ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

ผู้ดูแล: pOmz, สุพร, คุณขวัญแก้ว

กฏการใช้บอร์ด
รวมชมรมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผู้ดูแลบอร์ด คุณอรอุษา เลิศสุวรรณไพศาล (คุณขวัญแก้ว)
โทรศัพท์หมายเลข 081-5661526
รูปประจำตัวสมาชิก
ส.ลายคราม
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1935
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ก.พ. 2010, 13:01
Tel: 077-281753
team: ยามเช้า
Bike: 2 คัน

ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย ส.ลายคราม »

ปั่นจักรยานถวายสักระพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ อาทิตย์ที่ ๒๙ ก.ค.๒๕๕๕ และขึ้นป้ายชมรมฯ อ.พุนพิน

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ ..

.. รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ
.. รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ
..ขอบคุณครับ.. :P
แก้ไขล่าสุดโดย ส.ลายคราม เมื่อ 29 ก.ค. 2012, 13:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
ปั่นทุกวัน แรงดี ไม่มีป่วย..
ธีระพล
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2007
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 10:57
ติดต่อ:

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย ธีระพล »

ยังมีอีก ชมได้เลย
รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ
สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง
ถ้าหากขาดสติแล้ว ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมจะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้"
ธีระพล
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2007
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 10:57
ติดต่อ:

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย ธีระพล »

ท่าน BBLSURAT ดูหุ่นผอมไปแยอะเลยครับ
สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง
ถ้าหากขาดสติแล้ว ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมจะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้"
ธีระพล
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2007
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 10:57
ติดต่อ:

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย ธีระพล »

ประวัติเมืองสุราษฎร์ธานี


สุราษฎร์ธานีเป็นนามซึ่งได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ เมื่อ พ.ศ.2458 เนื่องจากการเรียกชื่อเมืองก่อนหน้านั้นยังซ้ำซ้อนและสับสนกันอยู่ ประกอบกับพระองค์ได้ทรงพิจารณาว่าประชาชนทั่วไปนี้มีกิริยามารยาทเรียบร้อย และทรงทราบจากผู้ปกครองเมืองว่า ประชาชนในเมืองนี้ตั้งมั่นอยู่ในศิลธรรมเคารพและยึดมั่นในพระพุทธศาสนา จึงได้โปรดเกล้าเปลี่ยนชื่อเมืองเดิม จากเมืองไชยา มาเป็น เมืองสุราษฎร์ธานี

ก่อนที่จะกล่าวถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี ควรจะทราบประวัติความเป็นมาของจังหวัดในอดีตเสียก่อนว่ามีประวัติความเป็นมาในแต่ละสมัยอย่างไร

สุราษฎร์ธานีในสมัยศรีวิชัย ดินแดนส่วนที่เป็นด้ามขวานของไทย จนถึงแหลมมลายู ก่อนที่จะมาเป็นดินแดนภาคใต้ของไทยและประเทศสหพันธ์รัฐมาเลเซียทุกวันนี้ ในอดีตเคยเป็นอาณาจักรที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนมีกษัตริย์ปกครองสืบต่อ ๆ กันมาหลายยุคหลายสมัย บางครั้งก็เจริญรุ่งเรืองสูงสุด บางครั้งก็ตกอยู่ภายใต้อาณาจักรฟูนัน จนถึงพุทธศตวรรษที่ 13 เมื่ออาณาจักรฟูนันซึ่งมีอายุระหว่างพุทธศตวรรษที่ 8-12 มีศูนย์กลางการปกครองอยู่ทางอีสานเสื่อมอำนาจลง บรรดาหัวเมืองใหญ่น้อยทางภาคใต้ซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรฟูนัน จึงได้ตั้งเมืองอิสระขึ้น ในระยะนี้กล่าวถึงชื่อประเทศใหม่ ๆ ในแหลมมลายู เช่น ประเทศครหิ ตั้งเมืองหลวงอยู่อ่าวบ้านดอน ตอนที่เป็นไชยาทุกวันนี้ อีกประเทศหนึ่งชื่อตามพรลิงค์หรือ ตามพรลิงเคศวร ตั้งเมืองหลวงที่จังหวัดนครศรีธรรมราช

ต่อมากษัตริย์ราชวงศ์ไศเลนทร์องค์หนึ่งมีอานุภาพมาก ได้แผ่ขยายอิทธิพลมาถึงและรวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยเหล่านี้เข้าไว้เป็นอาณาจักรหนึ่งแผ่อาณาเขตขึ้นมาเกือบครึ่งค่อนแหลมมลายุ คือ ตั้งแต่เขตเมืองไชยาลงไปมีชื่อว่า อาราจักรศรีวิชัย



แม้อาณาจักรศรีวิชัยจะเจริญมากดังได้กล่าวมาแล้วและมีอายุมากนานถึง 600 ปี แต่ก็ไม่สามารถชี้ได้ชัดลงไปว่า เมืองหลวงหรือราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ใด ต้องใช้หลักฐานทางโบราณคดีเข้าช่วย จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับกันแน่นอน ซึ่งยังเป็นเรื่องที่ยังถกเถียงกันอยู่ ได้มีผู้สันนิษฐานกันหลายอย่างว่าจะอยู่ที่ใดแน่ เช่น ศาสตราจารย์ ยอร์จ เซเดส์ สันนิษฐานว่าอาณาจักรศรีวิชัยนั้นมีราชธานีอยู่ที่เกาะสุมาตรา ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองปาเล็มบัง ปัจจุบันนี้ และเมื่อมีอำนาจมากขึ้น จึงได้แผ่อาณาเขตขึ้นมาครอบครองตลอดแหลมมาลายู จนถึงดินแดนเมืองไชยา ส่วนนักโบราณคดีชาวอินเดียคนหนึ่งชื่อ มาชุมทาร์ เห็นว่าราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัยไม่ควรอยู่ที่ปาเล็มบังในเกาะสุมาตรา เพราะในเกาะสุมาตราไม่ปรากฎ ซากบ้านเมืองสมกับเป็นราชธานีแห่งอาณาจักรศรีวิชัยอันใหญ่โตแต่อย่างใดเลย ที่ถูกควรจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งที่อยู่ในแหลมมลายูมากกว่า

ดร.ควอริตย์ เวลส์ นักโบราณคดีชาวอังกฤษเห็นว่าการหาหลักฐานจากหนังสืออย่างเดียวไม่พอ จึงได้ลงทุนสำรวจค้นคว้าด้วยตนเอง โดยเดินทางตัดข้ามแหลมมลายูจากตะกั่วป่ามาบ้านดอนตามแบบที่ชาวอินเดียใช้เป็ฯเส้นทางเดินในที่สุดก็ลงความเห็นว่าราชธานีของราชวงศ์ไศเลนทร์ ซึ่งครอบครองอาณาจักรศรีวิชัยควรจะเป็นที่เมืองไชยา เพราะปรากฏว่ามีเมืองโบราณหลายแห่งรอบ ๆ เมืองไชยาและยังพบโบราณวัตถุโบราณสถาน เช่น พรพะบรมธาตุไชยา พระพุทธรูป และพระโพธิสัตว์เป็นจำนวนมากในเมืองไชยาอีกด้วย แม้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพก็ทรงเขียนเกี่ยวกับเรื่องดมืองไชยา ความตอนหนึ่งว่า

เมืองไชยาเป็นเมืองใหญ่มาก ใหญ่กว่าเมืองไหน ๆ ในแหลมมลายู เพราะมีแม่น้ำหลวง(ตาปี)ไหลมาออกที่นั้น สืบตามลำน้ำขึ้นไปจนถึงคีรีรัฐนิคมมีทางข้ามไปทางแม่น้ำตะกั่วป่า ลงทางตะกั่วป่าได้อย่างสบาย ทางสายนี้เป็นทางที่พวกอินเดียลงมา เมื่อพิจารณาเทียบกับเมืองนคร ฯ แล้วจะเห็นได้ว่านคร ฯ มีหาดทรายแก้วยาวเพียงแห่งเดียว ทางตะวันออกก็เป็นชายเพือยจนจดทะเล ทางตะวันตกก็เป็นที่ลุ่มแม่น้ำก็เป็นแม่น้ำน้อย ที่ทำกินเพียงแต่พอมี ฉะนั้น จึงถือเป็นใหญ่โตไม่ได้ด้วยเหตุนี้จึงรับรองได้ด้วยวิชาโบราณคดีว่า เมืองนครศรีธรรมราชนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพระมหาธาตุซึ่งเป็นชิ้นหลัก ตำนานเมืองนคร ฯ ปรากฏว่าพวกแขกพงศาวดารลังกามาเขียนในนครฯก็มี เชื่อได้ยาก พระมหาธาตุที่นครฯนั้นก็เป็นของที่มีกำหนดสร้างแน่นอนค้นได้ ส่วนที่ไชยานั้นมีมาก มหาธาตุก็มี วัดแก้วก็มี วัดเวียงก็มี ได้เคยค้นเมืองไชยานั้นไปถึงเมืองชุมพร ท่าแซะ ฯลฯ ไม่พบเมืองเก่า เมืองเก่าคงมีเพียงเมืองไชยาเมืองเดียวเมืองโบราณเดิมเห็นจะอยู่ ที่เมืองไชยาแน่นอนไม่มีที่สงสัย ส่วยที่นครฯ เป็นเมืองที่เกิดขึ้นสมัยที่ไชยาเจริญ แต่เกิดขึ้นภายหลังจารึกที่พบทั้งหมดอาจอยู่ที่ไชยา

ปัจจุบัน ไชยาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพระธาตุไชยาอยู่ในพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ในสมัยศรีวิชัยเป็นอันมากที่ขุดค้นพบที่ไชยาในบริเวณใกล้เคียงมีวัดเก่าๆ เช่น เจดีย์วัดหลวงซึ่งยังมีฐานเจดีย์สมัยศรีวิชัยปรากฏอยู่เข้าใจว่าอาจจะเป็นซากปราสาทอิฐที่พระเจ้ากรุงศรีวิชัยสร้าง ดังที่กล่าวไว้ในศิลาจารึก เจดีย์วัดแก้ว เป็นเจดีสมัยศรีวิชัยที่ยังดีอยู่มาก และวัดเวียงซึ่งเป็นที่พบจารึกกรุงศรีวิชัย พ.ศ. 1318 กล่าวถึงพระเจ้าราชาธิราชองค์หนึ่งด้วย พระนามศรีวิชเยศวรภูมดี ศรีวิชเยนทรราชาศรีวิชัยนฤปติ ตอนต้นยกย่องว่าพระองค์ทรงมีคุณธรรมอันประเสริฐ พระพรหมบรรดาลให้พระองค์มาบังเกิดในโลก เพราะพระพรหมทราบประสงค์ที่จะให้ พระธรรมมั่งคงในอนาคต พระองค์สร้างประสาทหินอันงามราวกับเพชรสามประสาทเป็นที่บูชาพระโพธิสัตว์ปัทมะปราณี พระผู้ผจญพระยามารและพระโพธิสัตว์วัชรปาณี ส่วนด้านหลังจารึกว่าองค์ พระนามศรีวิชเยศวรภูมดีที่กล่าวถึงในด้านหน้านั้นเป็นพระเจ้าราชาที่ราชทรงพระนามวิษณุและศรีมหาราช ทรงเป็นมหาราชแห่งไศเลนทร์วงศ์

ยิ่งกว่านั้นในจังหวัดสุราษฎร์ธานีบริเวณรอบอ่าวบ้านดอนนอกจากเมืองไชยายังมรร่องรอยของเมืองเก่าอีกหลายแห่ง เช่น เมืองกาญจนดิษฐ์ เมืองท่าทอง เมืองพุนพิน และเมืองเวียงสระ ชวนให้สันนิฐานว่าเมืองไชยาจะต้องเป็นหลวงหลวงของราชธานีของอาณาจักรศรีวิชัย

สุราษฎร์ธานีในสมัยสุโขทัย อยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์

อาณาจักรศรีวิชัยเสื่อมอำนาจลงตรงกับสมัยที่กรุงสุโขทัยกำลังเจริญรุ่งเรือง และได้ขยายอำนาจลงมาทางตอนใต้ตลอดไปถึงแหลมมลายู เมืองไชยาซึ่งเป็นเมืองในอาณาจักรศรีวิชัยจึงตกอยู่ภายใต้การปกครองของกรุงสุโขทัย

ในสมัยอยุธยามีเมืองสำคัญทางใต้คือเมืองนครศรีธรรมราช เมืองไชยา เป็นเมืองที่ขึ้นตรงต่อกรุงศรีอยุธยานอกจากนี้ยังมีเมืองเล็กๆ ขึ้นตรงต่อเมืองนครศรีธรรมราช คือ เมืองคีรีรัฐนิคม เมืองท่าทอง

ครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2310 กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสรภาพแล้วจึงสถาปนากรุงธนบุรีสืบต่อจากกรุงศรีอยุธยา หลวงสิบ ปลัดผู้รักษาราชการเมืองนครศรีธรรมราชเมื่อทราบข่าวเสียกรุงศรีอยุธยาจึงตั้งตนเป็นอิสระ เป็นเจ้าครองเมืองนครศรีธรรมราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้หลวงนายศักดิ์เป็นแม่ทัพไปปราบ เดินทัพผ่านเมืองปะทิว เมืองชุมพรเจ้าเมืองชุมพรคุมสมัครพรรคพวกเข้าสมทบกรุงธนบุรี เดินทัพถึงเมืองไชยา หลวงปลัดเมือไชยารวบรวมสมัครพรรคพวกร่วมสมทบด้วยหลวงนายศักดิ์เห็นปลัดเมืองไชยาเป็นผุ้มีความสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาแต่ตั้งเป็นพระยาวิชิตภักดีสงคราม (พระยาคอปล้อง)เป็นราชทินนามเมืองไชยาสืบมา ทัพหลวงนายศักดิ์เดินทางข้ามแม่น้ำตาปีที่ท่าข้าม (อำเภอพุนพิน) หลวงศักดิ์ตั้งรับทัพเมืองนครศรีธรรมราช ที่จะผ่านทางบ้านท่าหมาก อำเภอบ้านนาสาร ทัพหลวงนายศักดิ์ถูกตีล่าถอยกลับไป แล้วไปตั้งทัพรวมไพร่พลเสบียงอาหารอยู่ที่เมืองไชยา เมื่อไพร่พลหายเหนื่อยแล้ว หลวงนายศักดิ์ได้ส่งกำลังข้ามแม่น้ำตาปีอีก แต่ถูกทัพเมืองนครศรีธรรมราชตีพ่ายกลับมาอีก เป็นอันว่าทัพหลวงนายศักดิ์ไม่สามารถจะเอาชนะทัพหลวงนายสิบได้ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงต้องยกทัพหลวงโดยทางชลมารคออกแทนเอง โดยทรงพลหลวงมาขึ้นที่ ตำบลพุมเรียง อำเภอไชยา แล้วเสด็จไปสรงน้ำละลอตโขลนทวารที่สระน้ำคงคาไชยา ทัพเมืองนครศรีธรรมราชจึงได้สงบราบคาบมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์

พอถึงรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าพระยานคร(น้อย)เจ้าเมืองนครศรีธรรมราชได้มาสร้างอู่ต่อเรือพระที่นั่ง และเรือรบถวายพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ที่บ้านดอนนี้ แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านดอนนี้มีความสามารถขนาดต่อเรือรบได้นับว่ามีฝีมือยอดเยี่ยมมากในสมัยนั้น

ครั้นต่อมาในสมัยสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมืองนครศรีธรรมราชอ่อนแอลงเพราะสิ้นบุญเจ้าพระยานคร(น้อย) ขณะนั้นบ้านดอนมีความเจริญรุ่งเรื่องมาก และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ย้ายเมืองท่าทองมาตั้งที่บ้านดอน โดยการย้ายส่วนราชกาลเมืองมาทั้งหมด แล้วพระราชทานเมืองใหม่ที่มาตั้งที่บ้านดอนว่า เมือง กาญจนดิษฐ์ และยกฐานะเมืองกาญจนดิษฐ์เป็นเมืองจัตวาขึ้นตรงต่อกรุงเทพ ในเวลาต่อมาโปรดเกล้า ให้รวมเมืองกาญจนดิษฐ์ (บ้านดอน) และเมืองคีรีรัฐนิคมเข้ามาเป็นเมืองเดียวกัน เรียกว่าเมืองไชยา ให้รวมเมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองหลังสวน ขึ้นเป็นมณฑลหนึ่งเรียกว่าชุมพร ตั้งศาลากลางอยู่ที่ชุมพร ต่อมาได้ย้ายศาลากลางมณฑลมาตั้งที่บ้านดอน ในบริเวณเดียวกับที่ว่าการไชยา ยกฐานะเมืองท่าทองเป็นอำเภอเอาชื่อเมืองกาญจนดิษฐ์ให้เป็นอำเภอ ขนานนามว่าเมืองไชยา ยกฐานะอำเภอกาญจนดิษฐ์ลดฐานะเมือไชยาเดิมเป็นอำเภอ เรียกว่าอำเภอเมืองไชยา และได้แบ่งเขตการปกครองซอยลงไปอีกท้องที่ใดมีคนมากเป็นที่ชุมชนหนาแน่นพอสมควรหรือท้องที่กว้างขวางเกินไปไม่สะดวกแก่การปกครอง ก็แบ่งแยกไปตั้งเป็นอำเภอและกิ่งอำเภอขึ้นใหม่อีกหลายอำเภอ ต่อมาได้มีระบบการปกครองกำหนดออกมาอีก อำเภออันเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนั้นให้เรียกว่าอำเภอเมือง อำเภอเมืองไชยาจึงถัดคำว่าเมืองออกเสีย คงเรียกว่าอำเภอไชยาเฉยๆมาจนทุกวันนี้ ในเวลาเดียวกันกับอำเภอบ้านดอนก็กลายเป็นอำเภอเมืองบ้านดอน ซึ่งเป็นอำเภอที่ตั้งศาลากลางจังหวัดและต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอเมืองบ้านดอน เป็นอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ตามชื่อจังหวัดที่ได้รับพระราชทาน

ก่อนที่บ้านดอนจะได้กลายเป็นอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี มีประวัติความเป็นมาดังนี้

ดินแดนบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ที่เรียกว่าอ่าวบ้านดอน ในทุกวันนี้ นักโบราณคดีได้สันนิษฐานไว้ว่า มีผู้คนชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่กันมาแต่หนึ่งพันสี่ร้อยปีก่อนแล้ว ซึ่งก็คงตกประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 – 12 นั่นเอง ครั้งกระนั้นมีชาวอินเดียแล่นเรืองมาถึงเมืองตะกั่งป่าและเดินทางเลาะเลียบลำน้ำตะกั่วป่าไปสู่เชิงเขาหลวง ข้ามเขาเดินเลียบริมแม่น้ำหลวงเรื่อยมาจนถึงปากอ่าวบ้านดอนชาวอินเดียเป็นผู้มีวิชาความรู้เหนือชนพื้นเมือง จึงได้แพร่วัฒนธรรมของตนไว้ในดินแดนเหล่านี้ สมัยนั้นเป็นเวลาแห่งความรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีวิชัย ซึ่งนักโบราณคดียังถกเถียงกันไม่เป็นที่ยุติว่า นครหลวงแห่งอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ในสุมาตราหรือที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีกันแน่

รอบอ่าวบ้านดอนมีเมืองสำคัญ ๆ อันเป็นที่มาของจังหวัดสุราษฎร์ธานีในปัจจุบันอยู่หลายเมือง คือ เมืองไชยา ตั้งอยู่บริเวณริมน้ำท่าทองอุแท อยู่ในบริเวณอำเภอกาญจนดิษฐ์ ปัจจุบัน และเมืองคีรีรัฐนิคมตั้งอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำพุมดวง เดี่ยวนี้อยู่ในเขตอำเภอคีรีรัฐนิคมนั้นเอง

เมืองทั่งสามนี้เป็นเมืองเก่าแก่อันเป็นต้นกำเนิดของจังหวัดสุราษฎร์ธานีหรือบ้านดอนวันนี้

ในหนังสือรวมเรื่องเมืองนครศรีธรรมราช ของกรมศิลปากร ซึ่งพิมพ์เมื่อปี พ.ศ.2509 มีข้อความตอนหนึ่งในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชกล่าวไว้ว่า

“เมื่อพระพนมวัดแลนางสะเคียงทอง และศรีราชาออกมาสร้างเมืองนครดอนพระนั้น และพระพนมวัง แลนางสะเคียนทองก็มาตั้งบ้านอยู่จงสระ อยู่นอกเมืองดอนพระ สร้างป่าเป็นนา สร้างนาทุ่งเขน สร้างนาท่าทอง สร้างนาไชยคราม สร้างนากะนอม สร้างนาสะเพียง อีกตอนหนึ่งกล่าวถึงเมืองท่าทองไว้ว่าพระยาศรีธรรมโศกราชก็ทูลกรุณา ว่า เมืองท่าทองใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ ยากเงินทอง ข้าพเจ้าพระบาทอยู่หัวขอนำเงินเล็กติดตรานะโมแต่นี้ไปเมื่อหน้า ”

ข้อความในตำนานเมืองนครศรีธรรมราชเกี่ยวกับเมืองท่าทองนี้ไม่มีศักราชระบุไว้แน่นอน เมืองท่าทองนี้จะตั้งมาแต่ครั้งไหน แต่มีข้อความที่ชวนให้สืบสาวความเก่าแก่ของเมืองท่าทองได้ เมื่อตำนานนี้กล่าวถึงเงินนะโม อันเป็นตราที่ใช้ในสมัยโบราณก่อนหน้าที่จะเกิดกรุงศรีอยุธยาคือก่อน พ.ศ.1893 ในสมัยอยุธยาได้นำเงินพดด้วงเลียนแบบเงินตรานะโมที่เคยใช้ในสมัยก่อน ดังนั้น เมื่อเมืองท่าทองเกิดข้าวยากหมากแพง ยากเงินยากทอง เจ้าเมืองจึงนำเงินตรานะโมมาใช้ที่ท่าทอง เป็นอันสันนิษฐานได้ตามหลักโบราณคดีว่า เมืองท่าทองจะต้องเป็นเมืองมาแล้วในราวพุทธวรรษที่ 19 ตรงกับสมัยสุโขทัย มีหลักฐานทางโบราณวัตถุ เก่าแก่อยู่หลายแห่ง เช่น ที่วัดคูหา วัดเสมา และวัดม่วงงาม เป็นต้น

เมืองท่าทองเดิมทีเดียวตั้งอยู่ที่บ้านสะท้อน มีเรื่องเก่าแก่เป็นทำนองตำนานว่า สมัยเมื่อหลายปีมาแล้ว ริมคลองแห่งนี้มีต้นสะท้อนอยู่เป็นดง ต่อมานายมากชาวเมืองนครศรีธรรมราช อพยพผู้คนมาตั้งทำกินที่นี้จนมีฐานะร่ำรวย จึงเปลี่ยนชื่อบ้านสะท้อนเป็นบ้านท่าทอง โดยมีพระวิสูตรสงครามราชภักดี เป็นเจ้าเมืองครั้งต่อมาในปี พ.ศ. 2328 อันตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปรากฎว่าพระเจ้าปดุงกษัตริย์พม่า ได้ยกทัพมาตีหัวเมืองภาคใต้ตั้งแต่เมืองชุมพร หลังสวน ไชยา จนมาถึงเมืองท่าทอง นครศรีธรรมราช หัวเมืองเหล่านี้ถูกพม่ายึดอยู่ระยะหนึ่ง สมเด็จบรมราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงนำกองทัพจากกรุงเทพฯ ไปขับไล่จนหมดสิ้น

แต่การทำสงครามในครั้งนี้ เมืองท่าทองถูกทำลายมากเกินกว่าที่จะบูรณะให้ดีได้ดังเดิมได้ดังนั้นหลังสงครามครั้งนี้ ผู้รั้งเมืองท่าทองอันมีนามว่า นายสม จึงได้ย้ายเมืองท่าทองจากบ้านสะท้อนมาที่บ้านกระแดะ (อันเป็นที่ตั้งอำเภอกาญจนดิษฐ์ในปัจจุบัน) ยังคงเรียกว่าเมืองท่าทองตามเดิม นายสม ผู้ตั้งไว้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงวิเศษ ครองเมืองท่าทองอยู่ที่ริมคลองกะแดะ ไม่นานก็พิจารณาย้ายเมืองมาอยู่ที่คลองมะขามเตี้ย อำเภอเมืองในปัจจุบัน เมื่อประมาณ พ.ศ. 2336 หลวงวิเศษได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระวิสูตร ครองเมืองท่าทองจนถึงปี พ.ศ. 2375 ก็ถึงแก่กรรม บุตรชายพระวิสูตรได้ครองเมืองแทนมีบรรดาศักดิ์เป็นพระพิทักษ์สุนทร

ในระหว่างเมืองท่าทองมาตั้งอยู่ริมแม่น้ำมะขามเตี้ยนี้เอง ชุมชนแห่งใหม่ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ณ บริเวณที่ดอนริมแม่น้ำหลวง สถานที่แห่งนี้เจ้าพระยานครได้ส่งคนมาต่อเรือกำปั่นเดินทะเลหาไม่ได้ง่ายจากริมแม่น้ำหลวง เนื่องจากบริเวณเป็นที่ดอนนี่เอง ชาวบ้านก็เลยเรียกกันว่า บ้านดอน ส่วนทางด้านเมืองท่าชนะนั้น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เจ้าพระยานคร(น้อย) ได้ส่งบุตรชายชื่อพุ่มมาเป็นเจ้าเมือง พอถึงรัชการสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเจ้าพระยานคร (น้อย) ถึงแก่อสัญญกรรมแล้วในวันที่ 29 กรกฎาคม พุทธศักราช 2458 วันนั้นนับเป็นวันสำคัญของชาวเมืองไชยา ดังจดหมายเหตุระยะทางเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ พุทธศักราช 2458 บันทึกไว้ว่า

“วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2458 วันนี้มีกระแสพระบรมราชองการดำรัสเหนือเกล้าสั่งผู้แทนเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ให้ประกาศพระราชปรารภเรื่องที่บ้านดอนซึ่งเป็นเมืองไชยาใหม่ แลตั้งที่ว่าการมณฑลชุมพรอยู่นั้น ประชาชนก็คงเรียกว่าบ้านดอนอยู่ตามเดิม และเมืองไชยาเก่าซึ่งเปลี่ยนเรียกว่า อำเภอพุมเรียง แต่ราษฎรก็คงเรียกชื่อเดิม เมืองไชยาเป็นไชยาเก่า ไชยาใหม่ สับสนกันไม่เป็นที่ยุติลงในราชการ จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามเมืองที่บ้านดอนใหม่ว่า เมืองสุราษฎร์ธานี เปลี่ยนอำเภอพุมเรียง เรียกว่า อำเภอเมืองไชยา เพราะเป็นชื่อเก่า.......”

ในวันเดียวกันนี้เอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนนามแม่น้ำหลวงเป็นแม่น้ำตาปี

การที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองไชยาที่บ้านดอนเป็นสุราษฏร์ธานี ก็เพราะทรงสังเกตเห็นว่า ชาวเมืองนี้เป็นคนดีสุภาพเรียบร้อย และการที่ทรงเปลี่ยนชื่อแม่น้ำหลวงเป็นตาปีนั้น เล่ากันว่า พระองค์ทรงนำแบบมาจากอินเดีย ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งตั้งต้นจากขุนเขาสัตตปุระ ไหลหงสู่มหาสมุทรอินเดียทางอ่าวแคมเบย์ ชื่อแม่น้ำตาปติ ทางฝั่งซ้ายก่อนที่แม่น้ำตาปติจะออกปากอ่าวนี้ มีเมืองเมืองหนึ่งชื่อเมืองสุรัฎร์ ตั้งอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อพระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นสุราษฎร์ธานี (สุรัฎร์) จึงทรงเปลี่ยนแม่น้ำหลวงเป็นตาปีด้วย
สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง
ถ้าหากขาดสติแล้ว ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมจะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้"
ธีระพล
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2007
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 10:57
ติดต่อ:

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย ธีระพล »

[quote="ส.ลายคราม"]ปั่นจักรยานถวายสักระพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ อาทิตย์ที่ ๙ ก.ค.๒๕๕๕ และขึ้นป้ายชมรมฯ อ.พุนพิน

ป๋า หลงวัน แล้วครับ :arrow: อาทิตย์ที่ ๙ ก.ค.๒๕๕๕ และขึ้นป้ายชมรมฯ อ.พุนพิน
สติคือความระลึกได้ สัมปชัญญะคือความรู้ตัว เป็นธรรมมีอุปการะอย่างยิ่ง
ถ้าหากขาดสติแล้ว ไม่ว่าทางโลกและทางธรรมจะดำเนินไปในทางที่ดีไม่ได้"
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

:arrow: ขอแจมด้วยคนนะคะ... :mrgreen:

05.30 น. โดยประมาณ ล้อหมุนออกจากแค้มป์ตาปี มุ่งหน้าสู อ.พุนพิน
รูปภาพ

เกือบถึงแล้วค่ะ...อีก 2 กม.
รูปภาพ

คุณขวัญแก้วมาแล้วจ้า... :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ

ข้างหน้ามีอีกสองคน พี่เธียรี่ และ หวานใจ...ตามไปค่ะ...เพราะเราทราบจุดนัดพบ...น้าแก้วเคยบอกมาแล้วแต่ก็ลืมค่ะ...
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

ยังตรงไปอยู่นะคะ
รูปภาพ

กำัลังจะผ่านหน้า รพ.พุนพิน
รูปภาพ

รูปภาพ

ผ่านหน้าสถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี
รูปภาพ

เห็นป้ายงานแขวนอยู่ข้างบนแล้วค่ะ...เรามาถูกทางแล้ว
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

ทางรถไฟข้างหน้า...
รูปภาพ

น่าจะใกล้ถึงที่หมาย...
รูปภาพ

ผ่านตลาดสดพุนพิน
รูปภาพ

รูปภาพ

ถึงแล้วค่ะ...มาึถึงที่หมาย 06.30 น. โดยประมาณ
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

แล้วก็พบก๊วนอ้อแอ้รออยู่ก่อนแล้ว...ถ่ายรูปกันหน่อย...
รูปภาพ

ขอแฝงกายเข้ากลุ่มหน่อยนะคะ...สีเสื้อเรากลมกลืนกันดีมากค่ะ....
รูปภาพ

ขออีกภาพนะคะ กันบูด... :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ

ณ ที่ทำการชมรมจักรยานพุนพิน ลงทะเบียนกันก่อนค่ะ...
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

เพื่อนๆ เริ่มทะยอยมากันเรื่อยๆ...
รูปภาพ

รูปภาพ

ติดธงกันด้วยนะคะ...
รูปภาพ

มาแล้วรีบมาลงทะเบียนกันก่อนนะคะ...เดี๋ยวมีการจับรางวัลด้วยค่ะ...
รูปภาพ

ลงทะเบียนได้หมายเลข 53 จะเฮงมั้ยหนอ...เห็นบอกว่ามีรางวัลใหญ่ซะด้วย...
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

ว้าว...นี่ใครนิ...ใส่เสื้อทีมกาฬสินธุ์ ซะด้วย... :mrgreen:
รูปภาพ

แล้วเราก็หากันจนเจอ...หลังจากสืบหากันอยู่นาน...คนบ้านเดียวกันค่ะ...น้องแขก ....
ลูกอีสานพลัดถิ่นมาทำมาหากินอยู่ที่สุราษฎร์ธานี...เหมือนได้น้องเพิ่มมาอีกคนรู้สึกดีใจมากค่ะ...
น้องแขกเป็นเพื่อนรุ่นน้องของน้องชายที่อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ด้วย...
เห็นหน้าปุ๊ป ก็รู้ว่าใช่เลย...คนบ้านเดียวกันชัวร์.... :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ

มาทักทายหนุ่มๆ ที่ริมน้ำบ้าง...คุ้นหน้าบ้างไม่คุ้นหน้าบ้าง...จะได้รู้จักกันซะที.... :mrgreen:
รูปภาพ

รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

รูปภาพ

สองหนุ่มนี้ก็ไม่นิ่งเอาซะเลย สงสัยคงเขินกล้อง...เลยได้ภาพท่าแปลกๆ... :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ

ชมวิวริมน้ำบ้าง...
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

พระท่านบิณฑบาตร เสร็จแล้ว กำลังจะกลับวัด...
รูปภาพ

มุมนี้สวยจริงๆ ด้วย....
รูปภาพ

ขอนายแบบหน่อย...รีบชูนิ้วเชียวนะ...แหมว่าจะให้โพสต์ท่าขรึมๆ มองวิวหน่อย พอจะกด ชูนิ้วซะงั้น... :lol: :lol: :lol:
รูปภาพ

สมาชิกเริ่มทะยอยมากันมากขึ้น...
รูปภาพ

อาจารย์ยุทธ มาแล้วครับ...
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

พี่เปี๊ยกวันนี้มาเสื้อสีสดใสมาก... :mrgreen:
รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
รูปประจำตัวสมาชิก
คุณขวัญแก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 17733
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2010, 13:32
team: Highway Bike Thailand
Bike: Trek, Peugeot, Dr.hon , Bianchi
ตำแหน่ง: 382 ซ.12 ม.เลคการ์เด้น ถ.ขุมทอง-ลำต้อยติ่ง แขวงขุมทอง ลาดกระบัง กทม.

Re: ปั่นจักรยานถวายสักการะพระราชานุเสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ และขึ้นป้ายชมรมฯอ.พุนพิน

โพสต์ โดย คุณขวัญแก้ว »

มาเป็นคู่ค่ะ...หวานจริงๆ...พี่แหม่ม กับ พี่เปี๊ยก... :D
รูปภาพ

นิ่งๆ นะจ้ะที่รัก...เดี๋ยวพี่จัดให้สวยๆ เลย... :mrgreen:
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
...สุข ทุกข์ ล้วนใจกำหนด...
ตอบกลับ

กลับไปยัง “สุราษฎร์ธานี (SURATTHANI)”