tract จะมารอดูดกันแบบนี้คงไม่ได้แน่นอน )
คราวนี้ถ้าถามว่า ปล่อยผู้หญิงให้สตาร์ทก่อนสัก 1 ชม. แล้วปล่อยผู้ชายดีไหม ปัญหาก็คือ สุดท้ายกลุ่มนำผู้ชายที่เร็วกว่า จะไปไล่ทันกลุ่มสุดท้ายของกลุ่มหญิง ก็จะเกิดปัญหาการกีดขวาง หรือ อุบัติเหตุคล้ายๆกับกรณีรถด่วนสนามเขียว กับ คนปั่นนิ๊งหน่องที่ไม่ยอมชิดซ้าย โอเค ไม่ปลอดภัยใช่ไหม สุดท้ายก็จบลงด้วยแข่งวันเดียวกัน ปล่อยผู้ชายก่อน ปล่อยเสือหมอบก่อน อะไรทำนองนั้น
แน่นอนหละ ถ้าปล่อยผู้ชายก่อน ยังไงๆก็จะต้องมี"หัวลาก"มาหยุดรอกลุ่มหญิงอยู่ดี
มองกันง่ายๆ จักรยานชาย เกาะจักรยานชาย ในประเภทเดียวกัน อันนี้กติการะบุไว้อยู่แล้วว่าทำได้ ( ยกเว้นการแข่งไตรกีฬาในลักษณะของ Iron man ที่ห้ามdraft ถ้าdraftแบบจงใจ มาแชลสามารถ DQ ได้เลย ) แต่ถ้า draft ตามรถสิบล้อแบบจงใจ ( ปกติแข่งแบบสากล เขาก็ปิดการจราจรหรือเคลียร์จราจรให้โล่งชั่วขณะหนึ่งได้ ) แบบนี้ก็มีค่าเท่ากับ กลุ่มตามแข่งกับรถสิบล้อ ไม่ได้แข่งกับคนนำ
กรณีนี้ รถสิบล้อไม่ได้ร่วมการแข่งขันนะครับ
เช่นกันครับ นักกีฬาหญิงจงใจเกาะนักกีฬาชาย แบบมีเจตนา (ไม่ใช่ว่า in game แบบหญิงแรงโคตรๆ ไล่กลุ่มชายทัน แต่กลุ่มชายที่ไล่ทันก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้หรอก เพราะปล่อยตัวทีหลังยังไล่ทันได้ ) แบบนี้ก็มีค่าเท่ากับว่า นักกีฬาหญิงกลุ่มตามกำลังแข่งกับนักกีฬาชาย ไม่ได้แข่งกับนักกีฬาหญิงประเภทเดียวกันที่เป็นคนนำ
กรณีนี้ นักกีฬาชายก็ไม่ได้ลงแข่งในประเภทเดียวกับนักกีฬาหญิงเช่นกันกับกรณีของสิบล้อ
กติกาไม่ครอบคลุม กติกาไม่ชัดเจน ผู้ตัดสินกลางไม่ยอมรับการให้ระบุความชัดเจน และไม่ยอมให้สิทธิมาแชลในการชี้โทษ
ถ้าเป็นกรณีแบบนี้ แข่งกันกี่ชาติ ก็มีเรื่องคาใจกันตลอดชาติแหละครับ
อะไรก็ตามนะครับ ที่ตัดสินใจโดยผู้มีอำนาจเพียงคนเดียว ก็มักจะมีเรื่องลงเอยแบบนี้เสมอๆ แต่ถ้ามีกรรมการกลางมากัน 3 คน แบบนี้อาจจะได้มติ 3:0 หรือ 2:1 ได้
สุดท้ายนะครับ ผมก็คงจะไม่ออกความเห็นแล้ว เพราะตั้งแต่รู้จักกับการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา มาตั้งแต่เริ่มปั่นเสือภูเขาเมื่อ 10กว่าปีก่อน มันมีเรื่องคาใจหลายเรื่อง
และทุกครั้ง คนแพ้หรือพลาด ก็ย่อมเสียใจ แต่ก็มีหลายครั้งที่คนแพ้นั้น ครั้งหนึ่งก็เคยชนะมาก่อนด้วยแทคติกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เคยแข่งขึ้นเขื่อนได้ที่หนึ่ง ชนะที่2 กันหน้าเส้น แต่เบื้องหลังในระหว่างขึ้นทางชัน ก็มีนักแข่งชายทีมเดียวกันเอามือดันหลังปั่นส่งให้ แต่พออีกปีหนึ่ง ร่วมเกาะกลุ่มที่ดูดรถยนต์ไม่ไหว แล้วหลุดไปเสียก่อน ( อันนี้มีภาพถ่ายยืนยันว่า ร่วมขบวนการจริง แต่เกาะไม่ติดแล้วหลุด ) คราวนี้พอไม่สมหวัง ก็ออกมาร้องเรียน ร้องทุกข์ ผิดกับคราวที่ได้ที่ 1 ครั้งนั้น มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน แล้วถามที่ 2 ว่าจะประท้วงไหม จะเป็นพยานให้ แต่คนที่ได้ที่ 2 มีสปิริตดีกว่า บอกคำเดียวว่า "ช่างมัน" ง่ายไหมครับ
วงการจักรยานบ้านเรามันแคบมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักกีฬาหญิง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คนในวงการเห็นกันหมด พูดหรือไม่พูด ประท้วงหรือไม่ประท้วง ก็แล้วแต่กรณีของบุคคลไป
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
สังคมไทย ถูกสอนให้เราเล่นกีฬา เพื่อความสามัคคี ซึ่งแน่นอนครับ มีคนชนะแค่คนเดียว คนที่เหลือจึงต้องเป็นคนแพ้ เขาจึงสอนให้รู้จักคำว่า "รู้แพ้" เป็นวลีนำหน้า
แล้วจึงตามมาด้วยคำว่า "รู้ชนะ" ซึ่งก็มีความหมายในเชิงว่า อย่าลำพอง อย่าลิงโลด หากไม่ได้ชนะอย่างขาวสะอาดมันจะมีความภาคภูมิใจได้อย่างไร
และสุดท้ายคือ สอนให้รู้จักคำว่า "รู้อภัย" เพราะ คนเราล้วนแล้วแต่มี อกุศลมูล 3 คือ โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะความโลภที่มุ่งหวังหาชัยชนะโดยขาด หิริ และโอตตัปปะ
การ"รู้อภัย" จึงเป็นข้อสุดท้ายที่ทำใจให้เข้าใจได้ยากที่สุด
ส่วนใครที่คิดว่า"เหมาะสม" หรือ "ไม่เหมาะสม" ผมคิดว่าวิธีดีที่สุด ก็คือ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งปัญหาเรื่องการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา และความไม่โปร่งใสของกติกาในบางจุด ไปให้ทาง กกท.ได้พิจารณา ดีกว่าครับ
และจากบทเรียนในหลายๆสนามที่ผ่านมา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้จัดทุกๆฝ่ายเคยเจอกันมาทั้งสิ้น
อย่าทำให้ถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติเป็นเพียงแค่วัตถุที่ได้มาโดยปราศจากความภาคภูมิใจเลยครับ ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้ว จะเป็นกีฬาเพื่อชัยชนะก็ตาม
( โถ เมืองนอก แชมป์ในตำนาน 7 ปีซ้อน ยังต้องการเอาชนะด้วยการใช้สารกระตุ้นเลยมิใช่หรือ แต่อันนั้นมันมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเยอะมาก สเกลมันใหญ่กว่าเรื่องราวในบ้านเราเยอะ )
ได้ความรู้เยอะเลยค่ะ ขอบคุณที่สละเวลามาให้ความรู้ค่ะ _/|\_
ข้างบน
ตู่มอ'ไซค์
โพสต์ 03 เม.ย. 2015, 15:17
ขอบคุณ ป๋าลู ที่มาอธิบายครับมองเห็นหลายๆด้านเลยละครับ(เข้าข่ายหลายประเด็นเลย)
ข้างบน
อารมณ์
โพสต์ 03 เม.ย. 2015, 23:47
สุดท้ายนะครับ ผมก็คงจะไม่ออกความเห็นแล้ว เพราะตั้งแต่รู้จักกับการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา มาตั้งแต่เริ่มปั่นเสือภูเขาเมื่อ 10กว่าปีก่อน มันมีเรื่องคาใจหลายเรื่อง
และทุกครั้ง คนแพ้หรือพลาด ก็ย่อมเสียใจ แต่ก็มีหลายครั้งที่คนแพ้นั้น ครั้งหนึ่งก็เคยชนะมาก่อนด้วยแทคติกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น เคยแข่งขึ้นเขื่อนได้ที่หนึ่ง ชนะที่2 กันหน้าเส้น แต่เบื้องหลังในระหว่างขึ้นทางชัน ก็มีนักแข่งชายทีมเดียวกันเอามือดันหลังปั่นส่งให้ แต่พออีกปีหนึ่ง ร่วมเกาะกลุ่มที่ดูดรถยนต์ไม่ไหว แล้วหลุดไปเสียก่อน ( อันนี้มีภาพถ่ายยืนยันว่า ร่วมขบวนการจริง แต่เกาะไม่ติดแล้วหลุด ) คราวนี้พอไม่สมหวัง ก็ออกมาร้องเรียน ร้องทุกข์ ผิดกับคราวที่ได้ที่ 1 ครั้งนั้น มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคน แล้วถามที่ 2 ว่าจะประท้วงไหม จะเป็นพยานให้ แต่คนที่ได้ที่ 2 มีสปิริตดีกว่า บอกคำเดียวว่า "ช่างมัน" ง่ายไหมครับ
วงการจักรยานบ้านเรามันแคบมาก โดยเฉพาะกลุ่มนักกีฬาหญิง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร คนในวงการเห็นกันหมด พูดหรือไม่พูด ประท้วงหรือไม่ประท้วง ก็แล้วแต่กรณีของบุคคลไป
รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย
สังคมไทย ถูกสอนให้เราเล่นกีฬา เพื่อความสามัคคี ซึ่งแน่นอนครับ มีคนชนะแค่คนเดียว คนที่เหลือจึงต้องเป็นคนแพ้ เขาจึงสอนให้รู้จักคำว่า "รู้แพ้" เป็นวลีนำหน้า
แล้วจึงตามมาด้วยคำว่า "รู้ชนะ" ซึ่งก็มีความหมายในเชิงว่า อย่าลำพอง อย่าลิงโลด หากไม่ได้ชนะอย่างขาวสะอาดมันจะมีความภาคภูมิใจได้อย่างไร
และสุดท้ายคือ สอนให้รู้จักคำว่า "รู้อภัย" เพราะ คนเราล้วนแล้วแต่มี อกุศลมูล 3 คือ โลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะความโลภที่มุ่งหวังหาชัยชนะโดยขาด หิริ และโอตตัปปะ
การ"รู้อภัย" จึงเป็นข้อสุดท้ายที่ทำใจให้เข้าใจได้ยากที่สุด
ส่วนใครที่คิดว่า"เหมาะสม" หรือ "ไม่เหมาะสม" ผมคิดว่าวิธีดีที่สุด ก็คือ ทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร แจ้งปัญหาเรื่องการแข่งขันจักรยานในบ้านเรา และความไม่โปร่งใสของกติกาในบางจุด ไปให้ทาง กกท.ได้พิจารณา ดีกว่าครับ
และจากบทเรียนในหลายๆสนามที่ผ่านมา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ผู้จัดทุกๆฝ่ายเคยเจอกันมาทั้งสิ้น
อย่าทำให้ถ้วยรางวัลอันทรงเกียรติเป็นเพียงแค่วัตถุที่ได้มาโดยปราศจากความภาคภูมิใจเลยครับ ถึงแม้ว่าแท้จริงแล้ว จะเป็นกีฬาเพื่อชัยชนะก็ตาม
( โถ เมืองนอก แชมป์ในตำนาน 7 ปีซ้อน ยังต้องการเอาชนะด้วยการใช้สารกระตุ้นเลยมิใช่หรือ แต่อันนั้นมันมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเยอะมาก สเกลมันใหญ่กว่าเรื่องราวในบ้านเราเยอะ )
มชอบข้อความนี้ครับ
แก้ไขล่าสุดโดย 3 เมื่อ อารมณ์, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.
ข้างบน
อารมณ์
โพสต์ 03 เม.ย. 2015, 23:49
ผมชอบข้อความข้างบนนี้ครับ..รู้แพ้ รู้ชนะ อภัยครับ......
........ไม่มีอะไรมากครับแพ้สนามนี้สนามหน้าสู้ใหม่มีทั้งปีครับ แต่ผมว่าที่ดูจากคอมเม้นแต่ละคนผมว่าเอาแค่พอดีครับอาจจะ
สะใจอีกฝ่ายแต่อย่าลืมนึกถึงอีกฝั่งนะครับผมว่านักปั่นเขาซ้อมมาเหมือนกันหมดละครับ เหตุการณ์แบบนี้มีหมดละครับไม่ว่าถ้วยใหญ่
ถ้วยเล็กแต่เราก้อควรเคารพในการตัดสินของคณะกรรมการครับ....ผมว่าคิดให้เปนเกมกีฬาครับมีอะไรไปสู้กันในสนามครับและควรศึกษา
กติกาดีๆให้ถีถ้วนครับแล้วจะได้ไม่ต้องมีปัญหาแบบนี้อีกครับ..ส่วนคนแพ้ก้อน่าจะเก็บความพ่ายแพ้ไปคิดว่าเพราะอะไรหรือมีอะไรมากกว่า
ส่วนคนชนะก้อเก็บไปคิดว่าสนามหน้าจะชนะอย่างไรให้เคลียครับ...
.............โอกาสมีมาไม่บ่อยต้องรีบค้วาครับ.....ไม่งั้นจะหลุดมือครับ........
.............อย่าทนงว่าตนเองเก่งที่สุด ก่อนที่ยังไม่รู้จักคนอืน.........
ข้างบน
ตอบกลับโพส
21 โพสต์ ย้อนกลับ 1 2
อปมาจากอีกกระทู้ของThai mtb ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ