<I'm Huggy>ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง.!! มือใหม่้เริ่มต้น คนที่เอาแต่คิดว่าทำไมได้ เด็วค่อยทำ(เหมือนผม)แนะนำให้อ่านครับ

ผู้ดูแล: น้าเป็ด..., βlue$ushi™, paravatee

กฏการใช้บอร์ด
น้าเป็ด (สัจจา ขุทรานนท์) หัวหน้ากลุ่ม(ผู้ดูแลห้อง1)

๒. βlue$ushi™ (กษิดิ เกษมสวัสดิ์)(ผู้ดูแลห้อง2)
Tel: 081 612 9753,02 589 0804

๓. paravatee (จุฑามณี ภูเดชมณีสถิต น้องออน)(ผู้ดูแลห้อง3)
084-160-5677
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

<I'm Huggy>ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง.!! มือใหม่้เริ่มต้น คนที่เอาแต่คิดว่าทำไมได้ เด็วค่อยทำ(เหมือนผม)แนะนำให้อ่านครับ

โพสต์ โดย HuggyBeary »

"อายุ45ผมจะต้องตาย...?? บ้า..!! รึป่าวหมอ" เสียงผมดังลั่นออกไปนอกห้องตรวจโรค จนคนไข้ที่รอรักษาข้างนอกพากันตกใจ
ชะเง้อหาเจ้าของเสียงกันใหญ่ ผมได้แต่เก็บอารมณ์แล้ว มองหน้าหมอเจ้าของไข้ผมก็ทำท่าไม่สนใจเสียงผมเท่าไรได้แต่ก้มหน้าอ่านใบตรวจของผมต่อ
เหมือนกับรู้ว่าผมต้องตะเบ่งเสียงใส่แน่นอนอยู่แล้วพอสักพักผมก็เริิ่มตั้งสติได้ก็รอฟ้งคำพูดของหมอต่อไป หมอก็พูดเหมือนจะลดหย่อนให้ผมหน่อย
ว่าถ้าไม่ตายก็อัมพาตแหล่ะ(ดูมัน)ผมได้แต่นิ่งเพราะอยากรู้สาเหตุ มากกว่าอยากลุกไปต่อยหน้ามันสักเปรี้ยงนึง พอหมอรู้ว่าผมไม่ตอบโต้อะไรก็เลย
ถือโอกาสอธิบายเหตุผลที่แช่งผมซะยาวเหยียด สรุปคร่าวๆก็พอได้ใจความว่า ผลตรวจที่ได้กับการสอบถามความเป็นอยู่ปกติเรืิ่องอาหารการกินและ
การใช้ชีวิตปัญจุบัน ก็เลยสรุปผลตรวจให้เลยว่า อายุ45ผมไม่ตายก็ต้องเป็นอัมพาตแน่นอน เพราะไขมันในเลือดผมสูงกว่าคนปกติถึงสามเท่าตัว
และชีวิตความเป็นอยู่ก็ทำร้ายตัวเองมาตลอด..!!

อ่านถึงตรงนี้คงจะงงว่าจู่ๆผมมาทำอะไรที่โรงพยาบาล แล้วมานั่งให้หมอแช่งว่าอายุจะสั้นแบบนี้ เรื่องมีอยู่่ว่า เมื่อคืนก่อนผมมีอาการแน่นหน้าอก
และหายใจแทบไม่ได้มันปวดที่หน้าอกทุกครั้งเวลาหายใจเข้าออกพยายามหายใจเบาๆอยู่นานแต่ก็แสนจะทรมาน จนตัวเองหน้ามืดเหมือนจะขาดอากาศหายใจ
จริงๆแล้วอาการนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกสำหรับผม มันเป็นแบบนี้มาสักระยะห้าหกเดือนที่ผ่านมา แต่ถ้าเป็นแต่ละครั้งก็ใช้เวลาไม่นาน นั่งพักหายใจสักพักก็หาย
แต่ระยะหลัง มันเริ่มกินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ จาก5นาที เป็น10 นาที จนครั้งสุดท้ายเนี้ยแหล่ะมันนานมาก นานจนผมรู้สึกเลยว่ากำลังจะไม่รอดแล้ว ไม่มีแรงแม่้กระทั้งหายใจ แต่โชคยังดี เจ้าน้องชายผมเดินผ่านมาพอดีเห็นผมนอนอาการแปลกๆอยู่หน้าทีวีเลยเดินเข้ามาดูใกล้ๆและถามผมว่าเป็นอะไรผมได้แต่เอามือเกาะขามันไว้
แล้วบอกว่า พาไปโรงพยาบาลที หายใจจะไม่ไหวอยู่แล้ว เจ้าน้องชายผมก็รีบลากผมจากที่นอนอยู่พาไปถึงโรงพยาบาลใกล้ๆ พอถึงโรงพยาบาลก็สอบถามอาการผม
ผมได้แต่อธิบายด้วยเสียงที่พอจะพูดได้ตอนนั้น(อาการเริ่มทรงตัวไม่ปวดมากขึ้ัน) และหมอก็ฉีดยาให้เข็มนึง หลังจากนั้นก็พาไปเอ็กซ์เรย์หน้าอก แต่ก็ไม่พบอาการผิดปกติอะไร หมอเลยให้นอนพักก่อน และสั่งให้งดอาหารและน้ำ เพื่อกลับมาตรวจใหม่วันพรุ่งนี้ จนอีกวันนึงนั่นแหล่ะหลังจากมาตามนัดหมอแล้ว ตรวจเสร็จก็เกิดเรืิ่องตามที่บอกตั้งแต่ตอนต้นเรื่อง

เหตผลที่หมอสรุปแบบนั้นหลังจากที่คุยกันละเอียด ด้วยวงจรชีวิตง่ายๆปกติของผม คือวันๆก็ไม่ได้ทำอะไรมากเล่นเกมส์ออนไลน์สาระพัด และแชทคุยกับเพื่อนๆอยู่หน้าคอม รอบตัวก็มีอาหารจำพวกไขมันสูง(ไม่บอกนะว่ามีอะไรบ้าง)อยู่เต็มโต๊ะแบบไม่ต้องลุกไปไหนได้เป็นวันๆ หากหิวหนักๆก็แค่ลงไปไม่กี่ชั้น
แล้วก็ขึ้นกลับมาเล่นเกมส์ต่อ ระยะเวลาก็ตั้งแต่สิบโมงเช้าหรือเที่ยงจนถึงใกล้สว่างของอีกวัน ถึงจะนอนได้และก็ตื่นมาใหม่ตอนสิบโมงสายหน่อยก็เที่ยง วนๆอยู่แบบนี้ หากวันไหนไปทำงานก็ไปอาศัยหลับบนรถ เสร็จงานกลับมาก็เล่นอยู่หน้าคอมต่อ ส่วนอาหารหลักๆของโปรดก็มีจำพวก ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ หมูหวานราดน้ำมัน
หรืออาหารทอดๆอะไรก็แล้วแต่ขอแต่ว่า มันราดน้ำมันเยิ่มๆด้วยก็พอ (ขนาดทอดไข่ดาวก็ยังเอาน้ำมันที่ทอดมาราดข้าวกินเลย) ด้วยเหตุนี้หมอถึงบอกผมว่าผมหน่ะใช้ชีวิตทำร้ายตัวเองมาตลอด เมื่อก่อนอาจไม่เห็นผลเพราะร่างกายเราเผาผลาญของเหล่านี้ออกไปได้ แต่ด้วยอายุเข้าวัยกลางคนร่างกายไม่สามารถจะทำงานรับภาระหนักๆแบบนี้ได้อีก ของเหล่านี้เลยสะสมอย่างรวดเร็วและเห็นผลอย่างที่เห็นนี่แหล่ะ ซึ่งหมอก็อธิบายต่อว่าถ้ามันเข้าส่วนหัวใจ มันก็จะไปอุดตันเส้นเลือดหัวใจ ทำให้หัวใจล้มเหลวได้ หรือถ้าเข้าไปสมอง ก็สามารถทำให้พิการเป็นอัมพาตได้เช่นกัน ซึ่งตอนนี้กรณีผมมันมีสิทธิ์เป็นไปได้ค่อนข้างสูง ฟังๆแล้วตอนนั้นผมค่อนข้างจะมึนๆ ในหัวมีแต่คำว่า 45ไม่รอด 45ไม่รอด อยู่แค่นั้น ที่เล่ามาก็หลังจากคุยๆกับคนหลายๆคนและได้เหตุผลตามที่บอกไป

ตอนนี้ถึงขั้นตอนรักษาว่าทำไงไม่ให้เป็นแบบที่หมอแช่งได้ หลักๆคือ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ลดอาหารที่มีไขมันทุกชนิด กินได้แค่ปลากับผัก และออกกำลังกายทุกวัน ตอนแรกฟังก็เซ็งๆเหมือนกัน เพราะสองอย่างเนี้ย แทบไม่ได้มีในชีวิตปกติเลย แต่ตอนนั้นคิดได้แค่ว่ามันสูงเพราะว่าเรากินของแบบนั้นเยอะเกินไปทนไม่กินสักเดือนมันก็น่าจะลดได้เยอะแน่นอน ส่วนการออกกำลังกายเอาไว้ก่อน เพราะเล่นกีฬาอะไรไม่เป็นสักอย่างแล้วก็ไม่ชอบออกกำลังด้วย(เหนื่อย)
พอผ่านมาได้หนึ่งเดือนกลับไปตรวจใหม่(หมอนัดตรวจเดือนละครั้ง)ปรากฏว่า ผมคิดผิด!!

การที่ว่าแค่ทนอดกินอาหารที่ชอบแค่เดือนเดียวมันจะลดได้ ผลตรวจออกมามันแทบไม่มีผลมากเท่าไร หมอได้แต่บอกว่า คุณต้องออกกำลังกายด้วย ถึงจะเห็นผล กลับมารอบนี้ผมได้แต่คิดว่าออกกำลังกายเนี้ยผมจะทำยังไง ไม่เคยเล่นกีฬาอะไรสักอย่างตอนนั้นคิดง่ายๆก็แค่วิ่ง วิ่งนั้นแหล่ะดีที่สุด หลังจากนั้นก็เตรียมตัว เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน นอนไวขึ้น เพื่อที่จะได้ตื่นตอนเช้า แต่จริงๆไม่มีผลอ่ะ ให้นอนไวแค่ไหน กว่าจะหลับได้ก็ใกล้สว่างทุกที (ก็คนมันชินนิ)ไม่เคยนอนเวลาปกติมาหลายปี จู่ๆจะมาเปลี่ยนเวลานอนมันหลับไม่ลงจริงๆ ก็กลายเป็นว่า อดนอนแล้วออกไปวิ่งตอนเช้า วันแรกวิ่งแบบที่วิ่งตอนเด็กๆ รอบสนามไปได้สามรอบมั้ง ปรากฏว่าหน้ามืดเอาดื้อๆ หายใจไม่ทันแล้วก็เป็นลมสลบไปตรงนั้นเลย กว่าจะรู้สึกตัวได้ก็ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่ตอนนั้นไม่มีใครมาช่วยหรอก เหมือนคนฟุบหลับอยู่บนพื้นสนามหญ้ามากกว่า คราวนี้ก็เลยเข็ดกับการวิ่ง ถึงจะพยายามจะลองอีกสองสามครั้งก็ทำไม่ได้อยู่ดี กลัวเผลอๆจะเป็นหนักกว่าโรคที่เป็นอยู่ตอนนี้ด้วยซ้ำ(ตอนนั้นคิดแบบนั้นเลยเลิกวิ่งเอาดื้อๆ)พอเข้าเดือนที่สอง ผลตรวจก็เป็นแบบที่คิด ว่าแทบไม่ลดลงเลยเหมือนเดิม คราวนี้หมอให้ยาแบบไม่เต็มใจ(สองเดือนแรกไม่ได้ให้ยา) บอกทิ้งท้ายว่าให้ยาไม่มีผล ถึงกินไปเลิกกินก็เป็นอีก และก็มองผมแบบว่าหยามๆว่าเอ็งลดไม่ได้หรอก(อันนี้ผมคิดเองนะ)ผลตรวจเดือนต่อมาก็ลดได้จริงๆ แต่ไม่มากเท่าไร ยังไม่พ้นเกณท์ที่หมอบอกว่าไม่เป็นอะไร และหมอเองก็ไม่ได้ยินดีกับผลตรวจที่ลดมาได้มากนัก แต่พูดเหมือนเดิมว่า เลิกกินยาก็กลับเป็นเหมือน เดิิมแหล่ะ
จนสุดท้ายเข้าเดือนต่อมาชีวิตผมก็แย่กว่าเดิมมีเรื่องใหม่ให้มาเครียดแทน(ไม่อยากเล่าอ่ะ)ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับอีก และก็มีผลที่ไม่อยากจะรักษาตัวเองแล้ว ทำใจปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติจะอยู่ไม่ถึง45หรือจะน้อยกว่านั้น ผมไม่สนใจแล้วอยู่นับวันถอยหลังของชีวิตตัวเองในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆของผมเอง
และตั้งแต่นั้นผมก็ไม่เคยกลับไปหาหมอให้ตรวจอะไรอีกเลย ....

หมายเหตุท้ายเรื่อง

เรื่องนี้เกิดกับผมเองในช่วงเวลานึงของปีก่อน ซึ่งมันได้ครบนึงปีแล้ว จริงๆไม่อยากเอาชีวิตตัวเองมาขายหรอก แต่คิดอีกแง่หนึ่งมันอาจจะมีผลดีสำหรับใครก็ตามที่ไม่รู้จะหาอะไรยึดเหนี่ยว และเปลี่ยนการดำเนินชีวิตแบบที่เป็นผมในตอนนี้ ทุกอย่างก็เกิดจากประสบการณ์จริงของผมเอง โดยหัวข้อหลังๆ จะขอเอาจากที่บันทึกเป็นครั้งต่อครั้งที่ตัวเองบันทึกลงบนเฟสบุ๊คโดยที่ไม่อยากจะแก้อะไร เพราะอยากให้ความคิดหรือความรู้สึกของผมตอนนั้นคงไว้ ณ.เวลานั้น หากใครที่เก่งหรือมีเหตุผลที่ดีกว่ามาอ้างแย้งผมได้ มาอ่านแล้วบอกว่ามันไม่ใช่หรอก มันต้องอย่างงั้นอย่างงี้ ก็ขอให้โปรดเข้าใจว่าประสบการณ์เหล่านี้มันเกิดจากผมเองที่เริ่มจากศูนย์และไม่ได้ปรึกษาใครเลยจริงๆ การฝึกหัดหรือทำแบบที่ตัวเองคิดมาตลอดด้วยพื้นฐานทางความรู้เรื่องแบบนี้ไม่มีเลยสักกะนิดเดียว (จริงๆตอนนี้ก็ไม่มีความรู้เหมือนเดิมนั่นแหล่ะ)
ไฟล์แนบ
cats.jpg
cats.jpg (118.99 KiB) เข้าดูแล้ว 2310 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 25 ม.ค. 2012, 11:32, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

ผมเก็บตัวเงียบๆ อยู่ในห้องได้ระยะหนึ่ง จริงๆก็เป็นแบบเดิมแหล่ะ แต่ผิดที่ผมอยู่หน้าคอมแต่ได้ได้ทำอะไร เปิดมันไว้แล้วก็ นั่งมองจอเปล่าๆ ไปวันๆ ไม่ได้คุยกับใคร ไม่ได้เล่นเกมส์อะไรอีก ความรู้สึกมัันไม่เหมือนเดิม มองแล้วก็คิดอะไรที่ผ่านมาไปเรื่อยเปื่อย คนเราพอติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ก็จะหลงไหลสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ จนกว่าจะรู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ตรงนี้ ยิ่งพอรู้ว่าเวลาเหลือน้อยแล้ว ยิ่งคิดว่าที่ทำทุกวันนี้มันเสียเวลา เลยตั้งโจทย์กับตัวเองว่า ถ้าเรามีเวลาอยู่แค่นั้นจริงๆ เราอยากทำอะไร อะไรที่ขาดหายไปในชีวิต ผมยังไม่ได้ทำอะไรบ้าง ตอนนี้พอเริ่มเบื่อและทนอยู่กับห้องที่ตัวเองอยู่ก็ออกไป นั่งตามป้ายรถเมล์ ตามสวนสาธารณะ ใต้สะพานแขวน จนสุดท้ายก็เริ่มคิดได้ว่า ผมไม่เคยออกไปไหนเลย ไม่เคยเที่ยวต่างจังหวัด ที่เคยไปครั้งสุดท้ายก็วัดหลวงพ่อโสธรเมื่อปีก่อน แต่ไปเพราะมีเหตุเลยต้องไป ไม่ได้กะจะไปเที่ยว ใช่แล้วถ้าผมจะเป็นอย่างที่หมอบอกจริงๆ ขอเวลาท่องเที่ยวให้คุ้มที่สุดก่อนตายจะดีกว่า

นึกถึงตอนเด็กๆ แอบหนีที่บ้านเอาจักรยานแม่บ้าน ปั่นไปบางแสน แล้วก็รู้สึกสนุกดี สมัยก่อนเคยมีกลุ่มเพื่อนเล็กๆ ห้าหกคนวันๆก็เอารถBMX มารวมกลุ่มปั่นไปไหนต่อไหนกัน ตอนนั้นไม่เน้นปั่นทางไกลๆ ส่วนมากก็โดดเนิน เล่นสะพานโค้งกันซะมากกว่า สมัยนั้นกำลังฮิตกัน เป็นยุคเดียวมั้ง ที่จักรยานBMXระบาดหนัก เด็กผู้ชายแทบทุกคนจะต้องมีรถแล้วก็แต่งแข่งกัน สมัยนั้นรถจักรยานBMXต้องประกอบเองเท่านั้น ของผมตัวถัง PK'Ripper ล้อ Ukai ดุม Araya ส่วนอื่นก็ Shimano ล้วนๆ (สมัยนั้นของถูก เด็กเก็บตังส์ซื้อเองได้)ภูมิใจตัวเองสุดๆ กว่าจะเก็บตังส์ประกอบได้ มีช่วงนั้นเองหล่ะมั้งที่แข็งแรงมาก ออกกำลังทุกวัน กลับถึงบ้านเหงื่อโชกตัว มอมแมมกลับบ้านดึกๆดื่นๆทุกคืน (เหมืิอนติดเกมส์งอมแงมสมัยนี้)แต่พอหลังจากจบ มอต้น ก็เป็นปลายยุคBMXพอดี ก็เลิกร้างกันไปเพื่อนๆก็เปลี่ยนไปติดอย่างอื่นกันแทน เข้ายุคมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงรุ่นสปริ้นเตอร์ระบาคหนัก กลุ่มจักรยานเปลี่ยนไปขี่มอเตอร์ไซด์แข่งกันหมด แล้วก็มีรถยี่ห้ออื่นทำออกมาแข่งกันอีกหลายรุ่นต่อๆมาอีก เด็กวัยรุ่นสมัยนั้นเลยมีแต่มอไซค์ เด็กกำลังโตก็ไม่จับจักรยานแร้วข้ามขั้นไปออกมอไซค์ตั้งแต่ตัวเล็กๆกันเลย ถือว่าสิ้นยุคจักรยานไปเลยช่วงนั้น ส่วนผมขี่มอไซค์ไม่เป็น เจ้าเพื่อนๆ ก็พยายามสอนให้เพื่อจะได้ตั้งกลุ่มกันเหมือนเดิม แต่ลองแล้วมันไม่ได้ ติดด้วยโรคขี้ส่วนตัว ที่จะตกใจทุกครั้งเวลามีอะไรมาข้างหลังจะระแวงหรือล้มหลบตลอดเวลา(แต่กับจักรยานไม่เป็นแฮะแปลกดี) เลยไม่เอาดีกว่าขี่มอไซด์ตายแน่นอน เพื่อนก็ตายไปสองคนช่วงนั้นเลยกลัวไปเอง ไม่กล้าหัดรถเพื่อออกไปแว้นกับกลุ่มเพื่อน อย่างที่พวกมันหวังกันไว้(โชคดีไปไม่งั้นคงไม่ได้อยู่ถึงทุกวันนี้หล่ะกระมั้ง)

นึกย้อนมาถึงตอนนี้มันมีความสุข อยากกลับไปปั่นจักรยานอีกจะได้ออกกำลังได้ด้วย เป็นเรื่องเดียวด้วยมั้งที่เหนื่อยแล้วสนุก กลับมาถึงบ้านก็มาค้น เรื่องจักรยานได้ข้อมูลมาส่วนนึง แต่รถจักรยานสมัยนี้ก็มันแปลกๆแฮะ เอาเสือภูเขา มาปั่นกันไปท่องเที่ยวข้าวของก็พะรุงพะรัง ถึงพวกนี้มันจะดูแปลกๆ มีหมวกมีชุดยังกะจะไปแข่งกันกับใครตลอดเวลา แต่ดูๆแล้วมันก็น่าสนุกดี เอาว่ะ!! ลองกลับมาปั่นจักรยานดูดีกว่า เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ทำอะไรที่มันกลับขั้วดูบ้าง คงสะใจดีัพิลึกหล่ะ ว่าแต่จะไหวรึป่าวก็ไม่รู้ พอตั้งใจจะหันมาเอาดีทางขี่จักรยาน ก็มีคำถามตามมาอีกหลายอย่าง จะทำไงดีไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับรถเลย ลองสมัครเข้าเว็บ ก็นึกชื่อล๊อกอิน ตอนแรกกะจะใช้โค๊ดเนมเดิม แต่ว่าคนเราถ้าจะตัดชีวิตเดิมๆออก หากจะใช้ชื่อเดิมอีกคงยังจะจมอยู่กลับเรื่องเก่าๆแน่ ไม่เอาดีกว่า ไหนๆจะเปลี่ยนแนวชีวิตแล้ว เปลี่ยนชื่อที่เคยใช้มานมนานไปด้วยเลยดีกว่า คิดอยู่นานว่าจะใช้ชื่ออะไร ก็นึกถึงคำอยู่คำหนึ่ง ของคนที่จากไป พูดหลังจากที่รู้ว่าจะไม่มีโอกาสเจอกันอีกว่า "ถ้ารู้ว่าวันนั้นเราจะไม่ได้เจอกันอีก เราน่าจะกอดกันให้นานกว่านั้นนะ" อือการกอดกันน่าจะมีความสุข เพราะผมถ้ารู้สึกดีกับใครจะชอบกอดเค้าไว้แน่นๆแทนคำพูดเสมอ (เป็นคนสื่อสารกับใครไม่เป็น แสดงออกก็ไม่ถนัด )หาชื่อที่ยังไม่มีคนจองไว้ก่อน ในฮอตเมล์แนวๆนี้หลายชื่อกว่าจะได้ ก็เลยได้ชื่อแปลกๆตั้งแต่นั้นมา แล้วก็ตั้งใจจะทำ facebook เพื่อจะบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้ด้วยตลอด เพื่อที่จะให้คนที่จากไปเค้าได้อ่านและรู้ความเคลื่อนไหวของเรา ว่าผมอยู่ได้ไม่ต้องห่วง จะใช้ชีวิตอีกรูปแบบนึงดูโดยไม่มีเค้าอยู่ ลาก่อนชื่อนี้ "โจ๋เsนเจอร์" ต่อไปนี้ผมจะใช้ชื่อนี้แหล่ะ "Huggybeary" จะได้เริ่มต้นกันใหม่ซะที กับทางเดินใหม่ที่เลือกเอง
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 28 ต.ค. 2011, 15:18, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

ออกจากห้อง กลับไปที่เดิมๆ
.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 25 ตุลาคม 2010 เวลา 1:29 น..
วันนี้ตั้งใจจะออกไปหาข้อมูล รถซะหน่อย ความคืดแรก ที่ฝั่งหัวมาตั้งแต่เด็ก จักรยาน ต้องวรจักร !!! เฮ้อ... ทั้งวรจักร มีสามร้าน (เวงกรรม)ที่พอดูได้มีอยู่ร้านเดียว ก็เห็นที่ถูกใจตัวนึงก็มีนะ ราคาก็พอกะงบที่เตรียมไว้ แต่ยังก่อนขอหาข้อมูลเพิ่มสักหน่อย กะกลับมาค้นข้อมูลร้านต่อ วรจักรนี่ไม่ใช่แระ ขายของบ้าบอพอกะคลองถม(จริงๆมันก็ติดกันหล่ะ)ก็เลยเดินตลองถมซะเลย เรื่อยเปื่อย เดินกินของที่เคยกินกันเดิมๆ บะหมี่ปู น้ำส้มปั่นที่เป็นแก้ว แล้วก็อะไรนิดหน่อย เจอคนขี่จักรยานมาดูของเหมือนกัน คงกลับมาจากงานที่ยูเอ็น (เข้าไปอ่านทริปในเว็บมาบ้าง)ก็ไปยืนดูใกล้ๆกะจะหาข้อมูลเพื่มเติมกะเค้านิดหน่อย ไม่รู้จะพูดอะไรได้แต่ส่งยิ้มไป เจอสองราย ดูใจดีทั้งคู่ เห็นเรามองก็ยิ้มให้ แล้วก็ผงกหัวแบบนอบน้อม (ดูเป็นคนจิตใจดีกันจัง) ก็เดินต่อเรื่อยเปื่อย คลองถม วัดตึก สะพานเหล็ก ดิโอสยาม ปากคลอง สะพานพุทธ ดีกเลย นั่งแวะกิน ข้าวกระเพาไก่ไข่ดาวคลุกข้าวร้านริมน้ำ เส็ดก็กลับบ้าน กลับมาก็ค้นข้อมูลต่อ เจอที่น่าจะไปลองดู แถวพระราม2 (-*- ใกล้บ้านตูเลย ให้ตูไปซะไกล)ว่าจะลองแว๊บๆไปดูแล้วเผื่อเจอพวกรุ่นเก่าให้ขอข้อมูลได้ แต่เว็บที่สมัครนี่เงียบมากมะมีคนตอบ แม้กระทั้งคนดูยังไม่มีเลย เวงกรรม ท่าจะต้องย้ายเว็บ ซะหล่ะกระมั้ง

มันบังเอิญหรือไม่มีสติไม่รู้สิ แต่ไหนๆก็ไหนๆนะ (กำเนิดเจ้าเบนโตะ)
.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 27 ตุลาคม 2010 เวลา 22:38 น..

วันนี้ก็ทำตามที่ตั้งใจซะที ตอนแรกก็จะขี้นรถไปที่ร้านแถวพระรามสอง แต่รถไม่มี มีอีกสายนึง ผ่านพาหุรัต เลยกะไปเดินดูที่ดิโอ ก็นั่งรถมองอะไรไปเรื่อยเปื่อย พอถึง แถวดาวคะนองมองไปเห็น ร้านจักรยานที่ชายแต่งตัวก็เป็นนักปั่นอยู่แล้วมองไปในร้านก็เห็นรถจำนวนนึง เลยรีบลง เพื่อที่จะไปดูว่าพอมีที่ถูกใจ แล้วอาจจะได้ข้อมูล เพิ่มตามจากชายนักปั่นคนนั้นก็ได้ พอเดินย้อนมาถึงร้านก็เดินเข้าไปดูๆ มีหลายตัวเหมือนกันแล้วก็ หันไปมองชายคนเดิม ยังคงนั่งรอเหมือนสั่งของอยู่ เลยหน้ามึนถามเค้าไปเลย เพื่อจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง

..ก็คุยกันได้พอสมควร สรุปได้ว่ารุ่นที่ดูมามันไม่ใช่แบบที่เราต้องการ ที่ต้องการจิงๆต้องเป็นแบบ ที่เรียกว่า ทัวริ่ง แล้วเค้าก็ให้เลือกตามที่ร้านมีแล้วก็แนะนำอุปกรณ์ที่จำเป็น ต้องมีที่รถ ตอนนั้นเหมือนมึนงงมาก บวกกะอาการอยากได้เสียทีไม่หาแล้วข้อมูล เลยสั่งเค้าทำเด็วนั้นเลย เพื่มเติมก็ตามที่ชายคนนั้นบอกนั่นหล่ะ เยอะเหมือนกันนะออฟชั่นเนี้ย แต่น่านะ เราเอาจริงแล้วนิ จัดไป ว่าจะครบก็เลยคุยกะชายคนเดิม เรื่องข้อมูลการขี่ เค้าก็ให้คำแนะนำดีเหมือนกัน ลืมบอกไปเค้าหกสิบกว่าแล้ว อ่อนกว่าพ่อสองปีเลยเรียกว่า อา แล้วเค้าชื่อเปี้ยก เลยเรียก อาเปี้ยก บ้านอยู่แถว สะพานใหม่(มาซื้อของซะไกล) ของตัวเองก็ได้กว่าจะครบ กดเครื่องมา อุ๊แม่เจ้า 15800 ( -*-) ตั้งใจลงทุน หมื่นก่า ๆ เบรคไม่อยู่จิงๆ เพราะมีออฟชั่นเพิ่มหลายตัวเหมือนกัน อันไหนแถมได้ก็ขอเค้าให้แถม หน้ามึนกันไป ให้บ้างไม่ให้บ้าง ถือว่าด้านขอไว้ก่อนเป็นพอ เสร็จเรื่องก็ขี่กลับบ้านเลย จักรยานคันใหม่ของผมตัวนี่ยี่ห้อ Fuji ฟังชื่อนี่ก็เลยคิดถึงร้านฟูจิ เลยตั้งชื่อมันว่า "เจ้าเบนโตะ" หรือชื่อไหยๆว่า "เจ้าข้าวปั้น" ณ บัดนี้ ...

...... เฮ้อ ชีวิตบนอานรถที่เราบังคับไปเองเนี้ยมันรู้สึกดีจิงๆ อยากจะเร่งก็ใช้แรงเราเอง ไปตามใจ เหนีอยก็ปล่อย ให้มันไหลไปตามแรงเราเอง (มีความสุขอ่ะ) หลังจากถอยออกมาเส็ดก็หาทำเลเก็บ ภาพซะหน่อย
กลับบ้านงงกันทั้งบ้าน ว่า ซื้อมาทำอะไร จะไปไหน ซื้อมาไปจ่ายของหน้าตลาดเหรอ หรือจะขี่ไปทำงาน หลายประเด็น ได้แต่บอกว่ามะรู้สิมันอยากขี่ ไม่อยากอยู่กะห้องแล้ว พ่อกลับมาก็งงๆ แต่ก็บอกว่าดีแร้วได้ออกไปข้างนอกบ้างดีกว่าอยู่ในห้อง หาอะไรใหม่ๆทำ พ่อเค้าก็อุตสา ให้ถุงมือ กับรองเท้ามา เข้าชุดเลยสี

... พรุ่งนี้จะเริ่มออกตัวหล่ะนะ เริ่มต้นคงยังมะพึ่งใครอ่ะขี่ๆอย่างเดียว ใครเคยแรงไปก่อน พร้อมเมื่อไรจะออกไป สู่แสงสว่างที่ต้องการจะเจอซะที ว่าจริงๆแล้วมันอยู่ที่ไหนกันแน่


หมายเหตุท้ายเรื่อง
ข้อมูลเนื้อเรื่อง ข้างบนนี้ เริ่มคัดลอกมาจากบันทึกจากเฟสบุค วันที่และเวลาเป็นเวลาที่เขียนบันทึกจริงๆตอนนั้นเลย บางส่วนข้อความผิดถูกตกหล่น แก้ไขเล็กน้อย ส่วนข้อความบนรูปที่มีในเฟสบุค ก็หาช่องหรือ ข่วงที่เข้ากันสอดแทรกเข้าไป แต่ยังอยากคงความรู้สึกเดิมๆตอนนั้น ยังไม่อยากแก้มาก
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 29 ต.ค. 2011, 10:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

จุดหมายแรก ซ้อมรถและกำลังขา(Quest No.1)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 31 ตุลาคม 2010 เวลา 23:02 น.

วันนี้ก็ตื่นแต่เช้าแปดโมงกว่า จัดข้าวจัดของเตรียมสัมภาระส่วนตัวกะออกไปค้างคืนหนึ่งวัน ก็เตรียมของที่จำเป็นพอที่จะใช้ได้ จุดหมายแรกที่อยา่กจะไปคือ ไปหาแม่ก่อนเลย เพราะทุกที ชอบอ้า่งว่าไปยากไปลำบากนั่งรถเข้าออกก็ไม่ค่อยได้ เลยใช้บ้านแม่เป็นเป้าหมายแรกเลย ได้ลองรถแล้วก็สร้างความคุ้นเคยกับเจ้าเบนโตะซะหน่อย พอก่อนจากบ้านก็ดูมันเก้ๆกังๆซะหน่อย มะค่อยคุ้น ขี่ไปก็สาระวนกับเจ้าเกียร์ต่าง จนเข้าใจว่าเบอร์ไหนเป็นยังไง ก็จบที่ จาน2 เพือง 6 เพราะรู้สึกจะเบาสบายแล้วขี่ง่ายที่สุดแบบไปเรื่อยๆ ถ้าอยากเร่งก็สุดๆทั้งสองอัน จาน3 เพือง 8 หนักแต่เร็วสุดแล้วก็ล้าง่าย (แต่หลังๆคงต้องใช้หล่ะกะมั้งเพราะเด๋วจะตามใครไม่ทัน) พอออกรถใหญ่ก็เริ่มจะเกร็งๆ เพราะรถบรรทุกเยอะเหมือนกันกว่าจะเข้าเลนนอกได้ก็ลุ้นเหมือนกัน กัวไปหมด(ไม่ได้ขี่รถมาเกีิอบยี่สิบห้าปี)วันนี้แดดไม่แรงมากคงเพราะยังเช้าอยู่มั้ง หลังจากขี่ไปได้สักพัก ก็ได้รู้ว่ารถรอบตัวเราเป็นยังไงบ้าง ตะก่อนไม่เคยสังเกตุ รถกะบะกับรถเก๋งญี่ปุ่นนี่เวลาจะแซงเราหรือจะตัดหน้าเราเพื่อจะเข้าซ้ายจะบีบแตร์ก่อน เจอหลายคันเลยสักเกตุได้แรกๆำก็ไม่รู้ แต่รถราคาแพงหน่อย จะไม่เหมือนกันตัดหน้าเลี้ยวเข้าปั้มหรือแยกไปเลย เราต้องระวังตัวเองว่าเค้าจะตัดหน้าเรามั้ย (มือจับเบรคตลอดเตรียมไว้เลย ) ยิ่งแท๊กชี่นี่น่ากัวสุดปาดแล้วจอดเลย แรกๆตกใจ พอหลังๆเริ่มชิน เตรียมตัวเบรคเลย ถ้าเห็นคนริมถนนทำท่าจะเรียกรถ กว่าจะถึงบ้านแม่ก๋ใช้้เวลาไป40นาที ระยะทาง 14.8 กิโล อยู่กันครบเลย น้องสองคนกะเเม่ เห็นเราเลี่้ยวเข้าบ้านก็งงกันใหญ่ว่าใครมา พอถอดหมวกก็ดีใจกันใหญ่คงนึกไม่ถึงว่าเราจะขี่จักรยานมาถึงนี่ได้่ ก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันใหญ่เส็ดก็นอนพักเลยปวดขามาก

สรุป

Level.1 Rookie F (Dst=14.8/100 Km)

ประสบการณ์
1.ก่อนออกรถขี่ไประยะทางไกล ควรจะวอร์ม ร่างกายเสียก่อน
2.ระวังสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ที่สามารถจะออกมาขวางทางเราได้ ในช่วงกะชั้นชิด
3.อย่าไว้ใจทางอย่าวางใจแท๊กซี่ เพราะเค้าสามารถจะตัดหน้าและเบรค ที่ไหนเมื่อไรก็ได้
4.อย่าสนใจสิ่งที่เราเลยผ่านไปแล้ว คือเลี้ยวไปมอง นานเกิน สมาธิต้องอยู่ข้างหน้าเสมอ

--------------------------------------------------------------------------


ลองออกไปเผชิญความลำบากที่อยากลองซะหน่อย(Quest No.2)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2010 เวลา 0:06 น.

หลังจากที่ได้พักสักระยะนึงแล้ว กินข้าวกินปลาเรียบร้อย ขาก็หายปวด เลยวางแผนจะออกไำปข้างนอก แต่ยังไม่รู้ที่ไหนดีเลย ดูจากจีพีเอสเอา ก็สรุปได้ว่าจะไปหาหาดที่ติดทะเลกรุงเทพ คือตรงไปจากเส้น บางขุนเทียน เทียนทะเล แล้วเลี้ยวขวาดูเผื่อมีมุมสวยๆ รับลมซะหน่อย แล้วขากลับก็จะกลับมานอนบ้านแม่เหมือนเดิม เพราะสั่งให้น้องทำอาหารไว้ กะจะกลับมากินตอนขากลับ กว่าจะออกมาได้ก็บ่ายสองกว่าๆ (เพระาช่วงเที่ยงแดดแรงมาก)ด้วยความไม่คิดอะไร เลยฝากสัมภาระำไว้ที่บ้านแม่ก่อน แล้วออกมาตัวเปล่าๆ หลังจากขี่ออกมาได้สักระยะหนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่ากระเป๋าตังส์อยู่ในเป้สะพาย(เวงกรำแหล่ะ) แต่ก็คิดว่าช่างมันขี่ไปไม่ได้ใช้เงินอยู่แล้ว น้ำก็มีเป็นขวด ข้า่วก็เด๋วขากลับก็กลัีบมากิน ขี่ไปเรื่อยๆชมวิวริมทางไป ตลอดทางนี่หมาเยอะมาก ตกใจตลอดทาง ความเร็วก็ประมาณ 22-26kmh จริงๆแรก ไปไหนคนเดียวน่าจะดีกว่า เพราะอยากไปไหนก็ได้ ไม่ต้องขอความเห็นใคร แต่สักพัีกก็รู้สึกมันเงียบเกินไป เลยเปิดเพลงที่มือถือเสียบหูฟัีงไว้ข้างเด๋ว ไม่กล้าเสียบสองข้าง(เคยมีข่าวรถมอไซด์โดนรถทับเพราะไม่ได้ยินเสียง รถไล่หลัง)แต่อีกข้่างก็เสียบบูทูธอยู่ ขี่ไปจนสุดทางแล้วก็ยังไม่เห็นทะเลสัีกที ดูจากแผ่นที่ที่มือถือ ก็วิ่งเลียบทะเลอยู่ แต่มีจุดนึงเหมือนจะเป็นท่าน้ำ แล้วดูจากป้ายก็เห็นบอกว่าข้างหน้าเป็น ตำหนักกรมหลวงเสด็จเตี๋ย เลยอยากไปดู (ลืมดูระยะทางว่าเท่าไร) ก็ฟังเพลงเพลินๆ เปิดแผ่นที่นำทางไปด้วย จนถึงที่หมาย
เห็นตำหนักเสด็จเตี๋ย ก็ลงไปสักการะเพื่อเป็นสิริมงคง แล้วก็เลยไปท่าน้ำ ถ่ายรูปไว้หลายรูปเหมือนกัน แสงสวยดี คุ้มค่้ากับที่ปั๋นมาซะไกล ดูจากเครื่องวัดระยะที่หน้าเครื่อง 48.6 ลบกับเมื่อเช้าบ้านแม่ 14.8 ก็เท่ากับมาได้ 33.8 กิโล (โอวเยอะไปมั้ยเนี้ยสำหรับวันแรก)
เห็นวิวทิวทัศน์แล้วหายเหนื่อย ชื่นใจที่เราทำได้ ถ้าวันนึงขี่ได้ 40กิโลแล้วเป็นยังนี้ได้ก็ไหวนะ ภูมิใจอ่ะ อิอิ *-*

สรุป

Level.1 Rookie F (Dst=48.6/100 Km)

ประสบการณ์
5.ช่วงนี้ถึงจะเหงาแต่ขี่ึคนเดียวสบายใจกว่า อยากไปไหนก็ได้ไม่ต้องวางแผนมาก
6.อย่าฟังเพลงสองหูให้เผื่อหูนึงไว้รับเสียงที่มาจากด้านหลัง
7.น้ำขวดติดรถให้จอดรถก่อนแล้วดื่ม อย่าดื่มขณะปั่นไปด้วย เสียหลักง่ายแล้วก็พะวงกับการหยิบแล้วเสียบคืนที่เดิม(อาจเป็นเพราะมือใหม่ด้วยมั้ง แล้วแต่คนแล้วกัน
8.ระวังหมาข้างทางด้วย ส่วนมากมันจะกระโจนไล่เราทุกตัว ถ้าไม่ระวังจะเสียหลักแล้วรถเบี่ยงออกไปโดนรถที่กำลังแซงเราซะ(ถึงตายได้)
q123.jpg
q123.jpg (117.79 KiB) เข้าดูแล้ว 2303 ครั้ง
--------------------------------------------------------------------------


เีรื่องที่ลืมไป และความสับเพร่าของตัวเอง เจอจริงๆแระความลำบากเนี้ย(Quest No.3)
โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2010 เวลา 1:33 น.

เหอะๆจริงเรื่องนี้ไม่คิดมาก่อนว่ามันจะเ้ป็นเควสที่สาม เรื่องมันต่อจากที่ไปท่าน้ำนี่หล่ะ หลังจากที่ฟังเพลงมาตลอดทาง ถ่ายรูปไปเยอะแยะ เปิดใช้แผนที่ดูทางไปด้วย สรุปว่า แบตหมด(เวงกรำ เริ่มมาเยือนแล้ว) เครื่องดับไปขณะถ่ายรูปอย่างเมามัน ถ่ายไปลบไปอันไหนไม่ชอบ แผนที่ก็เปิดทิ้งไำว้กินแบตน่าดู คราวนี่ทำไงหล่ะเนี้ย แผนที่ไม่มีแล้ว ตอนแรกก็ตั้งใจกลับทางเดิม แต่สักพักก็คิดเอาเองว่า ทางเข้าด้านหน้าน่าจะใกล้กว่าแล้วถนนก็ใหญ่้ด้วยกลับทางเดิมนี่ น่าจะมืดมาก เพราะขามาสังเกตุว่าไม่มีไฟทางเลย มีแค่จุดใหญ่ๆก็เลยขี่กลับอีกทาง ผ่านทางวันโกรกกราก แล้วกะตรงไปบางขุนเทียน (อันนี้ถามจากมอไซดวิน แผนที่พึ่งไม่ได้แล้ว) ก็ขี่ไปได้เรี่อยๆ แบบว่าอาศัยดูํป้ายบอกทางเอา ขี่ไปได้ไกลพอสมควร นานมากฟ้าเริ่มมืดแล้ว ออกจากท่าน้ำ 5โมงครึ่งจนถึงแยกแยกนึงต้องเลี้ยวซ้าย
แต่ทางขวาเป็นทางบอกว่าไปชมพระตำหนักเสด็จเตี้ย อ่าว....!!? นี่เราวิ่งเป็นวงกลมรึเนี้ย ก็แยกนี่ตอนแรกตรงไปขี่ไปไม่ถึง20นาที่เลย ก็ถึงแล้ว นี่กลับมาแยกนี้เสียเวลาไปชั่วโมงกว่าๆ เวงๆๆๆ กลับมาทางเดิมรึเนี้ย แต่ก็ช่างมันไม่ต้องถามใครแล้วเพราะเป็นทางที่มาตอนแรก ดิ่งตรงอย่างเดียว (แต่มันมืดมากกกๆ ) ตามปกติเวลาไปไหนเวลายังไม่ถึงจะรู้สึกนานมากว่าทำไมยังไม่ถึงผิดกลับขา่กลับ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว ความรู้สึกมันต่าง แต่กับการขี่จักรยานที่ไม่ใช่ ทุกจุดที่ผ่านมามันทำให้ท้อมากๆ จากขาไปเจอบ้านโน้นก็สวยดีนะ เจอร้านอาหารนี่ก็แต่งร้านดีนะน่ากืน แต่ขากลับนี่ได้่แต่ท้อใจ ว่าเพิ่งถึงตรงนี้เองเหรอ โหวอีกตั้งไกลเลยนะ ตรงนั้นยังไม่ถึงเลยนิ ตลอดทาง แล้วยิ่้งปั่นก็ยิ่งมืด ไอ่พวกหมากลุ่มเดืิมๆ มันก็ยังอยู่แต่ตอนนี้เราไม่เห็นมันแล้ว มันโผล่กระโจนมาแต่ละครั้ง ตกใจตลอดเพราะมันใกล้ตัวมาก แล้วอีักอย่างขากลับนี่ลมแรงมากย้อนมาตลอด จริงๆขาไปก็ต้านนะ งงเหมือนกัน ว่าทำไมขากลับก็ต้านอีักแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ คือถ้าจอดรถนี่รถถอยหลังแน่ๆ จากสปีดขามาทำได้ 22-26 km ขากลับนี่เละเลย ไม่อยากดูวิ่งได้12-16kmทั้งหนักทั้งเหนื่อยแรงก็หมดแล้ว น้ำก็หมด หิวก็หิว มันจะทุ่มแล้ว ขามาก็ไม่กล้ากินเยอะกลัวจุก เงินก็ไม่ได้เอามา เวงกรำสุดๆเลย ได้แต่คิดอย่างเดียวว่า ต้องรีบกลับ ยิ่งนานยื่งช้ายิ่งดึก แต่มันไกลเหลือเกิน เหมือนมันไกลกว่าขามาสามถึงสี่เท่า ขึ้นสะพานแต่ละอันขามายังปั่นขึ้่นได้ ขากลับนี่ไม่ไหวเลยอ่ะ ต้องเข็นขึ้นก็มีหมดแรง ปวดขามาก หยุดก็ไม่ได้ ข้างทางมืดมากๆ ขี่ไปเจอที่สว่างพอก็พัก แต่ไม่นาน อยากกลับไวๆ หิวน้ำ หิวข้าว ทุกอย่าง มีความคิดนึง พอเห็นรถกระบะแซงไปอยากจะโบกแล้วขอเค้าขึ้นไปด้วย แต่ก็ไม่เอา อยากจะผ่าฟันตรงนี้ไปให้ถึงที่สุด คงเพราะเจ้าเครื่องวัดหน้าเครื่องด้วยมั้งไม่อยากให้ตัวเลขมันไม่ตรงกลับระยะที่เรามา เลยกัดฟันปั่นไปสู้ๆ จนถึง สน เทียนทะ้้่เลนี่หล่ะ ไำม่ไหวจืงๆเลยจอดพักยาวเ้ลยครั้งนึง นั่งนวดขา แล้วก็ขยับๆมันจนเข้าที่ ทุเลาลงบ้าง เห็นมีจักรยานกลุ่มนึงขี่ผ่านไปเหมือนกัน ความเร็วไม่ตกเลย ได้แต่มองเค้าผ่านไป แล้วดูสภาพตัวเอง สับสนเหมือนกันว่าต่อไปเราจะไหวมั้ยเนี้ย จะเป็นแบบพวกเค้าได้รึป่าว ถ้าไปเป็นกลุ่มแบบนั้นคงโดนทิ้งหายแล้วเป็นภาระกับกลุ่มแน่ๆ คิดไปก็ท้อนะ แต่ยังอยากทำอยากปั่นอยู่ เลยปั่นต่อ ทั้งๆที่ยังปวดแต่ใจมันมีช่วงฮึดมาเลยกัดฟันปั่นต่อไป ท่องไว้แค่คำเดียวว่า เด๋วก็ถึงแล้ว เด๋วก็ได้กินข้าวแล้ว

สมองตอนนั้นเหมือนไม่มีชิวิตอยู่เลย ปั่นๆอย่างเดียว สมองกลับเ้หมือนกำลังฝันไปเรื่อยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ได้สติทีก็ตอนมีรถแซงไปหรือผ่านที่สว่างๆ จนถึงสะพานสุดท้ายที่จำได้ว่าถึงสะพานแล้วก็ถึงซฮยเข้าบ้านแล้ว ใจมันลิงโลดมากฮึดมาอีกรอบ ปั่นขึ้นสะพานจนหมดแรงซะงั้น กว่าจะุถึงบ้านแม่ก็วางรถแล้วล้มนั่งเลย ยืนไม่ไหวขาสั่นมาก น้องออกมารับร้องโวยวายใหญ่ว่าหายไปไหนมา เค้าเอารถออกไปตามหากันตลอดทางโทหาทั้งบ้านโน้น ว่ากลับมายัง มองนาฬืกา สองทุ่มสี่สิบ ระยะทาง เกือบ 83km สรุปว่า ขาไปใช้เวลาสองชั่วโมง ขากลับใช้เวลาสามชั่วโมงกว่า ระยะทางขาไป30kmกว่าๆ ขากลับกับใช้ระยะทาง 38km เกิินมาแปดกิโล (ที่ไปอ้อมเป็นวงกลม)นอนพัก สักพัีกก็ิอาบน้ำิึอุ่นสบายตัวมากเลย เส็ดก็ลงมากินข้าวอย่างกับไม่เคยกินมาก่อน (ก็ท่องมาตลอดทางว่ากลับมาจะกินข้่าวกิืน กำลังใจเดียวเลยนะเนี้ย)เสร็จน้องก็ให้กิืนยาแก้ปวดแล้วก็ยาคลายกล้ามเนื้อ กินเส็ดก็หลับเลย เหนื่อยมากๆ

สรุป

Level 1 Rookie F (Dst=83km/100km)

ประสบการณ์
9.อย่าใช้โทรสับหลายหน้าที่เกินชารจ์ให้เยอะที่สุดแล้วใช้งานให้น้อยที่สุด อย่าใช้หลายหน้าที่เกินไปอยากใช้ก็ต้องมีแบตสำรองไว้
10.ศึกษาเส้นทางให้ดีๆก่อนออกเดินทา่งอย่ามั่ว เพราะถ้าผิดทางหรือไปทางที่ไกลกว่าจะเพิ่มระยะทางและเสียเวลาเพิื่มด้วย
11.อย่าทิ้งสัมถาระตัวเอง ของทุกอย่างที่เอามามันจำเป็นแน่นอนอยู่แล้ว อย่าทิ้งหรือฝากไว้ภ้าไม่จำเป็นจริงๆ
12.พกเงินฉุกเฉินไว้ที่อื่นด้วยนอกเหนืิอจากกระเป๋าตังส์
13.ระวังหมาให้มากๆกว่าเดิมด้วย มันดุจรืงๆ ก่อนผ่านมันให้่ระวังรถตามด้วย แล้วปั่นหนีแม่งก่อนเลย

--------------------------------------------------------------------------


หยุดไม่ได้เพราะใจมันยังไม่ยอม (Quest No.4)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2010 เวลา 2:22 น.

หลังจากได้นอนพัีกเต็มๆ หนึ่งคืนตื่นมาตอน แปดโมงเช้า ปวดท้ิอง4 และหิวน้ำมาก แต่พอลุกมานั่งยองๆปุ๊บ หงายท้องลงไปนอนเฉยเลย ขาไม่มีแรงไรเลย กว่าจะลุกนั่งได้ต้องตั้งหลักอยู่พอสมควร พอสายๆ น้องๆก็เตรียมตัวเตรียมของไปขายที่คลองสาร เพื่อขายของ เราเองก็เหมือนจะอาการหายดีเป็นปกติวิ่งเหยาะๆ กระโดดไปมาพอได้ เลยกะว่าไหวจะไปต่อ เพราะถ้าหยุดเลยวันนี้ มันจะไม่อยู่ตัวที่ปั่นมาก็จะเสียเปล่า เลย กะว่าจะหาทางไปอีกสักหน่อย น้องๆก็งงว่าจะไปไหนก็เลยบอกว่าออกไปจะหาทางไปดูว่าไปไหนดี ก็ออกมาพร้อมกัน น้องขับรถออกเราขี่รถตาม แต่ไปทางซ้ายแทน วันนี้กะจะลองจีพีเอสนำทางดูจริงๆซะที (แบตเต็ม100%) ก็เลยกะจะไปหาน้องอีกคนแถวแสมดำเลยเปิดเพื่อหาทางลัดตามซอย มันก็นำทางมาจนออกถึงภนนใหญ่จนได้แล้วก็ปั่นไปอีก เกือบ10km ถึงตอนเที่ยงกว่าไำปถึงมันมะอยู่ซะนี่ลืมบอกมันว่าจะมาหา แต่พอดีมันไม่ได้ล๊อกห้องเลยเข้าไปนอนพักรอได้ เห็นมันบอกว่าครึ่งชั่วโมงจะกลับ เลยนอนรอสักพักหลับไปจริงๆ (คงเพลียจากเมื่อวานมากไปจริงๆ) ตื่นมาสี่โมงกว่าๆ หลับยาวเลยวูบเดียวสี่ชั่วโมง ก็เลยโทรบอกว่าไม่รอแล้วนะจะกลับเลย แล้วก็เปิดจีพีเิอสหาทางกลับทางเดิมแต่กะจะไปคลองสารซะหน่อยเพราะบอกไว้ตอนกลางวันว่าจะแวะไปหาที่ร้าน จีพีเอสก็ให้เส้นทางลัดเลาะที่เหลือเกิน ทางมองไปข้างหน้ามีแต่หญ้ารกๆ แต่ก็เชื่อมัน อยากลองว่ามันจะรู้จริงรึเปล่า ปรากฏว่าเลยป่ารกๆมานิดนึงมีสะพานปูนเล็กๆ ข้ามได้แต่ชันมากต้องลงเข็นแล้วข้ามไป พอขี่เลยไปหน่อยก็ออกทางใหญ่แล้วถึงภนนเลย แต่ ตัวจีำพีเอสมันให้เราวิ่งย้อนศรไปทางที่มาก็ งงๆอยู่ว่าย้อนไปได้รึเปล่า้เนี้่ยแต่สักพักก็มีรถมอไซดวื่งย้อนไปหลายคันเหมือนกัน เลยลองตามไปดู จนถึงวงแหวนนั่นหล่ะมันก็ให้ตรงย้อนศรเหมือนเดิม แรกๆก็ไม่กล้าไป แต่ก็มีมอไซด์ย้อนนำไปอีก เลยเอาว่ะลองดูปรากฏว่ามีทางเชืิอมเล็กๆแล้่วก็วิ่งวงขึ้นวงแหวนไปได้จรืงๆ เพื่อข้ามไปฝั่งเลนโน้น(มันเจ๋งจริงๆอ่ะ)ก็ไม่มีไรมากแล้วคราวนี้ปิดแผนที่(ประหยัดแบตประสบการณ์เมื่อวานยังไม่ลืม)แล้วก็ดื่งตรงไปแยกบางปะแก้วเลย แต่ขี่ไปเนี้ยโดนจักรยานแซงด้วย หลายคันอยู่ปั่นตามก็ไม่ทัน เหมือนรถมันหนืดๆไงไม่รู้ จรืงๆเป็นตั้งแต่เมือวานแล้ว ไม่ได้สนใจมาก มั่วแต่ห่วงจะกลับบ้านอย่างเดียว
พอดีทางผ่าน ผ่านที่ร้านซื่ิอรถพอดีเลยแวะ บอกอาการเพราะหลังจากขี่เมือวานก็พอรู้ว่ามันเป็นไงบ้าง เด็กที่ร้านเค้าก็ดูรภให้ที่ว่า หนืดๆ พอยกล้อหน้าแล้วปั้่นให้่หมุนปรากฏว่ามันหยุดเหมือนแตะเบรคไว้ สรุปว่าเบรคหน้ามันค้างเค้าปรับให้ใหม่ แล้วหมุนดู วิ่้งฉิวก็นึกขึ้นมาได้ว่า้ "นี่เมืิอวานตูขี่รถทั้งๆที่เบรคค้างตลอดทางเลยรึเนี่ย" มิน่า หมามันไล่ตูเกือบทันทุกตัวเลย เวงกรำจิงๆ แก้รถเส็ดปรับรถให้เข้ากลับตัวเรานิดหน่อย ผู้หญิงเจ้าของพูดจาดีเหมือนเดืม บอกว่าขี่เมื่อวานรวมวันนี้ได้ร้อยกว่าโลแล้ว กดดูระยะหน้าร้าน ได้ 112 กิโล เค้าก็ทำท่าตกใจว่าขี่สองวันแรกเล่นซะร้อยโลเลยรึ(ไม่้รู้้เหมืิิอนว่าผิดปกตืหรือเ้ค้าแกล้งตกใจ เอาใจเรา)ทำเสร็จก็เลยจากสำเหร่ ไปคลองสานหาน้่อง กินข้าวสักพักนั่งเล่นแล้วก็ปั่นรถกลับบ้าน ได้กระเป๋าเป้มาใบนึงใหญ่ไปหน่อย ไม่รู้จะถนัดมั้ยเล็กไปก็ใส่ของไม่หมดนื ถึงบ้านก็เจอพ่ิอพอดีถามเรื่องเมื่อวานเกิดอะไรเค้าโทรตามกันจ้าระหวั่นไปหมด ก็บอกไม่มีไร ขี่หลงผิดทางไปหน่อย(8โล) พอแระ ปวดขาจังเด๋วนอนนวดสักพักแล้วกัน กว่าจะกลับมาห้องได้เนี้ยเลยเขียนซะที่บันทึก ไปๆมาๆก็คิดถึงห้องสี่เหลี่ยมเหมือนกันนะ ไม่รู้ที่ทำอยู่เนี่ยเสียเวลาหรือใช้ชีวิตถูกทางรึป่าว ยังไงก็ขอลองดูสักพักแล้วกัน คิดถึงคนบางคนด้วย เฮ้อ..ไม่รู้เป็นยังไง

สรุป

Level 2 Rookie E (Dst 123km/200km)

ประสบการณ์

14.ก่อนออกรถไปไหนให้ตรวจดูสภาำพรถให้ดีก่อน ออกไปกลางทางจะหาพึ่งใึีครได้
15.จะไปไหนเช็คก่อนว่าที่หมายนั่นมีคนที่ติดต่ออยู่มั้ย (โชดดีที่เข้าห้องได้ไม่งั้นไปเก้อแน่ๆ)
16.อย่าลืม เปิดไฟท้ายรถทุกครั้งเมื่อเข้าเวลากลางคืน
17.เข้าที่ชุมชนทางเดิน หรืิอมีซอยคนเดินพลุกพล่านให้เปลียนมาเข็นจะดีกว่า

--------------------------------------------------------------------------

วันสบายๆไม่ต้องจัดเต็ม (Quest No.5)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2010 เวลา 0:11 น.

วันนี้ก็ตื่นสายได้ไม่รีบ นอนในห้องตัวเอง เฮ้อ จากเบื่อๆกลับกลายเป็นคิดถึงที่นอนเดิมๆซะได้เนี้ย ขาก็ยังปวดนิดหน่อย ผิดคาดนึกว่า ตื่นมาจะลุกไม่ขึ้นซะอีก เดืนไปเดินมาสักพัก ก็เริ่มหายปวดเลยจะหาเ้รื่องออกไปข้่างนอก นึกขึ้นได้ว่ายังไม่จ่ายค่าไฟ เลยหาเรื่องไปจ่ายดีกว่า ก็แต่งตัวธรรมดา เสื้อขาว เกงขาสั้น รองเท้าแตะ ก็ปั่นไปจอดที่การไฟฟ้า ก็หาที่จอด ก็รถหายเหมิอนกันไม่เคย จอดทิ้งที่ไหนมาก่อน เลยเอาไปจอดไว้ข้างๆยาม กะว่ายังไงก็ช่วยดูได้ แล้วยามก็บอกให้จอดเอง ถามว่าต้องล็อกมั้ยเค้าก็ว่าไม่ต้องหรอก เข้าไปข้า่งใน คนเยอะ้เหมือนกัน วันจันทร์นิน่า คนเลยเต็มไปหมด
กดบัตรคิวได้เกือบสามสิบกว่าคิว (โอว) นั่งไปสักพักห่วงรถขึ้นมา คิวก็ยังอีกนาน เลยออกไปดู เหอะๆ ยามเดินไปไหนไม่รู้ เลยเดินไปล๊ิอกรถดีกว่า เส็ดก็กลับมานั่งรอแต่ความนี้สบายใจกว่าเดิมเยอะ จ่ายเส็ดก็เลยนึกว่าจะกลัีบหรือไปไหนต่อดี ใกล้เที่ยงพอดี นึกอยากกินข้่าวหมกไก่บังเดช เลยปั่นไำปกินเลยดีกว่า ระยะทางก็ไม่ไกลเท่าไร อาหารอร่อยสมใจอยาก น้ำซุปสุดยอดเหมือนเดิม กินเส็ดก็เลยไปต่อที่ท่าน้ำ นั่งเก็บภาพเ้ก่าๆที่เคยมา เมื่อก่อน นั่งเล่นสักพักก็กลับ ขากลับก็เจอ นักปั่นชายมีอายุเหมือนกัน ปั่้นแซงแกไปก็ก้มหัวให้แบบเกรงใจ เพราะแซงเค้าไป เค้าก็ยิ้มอย่างใจดี น่ารักดีนะพวกปั่นรถเนี้ยเหมือนรู้กัน เส็ดก็กลับบ้าน เช็ดฝุ่นเจ้าเบนโตะซะหน่อยขี่มาหลายวันไม่เคยเช็ดมันเลย นั่งเช็ดอยู่พ่อก็เดินมาถามเลียบๆเคียงๆว่ามันปั่นยังไง ปรับเกียรแบบไหน เลยบอกพ่อว่าเอาไปขี่ืทำงานก็ได้แกก็เลยรีบบอกว่าไม่รู้ว่าเราไม่ใช้วันไหน ก็บอกไปว่าวันอังคาีรกับศุกร์ไม่ใช้เพราะทำงาน(อาทิตยทำงานสองวัน)พ่อก็พูดว่าพรุ่งนี้หล่ะสิ ดูท่าแกอยากขี่จริงๆแฮะเลย บอกว่าเอาไปขี่ได้เลย แล้วก็สอนวิธีเปลี่ยนเกียรกับปรับเบาะ แล้วก็กาีรล๊อกรถ(สำคัญมาก) ให้แกไป ถ้าพรุ่งนี้เป็นยังไงจะมาเล่าให้ฟังแล้วกัน

สรุป

Leve 2 Rookie E (Dst 133km/200km)

ประสบการณ์
18.ล๊อกรถทุกครั้งก่อนออกไปทำธุระ หรือ คลาดสายตาจากรถเป็นเวลานาน อย่าไว้ใจใึครที่หวังจะมาช่วยเฝ้ารถให้
19.ล้างรถอาทิตย์ละครั้งเป็นอย่างน้อย เพราะคาบที่เกาะเริ่มจะแข็งตัวแล้ว ขูดออกยาก เป็นรอยด้วย
qn5-tile.jpg
qn5-tile.jpg (62.42 KiB) เข้าดูแล้ว 2280 ครั้ง
--------------------------------------------------------------------------


หายไปนานสรุปเอาสั้นๆแล้วกัน

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2010 เวลา 10:23 น.

หลังจากหายไปหลายวัน หยุดทำงาน แล้วก็เหนื่อย บวก ขี้้เกียจ เปิดคอม มีเวลาตอนเช้านี้ยังไม่รู้จะทำไรก่อน เลยเอาบันทึกมาอัพก่อน
ตั้งแต่อังคารที่ผ่้านมาก็ทำงาน ตื่นปกติเช้าหน่อยมีเวลาก็เลย นั่งดูเว็บแผนที่ว่าระยะทางจากบ้านไปที่ทำงานกี่กิโล ก็ได้คราวๆว่า27กิโล ก็โอเคนะ แต่ไม่รู้เวลาที่ต้องปั่นไป(กัวสา่ย) แล้วก็เส้นทางไม่คุ้นเคย แถมยังไม่รู้จะจอดรถไว้ไหนไม่กล้าเสี่้ยงจอดรถทิ้งไว้นานๆ เลยพักเึควสนี้ไว้ก่อนแล้วกัน ก็ไปทำงานโดยรถเมล์ปกติก่อนดีกว่า
พอวันพุธก็ไม่มีไรมีงานแค่ไปซ่อมคอมที่แถวออฟฟิตพ่อ ขี่รถไปเพราะไม่ไกลเท่าไร ทำเสร็จก็มีเวลาเหลือขี่โต๋เต๋ ไม่มีสาระ เลยคิดว่าไม่เอาแระ หาเรื่องขี่ไปไหนดี ก็นึกได้ว่ามีพี่เปิดโฮมสเตย์แถวสมุทรสงคราม เลยกะว่าจะลองขี่ไปเยี่ยมดู แต่ดูแผนที่ก็ไม่แน่ใจ เคยแต่นั่งรถไป จำได้แค่ทางเข้า เลยเตรียมตัวไว้พรุ่งนี้ดีกว่า เลยรีบกลับบ้านแล้วก็ออกมาไปพักบ้านแม่ก่อนเพื่อเตรียมตัวไปวันพรุ่งนี้ ไปบ้านแม่ก็เลยมีเวลาลองทดสอบเส้นทางอื่นดู เข้าอีกเส้นทางนึงดู เข้าท่าข้ามแล้วไปทะลุเทียนทะเล ก็เหมือนจะใกล้กว่านะแต่ จีพีเอสไม่แนะนำ ทางนี้ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน คงเลือกทางที่ลดเลี้ยวน้อยกว่าให้มั้ง แต่ระยะ 15 กิโลนี่ รู้สึกมันจะปกติแล้วเหมือนวันที่ขี่มาวันแรก(เควส 1) ถึงบ้านแม่ก็นอนเตรียมตัวออกไปเริ่มเควสใหม่พรุ่งนี้

--------------------------------------------------------------------------


ข้ามขีดจำกัดของความรู้สึกตัวเอง (Quest No.6)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 6 พฤศจิกายน 2010 เวลา 13:34 น.

เช้านี่ตื่นปกติ แต่มะไม่คนเลยหายไปไหนหมดหว่า โทถามก็ถึงรู้ว่าแม่ออกไปร้านแล้ว น้องก็ไปซื้อของเพื่อเตรียมทำ เลยยังไปไหนไม่ได้นั่งรอน้องกลับมาก่อน ก็เลยเอามือถือต่อกับทีวี จอใหญ่เพื่อดูแผนที่วางแผนเส้นทางเสียก่อนขั้นเวลา ดูก็ยังงงๆว่ามันอยู่ไหนกันแน่ ชื่อที่พักก็ไม่รู้จัก เลยเอาว่ะขี่เอาระยะไปก่อนขอแค่วันนี้ข้ามแม่น้ำท่าจีนไปให้ได้ก่อนแล้วกัน เพราะตามความรู้สึก คือไอ่สะพานข้า่มแม่น้ำท่าจีนเนี้ย มัีนไกลมาก เกือบเที่ยงน้องก็มากัน เตรียมข้าวของทำอาหารขายเพื่ออบพรุ่งนี้ ก็เลยออกมาตอนบ่ายเพราะออกเที่ยงเลยคงไม่ไหว ถึงแดดวันนี้จะไม่แรงมากก็เหอะ ขี่ออกมาตามเส้นทางเดิมที่เคยมาหาน้องชายแถวแสมดำ แต่ึคราวนี้ไม่แวะแล้วกะมีเวลาจะแวะมาขากลับ ก็ดิ่งตรงไปเลย วันนี้รู้สึกแรงดีนะ คงพักมาหลายวัน ตั้งหน้านตั้งตาปั่นได้ระยะมาเกือบ20โลถึงเรื่มมีอาการปวดแล้วก็เหนื่อยมาบางแล้ว (เออลืมกิืนข้าวก่อนออกมาด้วยเวงเลย) ก็เลยหาปั้มน้ำมัน เ้พื่อจอดแวะพักชั่วคราว ก็สั่งน้ำเปล่าดืม ตอนแรกอยากจะลองสั่ง เกรเตอเรด กินเหมือนกันแต่ที่นี่ไม่มี อยากรู้ว่ามันช่วยได้จริงมั้ย เพราะกินปกติรสชาติจืดๆไม่มีรส เห็นว่าต้องกินตอนเหนี่อยจริงๆเท่านั้น พักสักแป๊บนึงเริ่มหายเหนี่อยก็ออกไปต่อ โหวแรงกลับมาเพรียบเลย ปั่นได้เร็วมากๆอยู่พักนึงแล้วก็ผ่อนมาขี่ระยะปกติต่อ และแล้วก็เหนผ่านอยู่ข้างหน้า ใหญ่โตสูงมากกว่าสะพานที่ผ่านมา กว่าจะปั่นขึ้นโหวหนักเอาการสับเฟื่องซะเกือบหมด กะจะพักกลางสะพานซะหน่อยแต่เข้าผิืดเลน ดันเข้าเลนใน เลยจอดไม่ได้ รถ18ล้อเยอะมาก (จริงๆมันเยอะตลอดทางที่มาแหล่ะ) น่ากัวโครตเลยแซงไปแต่้ละคันรถสั่นตลอด แต่เหลือบมอง ที่เครื่องบอกระยะ ก็30กิโลกว่าๆ ก็ลงทางไปตอนนี้มะรู้จะปั่นต่อไปไหนดี เจอป้ายนี่เข้าก็เรื่มลังเล
ไปไหนดี เนี้ย ไหวหลวงพ่อโต คลองดำเนิน หรือ ไปดอนหอยหลอดไหว้เสด็จเตี่ย ดีหว่่า
ก็็ดูแผนที่มันก็ผิดเส้นทางไปเยอะ20กว่าโล แล้วก็ไม่มีอะไรก่อนหน้าเลยคือต้องขี่ไปที่นั่นอย่างเดียว เลยไม่เอาดีกว่า คิดว่าจะไปดอนหอยหลอด แต่หาในแผนที่ก็ไม่เจอ ก็เลยขี่ตรงๆไปก่อน ไปได้แปดกิโลก็สะดุดตากับวัดๆนึง ใหญ่โตมาก มีเจดีย์ทองสูงๆ ตั้งอยู่ด้านหลัง ดูชื่อก็ไม่รู้จักเลยจะขี่ผ่้าน แต่้เลยไำปได้นิดเดียว ก็เอาน่าแวะสักหน่อย ไหนๆก็มาแล้ว จะเลือกเข้าแต่วันดังๆ ก็เกินไปมั้ง เรามาเซอรเวเส้นทางนิน่า ก็เลยแวะเข้าไป โบสถ์ใหญ่โตมาก ผ่านมาถึงกะดึงดูดให้ต้องแวะสักหน่อย เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีย์ริกธาตุ น่ามาสักการะนะถ้าผ่านแถวนี้ ลงจากแม่น้ำท่าจีนมา8โลเอง

เข้ามาข้างในนี่ผิดกลับท้องถนนเลย ร่มเย็นมาก บรรยากาศดี มีที่ให้ทำบุณเยอะัแยะมากมายหลายแบบ รูปองค์พระเยอะแยะหลายองค์ คืออยากจะทำกับหลวงพ่ออะไรก็มีหมด รอบโบสถ์ก็มีลูกนิมิตรอบตัวโบสถ์มีป้ายบอกทีมา ว่าของพระสาวกองค์ไหน
ด้านหลังมีวัว คงเป็นที่เค้าทำบุญไุุถ่ชีวืตมา มีที่นั่งทำสมาีธืของคนที่มาปฏิบัตธรรม น่ามาดีนะวัดนี้ ถึงจะดูเป็น พานิชไปหน่อยแต่ก็รู้สึกสบายใจดี เห็นคนมาปฏิบัติธรรมก็ยังคิดอยู่ว่าเค้าก็เหมือนกับเรา หาแสงสว่างในชีวิตเหมือนกัน แค่ คนละรูปแบบ ของเรามันต้องแลกมาด้วยหยาดเหงือแล้วก็ความอดทนของร่างกาย (คงทำกรรมไว้เยอะมั้ง) ก็อนุโมทนาบุณให้พวกเค้าไปด้วย แ้ล้วก็แผ่ให้กับคนที่เรา้เป็นห่วง ก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ เดินจนรอบก็กลับมา อยากขึ้นไปดูองค์พระประธานว่าโบสถ์ใหญ่ขนาดนี้ องค์พระท่านจะขนาดไหนนะ ก็เลยตัดใจผูกเจ้าเบนโตะไว้ข้างล่่างขอขึ้นไปไหว้พระท่านซะหน่ิิอย องค์พระประธานใหญ่โตมาก ยืนดูองค์ท่านต้องแหงนหน้ามอง วัดจากร่มที่ตั้งก็ได้
ถ่ายจากมุมไกล ความสูงของเราคอจะอยู่ประมาณขอบเสาเอง

เข้าไปนี่องค์ท่านใหญ่โตสมกับโบสถ์จริงๆโล่งดีมาก บรรยากาศไม่อึดอัด มีของขลังของ วัตถุมงคลมากมาย ขายข้างใน กราบท่านแล้วก็เดินดูิิอยู่พักนึงก็รีบลง เป็นห่วงเบนโตะมัน ลงมาก็ว่าจะหาไรกิน ก็ไม่รู้จะกินไร มองนาฬิกาก็สี่โมงกว่า จะไปต่อดีหรือกลับดี ไม่แน่ใจ สุดท้่ายก็ตัดสินใจกลับเพราะไปต่อไม่รู้ไปไหนจิงๆ ยี่สิบโล แล้วต้องบวกขากลับอีก (ประสบการ์๊ณ เควสสาม เข็ดแร้ว ) เลยพอแค่นี้ก่อนไม่แน่ใจกำลังตัวเองแล้วเรื่องเวลาอีกไม่อยากขี่มืดๆ สุดท้ายก็กลับทางเดิมแต่เป็นเส้นนอกแทน เพื่อจะได้ไปจอดบนสะพานถ่ายรูปสักหน่ิอย อยากให้ระยะทางจากบ้านมาที่สะพานเป็นตัววัดระยะ เวลาไปที่ไหนก็ตาม เป็นหลักไว้ ได้รู้ว่า 30 โล ก็คือจากบ้านมาสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนนี่เอง เจ้าเบนโตะบนสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน กว่าจะมาถึงได้เล่นซะหอบ อันนี้ได้สมกับคอนเซฟ ตามหาแสงสว่าง ถึงวืวจะไม่มีไร แต่ความรู้สึกที่ำำำได้มันมากกว่า ว่าเราได้ผ่านจุดนี่มาแล้ว เหนื่อยโครตเลยอ่ะ แต่ โอเคนะไม่แย่เหมือนวันแรกๆ แต่ยังไม่แน่เพราะยังเหลืออัก 30 โล..!!! ต้องปั่นกลับ ลงจากสะพานก็ขี่กลับเรื่อยๆแล้วไม่เร่งไรมาก เพราะยังไม่เย็นมาก เจอนักปั่นมีอายุแก่กว่าคนนึงแซงไป ก่อนแกแซงก็ยังกล่าวสวัดดีแล้วก็แซงไปเราก็สวัสดีตอบ (น่ารักดีนะเจอบ่อย พวกนักปั่นส่วนมาก) แล้วก็พยายามปั่นตามเพื่อได้รักษาระยะไม่ได้คิดจะแข่งหรือแซงเค้าหรอก แค่อยากอยู่ความเร็วปกติของนักปั่นว่าเค้า ปกติปั่นกันที่ความเร็วเท่าไร แต่.... ยิ่งปั่นไหง เค้ายิ่งทิ้งเราไปเรื่อยๆ มองการสับขาก็สับความเร็วพอๆกัน กว่าจะสับเกียร์ หาระยะได้เค้าก็ไปซะไกลลิบแล้วเลยไม่อยากตาม ขี่ความเร็วเหนือยเท่าเดิม 20km พอใกล้ถึงบ้านน้องชายก็เองข้ามเลนตรงแยกเอกชัยใช้วิธี ย้อนศรเอาจนถึงบ้าน ปรากฏว่า ยังไม่กลับ ตอนนี้นก็หกโมงครึ่งแล้วนะ โทถามมันก็บอกว่าทำโออยู่ ก็เลยพักแค่ล้างหน้าล่างตา แล้วก็นอนพักแป๊บนึง ทุ่มนึงก็ออกไปต่อใช้ทางเดิมที่เคยมาทางที่แล้ว กลับบ้านแม่ แต่พอถึงซฮยในข้างใน มันมืดมาก จีพีเิอสก็นิ่งไปซะงั้น เวงแระอยู่ตงไหนก็ไม่รู้ เคยมาตอนขามา แล้วก็สว่าง ก็อาศัยเดาๆทางไป มืดก็มือหมาก็เยอะเช่นเดิม กว่้าจะเข้าทางหลักได้ก็เล่นเอาซะงงแล้ว จีพีเอสก็มีเสียง ขับตรงไปข้างหน้ามากกว่า1กิโมเมตรแล้วจะถึงที่หมาย -*- เวง ตูหลงในซอยตั้งนานไม่ช่วยตูเลย หาทางเข้าทางหลักได้ เจือกทำเป็นรู้ ทางผ่านก็เลยแวะซื้อไก่ย่าง5ดาวหน้าบ้านกืนอยากกืินตั้งแต่ปั่นกลับแล้ว เพราะเจอไก่ย่างตลอดทางไปกลับ ถึงบ้านเเม่ก็เกือบสองทุ่มพอดี น้องสองคนก็ยังนั่งอยู่ที่เืดิม ทำอาหารขายเตรียมของทำส่งพรุ่งนี้อยู่เหมือนเดืิม ก็เป็นอันจบเควส ถึงจะล้มเหลวก็ตาม ไปไม่ถึงที (ลืมไปเลยว่าตอนแรกจะไปบ้านพี่นิน่า)

แถมนิดนึง.....

ตอนเช้าก็ปั่นกลับตอนสิบโมง เพราะว่าต้องออกไปทำงานตอนเที่ยง กะว่าสองชั่วโมงน่าจะทัน แต่ใช้เส้นทางข้างใน จากท่าข้ามที่ขามาแล้วก็จะเข้าเส้นประชาอุทิศ แต่หาทางไปต่อไม่เจอไม่แน่ใจ กัวเข้าไปหลงอ้อมข้างในอีก จังหวะ พอดีเจอกลุ่มนักปั่นเข้า ก็เลยถามทางกลับสรุปว่า เค้าให้ไปทางเดียวกับเค้าก่อยแล้วถึงแยกไปสุขสวัสดิ์ให้เราเลี้ยวขวาเอา ใจดีมากมาย สอบถามถึงรู้ว่าเป็นกลุ่มนักปั่น จอมทอง ก็ขอบคุณมา ณ.ที่นี้ด้วย(เสียดายไม่ได้ถ่ายรูป)ขี่ตามไปสักพักกลุ่มหลังให้แซงไปก่อนเพราะเค้ามีน้องใหม่ในกลุ่มต้องขี่ดูอยู่เ้ลยแซงไปเกาะกลุ่มหน้า แต่ตามยากมาก สปีดต่างกัน ไม่เข้าใจเหมือนกันยังหาสาเหตุๆไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมระยะไม่เท่ากัน เราดูออกแรงมากกว่าแต่ความเร็วเกาะกลุ่มเค้าไม่ได้เลย โดนทิ้งไปเรื่อย เหมือนเมื่อวานที่โดนชายแก่ทิ้ง พอถึงทางแยกที่เราต้องเลี้ยวขวาก็มีกลุ่มหน้าจอดรอบอกทางอยู่ เลยแยกตัวออกไปเส้นทางกลับบ้านเรา กว่าจะออกมาเจอซฮยได้ก็ไกลแล้วก็ซับซ้อนเหมือนกัน มิน่า จีพีเิิอส ถึงไม่แนะนำ เพราะมีนซํบซ้อนกว่าและระยะก็มากกว่า ถึงคืดเองว่าใกล้กว่าก็เหอะ จริงๆมันไม่ใช่แฮะ ภึงหน้าซอยก็แวะซื้อน้ำกืิน ได้เกรเตอเรด มาลองซะที 25 บาท -*- สรุปว่ามันก็ธรรมดาอ่ะ สปอรน์เซอร์ดีกว่าเยอะ ถึงจะหวานก็ตามเหอะถึงบ้านก็รีบอาบน้ำแต่งตีวออกมาทำงานต่อเลย ไม่ได้พีก แต่ก็ดีนะ ไม่มีอาการปวดหรือเหนือยเลย คงอยู่ตัวแล้วมั้ง พอแระ ไว้เควสหน้าจะลงต่อกำลังหาระยะทางประมาณ60กืโลอยู่ว่าไปไหนได้

สรุป

Level 3 Rookie D (Dst 272km/300km)

ประสบการณ์

20.วางแผนการเดินทางให้ดี การผิดเส้นทางหรือออกนอกเส้นทาง ก็เท่ากับเอาระยะเกินคูณสอง
21. สอบถามและหาข้อมูลที่จะไปให้ดี เบอร์โทหรือชื่อที่จะติดต่อต้องเตรียมไว้ก่อนออกเดินทางเลย
22.อย่าหวังพึ่งจีพีเอสมาก คิดอยู่เสมอว่ามีโอกาสสูญเสียสัญญาณได้เสมอ จดจำเส้นทางด้วยตัวเองด้วย
qn061-tile.jpg
qn061-tile.jpg (97.44 KiB) เข้าดูแล้ว 2265 ครั้ง

--------------------------------------------------------------------------


ท่องไปยามราตรีในสถานที่เดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม (Quest No.7)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 7 พฤศจิกายน 2010 เวลา 11:24 น.

วันนี้ก็ตื่นสายนิดหน่อย ไม่ปวดขาเหมื่อยหรือล้าเลย ออกไปหาไรกินแล้วก็แวะคุยกับน้องหน้าซอย เลยเอาหนังที่ยืมมาไปคืนแล้วก็ทำคอมให้ด้วย กว่าจะเสร็จก็เกือบๆหกโมง กลับมากินผัดหมี่กะทะเบ่อเร่อ นอนจุกสักพักก็คิดได้ว่าวันนี้ไม่ได้ปั่นไปไหนไกลเลย เอ๊ะ!!วันเสาร์นิน่าไปคลองถมดีกว่า ว่าแล้วก็เตรียมตัวเปลี่ยนชุด ออกมา ปั่นไปสายเจริญกรุงเลยแวะหาน้องที่คลองสานก่อน เห็นน้องหน้าจ๋อยๆคงขายไม่ดี เลยทำทีเป็นลูกค้าซื้อน้ำพั้นซ์กินแล้วนั่งกินโชว์หน้าร้านซะเลย (เป็นฟรีเซนเดอร์กำมะลอ) แล้วก็อยู่ช่วยขนโน้นขนนี่จนมันปิดร้าน แล้วก็ไปคลองถมต่อ ถึงโน้นสามทุ่มกว่าเอง คนเยอะมาก ตอนแรกตั้งใจจะหาที่จอดรถแล้วเดินเอา แต่พอคิดอีกทีก็ยังกลัวๆอยู่ แล้วยังจำประวัติ ขโมยตรงนั้น เอามาแยกขายตรงนี้ได้ เลยยังมะกล้าทิ้งเจ้าเบนโตะไว้ตามลำพัง ก็เลยจูงไปตามทางด้วยเกะกะชาวบ้านเค้านิดหน่อย หยุดซื้อของตรงร้านขายเครื่องมือ ได้ตัวไขรถมาอันนึงกับไขควง อย่างละ20เอง(ไม่รู้จะทนรึป่าว ใช้ๆไปก่อน)ยืนเลือกก็มีคนมาถามเจ้าเบนโตะหลายคนเหมือนกัน แหะๆ เหมือนเราตะก่อนเลย ที่เห็นนักปั่นจักรยานแล้วอยากคุยด้วย(แต่ตอนนั้นเราเองกลับไม่กล้าคุยกับเค้าซะเอง) เค้ามองๆแล้วก็อยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไรตอนยังไม่มีรถ ก็บอกๆไป งูๆปลาๆ ตามที่ตัวเองคิดได้ (ส่วนมากจะถามราคาแล้วก็ซื้อที่ไหน) เสร็จก็เข็นไปเรื่อยเปื่อย จะหาตัวล๊อกมือถือหน้ารถ แต่สักพักไม่ไหวเกะกะคนอื่นเค้ามาก เลยต้องออกมาเข็นริมถนนแล้วชะเง้อดูข้างในแทน เข้าไปข้างในอีกซอย ก็เข็นยากลำบากมาก เกรงใจคนอื่นที่เค้าเดินๆเลือกของเหมือนกัน เข็นมาเส้นทางนอกเหมือนเคย ชะเง้อมองไปเรื่อยจนวนครบรอบนอก ก็เลยเอาว่ะไปดูสนามหลวงดีกว่าทางเดิน กว้างกว่าเข็นดูได้ทั่วแน่นอน ทางผ่านก็ออกไปทางภูเขาทอง มีที่จัดไฟสวยๆเยอะเลยเก็บภาพไว้ด้วย เคยผ่านหลายครั้งไม่เคยถ่ายเก็บไว้เลย เลยเก็บภาพมาได้หลายภาพเหมือนกัน เสร็จก็เลี้ยวไปทางสี่แยกคอกวัวกะจะไปถ่ายรูปเสาชิงช้า แต่พอถึงเค้าไม่เปิดไฟ มืดมาก ก็เลยเลี้ยวออกซอยขวามือ พอปั่นเลยไปหน่อยก็ทะลุถึงหลังกระทรวงพอดี หลังกระทรวงแถวนี้จะมีคนเอาของมาแบขายเยอะพอสมควร พอเดินดูของหลังกระทรวงหมดจนวนไปวนกลับมา จริงๆของหน้าดูหน้าซื้อหลายอย่างนะ ของไม่น่าเอามาวางขายก็มี แต่เหมือนมาเดินดูเฉยๆจริงๆ(ไม่ได้อะไรเลย)ก็ไม่รู้จะทำไร หมดโปรแกรม เก็บภาพอีกสองสามภาพก็ปั่นกลับ จะปั่นไปต่อสะพานพุืทธก็ได้ แต่พอผ่าน กลับขี้เกียจขึ้นมาเฉยๆ เลยกลับดีกว่า อากาศเริ่มเย็นๆแล้ว ปั่นกลับมาเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกมันแป๊บเดียวจริงๆ หรือเรื่มชินกลับระยะประมาณนี้แล้วมั้ง (ขี่ๆหยุดๆด้วยหล่ะกระมัง) กลับมาเลยจอดหน้าตลาด กินข้าวมันไก่หน้าบ้านซะ เจ้านี้แปลกขาย ห้าทุ่มถึงตีสองเท่านั้น (รสชาตื3ดาว) ถึงบ้านก็ดูมิเตอรวัดระยะ โอว วันนี้สามสิบโลกว่าแฮะ เวลอัฟแล้วสิเนี้ย แต่ยังดูอ่อนๆไงไม่รู้ ขี่ตามใครเค้ายังไม่ค่อยจะทันเลย ไม่รู้เป็นที่รถหรือเป็นที่เรากันแน่หนอ

สรุป

Level 4 Rookie C (Dst 306km/400km)

ประสบการณ์

23.ปั่นกลางตืนต้องเพื่มความระมัดระวังอย่างมาก อย่าลืมเปิดไฟหน้าหลังด้วย (มีรถย้อนศรตลอด)
24.อย่าพะวงกลับทิวทัศน์ข้างหน้าจนลืมระวังตัวจากรถรอบด้าน เค้าเดาเราไม่ถูกว่าจะทำอะไร
25.อย่าเอารถเข้าที่ชุมชน สร้างภาระให้กลับตนเอง และรบกวนการเดินของผู้อื่น ควรหาที่จอดที่ไว้ใจได้จริงๆ
acb1-tile.jpg
acb1-tile.jpg (113.74 KiB) เข้าดูแล้ว 2190 ครั้ง
--------------------------------------------------------------------------

ข้ามขีดจำกัดอีกขั้น ลบคำว่่าทำไม่ได้ออกไป (Quest No.8)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2010 เวลา 2:21 น.

หลังจากอยู่บ้านไรสาระมาสองวัน กะวันนี้ก็จะตื่นแล้วก็ไปทำงานปกติ แต่เวลาตื่นมัีนเก้าโมงกว่า มีเวลาเยอะเกิน เลยเปิดเครื่องลองวัดระยะทางจากกูเ้กิ้ลแมพ ไปที่ทำงานดูใหม่ หลังจากไล่เส้นทางหาเส้นทางง่ายสุดรู้จักที่สุดก็จบลงที่ 23.7 กิโลเมตร วิ่งจากบ้านข้ามสะพานกรุงเทพ เลี้ยวซ้ายวิ่งเรียบถนน เจริญกรุง เลี้ยวขวาไปเส้นสาทร เข้าถนนวิทยุ เลี้ยวซ้ายเข้าประตูน้ำ ตรงไปออกถนนราชปรารภ เข้าเส้นถนนดินแดง เลี้ยวซ้ายยาวไปถึงแยกจตุจักรเลยแล้วเข้าพหลโยธินไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว โอเคอ่ะ ว่าแล้วก็วางแผนจัดชุดทำงานใส่้เป้ กะว่าถึงโน้นเหงื่อเต็มตัวแน่ เอาเสื้อไปเปลี่ยนตัวนึง กางเกงยีนส์หนึุ่งตัว รองเท้าไม่ต้องใช้คู่ที่ขี่ไปน่าจะได้ ว่าแล้วเตรียมของเสร็จก็ออกเดินทาง เริ่มต้นออกจากบ้านสิบเอ็ดโมงตรง ปั่นออกไปสักพักนึกได้ไม่ได้กินน้ำก่อนออกมา ปั่นแป๊บเดียวเริ่้มคอแห้ง แต่ฝืนไว้ก่อนเ้ดียวเคยตัว ปั่นถึงสะพานกรุงเทพ 4กิโลใช้เวลา 15นาที ต่อจากนั่นก็วิ่งตามเส้นทางที่บอก ถึงแยก สาทร 8กิโล ใช้เวลา 30 นาทีสุดถนนสาทรเข้าวิทยุ เกือบ 12 กิโล ใช้เวลา 45 ถึงจุดนี้เริ่้มรู้สึกเหนื่อยและหอบไวมาก ปกติทีั่เคยลองไปสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีัน จะรู้สึกแบบนี้ตอนถึง20กิโล น่าจะเกิดจากสภาำพอากาศทีั่ถนนสาทร หายได้ไม่ออกจิงๆ ควันรถแรงมาก พอปั่นสุดถนนวิทยุ จะต้องเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าแยกประตูน้ำเส้นนี้รถติดมาก ติดจอดติดจอดหลายรอบมากหาช่องไปแทบไม่้ได้เลย กว่จะพ้นก็เสียเวลาพอดู หลังจากนั้นก็ไปติดไปแดงตรงสถานีรถไฟฟ้าที่ไปสุวรรณภูมิ เลยพักดื่มน้ำไปส่วนนึงไม่ไหวจริงๆ คอแห้งแล้วเหม็นควันรถที่ผ่านมามาก ตรงนี้ดูมิเตอร ใช้ระยะอยู่16กิโล ใช้เสียเวลารวมไปประมาณ 1ชั่วโมง 5นาที หลังจากได้น้ำก็กลับมามีแรงฮึดอีกรอบปั่นยาว ตามทางไปเลย มารู้สึกตัวอีกทีก็ถึงแยกจตุจักรแล้ว ระยะทาง 23 กิโลใช้เวลารวม 1ชั่วโมงครึ่ง แล้วก็ไปอีก2กิโล ถึงออฟฟิตพอดีั ใช้เวลารวม 1ชั่วโมง 40นาที ถึงก็เสียเวลากับการถ่ายรูปและหาที่จอดเจ้าเบนโตะและยังต้องล๊อกและถอดอุปกรณ์ทุกชิ้นที่สามารถถอดออกได้ด้วยมือ และยังต้องเปลีั่ยนชุดอีก รวมๆแล้วใช้เวลาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง (ต้องรอให้เหงื่อแห้งแล้วล้างตัวในห้องน้ำเปลี่ยนชุด)
แล้วขากลับก็ต้องเสียเวลาเปลี่ยนชุดแล้วก็ประกอบอุปกรณ์คืนอีกรวมแล้วใช้เวลา 2ชั่วโมงกับ40นาที ซึ่งคำนวนแล้วการเอารถมาทำงานที่นี่ ไม่สมควร แต่อารมณ์ตอนมา่ถึงนี่มัน สมใจแล้ว ลบความรู้สึกว่าทำไม่ได้ มาไม่ได้หรอก ออกไปซะที คราวนี้มีแต่ ความรู้สึกที่ว่าที่นี่เราก็เคยเอาเจ้าเบนโตะมาได้แล้ว ก็สุขใจและมี จิตใจที่จะพยายามเควสอื่นต่อไป

สรุป

Level 4 Rookie C (Dst 331km/400km)

ประสบการณ์

26.อย่าลืมดืมน้ำก่อนออกจากจุดเรื่มต้นจะทำให้เหนื่อยง่ายกว่าปกติ
27.สาทรเป็นถนนที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุด เพราะมลพิษจากควันรถ สูงมากจนรู้สึกได้
28.การจอดรถในที่จอดรถ ให้ปลดอุปกรณ์ทุกชิ้น ที่สามารถดึงออกด้วยมือได้ให้หมด เพราะถึงรถยังอยู่แต่อุปกรณ์พวกนี้มีสิทธิที่จะหายได้เช่นกัน
29.ลีลมก็เป็นถนนอีกเส้นที่ไม่สมควรปั่นรถตามเส้นทางนั้น เพราะรถแท๊กซี่อัตราการจอดรับสูงมากและยังรถอื่นๆด้วย จอดหรือชลอรถกันตลอดทาง ต้องเพิ่มความระมัด ระวังมากกว่าปกติ

--------------------------------------------------------------------------


กิจกรรมเพื่อสังคมอันแรก เนียนๆเค้าไป (Special Quset)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 10 พฤศจิกายน 2010 เวลา 2:53 น.

ก็หลังจากเควสที่ผ่านมาสำเร็จก็กะจะไม่บันทึกขากลับ เพราะก็ไม่้น่าจะมีอะไรน่าสนใจ แต่หลังจากปั่นกลับผ่านเส้นทางเดิม เห็นกลุ่มจักรยานกลุ่มหนึ่งจอดทำอะไรกันอยู่หน้าสถาณทูตจีน ก็ได้แต่มองผ่านๆแล้วปั่นเลยไป ติดไฟแดงแยกหน้า พอดี สักพัีกกลุ่มนักปั่นที่ผ่านมาก็มาจอดเทียบแล้วทักตามปกติของนิสัยนักปั่น ก็เลยสักถามว่าไปไหนทำอะไรกัน สรุปได้ว่า เค้าเป็นชมรมชวนปั่นอะไรสักอย่าง(มารู้ชื่อที่หลังว่าชื่อ กลุ่มเอ๊กซ์เซนเจอร์ไบค์)ต้องนี้่กำลังทำการสำรวจถนนที่มีเส้นทางจักยานแล้วโดน จอดทับเส้นทาง เลยปั่นสำรวจเส้นทางกันดู จากกลุ่มแล้วก็ไม่ใหญ่มาก และตัวเราเองก็หมดเรื่องธุระแล้ว จะกลับช้าหน่อยก็ไม่เป็นไรกำลังก็ยังเหลือเฟือ เลยขอเค้าเข้าร่วมทีมปั่นด้วย พวกเค้าก็ยินดี สรุปว่าก็ร่วมทีมกันไปตามทาง  ตอนปั่นก็เลยนึกเส้นทางต่างทั้งหมดที่ผ่านๆมาก็ เห็นเป็นจริงว่า ถนนมีเส้นทางให้จักรยานใช้แล้ว แต่ทำไมรถบางคันยังจอดทับเส้นทา่งเหมือนเป็นเรื่องปกติ ทีั่่ผ่านมาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอเจอกลุ่มนี้เข้าเลยคิดว่าจริงๆเราต้องเรียกร้องสิทธิเราบ้าง เพระางบประมาณที่ตีเส้น และบางเส้่นทางก็ทาสีแดงซะด้วยซ้ำก็ยังถูกรถจอดทับเส้นทางเป็นเริ่องปกติ จริงๆทำแบบนี้ก็ดีัแล้ว จะได้เป็นการปลูกจิตสำนึกของคนใช้รถใช้ถนนว่า ขณะนี้มีเส้นทางที่ทำขึ้นเพื่อขับขี่จักรยานอย่างเป็นจริงเป็นจังแล้ว น่าจะแบ่้งปั่นให้รถจักรยานได้ใช้สอยเส้นทางที่เตรียมให้อย่างถูกต้องซะที (แต่ก็น่าเห็นใจนะ ถ้าเค้าไม่มีที่จอดจริงๆ และไม่รู้ว่าจอดทับเส้นทางจักรยานเนี้ยผิดกฏหมายรึป่าว) ก็ร่วมทางไปจนจบทางที่เค้าระบุมา ตามทางก็มีนักข่าวทำข่าวตามขบวนรภตลอดทาง แต่ไม่ได้ให้สัมภา๋ษณ์เหมือนคนอื่น ยังใช้ภาษาไม่เก่งเท่าไร(คือติดต่อสื่้อสารกับผู้อื่นยังไม่ดี เท่าที่ควร)มีพักกินอะไรกันแถวลาดหญ้าด้วย ก็ขอบคุณน้องที่เลี้ยงข้าวมื้อเย็นด้วย เนียนมากะพวกเค้าแต่ไม่ทันคิดว่าเค้าจะเลี้ยงข้าวด้วย น่ารักมาก (แฮะๆ เค้าเลี้ยงข้า่วชมเค้าซะหน่อย) จบทริปหน้าแยกทางถนนบำรุงเมืองก็แยกย้ายกัน เราก็ปั่นกลับทาง หน้าึคลองถม ดูกำลังขา เหมือนแรงยังไม่หมด เพราะตลอดทางปั่นๆหยุดๆแล้วก็ไม่ได้รีบไรกันมากเรื่อยๆซะมากกว่าเน้นปลอดภัยกันดี พอแยกออกมาก็เลยกะจะใช้ให้หมดรวดปี่น เดียวถึงสะพานพระปกเกล้าเลย (ติดไฟแดงบางแยกนิดหน่อย) พอถึงแยกที่จะเลี้ยวซ้ายไปคลองสาน ความรู้สึกก็เหมือนถึงบ้านแล้ว ปั่นเร่งปั่นไปตลอด(กำลังเหลือจริงๆ ไม่รู้แรงมาจากไหน)พอถึงใกล้บ้านก็เริ่มผ่อนเก็บแรงไว้นิดหน่อย เพราะเคยอ่านในเว็บบอกว่าการปั่นไม่ใช่ปั่้นแค่วันเดียวแต่ต้องปั่้นแล้วสามารถมีแรงไปต่อได้พรุ่งนี้ด้วยเลยหยุดแค่หน้าวัดดาวคะนองแล้วก็ปั่นเรื่อยๆมาตลอดทาง กลับมาจนถึงตอนนี้ไม่รู้สึกปวดหรือเหมือยเลยจริงๆแสดงว่าเราอยู่ตัวแล้วมั่งเนี้ย แต่ก็ไม่รู้นะความเร็ว อาจจะเต่าเหมือนเดิมก็ได้ คิดว่าตอนนี้ก็ยังคงเป็น นักปั่นกำมะลออยู่ดีอ่ะ

สรุป

Level 4 Rookie C (Dst 360km/400km)

ประสบการณ์

30.เส้นทางจักรยานมีไว้ให้ รถจักรยานวิ่ง เราสมควรจะได้ใช้สิทธิ ตรงนี้บ้าง ถึงจะโดนริดรอนไป แต่ก็ถือว่าเราได้บอกให้ผู้ใช้ทาง รับรู้ได้่บ้างว่า ทางนี้คือ "ทางจักรยานนะครับ"
31.พยายามพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือประสบการณ์กับผู้อื่นบ้าง จะได้มีัทัศนะคติการปั่นดีขึ้นบ้าง ว่าโลกนี่ไม่ได้มีเราเพียงคนเดียว
32.ฝึกร่างกายให้พร้อม เก็บแรงไว้เพื่อวันพรุ่งนี้ อย่าใช้หมด ใจอาจทำได้ แต่รายกายต้องถนอมให้ดีที่สุด

--------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุท้ายเรื่อง

หลักการอ่านแต่ละบันทึก ให้สังเกตุที่ในวงเล็บ ( ) ถ้าเป็นQuest No... คือการปั่นแบบหาทริปเอาเฉพาะหน้านึกอยากไปที่ไหนก็ไปหรืออาจจะไปอ่านเจอในเว็บชวนปั่นก็ไปกับเค้าเลย อาจไม่ได้เตรียมตัวอะไรวัดดวงไปเลย แต่ถ้าเป็น Main Dungeon .. จะเป็นงานหลักๆที่มีทุกปีเป็นประจำแล้วอาจจะไปร่วมด้วยทุกปีในอนาคตการไปมีการเตรียมตัววางแผนอย่างดี หากเป็น Private Dungeon จะเป็นทริปใหญ่ๆ ที่อยากไปแต่เป็นทริปส่วนตัวไปคนเดียว อาจจะไปอีกหรือไม่ก็ได้ เลเวลที่เห็นก็จะนับจากระยะทางตามที่เครื่องวัดหน้ารถ อาจคลาดเคลื่อนหรือบวกกับบางที่เล็กน้อยที่ไม่ได้ลงในบันทึก การบอกยศก็เหมือนกับเกมปังย่าออนไลน์(Panya Online)เพื่อได้สะดวกใน แบ่งระดับความสามารถตัวเอง และได้เป็นกำลังใจในการทำระยะทางต่อไปเพิ่มขึ้น เพื่อเลื่อนยศตัวเอง ประสบการณ์แต่ละข้อก็เกิดจากเห็นการตามเควสนั้นหรือทริปนั้นที่เกิดขึ้นโดยตรงบวกกับความคิดในขณะนั้น บางอันอาจจะซ้ำกันกับอันเก่าก็ให้ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นอีกแล้วจนต้องนำกลับมาย้ำเตือนให้รู้และระมัดระวังอีกครั้งหนึ่ง
[/b]
pom1-tile.jpg
pom1-tile.jpg (114.99 KiB) เข้าดูแล้ว 2190 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 08 ธ.ค. 2011, 11:20, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

ไวเท่าความคิด ตั้งใจแค่หน้าตลาด แต่ไหงไปถึงป้อมพระจุลฯซะได้ (Quest No.9)

.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 14 พฤศจิกายน 2010 เวลา 4:21 น.

วันนี้ตั้งใจจะไปซื้ออุปกรณ์พักแรม พวกเต้นท์และถุงนอน กะไปแค่โลตัสเลยถอดอุปกรณ์เสริมทั้งหมดออก เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาช่วยถอดไปใช้แทน(ขโมย) ถึงโลตัสก็เอาเจ้าเบนโตะมัดไว้กับเสาที่ลานจอดรถมอไซด์ ก็เป็นห่วงเหมือนกันแต่ก็มั่นใจว่า ล๊อกเรียบร้อยไม่น่าจะลักไปง่ายๆ ก็เดินเลือกของที่อยากได้ มาเรียบร้อย (พวกเต้นท์ ถุงนอน แล้วแถม หมอนลมใบนึุงด้วย) แล้วก็กลับบ้าน มาถึงก็ทดลองตั้งเต๊นท์และปูถุงนอนแทนเบาะนอนก็โอเคนะ ใช้ได้พอดีถึงขนาดจะใหญ่ไปหน่อยเพราะมันเป็นเต็นท์นอนสองคน ก็ไม่เป็นไร กว้างไว้ก่อนก็ดี เสร็จก็แอบงีบสักพักตื่นมาต้องสี่โมงเย็น ก็รีบออกมาตลาดอีกรอบ ตั้งใจจะซื้อ ปลอกแขนกันแดดซะหน่อย (ตั้งแต่ปั่นมาไม่เคยใช้เลยแขนดำหมดแล้ว) ซื้อเสร๋จก็ว่าจะปั่นเล่นซักนิดหน่อยก็ออกถนนใหญ่ตรงไปทางพระประแดง ตอนออกมาก็แต่งตัวธรรมดา นอนชุดไหนตื่นมาก็ยังอยู่ชุดเดิม รองเท้าก็รองเท้าแตะแบบรัดส้น ปั่นมาเรื่อยๆตอนแรก ก็ตั้งใจจะแค่หาร้านจักรยานเพิ่มเผื่อมีำที่ได้ไม่ต้องไปถึงสำเหร่ ก็ปั่นไปมองหาไปเรื่อยจนไกลขึ้นทุกที ทุกที นึกได้ว่าอยากไปป้อมพระจุลฯ แล้วระยะก็คงไม่ไกลมาก เพราะที่ปั่นมาก็ไกลพอดูแล้วไม่น่าเหลือระยะเท่าไร (เดาเอาไม่เปิดจีพีเอสด้วย) ก็ปั่นไปเรื่อยระหว่างทางก็เจอนักปั่นด้วยกันหลายกลุ่มอยู่ นิสัยดีทั้งหมดนะ ตะโกนทักทายสวัสดีตลอดทางทุกคน(ดีจัง) นี่ก็เป็นอีกสาเหตุนึงมั้งที่มาปั่นรถ มีคนคนนึงมาถามรถตอนจอดแวะซื้อน้ำที่เซเว่น เหมือนเราสมัยก่อน อยากปั่นแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงเลยให้นามบัตรร้านที่ซื้อเจ้าเบนโตะมาใึห้เค้าไป เพระาเค้าอยากจะรู้ว่าหาซื้อรถแบบนี้ได้ที่ไหน (จริงๆนะหายากมากรถมือหนึ่งบวกอุปกรณ์พร้อมแบบนี้) ปั่นจนถึง ห้าโมงกว่าๆถึงป้อมพระจุลฯ ก็พักนิดหน่อย เลยมีเวลาถ่ายรูปแล้วก็ชมวิวแถวนั้นจนเพลิน มองนาฬืกาก็ใกล้จะหกโมงแล้ว นึกขึ้นได้ว่ารถเราถอดไฟหน้าหลังออกหมด ถ้าืทางกลับมืดมากไม่มีอะไรเป็นสัญญาณบอกรถตามหลังเลย ก็เลยรีบกลับ (วันนี้ผิดสังเกตุ ยุงยักษ์ำไม่มีเลย ทั้งๆที่จวนจะหกโมงแล้วไม่มีมากวนสักตัว) แต่พอปั่นไปได้สักพักพอมืดลง ยุงที่นี่มากันแล้วโหดเหมือนเดิม ไล่กัดได้แม้กระทั้งกำลังปั่นอยู่ กว่าจะถึงบ้านก็เกือบทุ่ม กลับมาเสร็จก็อาบน้ำเปลี่ยนชุด ไปจะคลองถมต่อ แต่ไม่เอาเจ้าเบนโตะไป เพราะเสาร์ที่แล้ว เอาเข้าไปดูของไม่ได้เลย วันนี้เลยไปรถเมล์ธรรมดาแทน กะว่าจะซื้อของติดรถซะหน่อย พวกไฟกระพริบติดหมวกหน้าหลัง กระดิ่้ง แล้วก็ที่วางกระติกน้ำอีกอัน แล้วก็อะไรเพิ่มอีกนิดหน่อยไม่แน่ใจ เห็นคงรู้ว่าจะใช้อะไร ไปถึงโน้นก็เดินๆหา จนได้ครบเกือบทุกอย่าง ไม่แพงซะด้วย พวกไฟเนี้ย แต่หมวกแพงกว่าร้านที่ซื้อร้อยนึง(แสดงว่าเราซื้อถูกที่แล้ว) แต่ขากระติกดันถูกกว่าแฮะร้อยเดียวเอง เดินจนหมดเวลา จนเค้าเริ่มเก็บของกัน เลยต้องกลับได้ของมาก็เกือบครบ ขาดที่วางของด้านหลัง ไม่กล้าซื้อกลัวใส่ไม่ได้ พอแระนอนก่อนหล่ะวันนี้เหนื่อยโดยไม่ตั้งใจซะงั้น

สรุป

Level 5 Rookie B (Dst 460km/500km)


ประสบการณ์
35.แต่งชุดปั่นทุกครั้งที่จะปั่นทางไกล ถุงมือ รองเท้า หมวก แว่น (จำเป็นอย่าลืม)
36.เตรียมอุปกรณ์และดูสถาพรถก่อนออกเดินทาง
37.สวนทางหรือเจอนักปั่นด้วยกันอยากลืมทักทายเค้านะ รู้สึกว่ารู้จักกันหมดเลยจริงๆโลกนักปั่นเนี้ย

--------------------------------------------------------------------------

บางนา บางปู บางน้ำผึ้ง สะพานพุทธ งงม่ะทางเดียวกันรึเนี้ยยย (Quest No.10 fail)

.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 16 พฤศจิกายน 2010 เวลา 12:20 น.

วันอาทิตย์ที่ผ่านมาหลังจากได้ซื้อพวกสัมภาระติดรถหมดแล้วก็เลยลองพยายามเอาของพวกนั่น ตืดกลับรถไปให้หมด ถุงนอนยึดติกกลับแฮนด์รถไว้ เต๊นท์แยกส่วนเอาส่วนผ้าใบ พับให้เล็กกว่าเดิม เพื่อที่จะผูกกับตัวถังรถได้ ส่วนเหล็กแกนเต๊นท์ยาวๆก็ผูกกับตัวถังด้านล่างอีกที ไม่รู้ว่าพวกปั่นทัวรื่งทำแบบนี้กันรึป่าวแต่จากที่ทำ ก็ดูมันเหมาะเจาะพอดี หลังจากนั่นก็คิดว่าต่อไปเราคงจะติดของพวกนี้ไว้ตลอดดีกว่า เพื่อความคุ้นเคยในการรับนำหนักของตัวรถ ในกรณีที่ต้องออกไปไกลๆ หลังจากนั่นก็ออกไปซ้อมปั่น ออกมาก็ไม่รู้จะไปไหน สรุปก็คือไปร้านน้องที่คลองสานเหมือนเดิม ความรู้สึกขณะปั่นก็ไม่มีไรมาก เหมือนกับปั่นปกติที่ไม่บรรทุกสัมภาระพวกนี้ ยังงี้ก็โอเคนะผูกติดไว้ตลอดเลยก็ได้่ ฉุึกเฉินได้ค่ำไหนนอนนั่น เป็นพวกร่อนเร่ไปเลย อยู่จนดึกก็ไม่มีไร เก็บร้านก็กลับบ้านปกติ

พอเช้าวันจันทร์จะมีคนส่งของมาให้ทางไปรษณีย์ แต่ึความรู้สึกส่วนตัวเลยไม่อยากให้ส่งทางนั่น เลยกะจะไปรับของเอง ก็แค่บางนา แล้วมีแผนที่จะไปบางปูอยู่แล้ว เลยรีบโทรบอกทางนั้นว่าจะไปรับของเอง ก่อนบ่าย ตอนนั้นสิบเอ็ดโมงจะครึ่งแล้ว เลยรีบออกจากบ้านแล้วปั่นไปทางท่าน้ำพระประแดง เพื่อใช้เรือข้ามฟากที่บรรทุกรถข้ามไปได้ หลงทางลงเรืออยู่พักนึงเพราะท่าเรือหายหมด มันมีอยู่แค่หน้าเขตเท่านั้น เสียเวลานิดหน่อยเพราะเรือต้องรอให้รถเต็ม ที่รอเต็มไม่ใช่เพรา่ะกลัวขาดทุนไม่คุ้มนะ แต่ที่ต้องรอเพราะต้องมีรถถ่วงน้ำหนักหัวท้ายให้ดีเพราะรถมาตอนแรกก็จะไปรวมกันจอดหน้าสุด ถ้าไม่มีรถมาจอดถ่วงหลัง หน้าทิ่มแน่นอน หลังจากข้ามได้ก็มองเวลาว่าเที่ยงกว่า รีบปั่นไปไม่ได้คำนวนระยะหรอกว่าเท่าไร แค่ขอให้รีบปั่นไปให้ถึงก่อนบ่าย น้ำก็ไม่ได้หยุดกินหรือพักเลย จนมาถึงแยก สรรภาวุธ หลังจากรีบปั่นผ่านไฟแดงก็เกิดอาการหน้ามืิด แล้วมีอาการเหมือนจะเป็นลม หน้าเริ่้มซีดมาก รู้ตัวเลยว่าเีร่งเกินเพื่อให้ทันก่อนบ่ายมากไป ไปไม่ไหวแล้ว เลยจอดแล้วอมน้ำไว้สักพัก (ตอนนั้นกลืนไม่ได้แน่สำลักน้ำแน่นอน)แล้วค่อยๆกลืน แต่ไม่กินมากแค่สามอึก แล้วรอจนหายปกติ ยืนคิดว่านี่ถ้าไปกับกลุ่มนักปั่นแล้วไล่ตามเค้าแบบนี้ มีหวังสลบริมทางแน่นอน รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ร่างกายก็ยังไม่พร้อมจะออกทริปหมู่คณะจริงๆ ที่ผ่านมาก็ปั่นๆหยุดๆ เหนื่อยก็เอืิอยเฉือยไม่มีเป้าหมายรีบเร่งอะไร หลังจากรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ก็กินน้ำอีกอึกใหญ่แล้วก็ไปต่อ เพราะเวลาจวนเจียนที่นัดไว้จริงๆ พอถึงก็บ่ายกว่าแล้วแต่ก็ยังรับของทัน หลังจากได้ของจากที่ตั้งใจจะไปบางปู ก็เรื่มลังเล ตอนนั้นจิตใจแย่มากไปไม่ไหว ไม่มีแรงจะทำอะไรเลย (ข้่าวไม่ได้กินด้วยมั้ง)เห็นรถเข็นหมูปิ้งข้าวเหนียวเลยแวะจอด แล้วก็นั่งกินแถวนั่นเลย พักกินอะไรและำพักเหนื่อยไปในตัว ก็นั่งคุยกะคนขายไปด้วย ดูเค้าก็ชอบปั่นรถจักรยามเหมือนกัน ถามโน้นถามนี่ใหญ่ ปากก็บอกอย่างจะขี่แบบนี้มั่งอยากไปไหนก็ไป ตรงนี้หลังจากฟังจากทุกคนที่คุยแล้วสรุปความรู้สึกของคนส่วนมากได้(เท่าที่เจอไม่รู้ว่าเรืยกส่วนมากได้รึป่าว)ทุกคนอยากจะมีรถจักรยาน ปั่นรถ อยากจะไปไหนก็ได้ที่ปั่นไปได้ แล้วก็จบที่ ไม่มีความรู้ ไม่รู้จะเลือกรถยีังไง คิดว่ามันต้องราคาแบบแน่รถแบบนี้ แล้วก็ไม่มีเวลา ทำให้เรามามองตัวเองว่า เรามาถูกทางแล้วเมื่อก่อนเราก็เป็นแบบนี้ ความอยากที่จะปั่นแบบนี้ แล้วก็มีข้ออ้า่งแบบนี้ เสร็จก็ม้วนพับเก็บไว้แค่อยากมาเป็นสิบๆปี ตอนนี้เราข้ามข้ออ้างของตัวเองมาแล้ว เหลือแต่ความตั้งใจที่จะทำให้่ได้ ทำให้ดี เหมือนพวกนักปั่นรุ่นใหญ่ๆต่อไป (คือปั่นได้เป็นร้อยๆโลต่อวัน) แต่นึกถึงตอนกลางวันที่จะเป็นลมก็ใจเสียเหมือนกัน กลัวเป็นภาระให้คนอื่น หลังจากกินเสร็จนั่งย่อยได้สักพักก็เตรียมออก ก็ยังไม่มีจิตใจปั่นต่อเหมืิอนเดิมอยากกลับบ้าน เลยปั่นกลับทางเดิมเส้นสรรพาวุธแต่พอถึงแยกนึกได้ว่าถ้าตรงไปเป็นวัดบางนานอก มีท่าเรือข้ามฟากไปตลาดบางน้ำผึ้ง ไวเท่าความคิดก็ตรงออกไปท่าน้ำเลย มองร้านบะหมี่เหมือนกันเสียดายเก็บไปแล้ว ร้านนี้หมูสูตรโบราณแล้วทำน่ากินดี วันหลังผ่านมาจะกลับมากินตั้งใจไว้ก่อน พอถึงท่าก็จอดรถรอเรือข้ามฟากนานเหมือนกัน เลยมีเวลาแวะถ่ายรูปแล้วก็ซื้อน้ำใส่กระติก พอเรือมาก็ปั่นไปทางตลาดบางน้ำผึ้ง (จริงๆเค้ามีตลาดกันวันเสาร์อาทิตย์) ก็เลยแวะเข้าไปทางที่มีโฮมสเตย์ริมน้ำ สำรวจที่พักมันซะเลย ทางเข้าเป็นทางปูนยาวมากมีซอกซอยเยอะแต่ก็เรียบทางริมน้ำตลอดทาง (มองไม่เห็นเเม่น้ำหรอกต้นจากบังสูงมาก) มีทางแยกออกท่าน้ำหลายแยกเหมือนกันจะมาพักคงต้องมาเลือกอีกที แล้วแต่ว่าชอบแบบไหน หลังจากสำรวจจนไม่มีทางจะไปสุดตรงหน้าคันกันน้ำไปต่อไม่ได้แล้วก็เลย หันหัวกลับ เข้าเส้นทางเดิมผ่านตลาดซึ่งตอนนี้ไม่มีใครขายหรอก มีแต่ร้านเปล่าๆ รู้สึกดีไปอีกแบบ เพราำะไม่มีใครมาเห็นสภาพตลาดปืิดหรอก มีเราคนเดียวเคยดูมาแร้ว ก็ออกเส้นทางบางกอบัว งงทางนิดหน่อยเลยต้องเปิดจีพีเอสว่าอยู่ไหน โชคดีที่เอะใจทันเพราะทางที่กำลังไปข้างหน้าเป็นทางวิ่งย้อนกลับไปทางน้ำเดิมพอดี หลังจากดูทางเรียบร้อยก็ออกมาได้ ถึงทางวัดคันลัดตรงนี้สมัยก่อน เงียบมากแต่ถึงตรงนี้ทำซะสวยเลยเพราะเป็นทางใต้สะพานสูงใหม่เป็นทางแยกหลายทางบนอากาศ เหมือนไม่ได้อยู่เมืองไทยเลยอ่ะ ดีนะมีธงชาติเราติดไว้เยอะ เก็บภาพมาเยอะพอสมควรก็เข้าเส้นทางกลับบ้าน

แต่พอถึงหน้าบ้านมันแต่สี่โมงกว่าเองเลยคิดว่าเลยไปร้านจักรยานที่ซื้อมาดีักว่า ตั้งใจซื้อยางอะไหล่มาหลายทีแล้ว ไม่ได้ซื้อสักที พอถึงร้าน ได้ยางแล้วก็เลือกของอื่นเผื่อไว้ วันนี้ของร้านนี้เยอะเหมือนกัน รถใหม่ๆมาเต็มเลย อยากได้หลายตัวมาก ร้านนี้เน้น ฟูจินะ ดูอยู่นานก็ได้ที่พักแฮนด์ติดรถมาอีกอัน ตัวตะแกรงหลังกลับที่วางมือถือยังหาไม่ได้จริงๆซื้อของเสร็จจ่ายเงินก็เลยของนามบัตรร้านใหม่ เพราะเพื่งให้คนที่มาถามไปวันก่อน ตอนนี้เลยขอเผื่อไว้สองใบเผื่อเจอใครอีก ได้แนะนำให้มา อยากมีให้มีสมาชิกนักปั่นเพิ่มขึ้นอ่ะ เอ๊าะลืมเล่า วันที่ไปคลองถมได้ ไฟกระพริบติดหมวกกับกระดิ่งรถมาด้วย ติดเองเรียบร้อย กระดิ่งนี้เรียกได้ว่ากระดิ่งแห่งมิตรภาพเลยนะ เพราะพอผ่านเพื่อนนักปั่นคนไหน เราสั่นกระดิ่งเรียกไปเค้าก็จะยิ้มแล้วคำนับให้ เราก็คำนับตอบแล้วยิ้ม ไม่ต้องตะโกนทักแล้ว (ชอบมากอ่ะ สังคมถ้านี้เป็นยังนี้จะดีมากเลย มีแต่ไมตรีให้กัน) พอทำรถเสร็จก็จะกลับ มองดูเจ้าเบนโตะตอนนี้เป็น ช้างพลายแล้ว มะใช่ช้างน้อยเหมือนตะก่อน เพราะตอนนี้มันมีงาแร้ว (เท่ชะมัด) มีเวลาเหลือเยอะจังวันนี้ จะไปหาเเม่ที่ร้านอีกก็ยังไม่ค่ำมาก ไปตอนนี้เกะกะร้านที่ฝากรถไว้คนยังเยอะด้วย เลยตั้งใจปั่นไปสะพานพุทธดีกว่า ไม่รู้ไปทำไมเหมืิอนกัน นั่งอยู่ท่าน้ำมองคนอื่นริมน้ำเรื่อยเปื่อย เพิ่งจะสังเกตุนะว่าที่ผ่านมาส่วนมาก พวกตกปลานี่เยอะเหมิอนกัน เยอะมากอ่ะัป้อมพระจุลฯนี่เต็มทุกสะพาน ที่นี่ก็แทบไม่มีที่ว่างเลย แต่กิจกรรมแบบนี้ไม่ชอบเท่าไรอ่ะ มันเป็นการทำร้ายชีวิตอีกฝั่ง โดยการเอาปัจจัยความหิวของสัตว์เป็นเหยื่อล่อ(ขอโทษนะที่พูดแบบนี้เข้าใจว่ามันเป็นอาหาร ทางใครก็ทางมัน)เห็นบางคนตกได้ก็ดีใจ เอาเท้าเตะๆให้มันไม่ดิ้น ยัดลงถัง เข้าใจนะว่ามันเป็นวัฐจักรการดำรงชีวิต สัตว์ใหญ่กินสัตว์เล็ก เราเองก็กินสัตว์ใหญ่กว่านี้ ทำได้แค่สงสารอ่ะ ดูได้ไม่นานก็ออกปั่นรถต่อดีกว่า ไปทางสนามหลวง เค้าเีริ่มติดไฟกันแล้วนะ ที่ต้นไม้ สวยดี คงติดยาวยันเลยปีใหม่ละมั้งเนี้ย กะว่าจะมาถ่ายรูปวันหลังรอให้ติดไฟให้เต็มทางก่อน(วันพ่อมั้ง) หมดทางก็จะแวะหลังกระทรวงมองนาฬิกาอีกทีจะทุ่มแล้วกลับดีกว่าไปหาเเม่ที่ร้าน นั่งเย็บเป้สะพายในร้า่นด้วยขาดเมือกลางวัน เสร็จปิดร้านก็กลับ วันนี้เล่ายาวนะเนี้ย ว่าจะลงรูปอย่างเดียว ยาวเลย แต่้สรุปว่าเควสบางปูวันนี้ล้มเหลวไม่เป็นท่า ได้แต่ระยะวนๆในเมือง ไม่ได้ไรเพิ่มเลย

สรุป

Level 6 Rookie A (Dst 523km/600km)

ประสบการณ์
38.อย่าเร่งแข่งกับเวลาเกินไป ทำให้ร่างกายช๊อคขึ้นมาได้ หมดแรงหน้ามืด อันตรายมาก ถ้ารู้ตัวว่้ามีอา่การรีบจอดรถทันที
39.อย่านึกถึงเรื่องอื่นที่ผ่านเข้ามาอีก จะทำให้ใจลอยไม่อยู่กับทางบนท้องถนน อาจเกิดอุบัติเหตุ (ควรจอดรถปรับสภาำพอา่รมณ์ให้เรียบร้อยก่อน)
40.อย่ารีบร้อนทักทายนักปั่นท่านอื่นมากไป อาจทำให้เค้าเสียสมาธิื แล้วอาจทำให้เค้าหรือเราเกิดอุบัติเหตูกลางท้องถนนได้

--------------------------------------------------------------------------

ไปไม่ถึงบางปูซักทีอะไรเนี้ย(Quest No.10 fail II)

.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2010 เวลา 0:45 น..

วันนี้ก็ตั้งใจจะแก้มมือที่พลาดไปบางปูวันก่อน เตรียมตัวออกไปตั้งแต่เที่ยง ก็ออกเส้นสุขสวัสดิ์-พระสมุทรเจดีย์ กะจะไปข้ามเรือที่นั่น ปั่นไปได้ระยะทางห้ากิโลกว่า สังเกตุว่าตัวจับความเร็วไม่ทำงาน จึงจอดรถดู ก็ใจหายเลย ตัวนับที่ติดกับซี่ลวดหายไป พอสำรวจดีๆมันขาหักไปข้างนึง แล้วมันก็ไหลไปปลายขอบล้อเลยไม่หลุด(โชคยังดี เกือบพันเชียวนะ) ก็เลยพะวงจะเอาไงดีหริอไปต่อ แต่ด้วยความรู้สึกอย่างแรกที่ออกมาจากบ้าน คือจิตใจวันนี้มันไม่กล้าจะไปไหนไกลๆ ใจมันยังลอยๆอยู่ กลัวเกิดอุบัติเหตุ พอมามีเรื่องของหักด้วยเลยหันรถกลับ กะว่าวันนี้พอดีกว่า พอถึงบ้านก็หาวิธีซ่อมมัน โดยการเอาด้ายมาพันๆตรงที่หักให้ยึดติดไปกับซี่ลวดเลย หลังซ่อมรียบร้อยก็ไม่รู้จะทำไรต่อกินข้าวโอ้เอ้ไปมาอยู่จนทนอยู่กับที่ไม่ไหวเลยปั่นออกมาต่อมองนาฬิกาบ่ายสาม ลังเลอยู่สักพักก็เอาว่ะไปได้ไกลแค่ไหนแค่นั้น แต่เอาจริงๆก็ไม่รีบอะไรปั่นเรื่อยๆซะมากกว่า จนถึงพระสมุทรเจดีย์ก็สี่โมงกว่า อ่านระยะจากแผนที่ก็กะไม่ได้ว่ากี่กิโลแน่ที่เหลือ เวลาก็ไม่พอ ข้ามเรือไปใช้เวลา20นาที แล้วฝนก็ทำท่าจะตกอีก เลยตัดใจพอแค่นี้ดีกว่า ก็ปั่นกลับบ้านซะงั้น ใจตอนนี้กะจะไปบ้านเเม่ต่อเลย แต่ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่ ขายของที่ร้านกันหมด สุดท้ายก็ปั่นกลับบ้าน นั่งกินก๋วยเตี๋ยวหน้าซอย พอมีแรงกลับมาเลย ยังไม่อยากเข้าบ้านปั่นต่อไปใต้ทางด่วนพอวันนี้น้องไปเปิดบูธเพิ่มที่นั่น ไปถึงก็กำลังยุ่งกันอยู่เลย ก็เลยอยู่ช่วยขายจนถึงสี่ทุ่มแล้วก็กลับ

วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ไปไม่ถึงบางปูสักที ไม่รู้ทำไมที่นี่มีอุปสรรค เหลือเกิน แต่ยังไงก็ตั้งใจแล้วว่าสักวันจะไปให้ได้คอยดูเหอะ

สรุป

Level 7 Beginner E (Dst 610km/800km)

ประสบการณ์
41.อย่าอมลูกอมหรือหมากฝรั่ง ในขณะปั่นด้วยความเร็ว เพราะจะทำให้สำลักแล้วเข้าคอ ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
42.อย่าปั่นใกล้ขอบทางที่มีรถจอดข้างทางมากนั่น ให้เผื่อระยะ ถ้าเต้าเปิดประตูไว้ด้วยและมองเผื่อด้านหลังด้วยว่ามีรถตามมารึปาว ตอนนั่น
43.กรณีต้องข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วเป็นระยะขับคับ ให้ลงรถแล้วเข็นข้ามจะปลอดภัยกว่า
--------------------------------------------------------------------------

กลับมาแร้ววววว เควสใหม่ดอนหอยหลอด (Quest No.10.)

.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 1 ธันวาคม 2010 เวลา 23:33 น..

หายไปนาน หลังจากหมดกำลังใจที่จะเขียนบันทึกอยู่สักพัก และก็ไม่ได้ออกไปไหนเลยได้แต่ปั่นวนไปวนมาในเมือง และยังติดกับงานเทศกาลลอยกระทงด้วย เลยเสียเวลาไปกับเรืองอื่นมากมาย พอมีเวลาก็มาคิดว่าจะไปบางปูให้สำเร็จสักที แต่พอวันออกปั่นจริงๆกลับไปที่ดอนหอยหลอดแทน ระยะพอๆกัน เริ่มออกจากบ้านก็สิบโมงกว่า สภาพร่างกายก็เก้ๆกังๆไปบ้าง ไม่ได้ออกระยะไกลนาน จนปั่นไปถึงทางวงแหวนพระรามสอง กำลังลังเลอยู่ว่าจะไปลอดด้านล่างดีหรือจะขึ้นสะพานสุงดีก็ตัดสินใจขึ้นที่สูงดีกว่าอย่างลองว่าข้ามได้รึป่าวก็จังหวะมีคนมาทักด้านหลัง หันไปมองก็เป็นนักปั่นเหมือนกัน ก็ปั่นกันไปคุยกันไปได้ระยะนึงก็ได้ความว่าเป็นนักปั่นแนวแข่งขันซะมากกว่า ลงแข่งได้ถ้วยมาหลายใบจนเบื่อแล้วหยุดไปเอง(เค้าว่างั้นนะ) ตอนนี้ก็ปั่นเป็นปกติไม่ได้หวังรางวัลไรแล้ว เค้าก็สอนเทคนิคอะไรให้เยอะแยะ แล้วก็บอกให้เราต้องทำยังไงฝึกยังไง มีความรู้ขึ้นเยอะเลย แล้วเค้าก็ยังติเรื่องที่หอบของพะรุงพะรังเต็มรถ ว่าไม่เหมาะรถจะเสื่อมไวกว่าปกติ ให้เราเน้นเรื่องทัศษะให้แข็งดีกว่าเน้นอึดทึกทด(ก็เข้าใจว่าสายทัวริ่งมันต้องถึกนิน่า)เค้าก็สอนเรื่องการฝึกเร่งสปีด การฝึกอัดรถให้ได้ความเร็วก็เป็นประโยชน์นะ แต่เรื่องของตีดรถเนี้ยคงไม่เอาออกอ่ะโทษที ยังอย่างให้เหมือน นักปั่นพเนจรเหมือนเดิมดีกว่า แต่เริ่องฝึกการเร่งสปีดจะพยายามทำให้ได้แล้วกันนะ ขอบคุณที่หวังดีและช่วยสอนตลอดทางจนตัวเองเลยทางเข้าต้องปั่นไปเข้าทางสมุทรสาครแทน ก็ขอขอบคุณ คุณ T-Trek มา ณ.ที่นี้ด้วย พอแยกกันได้ ก็แวะซื้อน้ำเกลือแร่กินก่อนเลย และพักเหนื่อย มองระยะตัวเอง ปั่นมา 30กิโลไม่ได้พักเลย อุแม่เจ้า ก็ปั่นตาม คุณทีตะกี้ ไม่ได้พักหายใจเลย พอได้พักก็แทบลมจับ ไม่เคยอัดรถตามใครเลย ตามแทบไม่ไหวจริงๆ พอหายเหนือยก็ไปต่อข้ามสะพาน แล้วก็ไปถึงวัดที่คราวก่อนเคยแวะไว้ก็ไม่ได้พักหยุด ตั้งหน้าตั้งตาปั่นต่อไป มาพักอีกทีที่ระยะ 56 กิโล ตรงที่มีสนามแข่งรถอยู่ตรงข้าม พักเส็ดก็ปั่นต่อ จนถึงแยกทางลัดไปดอนหอยหลอด ก็ไม่ไกลมาก 9กิโล ปั่นจนสุดท้ายก็ถึงท่าน้ำดอนหอยหลอดจริงๆ

ไปถึงก็แทบจำไม่ได้เปลี่ยนไปมาก ร้านค้ามากมายขายของสดของแห้งทะเลเยอะแยะร้านอาหารก็ปลูกติดกันตลอดทาง ไม่รู้จะเลิอกร้านไหนเลยดูทำเลน่ากินทั้งนั้นสุดท้ายก็ไปจนสุดขอบของดอนหอยหลอด เก็บภาพบริเวณนั้นนิดหน่อยก็เดินตลาดหาซื้อของฝากได้มาสองอย่าง ปลาทูมัน กับ ขนมจาก(ไปดอนหอยหลอดต้องซื้อขนมจากกลับมา เป็นธรรมเนียมมั้ง)เดินจนทั่วก็ตั้งใจจะไปตลาดอัมพวาต่อเพราะแผนที่ก็สิบห้าโลเอง ก็เข้าทางลัดมาก็เก้ากิโลแร้ว ถ้าบวกขากลับก็เท่ากับไม่ถึงหกกิโลเลยด้วยซ้ำ แต่พอออกมาจนถึงแยกจะไป ดูเวลากัวไม่ทันเพราะตอนนั้นสามโมงกว่า เอ๊าะๆ ลืมบอกถึงดอนหอยหลอด อีกสิบนาทีบ่ายสอง ใช้เวลาเท่ากับใช้เวลาเดินทางมาสามชั่วโมงครึ่ง บวกเวลากลับก็หกโมงครึงหน่ะสิ ไม่แวะดีกว่าออกมาสายเกินไป ถ้ามาวันหลังจะต้องออกไวกว่านี้ซะแล้ว สิบโมงนี่สายไปจริงๆ หลังจากคำนวนได้ก็เลยปั่นกลับ แต่ขากลับนี่ไม่เร่งมาก ปั่นเรื่อยเปือยเร็วบ้างช้าบางสลับกันไป กว่าจะถึงก็ดึกพอดีตามเวลาที่กะไว้เป๊ะ แวะบ้านเเม่แล้วก็นอนค้างที่นั่น ดูระยะทางทั้งหมดที่ปั่นวันนี้มาก็ 140กิโลแบบไม่หยุดด้วยขากลับ แวะกินน้ำถ่ายรูปบนสะพานพักนึง แล้วก็รีบกลับกลัวมันมืดเกิน พอวันอังคารก็กลับช่วงเช้ามาทางสายวัดพุทธแล้วหลงเข้าไปในวัด ของหลวงพ่อโอภาสี วัดกำลังบูรณะ แต่วัดทำเสร็จนี่คงสวยมากเลยแวะเก็บภาพแป๊บนึงแล้วก็ปั่นกลับต่อ

สรุป

Level Beginner E (Dst 770km/800km)

ประสบการณ์
44.ศึกษาการปั่นให้ดีๆ หาความพอดีให้ตัวเอง แล้วพยายามฝึกฝนทุกครั้งที่มีโอกาส
45.ให้ระวังการดิ่มน้ำขณะปั่นให้มองดูทางดีๆว่าเหมาะกับการที่จะหยิบมาดื่มตอนนั้นมั้ย


--------------------------------------------------------------------------

ถึงซะที..!!! วันนี้ที่รอคอย งาน4ทิศรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว(เตรียมตัวลงดัน)

.โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 13 ธันวาคม 2010 เวลา 1:12 น..
หลังจากที่หาข้อมูลทริปต่างๆในเน็ต ก็มีทริปนึงที่อยากมีส่วนร่วมมาก คือโครงการ ปั่นจักรยานเทอดพระเกียรติวันที่5ธันวา ชื่องาน 4ทิศรวมใจไทยเป็นหนึ่งเดียว ที่จังหวัดนครปฐมจัดเป็นประจำทุกปึ แรกๆอ่านจากในเน็ตก็ดูยุ่งอยากเอาการ กลุ่ม หรือ ชมรมก็ไม่มี จะไปขอร่วมกับใครเค้าก็ไม่รู้จะคุยกับใคร เสื้อก็ไม่มี เห็นในเน็ตก็ขอกันบอกไซดเส็ดสับ แต่พอถึงวันจริงก็(วันที่4) เอาว่ะไปแบบไม่รู้จักใครเลยนี่หล่ะ เค้าจะให้ร่วมไม่ร่วมไม่รู้ ปั่นไปให้ถึงมันก่อนข้อแม้เยอะก็หาที่พักเอง ไม่มีข้าวก็ซื้อกินเองก็ได้ตอนเช้าก็เนียนๆปั่นตามเค้ามาก็แล้วกัน คิดได้ยังงั้นก็เก็บข้าวของเตรียมตัวตอนกลางคืนตั้งปลุก ตีห้าครึ่ง เอาเข้าจิงๆกว่าจะลุกกว่าจะออกก็ สี่โมงเช้า (เวลาเดิม)คราวนี้เลือกเส้นทางสายหลักเพชรเกษม แล้วตรงยาวไม่ต้องเลี้ยวเลย ปั่นไปมองระยะไป เริ่มหิวน้ำตอน18กิโล แต่ก็อดทนไว้ไม่ให้เคยตัวปลอบตัวเองว่าอีกสองโลค่อยกินให้ครบ20กิโลก่อน พอยี่สิบก็ก็เลื่อนเป็นยี่สิบห้า จนถึงสามกิโลหน่ะถึงพักกินน้ำ พักตรงหน้าฟาร์มจรเข้สามพรานพอดี พักเหนื่อยและกินน้ำ คือจากคราวดอนหอยหลอดก็พักตอน30กิโลเหมือนกันถึงหน้า รพ.มหาชัยจะได้เคยชินกลับระยะพักที่30กิโล ก็หยุดเก็บภาพไปด้วย เห็นมีน้ำอ้อยคั้นสดๆข้างทางอยู่เลยสั่งมากินขวดนึง ชื่นได้ดี แต่พอหายเหนื่อยปั่นได้แป๊บเดียว กินอาการจุกท้อง แน่เลยน้ำอ้อย มีผลแฮะ ปกติปั่นนานแค่ไหนก็ไม่เป็นกินแต่สปอนเซอร์อย่างเดียววันนี้กินน้ำอ้อยจุกเอาง่ายๆ ทนปั่นไปได้สักพัก อาการก็เริ่มดีขึ้นจนหายไปเอง ระหว่างปั่นไปก็เพิ่งสักเกตุ งานนี้อ่านมาก็น่าจะใหญ่นะ ทำไมตลอดทางไม่เจอนักปั่นด้วยกันเลยสักคันแปลกดี หรือเรามาผิดวันหว่า นึกไปก็ปั่นไปไม่มีจริงๆ กว่าจะถึงก็บ่ายกว่า เห็นยอดองศ์ปฐมเจดีย์แล้ว รู้สึกว่าสวยมากๆ สวยกว่าทุกครั้งที่เห็น เพราะการเห็นครั้งนี่มาด้วยแรงตัวเอง ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้งเลย ปั่นรอบองศ์เพื่อหาพวกนักปั่นที่มาร่วมงาน ??? มะมีอ่ะยังไงกัน ?? เลยนึกได้ว่าเค้าพักกันที่สนามกีฬาก็ถามคนแถวนั้น ก็ไม่เข้าใจเส้นทางเหมือนกันรู้สึกจะไกลนะ เอาไงดีหว่า ปั่นรอบองศ์เจดีย์อีกรอบแล้วกัน แต่คราวนี้เข้าไปวงใน จนเหลือบตามองเห็นกลุ่มจักรยานจอดอยู่กลุ่มนึง เลยลองเข้าไปใกล้ๆดูพอใกล้ถึง ก็มีเสียงโทรโช่งทักมาเชิญมาเข้าพักทานน้ำกันก่อน !!!ใช่แล้ว!!~ เจอสักที ก็เลยเนียนกินน้ำแล้วก็นั่งดูสถานการณ์ว่าจะเป็นยังไง เค้าจะให้เราร่วมงานมั้ยถ้ามาคนเดียว ไม่รู้จักใครเนี้ยย(กังวลมากมาย) สังเกตกลุ่มที่มาก่อนก็ไม่กี่คนเอง สักพักก็มีชายสูงอายุคนนึง แต่ดูแข็งแรงเข้ามาพูดคุยด้วย ก็ได้ใจความว่าตอนนี้กำลังรอนักปั่นท่านอื่นอยู่ยังมาไม่ถึง มีพวกตากและอุบล กำลังเดินทางมาอยู่ แล้วเค้าก็อธิบายระเบียบการคราวๆให้ฟัง (มารู้ที่หลังว่าเค้าเป็นกรรมการที่ร่วมจัดงาน)แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน ชมรมจังหวัดอะไร (แหะๆเจอคำถามนี่จนได้)ก็บอกว่ามาจากกรุงเทพฯมาคนเดียวไม่มีกลุ่มอะไร เค้าก็รับฟังไม่ว่าแล้วก็เดินไปคุยธุระอื่นต่อสักพัก ก็มีนักปั่นอีกท่านมายืนดูเจ้าเบนโตะก็เลยยิ้มทักแล้วคุยกัน ก็ถึงรู้ว่าพี่(เรียกพี่แล้วกันเน๊อะดูไม่แก่มาก)เค้าปั่นมาจากปัตตานี!!! โหว สุดยอดเลย อันนี้มารู้ชื่อทีหลังว่าชื่อ ครูมานิตย์ กลับมาค้นในเน็ตก็ไม่แน่ใจ เพราะส่วนมากไม่ลงรูปครูแกเลย มีแต่ปี50 ดูแก่กว่านี้มาก หรือ ปั่นจักยานนี่ทำให้หนุ่มขึ้นเนี้ย เพราะเจอตัวจริงตอนนี้เรียกพี่ได้เลย กลับเข้าเรื่องดีกว่าก็คุยกันสักพักแก่ก็เดินไปทำธุระ เรื่องอื่นต่อ ก็มีลุง(อันนี้เรียกลุงได้เพราะแก่จริง)อีกคนเข้ามาคุยด้วยก็ถามไถ่เราว่ามาจากไหน เราก็บอกอย่างที่บอกไป ก็เลยคุยกะแก่เรื่องการปั่น ลุงก็ให้กำลังใจ และก็สอนว่าการปั่นมันอยู่ที่ใจ หัดใหม่หรือเก่ายังไงขอให้ใจอยากปั่นเท่านั่นพอไปได้หมดช้าเร็วไม่ต้องกลัว(จริงแฮะ)คนนี่พอคุยสักพักเห็นเสื้อชมรมชื่อไม้ค้ำตะวันก็คุ้นๆว่าเคยเห็นรูปแกในเน็ตบ่อยๆ ชื่อ ลุงสมพลแห่งไม้ค้ำตะวันนั่นเอง ประวัติแก่ปั่นใกล้ไกลมากมายเลย แต่ละทริปนี่มีงานทำไปไม่ได้จริงๆ แต่ดูรถแกแล้วอึ้งมาก ปั่นระยะเป็นพันๆโลหรืออาจจะถึงหมื่นโลแล้ว แต่รถแกกลับใช้ LA คันละหกพันกว่าบาท (นี่หล่ะปั่นด้วยใจจริงๆไม่เกี่ยวกับรถเลย) ก็หมดเรื่องคุยลุงแกก็ไปทักทายคนอื่นต่อไป ก็นั่้งรอจนบ่ายสามมั้งพวกกลุ่มแรกก็มา เป็นนักปั่นจากอุบลฯ13ท่าน เท่มากมายกลุ่มนี้แก่หนุ่มมีหมดทำเสื้อเำำฉพาะงานนี้มา้เลยก็มาจอดรถแถวๆที่เบนโต๊ะอยู่พอดีเลยมีโอกาสทักทายกัน คนแรกที่คุยด้วยกันนี่เป็นพี่เจี๊ยบนั่งคุยกันเป็นกันเองมาก พี่เค้าเล่าถึงการปั่นที่ผ่านมาสดๆ วันแรก 240กิโลจากอุบลมาบุรีรัมย์วันแรก 240!!กิโลโอวแม่เจ้าประสบการณ์10เควสตู!! ดูเด็กน้อยไปเลย แค่30-160กิโลต่อวัน เทียบไม่ติดเลย ก็คุยกะคนโน้นทีคนนี้ทีนืดๆหน่อยๆ จนพวกจากจังหวัด ตากมา คราวนี้เยอะมา83คัน ดูชุลมุนวุ่นวายมาก แต่ที่เห็นแล้วชอบมากคือทุกคนมาจากเหนือใต้อิสาน กลับเ้หมือนรู้จักกันหมดทักทายกันเหมือนเป็นญาติพี่น้องทีั่ำไม่เจอกันมานาน ดูอบอุ่นมากเห็นแล้วปลื้มใจแทน(เรามะรู้จักใครแต่คุยกะใครก็ดูเหมือนสนิทหมดเหมือนกัน)จนกลุ่มอุบลฯขอแยกตัวไปไหว้องค์พระแล้วพี่เจี๊ยบก็เรียกให้ไปด้วยกันเราก็เดินไปด้วยเลยเพราะไม่รู้จักใครเลยนิชวนไปก็ไำปด้วยกัน ตอนนั้นจำใครไม่้ได้หรอกอาศัยจำเสื้อแทนพอถึงตอนถ่ายรูปเลยได้หน้าที่ถ่ายรูปให้กลับกลุ่มก็ถูกแล้วให้เราถ่ายให้ เค้าได้มีรูปกลุ่มครบทุกคนเรียกเ้ราไปถ่ายก็ไม่รู้จะถ่ายไปทำไมเหมือนกัน ตอนนี้หล่ะมั้ง ทุกคนเลยจำเราได้หมดเพราะอาสาถ่ายรูปให้ เราเองตอนนั้นบอกตรงๆจำใครไม่ได้เลย พอจะเดินรอบองค์พระ โทรสับก็โทรตามให้ไปรวมตัว ก็เลยไำม่ได้เดินกลับมารวมกลุ่มด้านล่างอีกครั้งเพื่อที่จะไปรวมตัวที่สนามกีฬา

ตอนนี้เป็นขบวนแล้วมีรถนำทางกลุ่มใหญ่จนถึงที่หมายก็แยกย้ายเตรียมตัวหาที่พัก ปรากฏว่าไม่มีห้องนอนให้นอนกันกลางสนามกีฬาเลย(เป็นสนามกีฬาในร่ม)คราวนี้ก็เข้าทางสิเตรียมอุปกรณ์การนอนมาพร้อมเลย ได้ใช้งานครั้งแรกหล่ะคราวนี้ หลังจากแบกปั่นไปมาทั่วไม่เคยได้ใช้งานเลยสักที ก็กลางเต๊นท์เก็บอุปกรณ์ติดรถมาด้วยเพื่อความปลอดภัย พอเรียบร้อยก็ไม่รู้จะทำอะไรพวกปั่นมาไกลก็เริ่มจะนอนพักกันเลย เราปั่นใกล้60กว่าโลแรงยังเหลือเลยกะจะออกไปปั่นต่อสักหน่อย แล้วก็เติมเงินมือถือด้วยก็ออกไปไม่ไกลก็มีเซเว่น(รอดตายแร้ว)ก็ทำธุระเส็ดก็หาอะไรกิน หิวอ่ะไม่ได้กินข้่าวเลยตั้งแต่เช้า เล่นชายสี่หมี่เกี๊ยวไปหนึ่งชาม(หากินยากนะเนี้ยกรุงเทพไม่มีขาย)เส็ดก็เซ็งๆไม่รู้จะไปไหนกลับที่พักดีกว่าเด็วเค้ามีกิจกรรมอะไรเราจะอด กลับมาก็อาบน้ำเสร็จก็นอนพักในเต๊นท์สักพักเึค้าก็ประกา๋ศเรียกรวมกลุ่มเพื่อลงทะเบียนและรับประทานอาหาร กรรมตูเพิ่งล่อบะหมี่มากินอีกแร้วรึ ลงทะเบียนก็ได้เสื้อมาหนึ่งตัว แล้วก็นั่งกินอาหาร อาหารนี่ก็จัดกันงานๆไม่้มีพิธีรีตองอะไร เดินไปรับแล้วก็กลับมานั่งที่จะกินอะไรก็เลือกเอา ง่ายดีแบบนี้ก็ชอบ เพราะถ้าโต๊ะจีนนี่กลุ้มใจกินกลับคนแปลกหน้าทำตัวไม่ถูก เดินไปตักได้มาพวกกลุ่มอุบลก็เรียกนั่งมากกินด้วยกัน(ดีจริงๆกลุ่มนี้)ก็กินแล้วก็มีดนตรีมีพิธีแนะนำตัวทีมงานนิดหน่อยให้พอรู้จักกันเสร็จงานก็แยกย้ายเข้าที่หลับนอนก็นั่งคุยกลับกลุ่มอุบลและก็พี่ไม้ค้ำตะวันอีกท่าน(รู้ทีหลังว่าชื่อลุงสุพรรณ ว๊า นักปั่นนี่อายุเกิน60แล้วไหงหน้าเด็กกันหมดนะ)นั่งฟังไปก็สนุกดีประสบการณ์ที่ผ่านมาสุดๆเหมือนกันอันนี้มีรูปประกอบด้วย รวมกลุ่มคุยกันถึงสี่ทุ่มกว่าก็แยกย้ายกันเข้านอน

เก็บแรงไว้เพื่อพรุ่งนี้เอาหล่ะวันนี้พอก่อนได้อะไรดีๆเยอะเลย รู้เลยว่าประสบการณ์ที่ผ่านมาของเรานี่มันเด็กน้อยจริงๆ แต่สักวันจะขอปั่นให้ทั่วไทยให้เหมือนคนกลุ่มพวกนี้บ้าง นอนฝันไปฝันมา ว่าแล้วก็นอนหลับปุ๋ยอย่างมีความสุข .... ~ ~ ~ z z ZZZZZ

สรุป

Level Beginner D (Dst 920km/1000km)

ประสบการณ์
46.หลังจากกินอะไรก็แล้วแต่ให้ร่างกายได้มีโอกาสพักย่อยสักครู่ เพื่อป้องกันอาการจุกขณะปั่นต่อ
47.การทักทายผู้อื่นอย่าเอาแต่ผงกหัวคำนับแค่นั้น ให้กล่าวคำว่า "สวัสดีครับ" ด้วย หากอีกฝ่ายเป็นผู้ใหญ่กว่าให้ยกมือไหว้ไปเลยจะได้ดูไม่ห่างเหินกันเกินไป และสุภาพกว่าแค่การผงกหัวให้ึคนอื่นแน่นอน
48.อย่าคิดว่าที่ทำมันยิ่งใหญ่เกินไป บางทีที่เราทำอาจจะแค่เล็กหน่อยของผู้อื่นด้วยซ้ำให้ประมาณตนเอาไว้ โลกนี้มันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมากนัก

--------------------------------------------------------------------------

สี่ทิศรวมใจ ไทยเป็นหนึ่งเดียว ปั่นเทอดพระเกียรติ 5 ธันวา ครั้งที่1(Main Dungeon)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 13 ธันวาคม 2010 เวลา 1:59 น.

หลังจากหลับไปได้สักหนึ่งตื่นก็เหมือนกลับได้นอนเต็มที่แร้วประกอบกับได้ยินเสียงบางกลุ่มคุยกันก็เลยลุกขึ้นมาทำท่าจะไปอาบน้ำแต่ปรากฏว่าเพิ่งตีหนึ่งครึ่งเิอง (ไรเนี้ย)นอนเหมือนเต็มอิ่มแล้ว ก็เลยข่มตานอนต่อตื่นอีกทีคราวนี้ตีสี่เอาหล่ะไม่นอนแล้ว ลุกไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็กลับมาเปลี่ยนชุดและัเก็บสัมภาระของเราเข้าที่เดิมที่รถ ใช้เวลานานพอสมควรแฮะจากเริ่มเก็บคนแรกกลับเป็นคนเกือบๆสุดท้ายที่เก็บของเสร็จ ก็จังหวะพอดีเค้าเรียกไปทานอาหารเช้าพอดี พอเรียบร้อยก็ลงไปโต๊ะอาหารตอนแรกกะจะกินแค่กาแฟ แต่พอเห็นข้าวหมูิิแดงนครปฐมเข้า้เลยกินซะเลยแล้วค่อยกินกาแฟป๋าท่องโก๋ต่อ(ตะกละนะเนี้ย)กว่าจะเส็ดกลุ่มอุบลก็ไปกันหมดแล้วก็เลยปั่นเดียวๆไปที่องศ์ปฐมเองคนเดียว ถึงโน้นก็ต้องรอกว่าจะเริ่มงานจริงๆได้ก็ปาไปสิบโมงกว่า (ตื่นตั้งแต่ตีสี่ เพื่อไรเนี้ย -*-)ระหว่างรอกลุ่มอื่นๆที่กรุงเทพและจังหวัดอื่นก็มาสมทบ คราวนี้เยอะมากมายเลยรวมๆตามจำนวนที่ทางทีมงานนับได้คือ1200คัน (เย้ได้ปั่นกลุ่มใหญ่สมใจแล้วงานนี้)การออกตัวก็ปล่อยรถปกติไม่้รีบเร่งอะไร แถมปั่นไปรอบองค์หนึ่งรอบแล้วก็รอบเมืองหนึ่งรอบ พอออกไปนอนเมืองก็แวะกิืนข้าวซะงั้น (เออลืมเรื่องข้าวกลางวันเลย)ก็กินไปสามชุด ข้าวหมูแดง กระเพาะปลา ข้าวกระเพราหมู (ตะกละเหมือนเดิม) กินเสร็จก็เำพิ่งคืดได้่ว่าตรูกินแบบนี้ปั่นไปจุกแน่ ขนาดเมื่อวานแค่น้ำอ้อยยังแทบตายเลย แต่ปรากฏว่าเค้าให้พัก45นาทีก็เลยรอดตัวไปได้มีเวลาย่อยหน่อย แต่จริงๆก็ไม่ถึงหรอกเวลาจำกัดเลยออกก่อนเวลายี่สิบนาที(ก็พอแล้วหล่ะ)คราวนี้เริ่มแล้วของจริง ระหว่างปั่นนี้กลุ่มจักรยานเหมือนเป็นวีรบุรุษที่้เพิ่งกลับมาจากสนามรบเลย มีคนออกมายืนดู โบกมือให้กำลังใจ ตลอดทาง กระดิ่งเราทำงานตลอดคือกดทักทุกคนที่ยืนดูหรือโบกมือให้ เท่สุดๆเลยเรา การปั่นถนนใหญ่ก็สะดวกสบายมีรถเซอร์วิสขอทางรถตำรวจนำขบวนดูยื่งใหญ่มาก ปั่นก็รู้สึกไม่ลำบากเหมือนปั่นคนเดียวแฮะ อยากแซงก็แซงหมดแรงก็ให้เค้าแซงกลับมีแรงก็แซงคืนไม่ให้รั้งท้ายเป็นพอ แต่การปั่นก็อิงกับพวกกลุ่มอุบลเป็นหลักไม่ให้ห่างกันเกินกว่าจะถึงกรุงเทพก็บ่ายสามมีข้าวแจกอีกรอบคราวนี้เป็นตักราดแล้วก็มานั่งกินตามสะดวก(กับพื้นนั่นหล่ะ)อืิอิสองรอบเช่นเคย สรุปงานนี้กินเยอะกว่าปกติมาก ยิ่งปั่นยิ่งเหมือนอ้วนขึ้นแฮะกินซะขนาดนั้น อยู่ได้สักพักกลุ่มอุบลก็ขอให้มาส่งหัวลำโพง เพราะคุยกันตั้งแต่เมือคืนก่อนนอนแล้วและเราก็อา๋็่สามาส่งพวกพี่ๆเค้าเองว่าจะนำทางให้ ออกมาก็ุถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน้าพระบรมรูปทรงม้าเป็นที่ระลึกกันแต่ตัวเราเองอยู่หลักอ่ะมะกล้าออกนอกหน้าเพราะงานนี้กลุ่มเค้าเป็นหลักเรามันแค่ผู้ตามเล็กน้อยเลยขอติดแค่ริมๆก็พอ หลังจากเส้ดก็เริ่มนำขบวนทัพกลับบ้านซะที่ ตอนนี้เหมือนเป็นรถนำขบวนเลย พวกกลุ่มอุบลก็ปั่นตามหลังเป็นทางยาวเท่ซะมะมีงานนี้พอถึงหัวลำโพงก็รำลากันพักนึงก็ส่งเข้าสถานี พวกพี่เึค้าก็ให้เบอร์ติดต่อไว้เผื่อเราจะอยากออกทริปที่อุบลบ้่างให้ไำปหาได้เลย พวกพีี่เค้าก็ยืนยันว่าจะตอนรับเราอย่างดี ก็ขอเรียกพวกพี่ๆเค้าว่า กลุ่ม 13เสือแห่งอุบลแล้วกัน แล้วยังทิ้งท้ายชักชวนเราว่า ปีหน้าให้เราไปเริ่มที่อุบลกลับพวกเค้าเลย เราก็รับปากไปนะเพราะอยากมีทริป240กิโลวันแรกกับเค้ามั้ง อยากรู้ว่ามันจะลำบากแค่ไหน แต่กว่าจะถึงวันนั้นคงต้องมีอีกหลายทริปแน่เพื่อฝึกฝนตัวเองให้เป็น นักปั่นขาแข็งกับเค้าซะที ไม่อยากเป็นนักปั่นกำมะลอแบบนี้เลย อ่อนด๋อยมากๆ ลาก่อนคับพี่ๆ 13 เสื้อแห่งอุบลแล้วปีหน้าเจอกันเด้อ..!!!

สรุป

Level Beginner C (Dst 1020km/1200km)

ประสบการณ์
49.หากมีโอกาสฝึกเก็บของและสัมภาระให้ชำนาญ เพราะบางครั้งเกิดชั่วโมงเร่งด่้วนจะเป็นภาระให้ผู้ร่วมทริปเสียเวลารอเราคนเดียวได้
50.การปั่นเป็นหมู่คณะใหญ่ๆไม่จำเป็นต้องเร่งแซงคนอื่นมากนักรักษาระยะของตัวเองไว้ก็ำำำำพอเร่งเฉพาะกรณี

--------------------------------------------------------------------------

คุยกันท้ายเรื่องนิดนึง
ว่าจะไม่สอดแทรกเรื่องปัจจุบันเข้ามาขัดแต่ว่าจบตอนนี้ทำให้งงเอาเหมือนกันว่า ทริปเดียวที่เรามาเริ่มต้นเพื่อรู้จักชีวิตแบบกลุ่ม ทำให้รู้จักคนหลายคนในงานนี้และผูกพันกันต่อมาเป็นปี ไม่ว่าจะเป็น น้าเป็ด ลุงสุพรรณ กลุ่มพี่ๆเสือซิงซิงที่อุบลฯ กลุ่มไม้ค้ำตะวัน กลุ่มคุณธาตรีจากตาก อ.ดำจากศรีษะเกศ อ.เสรีจากอำนาจเจริญ และอีกหลายท่านที่ยังนึกไม่ออก ทำให้คิดว่าถ้าเราหยุดอยู่กับที่ไม่ขวนขวายออกมาหาประสบการณ์ และพบปะผู้คนซะบ้างเราก็คงจมกับสิ่งที่คิดว่ามันดีอยู่แล้วของตัวเอง ไม่ต่างอะไรกับกบที่อยู่ในกะลา คิดว่าแต่นี้มันพอแล้ว จบแล้วไม่มีอะไรมากกว่านี้ แค่นั้นเอง

ขอบคุณสำหรับทุกท่านครับ ที่ทำให้งาน 5ธันวาปี54นี้ ผมกลายเป็นผู้นำกลุ่มพี่ๆจากอิสานใต้เข้ามาสู่กรุงเทพฯ ด้วยแรงกระตุ้นจากงานนี้งานเดียวนี่เอง

เรื่องยังไม่จบครับ ยังไม่อีกหลายทริปหลังจากนี้ ที่บอกตัวเองว่าให้พยายามต่อไป สู้เพื่อเอาชนะความไม่เอาไหนของตัวเอง เรื่องสนุกกว่านี้แน่นอน

--------------------------------------------------------------------------

งานจิ๊บจ๋อย ตลาดบางน้ำผึ้ง 3ติดๆเลยเที่ยวต่อซะ(Quest No.11)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 13 ธันวาคม 2010 เวลา 23:46 น.

หลังจากเสร็จเรื่องงานปั่นเทอดพระเกียรติมาก็ได้พักวันนึงแล้วก็ทำงานต่้ออีกวันนึง วันพุธก็ออกปั่นรถไปหาแม่เพราะเป็นวันที่ต้องพาแม่ไปซื้อของประจำเดือน ซื้อเสร็จก็กลับมานอนไม่้ได้ปั่นออกไปแถวเส้นถนนเทียนทะเล ไม่้รู้เป็นอะไรรู้สึกไม่ชอบเส้นนี้เลยทั้งๆทีั่เค้ามีเลนจักรยานเตรียมไว้ให้นักปั่นโดยเฉพาะ ตั้งแต่ปั่นเควสที่สองวันนั้นแล้วก็ไำม่เคยคิดจะออกไปเส้นนั้นอีกเลย คงจะเป็นเพราะลมแรงบวกเข็ดกับคราวก่อนด้วยมั้งก็เลยสรุปว่าพักต่ออีกวัน พอเช้าวันพฤหัสก็ต้องไปทำงานเพราะวันศุกร์เป็นวันหยุดต้องเลื่อนวันขึ้นมา ก็กะจะออกตั้งแต่เช้าแต่เสียเวลาทำงานช่วยเเม่นิดหน่อยเลยออกสายจนได้กว่าจะถึงบ้านก็บ่าย เส้นทางกลับเดียวนี้ใช้เส้นลัดออกพุทธบูชา ง่ายสุด ถึงทางมันจะอ้อมวกวนแต่ก็ดีตรงที่ไม่มีลมต้านและต้องคอยระวังรถสวนมาตลอด ก็ถึงที่ทำงานไม่สายเท่าไร 20นาทีมั้ง พอตกตอนเย็นตอนเลิกงานก็เดินเล่นที่ยูเนียนมอลล์ จังหวะมีสา่ยเข้ามาพอดี เป็นของพี่น้อย (หนึ่งในสิบสามเสือแห่งอุบล)พี่้เค้าก็โทรมาขอบคุณและก็ยังชวนให้ไำปเที่ยวที่โน้นวันที่24เพราะมีังานจัดกินเลี้ยงกันเราเองก็ไม่รู้จะไปได้รึป่าว แล้วงานกินเลี้ยงเนี้ยไม่ถนัดเอาซะเลย เหล้าก็ไม่ได้กินหากไปนั่งเงียบๆก็จะพาคนอื่นเซงกันไปซะป่าวๆ แต่ใจจริงๆก็อยากไปนะเบื่อกรุงเทพ ถ้าหมดทางวิ่งในกรุงเทพก็ว่าจะหาทางปั่นต่างจังหวัดมั่งดีกว่า มีหลายที่ที่อยากไป เขาพนมรุ้ง ดอยอินทนนท์ สะพานภูเก็ต อีกหลายที่ มะรู้จะไหวรึป่าว แต่ไปแบบนี้คงต้องมีเพื่อนร่วมทางไปด้วยงั้นเอาไว้ที่หลังแล้วกันตอนนี้ยังไม่มีเพื่อนเลยโปรเจกพวกนี้พับไว้ก่อน กลับมากินข้าวเส็ดก็เอาเจ้าเบนโตะปั่นย่อยข้าวไปรอบนึงพอได้เหงื่อแล้วก็กลับ ตื่นเช้ามาก็มีนัดกับน้องๆไปช่วยงานที่ตลาดบางน้ำผึ้งสามวันก็ปั่นไป ระยะทางก็26กิโลไปกลับต่อวัน สามวันก็ 78กิโล แต่พอวันสุดท้่ายมันยังปั่นไม่หายอยาก เลยปั่นเที่ยวกลางคืนที่พระบรมรูปที่ราชดำเนินซะเลยเพราะวันก่อนมั่วแต่จะส่งพวกพี่ๆ 13เสือกลับเลยไม่ได้เที่ยวแถวนี้เลยก็ปั่นวกวนไปทั่วเมือง ออกจากราชดำเนืิน ทะลุไปสะพานพระราม8 ถึงแยกบางยี่ขัน วิ่งกลับปิ่นเกล้า ลงวนรอบสนามหลวง วกกลับออกทางวังหลัง เข้าแยกบ้านหม้อ ออกไปสะพานพุทธ เลยตรงไปวงเ้วียนใหญ่ วิ่งเลยไปดาวคะนอง จนเข้าเส้นทางกลับบ้าน สรุปปั่นตั้งเยอะ ใช้เวลาเริื้มจากสองทุ่มกลับบ้านเอาห้าทุ่ม สบายใจ นอนหลับฝันดี

สรุป

Level Beginner C (Dst 1130km/1200km)

ประสบการณ์
51.อย่าถ่ายรูปวิวริมทางขณะปั่นรถถ้าจำเป็นต้องถ่ายจริงๆให้หยุดรถแล้วจอดให้ในสุดถนนๆ หรือยกขึ้น ขอบทางไปเลยปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า

--------------------------------------------------------------------------

โหว...!! บางปูแค่นี้เองรึเนี้ยอยากมาตั้งนานแค่นี้เองโธ่...!! (Quest No.12)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 14 ธันวาคม 2010 เวลา 23:31 น.

เช้าวันจันทร์(10:30)หลังจากเพิ่งกลับจากการเที่ยวตะลอนๆมาทั้งคืนก็กะว่าวันนี้คงจะหยุดพักเพราะงานไม่มีทำวันนี้กำลังนอนเรื่องปั่นเหมือนคืนอยู่คิดว่าเรานี่ก็ไปทั่วเลยเน๊ํอะ หมดที่จะปั่นแล้วมั้ง แต่แล้วก็มีคำๆนึงดังขึ้นมา "บางปู ๆ ๆ" เออใช่ เควสที่ค้างไว้นานมาก ไปไม่ถึงสักทีมีอุปสรรคขัดขวางตลอด คิดได้อย่างนั้นก็นอนต่อไม่ได้แล้ว ก็ลุกออกไปอาบน้ำเตรียมตัวเดินทางเลย วันนีถอดอุปกรณ์พ่วงออกหมด มีแต่ตัวล้วนๆ เบาขึ้นหน่อย เอาแค่ป้ายติดรถเหนียบหลังอันเดียว ล้อหมุนตอน11โมงแต่ออกไปได้นึงเดียวที่เหนียบไว้มันหลุดไปถูกับยางหลังเลยจอดรัดมันใหม่ ก็จังหวะมีคนมาทักถามว่ารถเป็นอะไรก็คุยกับเค้าสักพักก็ถึงรูปว่าเป็นนักปั่นเหมือนกันอยู่แุถวนี้ไม่มีกลุ่มปั่้นกันอยู่สามสี่คนเองก็เลยว่าเจอกันจะได้ชวนกันปั่นแต่พอแยกมาก็ลืมขอเบอร์เค้าไว้เลยไม่รู้จะติดต่อกันยังไงเลยก็ไม่เป็นไรมั้งปั่นแถวเดียวกันเดียวก็เจอกันหน่ะ ก็ปั่นไปถึงท่าน้าพระสมุทรเจดีย์ ข้ามเรือไปที่นี่เรือข้ามเล็กไปหน่อยต้องยกเจ้าเบนโตะไปไว้ข้างเครื่อง คำนวนว่าถ้ามาเป็นกลุ่มวางรถได้แค่8-10คันเอง ข้ามได้ก็วิ่งเส้นสายลวดออกสุขุมวิท ไปได้สักสิบกิโลมั้งก็เจอที่เที่ยวอีกที่นึง เมืองโบรา่ณเคยมาสมัยเด็กๆมองนาฬืกาก็เพิื่งเที่ยงกว่าๆก็เลยเลี้ยวเข้าไปกะว่ามีรถจักรยานปั่นเที่ยวสักสองชั่วโมงก็ยังได้เข้าไปก็เก็บรูปด้านนอกแล้วก็จะเข้าไปซื้อบัตรผ่าน คงประมาณ50บาทหน่ะ แต่พอถึงเคาท์เจอค่าบัตรไป200ต่อคน มีรถไปด้วยก็เท่าเดิม(หง่ะ)เพราะจริงๆราคาบัตรเข้ามันบวกจักรยานให้ด้วยต่อคนหรือจะเลือกนั่งรถโค๊ดเล็กๆ12ที่นั่งก็ได้คิดราคาก็ถือว่าไม่ถูกไม่แพงนะ แต่ว่าไม่เข้าดีกว่า200เกินไปสำหรับการปั่นโฉบไปโฉบมา แต่ถ้าพาแฟนมาเที่ยวด้วยก็ว่าไปอย่างยังนึกถึงสมัยเด็กๆมาทั้งชั้นเรียนเข้ามาได้ไงหว่าสมัยนั้นบัตรคงไม่แพงขนาดนี้มั้ง ตอนนี้มีแต่ทัวส์ต่างชาติกะคู่รักคนไทยนิดหน่อย(วันธรรมดาด้วย)ก็เลยออกมากลับไปที่ตั้งใจจะไปดีกว่า ปั่นได้สักพักเดียวก็มองไปทางขวา สถานตากอากาศบางปู...!!? เอ้ยถึงแล้วรึเนี้ยมองหน้าปัดบอกระยะ 28กิโลเอง โหว..ทำไมมันใกล้ขนาดนี้เนี้ยยังปั่นเพลินๆอยู่เลย ก็เข้าไปเก็บภาพไปตามเรื่องแต่ที่นี่ยอมรับเลยว่าถ้าอยากดูนกนางนวลบินกันแบบชนหัวเลยต้องที่นี่หล่ะ(เยอะมากกก)ปั่นจนสุดทางก็ถึงร้านอาหารก็ลังเลเหมือนกันเข้าไปดีมั้ยหว่ะ ร้านแบบนี้ฟันยับแน่แล้วรถหล่ะจะจอดไว้ไหน ดูไม่สะดวกเลย แต่จังหวะพอดีก็เห็นตู้น้ำเย็นเลยเข้าไปซื้อน้ำสปอนเซอรกินก่อนดีกว่า.. 12บาท!! ก็ไม่แพงกว่าปกติเท่าไรเลยคุยกะคนขายน้ำว่าถ้าจะเข้าไปกินข้า่วข้างในรถจะจอดไว้ไหนได้ เค้าก็มองรถแล้วก็อนุญาติให้เอาเข้ามาจอดข้างตู้ไอติมวอลล์ก็ได้ ใจดีมากเลย เพราะดูสถานที่แล้วถ้ามากันเยอะๆจอดไม่้ได้อยู่แล้วนี่คันเดียวเค้าเลยอนุโลมให้ก็เข้าไปนั่งที่ร้านอาหารเด็กก็เอาเมนูมาให้ก็เริ่มสำรวจราคาว่าจะหนักแค่ไหนก็สรุปคราวๆว่าถูกสุดคือข้าวผัดปูหรือข้าวผัดรวมมิตรทะเล60บาทต่อจานเป็นโถ่ก็120 เมนูทั่วไปพวกต้มพวกยำพวกนึงก็อยู่ที่120-250ก็ปานกลางๆก็สั่งข้าวผัดรวมมิตรทะเลมากิน(กะอยู่แล้วชิมิ๊)น้ำเปล่า12บาทขวดนึงกะจะออกไปเอาน้ำที่รถแร้วกัวเด็กมันมองไม่ดี12บาทเองก็เลยยอมๆจ่ายไป(ปกติจะเอากระติกน้ำมาดื่มด้วยแถมขากลับขอน้ำเติมอีกต่างหาก)เบ็ดเส็ดจ่ายเงิน72บาทก็โอเค ข้าวผัดน้อยไปหน่อย แต่มีกุ้ง8ตัวมีปลาหมึก4ชิ้นเนื้อปูโรยหน้ามาเยอะเหมือนกันรสชาติก็ธรรมดาๆนะ วิวก็งั้นๆนะมองเห็นได้ไม่กว้างเท่าไรแต่เดินออกไปนอกสุดได้ไม่มีโต๊ะตั้ง หรือมันยังบ่ายกว่าไม่รู้อาจตั้งโต๊ะตอนเย็นๆก็ได้เพราะเวลานี้แแดดร้อนมากถ้ามีโต๊ะตั้งตอนเย็นบรรยากาศจะดีมากเลยสรุปว่าก็ให้สามดาวครึ่ง

(เอ๊ะนี่ตรูเป็นพวกตะเวณชิมไปตั้งแต่เมื่อไรหว่า)ออกมาก็ตรงดิ่งจะกลับบ้าน แต่มันรู้สึกว่าน้อยมากๆเลยวันนี้ยิ่งนึกถึงพวกพี่ๆที่ปั่นกันมาเป็นร้อยๆโล แค่นี้มันเด็กไปนะว่าแล้วก็เซ็ตทา่งใหม่ไปไหนดีหว่า..ไปหาเพือนที่ออฟฟิตแถวด่วนรามอินทราก็แล้วกันว่าแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นไปไม่ได้่ดูระยะทางด้วยไม่รู้หล่ะรู้อย่างเดียวว่าจะไปที่ไหน ก็กลับเส้นสุขุมวิท ตรงเข้าสรรพาวุธทะลุไปบางนาเลี้ยวไปทางอ่อนนุชแล้วเข้าทางเอกมัยตรงไปทางแยกถนนพระรามเก้าแล้วก็เลยไปที่เส้นทางด่วนรามอินทราก็ถึงไว้มากแฮะ สี่โมงกว่าเอง(เพิ่งรู้การปั่นโดยไม่้วัดระยะเนี้ยมันรู้สึกเร็วเหมือนกัน ถึงออฟฟิตเพื่อนมันก็งงๆกันเพราะหายไปนานไม่ได้ติดต่อกันเลยเปลี่ยนเบอร์ก็ไม่ได้บอกใครอยู่ได้ถึงสองทุ่มก็ออกกลับบ้านแต่ทา่งกลับกับปั่นผิดทางขึ้นทางด่วนไปลงราชปรารถโน้น เลยแวะกินข้าวมันไก่ประตูน้ำมันซะเลย (สบายท้องไป)ทางกลับก็กลับเส้นเวิรด์เทรด ตรงไปสวนลุม ตรงต่อไปสีลม แล้วก็ออกสาทร(เส้นต้องห้ามทั้งนั้น)แล้วก็ลงสายในเจริญนคร เข้าแยกบุคโลตรงกลับบ้าน เหอะๆ สรุปว่าวันนี้ปั่นเส้นทางมั่วไปหมด แต่ก็หนุกดีถ้าวางแผนนี่คงไม่ได้เส้นทางขนาดนี้ นี่เล่นปั่นตามอารมณ์นึกก็ดีไปอีกแบบเหนื่อยนิดหน่อเหงื่อชุ่มเลย คุ้มนะวันนี้ ได้ไปที่อยากไปได้ไปต่อที่ว่าจะไปอยู่วันต่อไปไม่รู้จะไปไหนแล้วเริ่มตันๆแล้วสิเรา เฮ้อออออ..... จบดีกว่า

สรุป

Level Beginner ฺB (Dst 1280km/1400km)

ประสบการณ์
52.บางสิ่งเราอาจจะตีว่ามันอยากลำบากมากก็ได้แต่พอเอาเข้าจริงๆกลับเล็กน้อยกับที่ผ่านมาก็มี
53.ธรรมชาติที่สวยงานต้องแลกมาด้่วยการรักษาที่ดีนะ บางอย่างอาจจะเปลี่ยนไปตามเวลา ถ้าเราไม่รักษามันให้ดี
54.การวางแผนการเดินทางเป็นเรื่องที่ดีแต่บางทีก็ตามใจตัวเองมั่งก็ได้ ถือว่าถึงแม้จะเหนื่อยแต่ได้กลับมาก็คุ้มค่่าว่าเราทำได้ ทั้งถ้าคิดวางแผนเนี้ยไม่ทำแน่นอน ยืดหยุ่นอ่้ะยืดหยุ่นเข้าใจม่ะ

--------------------------------------------------------------------------

เตรียมตัวทัวส์อุบล บุกรังเสือซิงซิง เริ่มจากการหาข้อมูลเดินทางก่อนแล้วกัน

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 16 ธันวาคม 2010 เวลา 22:42 น.

หลังจากกลับจากบางปูก็เริ่มตันๆกับตัวเองหลังจากทำงานไปอังคารปกติ พอเช้าอีกวันไม่รู้จะไปไหนดี ตื่นมาก็ไม่ได้มีแผนจะออกไปไหน อีก ก็เลยมีเวลาลุกมานั่งเล่นคอมอย่างเต็มที่ ก็เข้าไปอ่านพวกเว็บชวนปั่นว่ามีใครอยู่แถวบ้านเราชวนปั่นบ้าง มีน่าสนใจก็งานนึง 23 มกรา กรุงเทพ-หัวหิน (น่าสนแฮะ)แต่นานจัด เลยเก็บไว้ก่้อน หมดเนื้่อหาก็เลยลองเข้าไปดูเว็บของ อุบลMTB บ้างก็เห็นกระทู้เกี่ยวกับงานที่ผ่านไปมาหมาดๆ รูปพี่ๆเสือยืนกันครบ(จริงๆเราอยู่ข้างหลังแหล่ะแต่ก้มแอบอยู่ กลัวไปติดภาพเค้า)ก็เลยสมัครเขียนแนะนำตัวไปในเว็บบอร์ด แล้วก็เข้ากระทู้งานทักทายไป สักพักก็มีพี่จิรกรตอบกลับมาอย่างว่องไวและชวนไปงานวันที่25จริงๆพี่น้อยชวนไว้ก่อนหน้าแล้วยังชั่งๆใจอยู่อยากไปก็อยากนะแต่ไม่มีข้อมูลที่นั่นเลย ก็เลยลองถามวิธีการไปดูจะได้คะเนถูกว่าไปดีไม่ดี (ลำบากไม่้กลัวหรอกกลัวเป็นภาระที่ต้องให้เค้ามาดูแลตอนรับ)ก็สรุปว่ามีรถทัวส์กับรถไฟ นึกไปนึุกมาตกตอนเย็นเอาว่ะว่างๆออกไปสำรวจเส้นทางกับระเวลาเดินทางจากบ้านไปหัวลำโพงดีกว่า ว่าแล้วพอมืดหน่อยก็ออกเลย(ทุ่มครึ่ง)เด็วนี้ชักชอบปั่นกลางคืนแล้ว เย็นสบาย รถน้อย ควันพิษน้อย แดดก็ไม่มี ก็ใช้เวลา40นาทีถึงหัวลำโพง ปั่นเส้นสะำพานกรุงเทพออกเจริญกรุง ไปสุดถนน (หลงไปโอเดียนนิดนึง)ปั่นแบบสบายๆนะไม่รีบ ถึงนั่นก็หาของมูลรถแล้วก็คุยกับเจ้าหน้าที่ว่าถ้าเอาจักรยานขึ้นไปด้วยต้องทำยังไง เค้าก็บอกว่าต้องเตรียมตัวก่อนรถออกหนึ่งชั่วโมง เำพื่อชั่งน้ำหนักและจ่ายค่าระวางของ ได้ของมูลเรียบร้อยก็ว่าจะตั้งใจปั่นไปหมอชิตอีกที่เพื่อหาข้อมูลการไปเหมือนกับที่นีั่ แต่ปั่นสักพักก็เปลี่ยนใจวนๆไปแถวจุฬาแอบไำปดู สมาคมจักรยานเพื่อสุขภาำพไทย ก็หลงหลายซอยเหมิอนกัน เพื่งรู้ว่าจุฬาซอยเยอะัมาก40กว่าซอยพอถึงเค้าก็ปิดพอดี ก็เลยกลับขากลับก็กลับเส้นทางใหม่ แวะเที่ยวเรื่อยเปือย ไปวงแหวนโอเดียน เยาวราช หลังกระทรวง เดินเล่นอยู่พักใหญ่กินข้าวกินปลาแถวนั่นไปมื้อนึง เดินดูของ แล้วก็กลับมาเส้นสะพานพุทธ แล้วก็วิ่งเส้นวงเวียนใหญ่ (เด๋วนี้ชอบกลับเส้นนี้แล้วไม่อยากไปเจริญนครมันมืดๆเหงาๆไงไม่รู้) ก็จบโปรเจกการสำรวจการเดินทางไปอุบล สรุปว่าต้องออกจากบ้านก่อนสองชั่วโมง เพื่อขึ้นรถไฟ แล้วก็ซื้อตั๋วล่วงหน้าด้วยก่อนสามวันเท่ากับว่าต้องซื้อตัววันที่20ถ้าจะไป เอาไงดีหน๋อไปไม่ไปดีันะ ........... คิดไปคิดมาจนหลับไปเลย คร๊อกกกก...zzZZZZZZZZZZZZZZZ

สรุป

Level Beginner ฺB (Dst 1320km/1400km)

ประสบการณ์
55.การจะไปไหนให้เตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ศึกษาเส้นทางพร้อมระยะทางและัระเวลาให้ดีเพื่อคำนวนเรื่องอื่นๆต่อไป
56.ถ้าไม่มีไรทำก็หาข้อมูลจากเว็บไซด์ก็ได้เพื่ออัฟเดทข้อมูลนักปั่นอาจมีบางทริปที่น่าจะร่วมด้วย แล้วเราไม่ดูให้ดีุถึงวันแล้วจะเสียใจทีหลังถ้าไม่ได้ไปมีส่วนรวมกะเค้า

--------------------------------------------------------------------------

ขอมาก็จัดให้ สวนหลวง ร9 เหรอชิวชิว.(Quest No.13)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 16 ธันวาคม 2010 เวลา 23:42 น.

หลังจากเมื่อวานที่ไม่รู้จะไปไหนดี เจ้าน้องลูกหมี(ที่ห้อยอยู่ใต้อาน)ก็ท้วงมาว่า สวนหลวง ร.9ไงยังไม่ได้ไปเลยนะลองไปดูสิ แล้วไฟที่สองห้างแถวนั้นก็ก็จัดสวยดีด้วย ฟังน้องลูกหมีพูดยังงั้นก็เลยโอเคบ่ายวันนี้เด็วเราไปกัน แต่ว่าไม่ออกไปช่วงเช้าหรอกร้อนแล้วก็ระยะไม่ไกลมาก แถมยังต้องถ่ายรูปไฟหน้าห้างตอนกลางคืนอีก ไปเย็นๆดีกว่า พอสามโมงครึ่งก็ออกเดินทางใช้เส้นทางไปพระประแดง บางกอบัว แล้วก็ออกไปทางสายวัดบางน้ำผึ้ง ขึ้นเรือข้ามฟาก(ที่นี่รถมอไซดจักรยานข้ามไปสะดวกนะ)ก็ขึ้นทางสรรพาวุธ แล้วก็ออกแยกบางนาตรงไปหน่อยเดียวก็แยกศรีนครินท์แล้วง่ายมากถึงสวนหลวง หนึ่งชั่วโมงพอดีเสียค่าเข้า10บาท ก็เดินถ่ายรูปในนั่นไป(เค้าห้ามปั่นข้างใน)เดินไปหนึ่งรอบคนวิ่งออกกำลังกายเยอะดีแต่ไม่มากเท่าจตุจักร ก็ดีนะน่าอยู่แถวนี้แต่ว่ายุงดุไปหน่อยพอๆกันป้อมพระจุลฯเลย เดินจนใกล้ค่ำก็ออกมามองนาฬิกาเวลาเหลืออีกชั่วโมงกว่าไฟจะเปิดแล้วเลยแวะไปห้างซีคอนแวะหาอะไรกินดีกว่าว่าแล้วก็ไปห้างแล้วก็หาที่จอดรถก็ได้ที่จอดชั้นใต้ดินหน้าป้อมจุดตรวจพอดียามใจดีให้จอดได้ใกล้ป้อมเลย(เหมืิอนมีคนเฝ้าไปในตัว)ก็เดินขึ้นห้่างแล้วก็เข้าไปกินโออิชิบุฟเฟ่ชั้น4 ก็ใช้เวลากินไม่นานชั่วโมงเดียวก็จุกแล้วกินต่อไม่ไหวนั่งพักอยู่ตั้งนานจดเกือบหมดเวลาก็ลุกกลับมา ลุ้้นอยู่ว่าจักรยานจะหายมั้ย มาถึงมันก็อยู่สภาพเดิมพี่ยามใจดีก็เฝ้าอยู่จุดนั่นเหมือนเดิมยอดไปเลยวันหลังมาจอดตรงนี้ได้เสมอแน่ สะดวกดีใกล้ลิฟใกล้ยามใกล้ทางออก แต่ตอนขึ้นทางชันเพื่อออกนอกห้างแทบจะจุกตายเพราะกินมาจนแน่นแล้วต้องออกแรกปั่นขึ้นทางชันสองชั้น(จอดชั้น บี2)แทบตาย ออกมาก็ถ่ายรูปหน้าห้างทั้งสองห้างเส็ดก็คิดแผนการกลับ เพิ่งมาคิดดูสิ ก็เลยเลือกทางอ่อนนุชออกกล้วยน้ำไท ไปท่าเรือออกกรมศุลฯแล้วก็เลี้ยวซ้ายทางตลาดปีนัง ตรงออกพระรามสามเข้าสะพานกรุงเทพ ก็ถึงทางกลับบ้านแร้ว ขากลับหลายซับหลายซ้อนหน่อย กัวเรือข้ามฟากหมดเลยกลับทางเส้นใหญ่ดีกว่า ได้ระยะด้วย ถึงบ้านก็สามทุ่มกว่า กินไรไม่ลงแล้ว เตรียมตัวนอนดีกว่า

สรุป

Level Beginner ฺB (Dst 1360km/1400km)

ประสบการณ์
57.อย่าลืมตัวว่ากินมาเยอะัแล้วรีบออกแรงปั่นเลย จุกเอาได้ง่ายๆนะ ที่กินมาจะสำลักออกมาเลย

--------------------------------------------------------------------------

ร่อนเร่ทั่วไปเสียดายไม่มีส่วนร่วมสองงานเลย

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เวลา 0:06 น.

หลังจากไป สวนหลวง ร.9 ก็ไม่ได้ปั่นอะไรเป็นหลักแหล่ง ปั่นไปซื้ออาหารแมวแถวพระประแดงบ้าง ไปเรื่อยเปื่อยแถวพระสมุทรเจดีย์ ขากลับก็เลยออกไปสนามหลวงไปหาซื้อของจุกจิกแถวหลังกระทรวงทำแบบนี้อยู่ประมาณสองสามวัน วันอาทิตย์ก็นอนซะัยาวไม่ได้ออกไปไหนนอนพักซะนี่ บ่ายก็ออกไปดูหนังกลับมาก็ดึกนึกหน่อยก็ปั่นแบบเดิมต่อจนวันจันทร์นี่มานั่นดูเว็บแสนจะเสียดายสองกิจกรรมที่ตัวเราเองไม่น่าพลาดไม่รู้อ่านข้ามสองทริปนี่ไปได้ไงกัน คือ งาน Ride For King ชาวจักรยานระบายสีชมพูบนถนนอุทยาน และ งา่นปั่นรณรงค์สุขภาวะทางเพศ กับอีกงาน ร่วมทดสอบ Infinite ทริป พระราม2 - อัมพวา ดูรูปทริปแต่ละงานแล้วเสียดายมาก น่าไปมีส่วนรวมจริงๆเสียดายๆ หลังจากดูเว็บ ก็เลยไปลงข้อมูลที่เว็บ ubonว่าไปบุกที่นั่นแน่นอน แต่ถามหาเพื่อนร่วมทางไปซะหน่อยก็สรุปว่ามีลุงพีของกลุ่ม70ยังแจ๋ว(Cool 70)กำลังจะไปวันที่เราไปพอดี ก็จดเบอร์ไว้กะว่าเดี่ยวพรุ่งนี้จะโทรไปนัดแนะเวลาไปกันเพราะไม่อยากให้ทา่งพี่ๆที่โน้นต้องออกมารับสองรอบ ไปพร้อมกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เหงาด้วย มีเ้พื่อนแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันบนรถไฟ ตกเย็นก็ยังปั่นเหมือนเดืิม พระประแดง พระสมุทรฯ แล้วก็สนามหลวง กลับมาก็กะว่าพรุ่งนี้จะตื่นเช้าซะหน่อยอยากลองปั่นตอนเช้าๆบ้างเพราะตั้งแต่ออกรถมาไม่เคยปั่นช่วงเช้าชมบรรยากาศอาทิตย์ขึ้นเลย ตอนลองซะหน่อยแล้วพรุ่งนี้

สรุป

Level Beginner ฺA (Dst 1440km/2000km)

ประสบการณ์
58.อย่าเอาแต่นอนมากเกินไปก่อนนอนให้เช็คทริปต่างๆในเว็บให้ดีๆ เพราะบางทริปจัดปีละครั้งเท่านั้น พลาดแล้วจะเสียดายมาก
59.เตรียมตัวให้พร้อมไำว้เสมอบางทริปอาจจะไม่ได้ตั้งตัวเลยก็มี เตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ้นๆ
60.อุปกรณ์ที่พกพาำไปด้วยผูกมัดให้แน่น บางที่อาจร่วงหล่นโดยเราำไม่รู้ตัว พอหายไปแล้วจะเสียดายและเสียเ้วลาที่ต้องไปมาซื้อใช้อีก

--------------------------------------------------------------------------

เอาหล่ะวันนี้มาลองปั่นกันช่วงเช้ากันบ้าง ดูซิบรรยากาศจะสู้กลางคืนได้มั้ย(Quest No.14)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 22 ธันวาคม 2010 เวลา 0:39 น.

ก็หลังจากกลับมานอนเดรียมตัวว่าจะตื่นตอนเช้า กะจะปั่นไปท่าน้ำพระประแดง ในใจก็นึกอยากลองกินโจ๊กกับปาท่องโก๋ ช่วงเช้าดูน่าจะมีความสุขมิใช่น้อย นั่งกินไปดูพระอาทิตย์ท่าน้ำไป ปลื้มมมม อยากตื่นๆไวๆ พอช่วงเช้าจริงก็ลุกตั้งแต่ตีห้าเตรียมตัวออก ก็ปั่นออกไปปกติ ช่วงนี้ปั่นใกล้ๆไม่เกินร้อยโลจะใช้จานใหญ่แล้วเฟืองเบอร์กลางๆเพื่อให้ขาได้ใช้แรงมากขึ้นเป็นการฝึกออกกำลังขาไปในตัว พอถึงท่าน่ำพระอาทืตย์ยังไม่ขึ้นก็หาร้านโจ๊กกินซะหน่อยกะจะเลือกบรรยากาศเห็นพระอาทิตย์ไปด้วยเก็บภาพไปด้วย แต่...เอ๊ะ ปั่นไปปั่นมาสองรอบมะมีใครขายโจ๊กเลยแฮะแุถวนี้ ตื่นกันก็เช้าจริงแต่ไม่มีโจ๊กเลย มีก๋วยเตี๋ยวกับข้า่วหมูแดงแล้วก็แกงปักษ์ใต้ ไรกันเนี้ยยยย จนมองฟ้าพระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้วก็เลยไปที่ท่าน้ำแล้วก็เ้ก็บภาพอย่างเดียวเพิ่งรู้นะเนี้ยว่าจริงๆแล้วตอนเช้ามันสวยงามจริงๆทั้งๆที่มันก็เป็นแบบนี้ทุกวันนิน่า อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะได้ลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้มั้ย สักอยากจะลองตื่นเช้าแล้วไล่ถ่ายภาพที่ๆเคยไปมาแล้วสิว่าจะแตกต่างจากเดิมมั้ย ก็ถ่ายไปเรื่อยจนแดดเริ่มมีก็เลยปั่นกลับด้วยความหิว สุขท้ายก็กลับมากินร้านโจ๊กหน้าตลาดร้านเดิมจนได้ เพราะปั่นตั้งแต่พระประแดงมาถึงบ้่านไม่มีร้านโจ๊กสักร้านจริงๆ(หรือว่้าเราไม่ดูให้ดีเอง)สุดท้ายพอกินเสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้านมานอนต่อเพื่อจะออกไปทำงานช่วงบ่ายต่อไป หลังจากหลับไปได้สักพักก็ตื่นขึ้นมาออกไปทำงาน ถึงที่ทำงานก็โทรหาลุงพีเพื่อจะนัดแนะเค้าว่าจะจองตัวกี่โมงดี แต่พอรับสายปรากฏว่าทางลุงพีเค้ายกเลิกทริปไปอุบลไปลาวกระทันหันเพราะหัวหน้ากรรมการกลุ่มเสียชีวิตเสียก่อน ไม่ทันได้ไป ก็ต้องยกเลิกที่นัดไว้ทั้งหมด ก็สรุปว่าช่วงเย็นก็ต้องออกรถปั่นมาซื้อตั๋วเองตามเวลาได้ก็ได้ตามสะดวกเราแล้วก็เลือกช่วงเวลา20.30 เพราะถึงโน้นเจ็ดโมงเช้าไม่ทำให้พวกพี่เค้าลำบากต้องออกแต่เช้ามากนัก ขากลับก็ปั่นแวะสนามหลวง สะพานพุทธเส้นทางเดิมๆเหมือนเดิมที่ปั่นมาช่วงนี้เลย ชักเบื่อแล้วสิกลางคืนเนี้ย หรือว่าเราเปลี่ยนมาปั่นเช้าเลยดีกว่ามั้ง

สรุป

Level Beginner ฺA (Dst 1490km/2000km)

ประสบการณ์
61.สถานที่เดิมๆใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ลองเปลี่ยนช่วงเวลามาสิ มันอาจจะแตกต่างทั้งความรู้สึกและบรรยากาศที่ได้รับก็ได้
62.พยายามผูกมิตรกลับหมู่จักรยานด้วยกันไว้เสมอ อย่างเลือกแค่ว่าเค้าไม่ปั่นรถแพง หรือ เค้าไม่แต่งชุดนักปั่น เพราะบางทีเค้าก็เป็นนักปั่นด้วยใจเหมือนกับเราก็ได้
63.ช่วงนี้ปั่นผาดโผนเยอะขึ้นปีนฟุตบาท ย้อนศร ผ่าไฟแดง ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ
ไฟล์แนบ
poo8-tile.jpg
poo8-tile.jpg (118.76 KiB) เข้าดูแล้ว 1339 ครั้ง
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 25 ม.ค. 2012, 12:00, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

เยือนรังเสือซิงซิง กับประสบการณ์สุดประทับใจ(ตอนที่1)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 7 มกราคม 2011 เวลา 22:12 น.

หลังจากเตรียมตัวมานาน(ย้อนกลับไปดูของเก่าแต่ละอันเราขึ้นต้นว่า หลังจากเกือบทุกอันเลยแฮะ)ก็ได้ไปอุบลซะที เลิกงานเส็ดก็รีบกลับบ้านเตรียมของที่จัดไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน ผูกกับสัมภาระอันใหญ่โตไว้หลังรถ ตลอดทางขาไปก็กลัวว่าของจะหล่้นเสียให้ได้เพราะเป็นครั้งแรกที่ใช้เป้เดินป่ามาใส่ตะแกรงเอาเพื่อให้ได้มีเนื้อที่รับน้ำหนักมากขึ้น แต่พอเอาเข้าจริงระหว่างทางพอเจอหลุมก็สะดุดแล้วตัวยึดก็ขาดทันที!! ตกใจแทบแย่ทำให้รถสะบัดอยู่นิดนึงแต่เป้ยักษ์ไม่หลุดไปเพราะผูกกับหลักอานไว้อีกชั้น ก็ต้องลงมาแล้วมัดใหม่ กว่าจะถึงก็ระวังไปตลอดทาง เพราะผูกแค่ชั่วคราวไปถึงหัวลำโพงก็ต้องแกะอยู่แล้ว(เลยสับเพร่าไป) พอถึงหัวลำโพงก็แก้มัดแล้วก็นำรถไปขึ้นระวางคิดค่าขน90บาทแล้วก็เอาไว้ตู้สัมภาระด้านหน้า เส็ดก็ถึงมาหาตู้นอนของตัวเอง เดินไล่ตู้ก็ยังลุ้นๆอยู่ว่าจะได้นอนตู้คู่กับใคร เพราะตลอดทางมีสาวๆน่ารักทั้งนั้นเลยกลับขบวนนี้ พอหาที่นั่งตัวเองได้ ก็ได้นั่งกะสาวจริงๆ เป็นคุณยายอายุน่าจะเกิน65 มากลับหลายชายกำลังซนสองคน -*- (ฝันสลายนึกว่าจะได้จ้อกะสาวเมืองอุบล วอลม์ก่อนถึงซะอีก) ไอ่เราพอเห็นทึ่จะขึ้นไปบนเลยก็ใช่ที่ เพราะไม่อยากจะปีนขึ้นไปทับหัวแก เลยเดินออกมานั่งเล่นข้างล่างรอรถออก พอถึงเวลารถออกจริงก็ยังขึ้นไปบนไม่ได้อยู่ดีคุณยายแกยังนั่งดูหลานๆแกอยู่ เลยต้องไปนั่งตู้สัมภาระก่อนเอาของที่เตรียมไว้มานั่งกิน (ไข่เจียวราดข้าว) กว่าจะได้ก็ดึกพอสมควร ช่วงนั้นก็มีพี่น้อยโทรมาเช็คว่าขึ้นรถรึยังถึงกี่โมง ก็บอกพี่แกไปว่าน่าจะถึง เจ็ดโมงครึ่ง ก็รับทราบกันไปเพราะกลุ่มเสือซืงซิง ต้องมารับกลุ่มชมรม Cool70 ตอนตีสามกว่า เค้าออกไปล่วงหน้าเรา ตั้งแต่หกโมงเย็นแล้ว ก็ขอพักเอาแรงสักหน่อยแล้วกันไม่รู้พรุ่งนี้่จะต้องเจอกับอะไรบ้าง ต่างถิ่นแล้วก็มาคนเดียว ไม่รู้จักใครเลย เจอคนที่จะไปหานี่ก็แค่ครั้งเดียว เค้าจะตอนรับเราดีมั้ย จะเป็นยังไงกันนะ เราต้องทำตัวยังไง คิดวนไปวนมาจนหลับไป และแล้วก็ถึงช่วงเช้าตื่นตั้นแต่ตีห้าแล้วก็พลิกไปพลิกมา นอนไม่หลับ จนถึงสว่างเลยคิดได้ว่าเราน่าจะถ่ายรูปอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย เลยรีบลุกลงมาล้างหน้าล้างตาแล้วก็ออกไปนั่งเล่นที่ตู้เสบียง ภ่ายรูปไปมาอย่างสนุกสนาน (บ้าอยู่คนเดียว)จนพี่น้อยโทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว (ตามงานดีจังคนนี้) เราก็มองไม่ออกว่าที่นี่ที่ไหน จำได้ว่าเพิ่งผ่านศรีษเกศมา ก็เลยบอกไปอย่างงั้นพี่เค้าก็คำนวนเวลาว่าน่าจะถึงเกือบๆแปดโมง แต่เอาเข้าจริงถึงก่อน ถึงอุบลฯก็เจ็ดโมงสี่สิบช้าไป สิบห้านาทีเอง แต่พอถึงท่าถึงกลับตะลึง อุเเม่เจ้า..!! ทำไมพวกนักปั่นเต็มท่ารถไฟเลยนั่น 30กว่าคน เราลงมาก็ลากเป้แล้วเดินมาตู้หน้าเพื่อเอาเจ้าเบะโตะลงจากตู้ กลุ่มนักปั่นก็โบกมือมาทางเราแล้วตะโกนว่ามาแล้วๆ คุณทีมาแล้ว ยิ้มดีใจกันใหญ่ (โหวมาตอนรับกันขนาดนี้เลยรึเนี้ย เท่มากๆตอนนั้น) ก็เจอกลุ่มพี่ๆเสือซิงซิงที่ไปงานหลายคน แล้วก็คนของเสือซิงซิงอีกหลายท่าน ก็ไต่ถามกันสักพักก็ถึงรู้ว่า มีพวก Cool70 อยู่ด้วย เพิ่งถึงก่อนหน้าเรา20นาทีเอง (ออกก่อนเรา 3ชั่วโมง หุหุ)ก็เลยอยู่รอรับเราไปด้วยเลย ทำให้คนเยอะขนาดนี้ แล้วก็เจอพี่น้อยแกก็ถามว่าจะนอนที่ไหนแกเตรียมห้องพักเอาไว้ให้ เราเองก็ตั้งใจมากางเต็นท์ เลยขอพี่เค้าไปว่าอยากนอนเต๊นท์มากกว่า พวกพี่ๆก็ปรึกษากัน จนสรุปว่าให้นอนกับลุงที่ชมรมคนนึง เพราะหน้าบ้านแกมีศาลากางเต๊นท์ได้ เสร็จก็เริ่มเคลื่อนย้ายกันไปหาอาหารเช้ากินกันพร้อมกลุ่มชมรมCool70 กลุ่มนี้นี่ไม่ธรรมดานะ มีตำรวจมาดูแลให้่ตลอดทางข้ามไปลาวเลย(ทริปเค้าจะไปปากเซกัน)ใจก็อยากไปด้วย แต่ว่าเรามาตามคำเชิญของชมรมเสือซิงซิง ต้องเอางานหลักก่อนไปลาวเด็วค่อยจัดทริปไปใหม่ กินอาหารเสร็จก็ถ่ายรูปร่วมกันแล้วก็ไปส่งช่วงนึงแล้วแยกย้ายกัน เป็นสองกลุ่มเราอยู่ พวกพี่ๆก็ปั่นนำหน้าแล้วก็ช่วยอธิบายสถานที่ตลอดทาง งานอย่างแรกคือต้องไปเยียมประธานชมรมก่อน เพราะเราเป็นแขกมาเยียมชมรมนี่ก็ต้องมาเจอประธานก่อนเพื่อแนะนำทักทายกันก่อน แต่ทางผ่านก็เลยแวะบ้านลุงคนนึง ชื่อลุงใหญ่ เค้าอยากให้เราแวะบ้านเค้ากินน้ำกินท่าซะก่อนดูแกกุลีกุจอเอาใจอย่างมาก (น่านับถือเลยหล่ะคนนี้เจอกันครั้งแรกก็รู้สึกได้)

คุยกันในบ้านก็ถึงรู้ว่า ลุงใหญ่นี่หล่ะผู้ก่อตั้งชมรมเสือซิงซิง รุ่นแรกแล้วก็เปลี่ยนประธานเพื่อให้คนอื่นได้เป็นบ้าง ด้วยสุขภาพลุงแกไม่ค่อยแข็งแรง ฟังจากอาการก็โรคคล้ายๆเรา แน่หน้าอกหายใจไม่ออก (นี่เราเป็นโรคเดียวกะคนอายุ74เลยนะเนี้ย)เลยคุยกันถูกคอเหมือนรู้ความทรมานของโรคนี้กัน พอหายเหนื่อยสักพักก็ย้ายที่ไปบ้านท่านประธานตามแผนเดิม เข้าบ้านไปก็เจอลุงน้อย ประธานชมรมเสือซิงซิงคนปัจจุบัน ลุงแกก็ออกมาต้อนรับอย่างดีเปิดเบียร์ให้กิน เราก็กินตามมารยาทไป(ปกติไม่กินนะของพวกนี้อ่ะ เลือกนานแร้ววว)ลุงน้อยก็เอ่ยปากชวนว่าให้มานอนพักบ้านแกก็ได้ มีห้องรับรองตอนรับอย่างดี แต่เรารับปากกับลุงอีกคนแล้วว่าจะไปพัีกกับแกจะโลเลก็ดูน่าเกียจเลยปฏิเสธลุงน้อยไป เค้าก็ยังกำชับว่า ถ้ามาคราวหน้าพาเพื่อนมาเที่ยวเป็นสิบๆ ก็ค่้อยมาบ้านลุงก็ได้ (ใจดีจริงๆ)พอสักพักก็พาไปบ้านลุงที่รับปากให้ที่พักตอนแรก ลุงคนนี้ชื่อ ลุงออม แกดูเ้ข้มๆดุหน่อย พูดน้อยจนแรกๆเราก็เกร็งบ้าง กลัวเหมือนกันว่าไปอยู่บ้านแกจะไปทำอะไรขัดหูขัดตารึป่าว ยิ่งสำเพร่าอยู่ด้วย เก็บข้่าวของกางเต็นท์ได้ที่พวกพี่ๆก็ให้ออกมาเพื่อไปดูชมรมเสือซิงซิง กัน มาถึงชมรมก็ไม่มีไรมากเหมือนกับเต๊นท์งานบุณแถวบ้าน แล้วก็มีกระดานประกาศ ด้านหน้าก็มีป้ายชมรม แต่สถานที่นี่สวยเลยอยู่ริมหนองน้ำ แล้วก็มีถนนวิ่งได้โดยรอบ เดินไปดูป้ายประกาศก็แอบยิ้มเล็กๆ เค้ามีบอร์ดสรุปงานที่ชมรมไปร่วมมาก็มีงาน 4ทิศที่ไปมา รูปที่ติดมีิอยู่สองรูปแต่ที่สำคัญเค้าเลือกรูปที่มีเรายืนยิ้มถ่ายอยู่ด้วย (ยังไม่รู้เลยไปถ่ายตอนไหน) สักพักก็ำพาไปกินอาหารที่ร้านๆนึงเค้าบอกว่าร้านนี้อร่อยมาก ถึงก็สั่งๆกันเลย แต่เ้มนูร้านนี้แปลกดีไม่มีอย่างอื่น มีปลาอย่างเดียว ก็มีต้มยำปลา ปลาทอดกรอบ ลาบปลา อันนี้อร่อยมาก หากินไม่ได้เลย ที่กรุงเทพ แล้วก็มีเบียร์กินแกล้ม (กินเบียร์อีกแระ) อื่มหน่ำกันก็แยกย้าย พี่น้อย(คนเดิม)ก็บอกว่าเดียวจะพาเที่ยววัดวัดนึง มาถึงนี้แล้วต้องไปวัดนี้ ก็พากันไปมี ไปกินสามคน ลุงใหญ่ กะ พี่น้อย แล้วก็ผมเอง ไปรถกระบะของพี่น้อยกันส่วนคนอื่นก็แยกย้าย กลับกันก่อน ถึงวัดก็สงบเงียบมากเป็นวัดที่หลวงปู่ชา เคยอยู่และมรณะภาพที่นี่ มีเจดีย์เก็บพระธาตุของหลวงปู่ ไว้ภายใน ลุงใหญ่แกนี่รับหน้าที่เป็นไกด์เลย อธิบายและเล่าประวัติจนรู้ ละเิอียดมาก พอเสร็จก็กลับบ้านลุงออมเพื่อที่จะพัก แต่พอถึงบ้านก็มีพวกชมรมมาแวะดูแขก(ผมเอง)ที่มาเยี่ยม ลุงน้อยประธานก็แวะมาคุยด้วย ลุงออมก็เอาเบียร์มาเปิดให้กินกัน(กินเบียร์อีกแย้ว) ว่าจะได้พักก็หมดไปหลายขวด สรุปว่ามานี่ยังไม่ได้ปั่นจักรยานเลย กินเบียร์ไปเกือบจะลังแร้ว ตั้งแต่มาตอนเช้า มื้ออาหารกลางวัน หลังบ่ายอีก มึนๆเมาหลับไปเลยแหะๆ ไว้ตื่นมาค่อยว่ากันนะ

-----------------------------------------------------------------------------

เยือนรังเสือซิงซิง กับประสบการณ์สุดประทับใจ(ตอนที่2)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 7 มกราคม 2011 เวลา 23:27 น.

หลังจาก(อีกแร้่วคำนี้)หลับไปได้สักพัก ก็ได้ตื่นมาอาบน้ำอาบท่าสบายตัว รอพี่น้อยเพราะ พี่น้อยก่อนแยกกันแกบอกว่าเด้วเย็นๆจะพาปั่นรถเที่ยวรอบเมือง ที่ๆแกปั่นออกำลังตอนเช้าเส้นทางสามกิโล แล้วก็อธิบายทางไปบ้านแกให้ฟังตั้งแต่ตอนแรกขากลับจากวัด พอถึงเวลาพี่ก็โทรตาม ลุงออมก็บอกอธิบายทางสั้นๆให้ฟัง ก็คิดว่าน่าจะัไปได้ไม่ยากอะไร แต่ก็สรุปว่าหลง แต่ไม่ไกลมาก เจอกันก็นั่งเล่นบ้านแกแป๊บนึง เห็นรูปแล้วก็ถ้วยรางวัลแก ชนะเลิศที่1 ในประเทศลาว โหวว(ไม่ธรรดาแฮะคนนี้)เสร็จแกก่อนนำปัี่น เราก็ปั่นตามไปเ้รื่อยๆจนออกเมือง บรรยากาศ ถนน แล้วรถดีมากๆเลย น่าปั่นกว่ากรุงเทพมาก มีทางขึ้นเนืิน ให้ลองเล็กๆน้อยๆตามเส้นทาง ปั่นได้ความเร็ว27-30 ตลอดทาง มีผ่อนบ้างตามแรงลมต้าน มีตอนข้ามเเม่น้ำมูลแวะถ่ายรูปนิดนึงภาพมันเหมือน วอเปเปอร์ที่เคยเห็นในเน็ต แต่ตอนนี้เจอของจริงเลย แล้วก็ปั่นต่อ พี่น้อยแกกะเวลาดีตั้งแต่เริ่มปั่น ว่าออกเวลานี้จะวนถึงชมรม หกโมงกว่าพอดี วิ่งทางเป็นวงกลมเข้าห้วยวังนอง แล้วก็ถึงหน้าชมรม ทักทายคนในชมรมตอนนี้เยอะแยะมากจำได้ไม่หมด แต่ทุกคนยิ้มทักทายกันดีมากเป็นกันเองกันหมด เห็นเรามาจากกรุงเทพอุตสามาร่วมงานวันพรุ่้งนี้ก็ยินดีต้อนรับกัน หลังจากแนะนำกันแล้วก็ฟังกำหนดเวลางานพรุ่งนี้ ก็คือ ตื่นเช้ามากทำบุณตักบาตรชมรม แล้วก็จัดหาอุปกรณ์แล้วก็ข้าวของเพื่องานเลี้ยงกลางคืนก็แยกย้ายกันกลับ บางส่วนก็มาร่วมตัวกันที่บ้านลุงออมเหมือนเดิม เปิดเบียร์กินกันต่อ(กินเบียร์กันอีกแย้ววววว)แต่ก็กินไปคุยกันไปได้พักเดียวก็แยกย้ายกันกลับ หมดไปสองสามขวด เพราะพรุ่งนี้ตอนตื่นกันแต่เช้าตักบาตรกัน อืมนอนพัีกเอาแรงจริงๆหล่ะคืนนี้ ว่าแต่วันนี้นี่มันช่างยาวนานจรืงๆเลยนะ เหมือนได้ทำอะไรมากมายหลายอย่างจริงๆคุ้มค่ามากๆกับชีวิต คิดไม่ผิดเลยที่มาลองชีวิตแบบนี้ดู
ต่อเลยแล้วกันนะพอนอนได้เต็มอิ่้ม ตีห้าก็ลุกอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวออกไปช่วยงานทำบุณเช้านี้คนเยอะมากที่มาร่วมกันทำบุณ พระท่านก็ให้พรกันทั่วหน้า เราก็เลยถ่ายรูปตามงานไปเรื่อยจนเสร็จงานพี่น้อยก็ชวนกันซื้อของมาทำกินตอนเย็นกันที่ตลาดก็ตามเค้าไปช่วยถือช่วยหิ้ว อยู่ในตลาดพ่อก็โทรมาถามทางแถวสมุทรปราการ คืิดว่าเรานอนอยู่ข้างบน(โหว..นี่ออกมา นอนอุบลฯคืนนึงที่บ้านยังไม่รู้เลย)ก็บอกว่าอยู่อุบลฯพ่อก็ยังงงว่ามาถึงที่นี่ได้ไง พอพี่น้อยซื้อของเสร็จก็เอาของไปทำกินที่บ้านลุงออม แวะไปหาพี่เปลด้วย หนึ่งในงานสี่ทิศ พี่น้อยก็บอกพี่เปลว่าทางกลุ่มเค้าจะให้เสื้อเราตัวนึงเป็นรางวัลที่ช่วยพวกเค้าคราวก่อนก็เลยให้เลือกเสื้อไปตัวนึง ก็กลับไปบ้านลุงออมต่อ ถึงโน้นก็ช่วยหันช่วยล้าง (จริงๆทำไมเป็ํนอ่ะ ทำมั่วๆไป)พออาหารเสร็จลุงก็ให้เอาเบียร์มากินกันกะของที่ทำ(เบียร์อีกแย้วเก้าโมงเช้า)คราวนี้เมนูก็มีแปลกๆทั้งนั้น ออมเพี้ย ลาบเลือด แล้วก็อะไรย่างๆนี่หล่ะ แปลกๆทั้งนั้น แต่เราก็กินทุกอย่างทั้งๆที่ปกติไม่กินเนื้อนะ แต่มาถึงที่นี่แล้ว ต้องตัดคำว่ากินไม่ได้ออกไปเอาอะไรมาให้กินก็ต้องกิน ไม่มีเลี่ยงตั้งใจไว้อย่างงั้น แต่สรุปกินๆแล้วก็อร่อยดีนะ (ถ้าคนรู้จักว่า ขี้เพี้ยคืออะไรแล้วจะหนาว)ตอนนั่งกินกันพี่น้อยก็ออกไอเดียให้กับลุงน้อยประธานชมรมว่า มีเสื้อให้เรา แต่จะให้เฉยๆก็กระไรอยู่เดี๋ยวตอนประกาศงานให้เราขึ้นไปรับบนเวทีด้วยดีกว่า ก็วางแผนจัดงานกันไปตอนนั้นไอ่เราก็ได้แต่นั่งฟังแล้วก็คิดว่า นี่เค้าให้เกียรติเราเกินไปรึป่าวทั้งๆที่เราช่วยเค้าแค่เล็กน้อยเองนะนั่น กินเสร็จอิ่้มหน่ำเมากำลังตึงๆก็แยกกันไปทำธุระต่อ ลุงออมก็พาไปซื้อน้ำแข็งเพื่อจัดงานเย็นแล้วก็ให้เราไปอยู่ที่ชมรมช่วยงานนิดหน่อย แต่เอาเข้าจริงๆก็ทำเยอะนะ แบบว่าอยากช่วยให้ได้มากที่สุดให้สมกับที่เค้าตอนรับเราเป็นอย่างดี จนพี่น้อยปรามๆว่าอย่าทำเยอะเกินเราเป็นแขก แต่ตอนนั้นมันกำลังสนุกแถมมีเบียร์ให้กินตลอดงาน(เริ่มกินเบียร์เป็นปกติแระเรา)แล้วแถมยังรินแจกชาวชมรมที่เค้ามาไปทั่วซะอีกมันไปเลยงานนี่หลังจากช่วยงานเสร็จก็หัวค่ำำพอดีเลยขอตัวไปอาบน้ำเพื่อมางานคืนนี้ กลับมาในงานก็ติดขัดนิดหน่อย ไฟดับกลางงานซะงั้น ก็เลยหาอะไรกินกันแบบมืดๆ เอ๊าะๆลืมบอกไปงานที่นี่จัดแบบแปลกดีกรุงเทพไม่เคยมี คืออาหารเนี้ยไม่ใช่ใครเ้ป็นเจ้าภาพเลี้ยงหรือชมรมเป็นคนจัดหา แต่เป็นว่า คนในชมรมเองหรือหมู่เพื่อนหรือชมรมอื่นเองก็หิวของหรือหาของเข้ามาร่วมงานเองเอามาจัดเป็นบูธๆแล้วใครอยากกินก็ไปหาแล้วก็ตักกินกันชอบนะั ดูมีน้ำใจแล้่วก็ตั้งใจกลมเกลียวกันดี ไม่ได้หาซื้อมาด้วยเงินแล้วก็จบๆไปเหมือนบ้านเรา(กรุงเทพฯ) จัดแบบนี้รู้สึกดีกว่าเยอะเลย เพราะมันแสดงถึงน้ำใจและความตั้งใจที่เตรียมกันมาเอง เพื่อที่จะให้คนมาร่วมงานได้กินกันอิ่มหน่ำ พอไฟมา้้เห็นหน้ากันก็ทักทายกันอย่างสนุกสนานคนที่จำเราได้เมื่อเย็นก็เอาเบียร์มาให้กิน คราวนี้ของกินไม่ได้กินเลยกินแต่เบียร์แอบหยิบน้ำขวดกินยังโดนให้วางลงแล้วเอาเบียร์ไปกินแทนเลย พอถึงเวลาประกาศเกียรติคุณกลุ่มที่ไปร่วมงาน4ทิศก็ขึ้นเวทีกันไปแล้วก็จบด้วยการเรียกเราขึ้นไปรับเสื้่อจากประํธานชมรม(ลุงน้อย)แล้วก็สวมให้ด้วยกับมือประธานเอง ภูมินะตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยได้ขึ้นเวทีไปรับรางวัลอะไรกับเค้าเลยมานี่เค้าต้อนรับแล้วก็ให้เกียรตืเราทุกอย่าง ซึ้งน้ำใจกับคนที่นี่เป็นอย่างมากจริงเลย อยากจะบอกว่า ที่ผมทำมันน้อยนิดแต่พวกพี่ๆบอกว่ามันยิ่งใหญ่มหาศาล แต่สิ่งที่ผมได้ในวันนี้ผมว่ามันมหาศาล แต่พวกพี่ๆกลับบอกว่าที่ทำให้มันแค่เล็กน้อยแค่นั้นเอง ขอบคุณอีกครั้งนะครับ ที่ให้เกียรตืนี้กับคนอย่างผม ในงานก็พอดีเจอกับลุงสุพรรณ ลุงคนนี้เคยเจอที่งานสี่ทิศเหมือนกัน อยู่ชมรมไม้ค้ำตะวัน กลับเสืิอซิงซืงด้วย ก็เลยทักทายกันไปอย่างสนิทสนมเพราะคุยกับลุงแกเยอะเหมือนกันในงานโน้นแล้วขากลับก็ยังมาลาแกแล้่วบอกว่าจะหาโอกาสมาเจอแกอีกก็ไำม่นึกว่าจะมาเจอแกที่นี่ ลุงแกคุยว่้าพรุ่งนี้อยากจะปั่นไปรับพวกที่ปั่น65วันวัยเกษียณ ที่บุณทริกแล้วไปนอนกับกลุ่มนั้นคืนนึง (ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าที่ไหน)อยากไปกับแกเลยบอกว่าขอไปด้วย ก็เลยไปชวนๆำพี่กลุ่้มเดิมไปกัน บางคนก็บอกไปไม่ได้วันนี้กินเยอะ(เมา)ไปไม่ไหว บางคนก็มีธุระก่อนแล้ว มันก็จริงนะกระชันชิดเกินไปชวนตอนนี้เลยไม่มีใครไป แต่ลุงบอกว่าไม่เป็นไร สองคนก็ไปเราก็โอเค ไปก็ไป พี่น้ิอยติดงานไปไม่ได้แต่ทำหน้าแปลกๆเหมือนส่งซืกอะไรไม่รู้แล้วบอกว่าถ้าอยู่จะพาไปเที่ยวอีกที่นึงพรุ่งนี้แต่เรา้เองบอกกับลุงสุพรรณไปแล้วว่าจะไปด้วยก็เลย ต้องไปกับลุงแก(ใจหน่ะอยากไปอยู่แล้ว)พี่น้อยเลยบอกว่าถ้าจะไปจริงๆต้องไปเก็บของคืนนี้เลยเพื่อไปนอนบ้านลุงสุพรรณ เพื่อได้ออกแต่เช้าก็เลยรีบลาพวกพี่ๆที่ชมรมแล้วรีบกลับมาเก็บของเก็บเต๊นท์ ตอนเก็บของพี่น้อยมาส่ง แล้วก็บอกว่าลุงสุพรรณแค่เป็นคนเทรนพี่น้อยมาเองตั้งแต่เ้ริ่มหัดแรกๆ(เหมืิอนเป็นอาจารย์หน่ะแหล่ะ)แล้วคนที่ได้ที่สองในงานแข่งที่ลาวก็ลุงสุพรรณนี่หล่ะ(หง่ะัชักหนาวๆแล้ววุ้ยพรุ่งนี้) ก็กลับมารำลาทุกคนแล้วก็ขึ้นรถลุงสุพรรณมานอนบ้านแก บ้านแกมีพักให้เลยห้องนึง เหมือนเตรียมไว้รับแขกอยู่แล้ว ถึงบ้านก็อาบน้ำเตรียมตัวนอนเพื่อวันพรุ่งนี้ กว่าจะหลับได้ก็คิดฝันเพลินๆว่าสนุกแน่ได้ปั่นจรืงๆซะทีปั้นในเมืองสามสิบโลถนนกับบรรยากาศดีจริงแต่ระยะน้อยไปหน่อยพรุ่งนี้คงได้ปั่นสมใจ หึๆ เด็กเอ๋ยเด็กน้อยหารู้ไม่ พรุ่งนี้นรกของจริงกำลังรอเอ็งอยู่พรุ่งนี้ เตรียมตัวรู้รสชาติการปั่นจริงๆที่เอ็งต้องจำมันไปตลอดชีวิตเลยแหล่ะวันพรุ่งนี้

-----------------------------------------------------------------------------

เยือนรังเสือซิงซิง กับประสบการณ์สุดประทับใจ(ตอนที่3)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 13 มกราคม 2011 เวลา 10:44 น.

4:30 ..!! เสียงมือถือตั้งปลุกไว้ก็ดังขึ้น หลังจากที่งั่วเงียตื่นขึ้นมาได้ เพราะเมื่อคืนก็โดนเบียร์ไปหลายขวดตั้งแต่เมื่อวาน แต่วันนี้ต้องตื่นเช้าที่สุดเลยตั้งปลุกล่วงหน้าไว้ครึ่งชั่วโมง เพราะกะจะได้มีเวลาเตรียมตัวมากพอ แต่พอออกจากห้องมาได้จะได้ไปอาบน้ำ ก็เห็นลุงสุพรรณแต่งตัวเส็ดแล้วนั่งเช็ดรถอยู่ แล้วก็มีเสียงทักอีกคนว่า ตื่นแล้วเหรอ อ้าว พี่น้อย มาแต่เช้าเลย (กรำตูสายรึเนี้ย)ลุงสุพรรณบอกว่าต้องออกเช้าๆเพราะเด็วจะไม่ทันพวกทริป65วันฯ เราต้องไปให้ทันเค้าตรงแยกเดชอุดม-บุณทริก ตอนสิบโมง(ไม่รู้หรอกตรงไหน) ระยะทาง 90กว่าโล.. 0_o" ส่วนพี่น้อยบอกว่าไม่ได้ไปด้วยไปแค่ส่งหน้ามออุบล แกติดงาน ส่วนคนอื่นคงมาไม่ทันแม้กระทั้งจะไปส่ง สรุปเลยไปกันแค่สองคน เราก็โอเคไม่เป็นไรอยากไปๆไงก็ได้ ล้อหมุน ก็ตีห้าครึ่ง บรรย่กาศก็กำลังเย็นๆและก็หนาวๆบ้างตอนลมแรงพัดใส่ ยังดีที่มีเสื้อที่ได้จากชมรมมาใส่กันหนาวได้ดีเลยที่เดียว ตอนปั่นกันสามคนความเร็วก็ปกติ25กว่าๆ เราก็ได้แต่ตามหลังแล้วก็คุยกับพี่น้อยไปด้วย พี่น้อยก็บอกว่าตามลุงแกให้ทันนะ แล้วก็ยิ้มๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไร ถ้าความเร็วเท่านี้คงพอไหวนะ ปั่นตามเนี้ยยังอยากจะแซงลุงเลยเกรงใจเด๊วหาว่าห่าวอวดกำลังกะคนแก่ พอถึงมอพี่น้อยก็ขอตัวแยกกลับไปเราก็ปั่นตามลุงแกไปตลอดทาง พอใกล้หลังลุงลุงก็ปั่นหนีไปหน่อยเราก็ปั่นตามติดๆเหมือนเดิม จนสักพักเหมือนกับความเร็วมันไม่ขึ้น ลุงแกก็ปั่นทิ้งระยะไปไกลพอสมควร เราก็ไล่ตามเหมือนเดิมแต่ดูรถมันไม่วิ่งเอาซะเลย(ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันกำลังขึ้นเนิน)หลายรอบจัดจากไล่ทันจนไล่ไม่ทันได้แต่มองไฟท้ายลุงที่กำลังทิ้งห่างไปเรื่อยๆ จนแรงกลับมาก็ปั่นไล่ให้ทันแกอีกแต่เรี่ยวแรงใช้ตอนนี้หมดไปมากเลยการปั่นไล่เนี้ยลุงสุพรรณแกก็ปั่นอาการปกติเหมือนไม่ อยู่แบบนี้หลายรอบยอมรับเลยแรงหมดตั้งแต่ยังไม่ถึง20กิโลเลย ไรเนี้ย...!! คราวนี้ไล่ไม่ทันแล้วได้แต่มองไฟท้ายลุงกระพริบอยู่ไกลๆ ไล่ไปทันสักที จะทันแต่ตอนแกจอดฉี่ กับมีคนโทรหาแกนั่นหล่ะถึงไล่ทัน ตูวันนี้ท่าเป็นแบบนี้ทั้งวันตูตายแน่ นี่ปั่นไม่ถึงชั่วโมงกว่าๆเองเลยแรงหมดเอาดื้อๆ นี่ตูเจอของจริงแร้ว ไหวมั้ยหว่ะเนี้ย คิดว่าพี่น้อยขาเหล็กแล้วเจอลุงสุพรรณเนี้ยขาไทเทเนี่ยมเลย แกปั่นนิ่งมากไปเรื่อยๆแต่ชักจะตามไม่ทันแล้ว ในใจตอนนั้นใจก็คิดไปหลายอย่าง จิตใจตอนนั้นตีกันวุ่นวาย คิดว่าตูมาทำอะไร มาหาเรื่องทรมานตัวเองทำไมเนี้ย หาเรื่องจริงๆเลย ใจนึงก็บอกว่าแกล้งรถเสียสิ ปั่นไม่ไปเลยวันนี้ขอกลับก่อนนะยังมาไม่ไกลเท่าไร หรือไม่ก็บอกว่าเป็นตระคริวแล้วปั่นต่อไปไม่ได้ หนักๆเข้ากะจะแกล้งให้เหมือนกับรถเฉี่ยวแล้วล้มไปเลยได้พอสักที กลับบ้านดีกว่า แต่มันได้แต่คิดเพราะยังมีอีกใจนึงที่บอกกับตัวเองว่าทำแบบนั้นไม่ได้มาถึงนี่แล้ว จะยอมแพ้แล้วหันหลังกลับเหรอ มันไม่ได้เสียแค่ตรงนี้นะมันจะเสียทั้งชมรมเสื้อที่ใส่เนี้ยไม่ได้ใส่เอาโก้เก๋ แต่ใส่เพื่อให้รู้ว่าเราไม่ได้ปั่นคนเดียว เราปั่นให้กลับคนทั้งชมรม ถ้ายอมแพ้แล้วกลับไปตอนนี้ พวกพี่ๆคงผิดหวังในความขี้แพ้ ท้อถอย แล้วก็ความไม่เอาไหนขาอ่อนใจไม่สู้ สารพัดจะนึกได้ คิดได้แบบนั้นก็กลับมีแรง ฮึดปั่นขึ้นมาอีก(นี่มั้งเค้าเรียกก๊อกสอง)ตอนนี้ก็ปั่นอย่างเดียวไล่ก็ไล่ว่ะเอาให้ทันให้ได้ แต่ตอนนี้เริ่มจับจุดได้นิดนึงว่าตอนขึ้นเนินลงเนืนลุงสุพรรณแกจะช้าเพราะแกไปเรื่อยๆ ขาลงแกก็ปล่อยไหลสบายๆ เราเลยเร่งความเร็วให้มากกว่าปกติขาขึ้น แล้วขาลงก็รีบปั่นลงใช้จานใหญ่และเกียร์น้อย เร่งปั่นลงมา ได้ผล..!! ทันตลอดแล้วก็ยังพอมีแรงพักตอนที่รถลงมาด้วยความเร็วนิดนึก่อนถึงลุงแก แหะๆ แบบนี้พอไหวๆ เพราะทำแบบเดิมปั่นไล่ตามมาไกลๆพอทันก็หมดแรง แล้วก็โดนทิ้งอีก สู้ไล่เฉพาะตอนขึ้นลงเนินดีกว่า ทันและไม่เหนื่อยด้วย จนถึงเมืองเดช เจ็ดโมงครึ่งแล้วมั้ง ลุกก็บอกว่าเด้วพักกินข้าวกันก่อน ก็แวะร้านนึงลุงบอกร้านนี้พวกจักรยานแวะกินกันประจำ เราก็สั่งข้าวต้ม ไม่กล้ากินหนักกัวจุก ส่วนลุงแกเล่นข้าวขาหมูเลย โอ้วโหวแฮะกินแบบนี้ไม่จุกรึเนี้ยแล้วแกก็กินไวด้วย แปลกดีคิดว่าคนแก่จะต้องกินของเบาๆตอนเช้าแล้วกินช้าๆนี่ลุงกินซะแบบนี้เลย งงซะ(เพิ่งมารู้ที่หลังว่า นี่หล่ะทำให้ปั่นได้ทั้งวัน เมื่อเช้าสำคัญที่สุดจำไว้)ได้กินได้พักหน่อยร่างกายก็สดชื่นขึ้น แล้วก็นั่งคุยกันในร้าน ยอมรับกับลุงเลยว่าปั่นตามแกไม่ทัน มองเห็นแต่ไฟท้าย เพราะปกติปั่นคนเดียวไม่เคยมีคู่ปั่นมาก่อน มีปั่นคราวนี้หล่ะทั้งปั่นคู่แล้วก็ระยะไกลแถมถนนก็มีเนินสุงๆตลอดทางอีก แต่ก็ยังดันไปคุยโวกะแกว่า ตอนหลังไล่ทันลุงแล้วสบายผมไล่ทันตอนลุงลงเนิน ใช้วิธ๊อัดรถลงมาเลย(พลาดอย่างมหันแล้วตรู..!!)ลุงแกก็เหมือนจะคิดได้มั้งแล้วก็บอกว่าเนินที่ผ่านมามันเล็กน้อย ข้างหน้ายังมีอีก พอกินอิ่มพักย่อยได้ระยะนึงก็ออกเดินทางต่อ แล้วบอกว่าตอนนี้มาได้ 30กว่าโลแล้ว ถ้าปั่นได้แบบนี้ทันกลุ่มนั้นแน่นอนสิบโมง ทริปนี้เหมือนทริปเทรนนิ่งตัวๆเลย ไล่กวดแกอย่างเดียวระหว่างคนอายุ 40 กะ 60+
คราวนี้ก็ออกเดินทางต่อ แต่ไม่เหมือนเดิมแล้วแรกๆก็มีแรงกลับมาเยอะเพราะได้ข้าวและพัก แต่ไม่เหมือนตรงที่ว่าพอลงเนินแล้วไล่ลุงไม่ทัน เพราะแกไม่ผ่อนความเร็วแล้ว(ตรูไม่น่าบอกเค้าเลย เวงหล่ะ) ตอนนี้ได้แต่ไล่ๆตาม ระยะห่างพอสมควร ชั่วโมงเดียวเหมือนกับว่าข้าวต้มตะกี้หมดแล้วน้ำก็กินเยอะตลอดทาง เหงื่อออกมากมาย ส่วนลุงแกก็เหมือนเดิมเรื่อยๆของแก(แต่ตรูเร่งสุดๆ)จะช่วยได้ก็บรรยากาศธรรมชาติตอนเช้านี่หล่ะสดชื่นดี เราก็ตั้งหน้าตั้งตาปั่นไป สมองมันก็คิดไปคิดมาเหมือนเมื่อเช้า ด่าตัวเองว่ามาหาเรื่องลำบากทำไมเนี้ย เมื่อวานพี่น้อยก็ส่งซิกแล้วว่าอย่ามา (เริ่มเข้าใจแร้วว พี่..) แต่ก็ได้แต่คิดก้มหน้าก้มตาปั่นไปจนถึงแยกๆนึง ประมาณสิบโมงกว่า ก็เจอกลุ่มนักปั่น65วันฯหน้าเซเว่น ก็ทักทายกัน เค้าก็งงๆกันว่าปั่นมาหาเค้าตั้ง40กิโลเลยเหรอ เค้าเพิ่งปั่นเช้านี้ได้10กว่าโลแล้วก็จับกลุ่มกันไปต่อ แต่แผนผิดไม่ใช่ที่ลุงบอก ตอนแรกคือเค้าจะไปกางเต๊นท์นอนกันที่เขื่อนสิรินธร ประมาณอีก40โล แต่ตอนนี้คงไปนอนกันที่ริมแม่น้ำโขงเจียมต้องไปอีก90กว่าโล 0_o" ตอนนั้นไม่รู้ไรแล้วไปไหนก็ไปกัน ปั่นตามเค้าไปดูกลุ่มนี้ก็ไม่ได้เร่งเร็วอะไรมาก สัมภาระ..!! มากมายมหาศาล ยังกะบรรทุกของบนหลังอูฐ เยอะทุกคน ไอ่ที่เราเอามาจากกรุงเทพนี่เด็กๆเลย แต่ดูเค้ามัดแน่นหนาดีมาก ของเราต้องระวังหล่นตลอดทางเลย หลังจากพักดื่มน้ำเกลือแร่ได้กำลังกลับมาก็เริ่มเดินทางต่อ(สรุปนี่ผมพักทุกๆ45กิโลนะเนี้ย) ปกติปั่นคนเดียวตามใจฉันเหนื่อยก็ผ่อน พักทุก20กิโล ระยะ40กิโลก็4ชั่วโมง นี่คูณสองหมด ฮ๊ากกกก ครึ่งวันก็แทบตายแร้ว แต่ของจริงมันเริ่มหลังจากนี้ต่างหาก - -" เฮ้ออออ .. สู้ๆ คร๊าบบบ


เยือนรังเสือซิงซิง กับประสบการณ์สุดประทับใจ(ตอนที่4)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 14:27 น.

เข้าช่วงบ่ายหลังจากได้รวมกลุ่มกับทริปนักปั่น 65วันวัยเกษียณ ตอนนี้ก็เริ่มแตกกับลุงสุพรรณแล้วแกปั่นคุยกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว เราก็ปั่นของเราเงียบๆตามหลังแกไป(คือหมดแรงอ่ะถึงจะได้พักร้านเซเว่นแป๊บนึง)ก็ถึงแยกเลี้ยวซ้ายไปทางช่องเมค ตอนนี้ถนนก็เรียบและกลุ่มก็เริ่้มปั่นเร็วขึ้นบ้าง เราก็ตามๆกลุ่มไป เห็นลุงแกปั่นนำหน้ากลุ่มให้เค้าไล่อย่างสนุกสนาน ตัวผมเองเริ่้มมีปัญหากับสัมภาระที่เอาไป คือมัดไม่แน่นเท่าไร ทำทางจะหลุดหรือเอียงไปข้างนึงจนเกือบจะหล่น เป็นอย่างนี้หลายรอบจนตอนจอดรัดใหม่ แต่ก็ไม่ดีขึ้น จนของหล่นนั่นหล่ะ ถึงต้องลงไปรื้อของทั้งหมดและรัดใหม่จริงๆจัง ตงนี้หล่ะทำให้เสียเวลามาก กว่าจะเสร็จทำให้ถูกกลุ่มทิ้งหายไปไกลเลย หลังจากรัดเสร็จแน่นหนาก็ไล่กวด กลุ่มอาๆลุงๆเค้า (ใช้ก๊อกสามแร้ว)ก็ทันกับกลุ่มช้า บางกลุ่มก็จอดกินข้าว หลายกลุ่มเหมือนกันเพราะเที่ยงแล้ว เค้าก็เรียก แต่เราตั้งใจจะไล่ลุงสุพรรณให้ทันก่อนแล้วถึงจะค่อยพัก เลยปั่นไปเร่งปั่นเรื่อยๆ ไม่เห็นลุงสักที คราวนี้เริิ่มหมดแรงรอบใหม่เพราะออกแรงไล่เกินกำลังแล้วเส้นทางเส้นนี้ก็แสนลำบากขึ้นเนินสูงหลายลูกเหมือนกัน มากจนขาเริ่มจะหมดแรงอีกรอบ คราวนี้ความเร็วลดลงอย่างมากเลยอย่าว่าแต่ปั่นตามเลยเดินตามยังทัน เพราะเนินสูงนี่มากมายจริงทั้งคดเคี้ยว ทั้งเนินซ้อนเนิน (คือขึ้นเนินนี้แล้วแทนที่จะลงมันกลับมีอีกเนิืนขึ้นไปอีก)จนกลุ่มที่แซงไปทั้งหมดเริ่้มมาทันแซงเราไปที่ละคันสองคัน จนเสียงลุงสุพรรณมาทักข้างหลังว่ากินข้าวรึยัง ..!!~ อ่าวเวงนี่เราแซงกลุ่้มหน้ามาตั้งแต่เมื่อไร มิน่าถึงไล่ยังไงก็ไม่ทัน เพราะเราอยู่หน้าสุดเค้านี้เอง ลุงสุพรรณแกแวะกินข้า่วตอนไหนเนี้ย เวงแระจะพักก็ไม่ได้ไม่งั้นหลุดกลุ่มอีกแน่ๆเลยปั่นต่อไป แบบว่าทั้งหมดแรงทั้งเริิ่มจะหิวข้าวแล้ว ตอนนี้ได้แต่วางแผนว่าข้าวไม่ต้องกินเดียวเจอร้านขายสปอนเซอร์ก็ซื้อกินไปดีกว่าเพราะเคยมีประสบการณ์ที่ผ่านมาว่าไม่กินก็อยู่ได้อาศัยน้ำเกลือแร่ก็ำพอ ก็จอดแวะร้านแล้วก็ตุนน้ำสปอร์เซอร์ไว้ขวดด้วย เผื่อกลางทาง ก็ใช้วิธีนี้ไปได้ระยะนึงแต่แรงหมดจริงๆ ปั่นไปเหมือนจิตหลุด แบบว่าเรียกไงดีหล่ะ เหมือนตัวเองฝันอยู่ ไปทำโน่นทำนี่ นึกถึงอดีตแล้วก็เหตุการณ์อะไรมากมาย แต่ตัวเองจริงๆยังทรมานปั่นไปปกติ(เหมือนพวกกาตูนญี่ปุ่นอ่ะ) กลับมารู้สึกตัวตอนลุงสุพรรณมาทัก แกวนเวียนทั่วกลุ่มจริงๆ เราก็บอกรถเราคงเสียครับปั่นไม่ออกเลย ลุงสุพรรณก็ยิ้มแล้วบอกว่ารถไม่เสียหรอก แต่เราิอ่ะำหมดแรงมันเลยปั่นไม่ออก แล้วก็ปั่นนำหน้าไปหากลุ่มหน้าต่อเราก็ตวมเตี้ยมต่อไป คราวนี้บอกกลับตัวเองว่าไม่ไหวจริงๆต้องหาร้านข้าวแล้วไม่งั้นเป็นลมแน่ๆอายเค้า ได้ผล..คราวนี้ก็ฟื้นขึ้นมาได้มีแรงปั่นอย่างรีบเร่งเลย คือพอนึกว่าข้างหน้ามีร้านข้าวแล้วได้จอดแวะกินข้าวสักชาม ก็กลับมีแรงขึ้นมา(ก๊อกสี่แย้ว.)แต่ทว่าย่านนี้มันกันดานจริงๆ ร้านรวงแทบไม่มีเลยมีแต่ป่าก็เนินเขา จนไม่ไหวจริงๆร้านข้าวไม่มีไม่เป็นไรจอดร้านค้าธรรมดาที่พอมีบ้างริ่มทาง หานมและก็ของคบเคี้ยวที่พอมีแรงกลับมาบ้างกิน กินเสร็จก็ขอนอนพักสักแป๊ํบ ตอนนั้นบ่ายสามกว่าๆ เฮ้อออ ตรูมาทรมานทำไมว่ะเนี้ย ปั่นเล่นในเมืองก็ดีแล้ว หาเีรื่องจริงๆ แล้วก็หลับปุ๋ยไปเลย
หลังจากหลับไปได้เกือบครึ่งชั่วโมง ก็ตื่นขึ้นได้ 4โมงพอดี (ตั้งนาฬิกาปลุกไว้) ร่างกายเริ่มฟื้น พอได้ ถามคนขายของเจ้าของร้าน เค้าก็คงงงๆกะไอ่บ้านี่ ที่มาซื้อขอเึค้าแล้วก็นอนหงายหลับคาแคร่ไม้หน้าร้านเค้าเลย ว่าช่องเมคอีกไกลมั้ย เค้าก็บอกว่าอีก500เมตรก็ถึงแยกเลี้ยวขวาก็ถึงแล้ว อ่าวกรำตรูจะถึงอยู่แล้วดันทนไม่ไหวชิงพักก่อน เลยโทรหาลุงสุพรรณว่าอยู่ที่ไหน เค้าก็บอกว่าอยู่ช่องเมคนี่หล่ะกำลังถายรูปกันอยู่ให้รีบมา พลาดจนได้เราทนอีกนิดก็ถึงแล้ว ได้ไปพักกินข้าวที่ช่องเมคกะเค้าก็ได้ ตอนนี้ชั่งมันปั่นให้ทันเค้าก่อนแล้วกัน พอเจอลุงสุพรรณที่รออยู่ก็เริ่มออกเดินทางต่อ ตอนนี้ดูลุงไม่รีบแล้วเพระาทางข้างหน้าลุงบอกไม่ไกลเท่าไร ปั่นสบายๆ เด็วก็ถึงเค้าให้กลุ่มหน้าไปก่อน คราวนี้ก็เลยปั่นกะลุงแกสองคนเหมือนเดิม ตอนนี้ก็ก็เริ่มสอนเรื่องสัมภาระ การกินอาหาร การปั่นอีกหลายอย่าง เพราะช่วงเช้าเรามันยังแข็งอยู่บอกอะไรไปคงไม่รับฟัง ตอนนี้อ่ะเจอกะัตัวเห็นปัญหาจริงแล้ว จะเข้าใจเอง ว่าเีราพลาดตงไหนต้องปรับปรุง (ดีจังเหมือนวันนี้มีเทรนเนอร์ส่วนตัวเลย ได้ลองของจริงแล้วก็ลำบากสุดๆจริงๆ อะไรที่ผ่านมานี่เด็กน้อยไปหมดเลย) แล้วลุงก็บอกว่าภ้าไม่ไหวให้กินของพวกหวานๆไว้ เจอน้ำอ้อยพอดีก็ซื้อให้กินขวดนึง เราเองตอนไปนครปฐมก็มีประสบการณ์จุกมา เลยไม่กล้า แต่ลุงสุพรรณให้ลองกินดูก็เอาซะ พอดื่มหมดขวดลงท้อง มันไม่เหมือนคราวก่อนแฮะมันเย็นชุ่มชื่นไปตั้งแต่ตัวจนเท้าแล้วก็เหมือนร่างกายโดนรีเซ็ตใหม่
คราวนี้ก็ปั่นอย่างสนุกแต่เรื่อยๆ เพราะยังเหลือเนืนใหญ่ๆอีกไม่กี่เนิน ก็จะถึงโขงเจียมแล้ว ปั่นไปเร็วบ้างช้าบ้าง บางทีขึ้นเนินนานไปลุงสุพรรณแกขึ้น แล้วลงไปนานเห็นเรายังไม่มา ก็ปั่นขึ้นเนินกลับมาดูเราอีกว่้าหายไปไหน (ขาซุปเปอร์ึคาบอนจริงๆ ไม่มีเหน็ดมีเหนื่อยเลยลุง) พอถึงสะพานนึงลุงก็ให้จอดแวะแล้วบอกว่าที่นี่เป็นปลายเเม่น้ำมูลแล้ว เลยออกไปเป็นเเม่น้ำโขง เค้าเรียกจุดต่อตรงนั้นว่า ลุ่มแม่น้ำสองสี เพราะสีของน้ำโขงกะน้ำมูลจะไม่เหมือนกัน พอบรรจบกันเลยเป็นอย่างนั้น แล้วก็ปั่้นต่ออีกนิดหน่อยก็ถึงที่ว่าการอำเภอโขงเจียม มีกลุ่มแรกๆมาถึงแล้ว กำลังกางเต๊นท์ เราก็หาที่กางแล้วก็จัดแจงหาที่อาบน้ำ ส่วนลุงสัมภาระนอนมีแต่ถุงนอนใช้โต๊ะอาคารเป็นเต๊นท์แทนมุ้งง่ายดี ยังงี้หล่ะสัมภาระแกเลยน้อยตัวเบาตอนปั่น คงต้องเลือกมั้ง การปั่นทัวริ่ง เอานอนสบายปั่นลำบากก็เอาสัมภาระมาเยอะๆ ถ้าเอาปั่นสบายนอนลำบากหน่อยก็เหมือนลุง อาบน้ำเสร็จก็ออกหาข้าวหาปลากินกันไปกับลุงแกสองคนไม่ได้รวมกลุ่มกลับใคร เป็นร้านลาบปลา (อร่อยมาก) กินกันกับข้าวสองสามอย่างแล้วก็ข้าวเหนียวและเบียร์ นั่นคุยเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่ผ่านมา แล้วลุงก็สอนอะไรอีกเยอะแยะ อย่างว่าถ้าจะปั่นต้องฝึกปัี่นไกลๆให้เยอะๆแล้วกลับไปอย่าปั่นคนเดียวเพราะเราจะไม่รู้แรงตัวเอง แล้วมันจะไม่พัฒนาต้องหาคู่ปั่น มันถึงจะดี หลายเรื่องเราก็รับฟังไว้หมด นึกภูมิใจตัวเองที่วันนี้ถึงจะท้อจะทรมาน แต่ก็ไม่ถอยและมีลุงสุพรรณเป็นคุ่บั๊ดดี้วันนี้ โอกาสแบบนี้น้อยคนนะทีั่จะได้รับมัน ก็ตั้งใจจะทำตามลุงบอกทุกอย่าง ขอบคุณลุงสุพรรณมากครับที่ทำให้ชีวิตนักปั่นผมขยับขึ้นมาอีกนิดนึง ....

-----------------------------------------------------------------------------

เยือนรังเสือซิงซิง กับประสบการณ์สุดประทับใจ(ตอนจบ)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 15:50 น.

หลังจากที่กินอาหารเสร็จเรียบร้อยก็กลับที่พัก เจอกลุ่ม65วันมาครบกันแล้ว ถึงรู้ว่าจริงๆตลอดทางเราไม่ได้อยู่ท้ายสุดแต่มีกลุ่มหลังๆตามาอีกมากมาย ประมาณเกือบยี่สิบคน เจออาจารึก ได้พูดคุยกับแก อาจารึกเป็นคนอัตถยาศัยดีมาก คุยกันไม่กี่คำก็ทำให้เราเหมือนสนิทกับแกมานานมาก คุยกับกลุ่มกันได้สักพักก็แยกย้ายของตัวไปนอนกันเพราะวันนี้ทุกคนเหนื่อยมาก บางคนก็ออกปากบอกว่าวันนี้เหนือยที่สุดของทริปนี้เลยเพราะ เนินเยอะและลมต้านแรงมาก ตลอดทาง(แสดงว่าเราไม่ได้คิดไปเองสิเนี้ย)ช่วงเช้าก็ตื่นได้ยินเสียงบางคนตื่นนอนกันแล้ว เราก็ลุกและก็เริ่้มเตรียมตัวล้างหน้าล้างตา ตอนนั้นยังไม่สว่างเลยแต่จัดแจงตัวเองให้เรียบร้อยก่อนดีกว่าแต่พอเอาเข้าจริงๆกลุ่มนี้เก็บของกันไวมากขนาดอาจารึกทำโน่นทำนี้ตะโกนบอกคนอืิ่นว่าเค้าเก็บของช้าหน่อยมีเ้รื่องทำก่อนก็ยังเก็บของเสร็จก่อนเราอีกจนลุงสุพรรณแกคงทนไม่ไหวมาช่วยเก็บแล้วก็บ่นว่า ถ้ารู้ตัวว่าเก็บของช้านะเราต้องตื่นก่อนคนอื่น แหะ หน้าเสียเหมือนกันโดนลุงแกดุ แต่ก็รีบๆเก็บแล้วก็จะทำตามลุงบอกแน่นอนเพราะรู้ตัวว่าเก็บของช้าจริงๆเหมือนวันงานสี่ทิศเลย กว่าจะเรียบร้อยก็ออกไปหาของกินหน้าตลาดทางเข้ากับลุงสุพรรณและอาจารึก ที่ออกมารั้งท้ายเค้า เสร็จสุพรรณก็แนะนำขึ้นวัดข้างบนเพื่อชมบรรยากาศตอนเช้าแล้วถ่ายรูปกันก็ตามๆกันขึ้นไปบางกลุ่ม วิวสวยมากมองเห็นฝั่งลาวและัเเม่น้ำโขงวัดก็ทำแปลกๆดีเหมือนของนานาชาติทำแยกกันไว้เก็บรูปได้สักพักก็ ถึงเวลาแยกตัวกลับ กลุ่มลุงๆป้าๆเค้าก็งงๆว่าไม่ปั่นต่อด้วยกันเหรอ ซึ่งก็ต้องปฏิเสธไป(เสียดายมาก)อยากไปกับกลุ่มนี้จริงๆมันเหมือนทุกคนมาเรื่มต้นด้วยกัน เพราะเห็นชื่อกลุ่มนี้คืนจากขาอ่อนให้เป็นขาแข็งภายในสองเดือน คือใหม่ๆด้วยกันมาปั่นหนักๆ กันซะได้แข็งไปเลยเหมือนหลักสูตรลัดแต่มันสุดจะเหนื่อยเลย ผมแต่วันเดียวก็แย่แล้วนี่พวกลุงๆป้าๆต้องปั่นกันอีกหลายวันกว่าจะจบทริป แภมทา่งข้างหน้าต่อไปจะเรื่มเป็นเนินเขาชันกว่าที่ผ่านมา ฟังก็เหนือยแล้ว ลุงสุพรรณบอกเนืนที่ผ่านมาเค้าเรียกลูกเนืน ของจริงอยู่ข้างหน้า หลังจากรำลากันก็เริ่มเดินทางปั่นกลับใจก็ยังกังวลว่าเหมือนวานกว่าจะมาได้ก็แสนทรมานวันนี้จะปั่นกลับไงว่ะเนี้ย ให้ถึงก่อนเย็น แถมลุงบอกว่า เที่ยงก็ถึงแล้ว ทำให้ึคิดว่้าโห แกกะซอยยิกเลยแน่ๆ หนักใจ แต่ขากลับลุงก็ไม่เร่งเท่าไร แรงเราก็เหมือนเริ่มใหม่ไม่เหนื่อยอะไร ลุงพาแวะชมเขื่อนปากมูลก่อน ยืนบนสันเขื่อนเลย แล้วก็พาแวะแก่นสะพรือ อีกที แวะร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระขึ้นชื่อ กับร้านขายมะพร้าวอ่อนก็นั่งกินเย็นๆใจ ขากลับนี่แปลกมากไม่เหนื่อยไม่ล้า ปั่นได้เรื่อยๆ

ปั่นไปแวะกินไป แต่มีตอนนึงมีโทรสับเข้าเผลอมากจอมากไปขณะปั่น ทำให้รถเอียงแล้วก็ลงข้างทาง... ครับผมล้มรถกระเด้นคนไถล แต่มือยังกุมมือถืออยู่ ปรากฏว่าเข่าถลอกเลือดอาบแขนมีรอยนิดหน่อย ยังดีที่รถมีเครื่องมือปฐมพยาบาล เตรียมไว้แล้วเลยทำแผลให้ตัวเองแล้วก็ปั่นต่อ ตอนนั้นลุงแกปั่นนำไปเลยไม่ทันมองจะตะโกนเรียกก็คงไม่ทัน ก็ปั่นไล่ลุงไปจนแกเห็นว่านานผิดสังเกตุเลยแวะกลับมาแกก็ตืนิดหน่อยแล้วก็กลับจนถึงบ้านลุง ตอนบ่ายกว่าโมง !!! ใช่ครับบ่ายโมง ขากลับลุงพากลับอีกทางเป็นทางตรง ทางเมื่อวานมันอ้อม ที่อ้อมเพราะต้องไปเส้นทางเดียวกลับกลุ่ม65ฯ ทางกลับจริงๆวันนี้เลยแค่ 77กิโลก็ถึงที่พักแล้ว ลองกลับมาบวกลบระยะดู จากบ้านไปจุดดัก 42 จากจุดดักไปช่องเมค 92 จา่กช่องเมคไป โขงเจียม 26 เท่ากับเมื่อวานปั่นไป 160กิโล อ้อมไปเกือยร้อยโลแหน่ะ *0*/ ถึงบ้านก็กินข้าวกันที่บ้านแล้วต่างคนต่้างก็แยกกันไปนอน เพลียน่าดู

หลับไปนานเท่าไรไม่รู้ เสียงโทรสับก็ดัง พี่น้อยนั่นเอง ยังเป็นห่วงผมเหมือนเดิม โทรมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง ถึงไหนแล้ว ก็ตอบไปว่าถึงบ้านนอนหลับได้สักพัก พี่น้อยก็บอกว่าให้นอนพักไปก่อนเลยแล้วสี่ห้าโมงก็ค่อยออกมาหาแกที่บ้านให้ปั่นรถมา รำลาลุงออมและคนที่นี่ก่อนกลับก็รับปากไปแล้วนอนต่อ.. หลับไปได้ถึงสี่โมงที่ว่า ก็อาบน้ำแต่งตัวจะกลับไปบ้านพี่น้อยซึ่งตอนแรกพี่น้อยบอกว่าให้ปั่นมาเอง แต่พอบอกลุงสุพรรณลุงก็คิดพักนึงแล้วก็มาส่งด้วยดีกว่าแต่แกเอารถพับไป เออดีเหมือนกันเอารถเล็กไปได้ปั่นทันแกมั่ง ปรากฏว่าเหมือนเดิมลุงแกปั่นทื้งไม่เห็นฝุ่นเลยเราก็ไม่เคยทาง ได้แต่ชะเง้อหาแกตรงแยกว่าเลี้ยวหรือตรงแล้วก็รีบตามไป(แสดงว่าที่ผ่านมาสองวันขาเรานี่ไม่ได้แข็งขึ้นเลยนะ) ถึงบ้านพี่น้อยลุงออมแกก็มานั่งอยู่แล้วรอส่งเราเหมือนกัน กินข้าวที่พี่น้อยทำให้กินกันสี่คน พี่น้อย ลุงออม ลุงสุพรรณ เหมือนครบครอบตัวเองเลย พี่น้อยก็ถามลุงสุพรรณว่าพาเราไปไหนบ้างพอลุงบอก พี่น้อยก็บ่นๆกับลุงว่าเอาเค้าไปฆ่านะนั่นทางยังงั้นปั่นเป็นร้อยกิโลกับเนินแถวนั้น ลุงแกก็บอกไม่รู้ว่าเราปั่นแข็งแค่ไหนเห็นรบเร้าจะไปลุงก็จัดให้ แต่เราฟังก็ได้แต่ยิ้มๆว่า ให้ยากยังไงก็ถือว่าไปผ่านมาแล้วอย่างคุ้มค่าจริงๆทริปนี้ กินกันเ้สร็จ ดูเวลาเห็นว่าไปรำลาคนอื่นคงไม่ทันเพราะรถกลับมันทุ่มกว่าเอง เลยให้กลับเลย ลุงสุพรรณก็ขอมาส่งด้วย ก็เลยไปกันที่สถานีรภไฟ ตอนกลับก็ขอบคุณคนที่นี่ทั้งหมดทุกคนมีน้ำใจกับผมมาก ปกติผมไม่เคยได้รับไมตรีจากใครแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกที่คนให้ความสำคัญของผมขนาดนี้ ดูแล เป็นห่วงและให้เกียรติ ผมโทรลาทุกคนที่ผมมีเบอร์อยู่ ทุกคนก็ต่างขอโทษที่ไปส่งไม่ได้ ไม่รู้เวลากลับ จริงๆผมก็ไม่ได้บอกวันกลับใครกลัวจะเป็นภาระให้เค้าลำบากยกคนมาส่งกันอีก เลยกลับแบบเงียบๆ มีแค่ลุงออม ลุงสุพรรณและพี่น้อย ผมกอดทุกคนก่อนกลับ รักน้ำใจคนพวกนี้มากเลย ขอบคุณทุกคนเสื้อที่ผมได้ผมตั้งใจจะใส่มันตลอดทุกทริปที่ผมออกงานที่กรุงเทพฯใครภามผมว่าเสือชมรมอะไร ผมก็จะบอกสิ่งที่ผมได้รับจากคนชมรมเสือซิงซิง ว่ามีน้ำใจขนาดไหน ลาก่อนครับทุกคน แล้วผมจะกลับมาใหม่ แอบตั้งใจว่าปีหน้าภ้าพวกพี่ปั่นจากอุบลฯมาอีกคราวนี้ผมขอมีส่วนร่วมด้วย จะปั่นมาพร้อมกลับพวกพี่ทุกคน ตอนนี้จะพยายามปั่นให้ขาแข็งที่สุดเพื่อจะได้ไม่้เป็นภาระพวกพี่ๆ จะทำตามคำแนะนำของลุงสุพรรณที่คอยแอบสั่งสอนตลอดการเดินทาง ผมประทับใจมากครับ ชาวเสือซิงซิง

ยังไม่จบแถมนิดนึง ขากลับก็ได้กลับพร้อมกลุ่ม Cool70 ด้วย ก็นั่้งคุยกันสรุปทริปเค้าก็ 250กิโล ผมก็หยิบของตัวเองดูของผมที่ติดรถ ของผมปาเข้าไปตั้งเกือบๆ 270 แต่ยังไม่ถึงลาวเลย เค้าไปฝั่งลาวกันมา แต่ผมได้ประสบการณ์สั่งสอนมาเยอะเลยยังภูมิใจอยู่ และโอกาสหน้าคงมีทริปไปลาวแน่นอนเพราะพี่ๆเสือซิงซิงก็ชวนๆอยู่ ฟังเค้าคุยกันเรื่องเนินที่เค้าผ่านมายากลำบาก ก็เอ๊ะใจอีก เลยถามสถานที่่ก็เป็นที่เดียวกัน แล้วถึงรู้ว่าทางที่ตรงนั้นเค้าเีรียกว่าเนินวัดใจ เนินมากลมแรง ต้องแข็งจริงถึงผ่านไปได้ พูดคุยกันสักพักก็แยกย้ายกันไปนอน ถึงกรุงเทพก็หกโมงเช้า บรรยากาศเช้านี้ที่กรุงเทพมันชื่นใจจริงๆ ผมเหมือนผ่านชีวิตในฝันที่อยากลองทำมาได้แล้ว รู้สึกภูมิใจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก แต่ปั่นกลับมาได้ระยะนึง ตรงแยกไฟแดงเพื่อรอเลี้ยวขวา พอไฟเขียวก็มีเสียงแตร์รถบีบแตร์ถี่ๆไล่ผมให้หลบไปเพราะท้ายรถผมมันเกินไปนิดนึง(สัมภาระมันใหญ่) รถเ้ก๋งคันงามราคาเป็นล้านก็เบียงหลบผมไป พร้อมกับสีหน้าหงุดหงิดส่ายหัวแซงผม ผมได้แต่มองท้ายรถเห็นลูกๆวัยเรียนเกาะกระจกหลังรถมองผมด้วยความสงสัยจนลับตาไป ผมได้แต่อมยิ้ม พูดในใจว่า ผมถึงกรุงเทพแล้ว *-*

ประสบการณ์

Level Beginner A (Dst 1770km/2000km)

64.อย่ามั่นใจกับแรงตัวเองมากนักถึงจะมีแรงปั่นแต่ต้องเก็บแรงไว้เสมอ
65.ฟังและคิดคามเวลามีคนพูดสั่งสอน เพราะจริงๆไม่มีใครอยากจะมาว่ากล่าวเีราหรอกถ้าเค้าไม่เหลืออดจริงๆ
66.กะระยะพักผ่อนแน่นอนให้กลับตัวเองอย่าฝืนเกินไป ถึงจะปั่นได้จริง แต่สถาพร่างกายจะทนไม่ไหว
67.การเก็บสัมภาระ ถ้ารู้ว่าตัวเองช้าต้องรีบตื่นก่อนชาวบ้านเค้า ไม่งั้นจะเป็นภาระให้กับคนทั้งกลุ่มที่ต้องมารอเรา
68.การรับโทรศํพท์ ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งรับ ถ้ารับต้องถือโทรศํพท์ให้ตรงกับหน้ารถแล้วปั่น ถ้าเอียงตัวเอาแต่้มองจอ ล้ม..
69.การพูดคุยต่างๆอย่าคุยอวดโตมากไป บางครั้งมันยิ่งใหญ่สำหรับเรา แต่อาจธรรมดาสำหรับคนอื่นก็ได้ เก็บไว้ในใจดีกว่า
70.ใช้ทุกเวลาให้คุ้มค่า เก็บเกี่ยวสิ่งที่ผ่านมาอย่างตั้งใจ เพราะบางทีที่เราไปอาจจะนำมาเป็นประโยชน์สำหรับคนอื่นได้

-----------------------------------------------------------------------------


อรุณสวัสดิ์เมืองนางรอง ตามหาแสงสว่างที่อยากเจอมานาน(Private Dungeon )


โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 16:26 น. ·

พอถึงกรุงเทพก็กลับมาใช้ชีวิตทำงานปกติสักพักก่อน แต่ความรู้สึกภูมิใจกับเรื่องราวในวันหยุดที่ผ่านมามันยังคงอยู่ ยังโทรหาลุงออม ลุงใหญ่ และลุงน้อยเพื่อขอบคุณ การต้อนรับที่ผ่านมา ลุงออมยังออกปากเชิญให้มานอนพักเหมือนเดิมที่บ้าน ลุงน้อยประธานเสือซิงซิง ก็ชวนให้กลับมาได้เสมอจะต้อนรับอย่างดี ลุงใหญ่นี่น่าเคารพมากถามเรื่ืองที่ออกทริปมาว่าลำบากมั้ย และก็บอกว่ามันผ่านไปได้ด้วยดีต่อไปนี้จะเป็นประสบการณ์ดีๆที่เราไม่มีวันลืมนะ สามารถเอาไปเล่าได้ชั่วลูกชั่วหลานว่าเราได้ทำอะไรไป มันจะภูมิใจกับตัวเราเองว่าเราทำได้ แต่ลุงใหญ่แกก็ยังกลัวว่าทางเค้าต้อนรับดีพอมั้ย ถามหลายรอบเหมือนกันเราก็บอกว่ามันเกินว่าที่คนธรรมดาอย่างผมจะได้รับมากแล้ว แต่พอเคลียร์งานเรียบร้อยในวันพฤหัส ก็คิดได้ว่าพี่ใหม่นี่เราจะนอนเฝ้าบ้านเหมือนเดิมเหรอ(เพราะทุกปีของวันที่1จะไม่อยากไปไหนเบื่อคนเบื่อรถมันวุ่นวาย เป็นอย่างนั้นทุกปีทำให้ทั้งปีก็เลยอยู่แต่ในห้อง (เคยได้ยินมาว่าวันที่1ทำอะไรเป็นอะไร ทั้งปีก็จะเป็นอย่างนั้นตลอด)ปีนี้ไม่เอาแล้ว ก็เลยคิดว่าจะไปไหนดีอย่างทำอะไร แน่นอนปั่นรถอยู่แล้วแต่ไปไหนดีหล่ะ นึกสถานที่ที่อยากไปอยากปั่นก็มีอยู่ที่นึงอยากไปดูก็คือ เขาพนมรุ้ง...!! ใช่แล้ว ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่นดีกว่า ว่าแล้วก็จัดข้าวจัดของเตรียมตัวออกเดินทางในวันที่31ต่อไป เรื่องที่พักคงไม่ต้องห่วงเพราะมีน้องที่เคยทำงานคนนึงอยู่ที่นั่น ลาออกไปแล้วกลับบ้านเกิดไปอยู่ที่นั่น เคยเขียนที่อยู่ทิ้งไว้ให้ แต่ไม่เคยไปหาสักที ได้โอกาสไปเยี่ยมน้องเค้าซะที มันจะเป็นยังไงต่อไปข้างหน้า เที่ยงกว่าๆก็ถึงที่หมอชิต ที่ชักช้าไม่มาเช้าเพราะว่าต้องหาข้อมูลและเส้นทางขึ้นเข้าพนมรุ้ง และบ้านที่เราจะไปหา(คือไปแบบไม่บอกเจ้าของบ้าน)กว่าจะได้รถก็บ่ายสอง ก็ยังดี งานนี้ไปแบบไม่เตรียมตัวไรมากสัมภาระเล็กน้อย ไม่เหมือนที่อุบลฯแล้ว ขึ้นรถก็มองเส้นทางตามแผนที่ไปเรื่อยเปื่อยเผื่อเป็นข้อมูลในทริปต่อไป เส้นทางที่มานี่ก็ไม่ใช่ลงที่ตัวเมืองบุรีรัมย์ แต่เป็นอำเภอนางรอง เพราะมีท่าจอดรถและใกล้ เขาพนมรุ้งที่สุด ส่วนเจ้าเบนโตะก็หลับมาตลอดทางอยู่ในช่องเก็บของด้านล่างรถ ดีนะรถมีที่ให้ใส่ บขส.ไม่ยอมให้ขายตั๋วให้บอกว่าใส่ไม่ได้ ต้องมารถของ บริษัทกิจการทัวส์ ยอมให้ขึ้นไปได้(แถมไม่คิดเงินเพิ่มด้วย) แต่กว่าจะถึงก็ทุ่มกว่าผิดเวลาไปมากเพราะมันเป็นช่วงเทศกาลและรถติดมาก หารถมาได้นี่ก็บุณแล้ว พอลงรถก็เริ่มถามหาเส้นทางจากเจ้าหน้าที่ที่ประจำสถานีขนส่ง บอกหมู่บ้านและถนนไปจน ประมาณเส้นทางได้แล้วก็จิ้มลงGPSบนมือถือ ตอนนี้คงทำแค่หาเลขบ้านเท่านั้นเอง แต่พอปั่นถึงหมู่บ้านนั้นจริงๆกลับหาบ้านไม่เจอเพราะมันมืดมากเป็นชุมชนเงียบๆไม่เลี้ยงส่งท้ายปีใหม่ไม่กี่บ้าน ตามหาอยู่ชั่วโมงกว่าก็ถอดใจต้องยอมโทรหาน้องที่จะมาหา เค้่่าก็ออกมารับอย่างงงๆไม่คิดว่าจะมาหา แต่ว่าไม่ยอมให้นอนที่บ้าน ให้เราไปหาที่พักในเมืองเอา ก็เลยพากันออกมาหาห้องพักที่เค้ารู้จัก เป็นรีสอท์ ริมอ่างเก็บน้ำ สวยสงบดี ถามราคาก็400บาทต่อคืน เราต่อไปว่านอนสักสามวันลดได้มั้ย 250ได้ป่้าว(พูดต่อราคาไปงั้นๆกลัวโดนถีบเหมือนกัน)เค้าก็โอเค..!!!! อ่าวเฮงดีัวุ้ย ช่วงเทศกาลแท้ๆ ได้ห้องราคาขนาดนี้ก็โอเค เลยไม่ต้องกางเต๊นท์เลยทริปนี้
พอตอนเช้าก็รีบตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ออกมายืนรับอาทิตย์ตอนเช้าในวันแรกของปี จะได้สดชื่นมีความสุขและได้ทำแบบนี้ทั้งปีเหมือนกับที่บอกไว้ว่าวันที่1ทำอะไรทั้งปีก็จะเป็นแบบนั้น ก็ยืนเก็บถาพไปมาตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจนพระอาทิตย์แสงเริ่มแรง ก็ออกไปหาอะไรกินเติมพลังเพราะช่วงบ่ายมีงานหนักต้องทำ แต่ก็ยังขอปั่นชมรอบเมืองเพื่อดูผู้คนในเมืองก่อน พอบ่ายกว่าๆก็ออกเดินทางขึ้นเขาพนมรุ้งตามที่ตั้งใจตอนแรก กะว่าจะดูอาทิตย์ใกล้ตกตอนเย็นๆ แต่ใช้เส้นทางหลบเมืองออกทางลัดซึ่งคนพื้นที่เองยังไม่แน่ใจเลยว่ามันไปได้ แต่เรากดจากGPSแล้วมันบอกว่าไปได้ก็เลยลองเชื่อมันดู เส้นทางวิ่งก็ไม่มีไรมากเป็นท้องนากะทางลาดหินมีลาดยาง ลาดซีเมนต์บ้างบางช่วง แต่ทางง่ายมากตรงอย่างเดียวเจอแยกอะไรก็ไม่ต้องเลี้ยว จนพ้นขึ้นโผล่ทางหลัก ก็ตรงไปเห็นเขาพนมรุ้งลิบๆข้างหน้าพอดี พอถึงทางปั่นขึ้นก็กะจะใช้เกียร์ใหญ่และจานเล็กแต่ก็ไม่ไหวจริงๆ ขาแตะพื้นเมื่อถึงเนินสอง ทางชันมาก จอดพักลงเข็น เป็นระยะๆ สองสามช่วง ตรงไหนปั่นขึ้นได้ก็จะปั่นไปจนถึงยอดเห็นที่พักริมทาง เลยแวะพัก สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังเจ้าของเสียงคือ น้องเจ้าถิ่นนั่นแหล่ะ ถามว่าอยู่ที่ไหน ให้กลับมาหาก่อนก็เลยต้องยกเลิกทริปนี้ชั่วคราวกลับที่พักอย่างเร่งด่วน เอาไว้พรุ่งนี้นะจะมาใหม่

เช้าวันต่อมา..... วันที่1ที่ทำตามความตั้งใจหลักไม่ได้ต้องย้อนกลับมาใหม่คราวนี้เริ่มเช้าหน่อยเพราะเริ่มกะเวลาได้แล้วถ้ามาเย็นไปมันจะเที่ยวได้น้อย ก็กะว่าถ้าถึงตัวปราสาทแล้ว มีเวลาเหลือจะแวะปราสาทหินเมืองต่ำด้วย ก็ออกเดินทางเส้นเดิมแต่คราวนี้ไม่ลังเลแล้ว จ้ำพรวดๆอย่างเดียวหลุมหรือบ่อเส้นทางนี้เพิ่งมาเมื่อวานเลยจำได้หมด ถึงตัวปราสาทไว้กว่าเมื่อวานแถมตอนขึ้นก็ลงเข็นน้อยกว่า เพราะเริ่มกะระยะเป็นและกำหนดการหายใจได้พอจะถูกต้อง(เหมือนเมื่อวานมาซ้อมก่อนวันจริงเลย)ถึงบนนั้นก็เดินเก็บภาพไปทั่วแต่มันเป็นวันอาทิตย์คนเยอะมาก แทบไม่มีมุมถ่ายรูปส่วนตัวเลยเจอคนเข้ามาทักและคุยด้วยหลายคน ขอถ่ายรูปคู่ก็มี ตกลงตรูนี่เป็นหลินปิงไปแล้วรึเนี้ย เด็ดสุดคงเป็นน้องนา(สาวอรัญ)เจอกันตอนปั่นขาขึ้น โบกมือทักทายแล้วคุยกันตอนจอดรถข้างบน ให้กินเหล้าซะหลายแก้ว(เค้ามีกฏหมายห้ามมะเนี้ย เมาไม่ปั่น)เราเองก็ไม่ได้ดื่มมานานพอสมควร เพิ่งโดนเบียร์ชุดใหญ่ที่ อุบลฯมาเลยไม่อยากขัดใจน้องเค้าแต่ตัวน้องนาเทอเองก็ดูเมากรึ่มๆพอควร ก็แปลกดีเน๊อะชีวิตแบบนี้ตะก่อนไม่มีคนชวนคุยทักทาย มาแบบนี้เหมือนเป็นคนของสังคมใครๆก็อยากสัมภาษณ์ว่ามาจากไหนไหนทำอะไรต่อ ดีั้เหมือนกัน แต่ก็แปลกอยู่อย่างมีคนทักภาษาอังกฤษใส่เราซะงั้นเห็น เราเป็นคนต่างชาติรึเนี้ย เหมือนตรงไหนหว่า งงวุ้ย!!

พอเดินชมตัวปราสาทจนทั่วก็ลงทางเดิมไม่ไปแล้วเมืองต่ำ ลองไปวัดเขาอังคารดูดีกว่า เห็นเค้าบอกว่าน่าไป ก็ลองเชื่อดู พอลงจากปราสาทเขาพนมรุ้งได้ก็ดิ่งไปวัดเขาอังคารเลย ที่ไปวัดนี้เพราะเป็นทางขากลับและเลี้ยวไปจากแยกสิบกว่าโลเอง เลยเลือกมาที่นี่ทางขึ้นก็ไม่ชันมากลาดซีเมนต์ตลอดทางขึ้นง่ายและสะดวกดี มีแค่ช่วงปลายๆเท่านั้นที่ชันมากถึงกะนั่งพักแป๊บนึงและปั่นขึ้นจุดชันสุดๆต่อแบบขาไม่แตะพื้น พอผ่านเนินชันมาได้ก็เจอพระพุืทธรูปปางไสย์ยาสขนาดใหญ่ วัดดูเงียบสงบ และตัววัดเองก็สวยงามแปลกตาดี ดูๆแล้วน่าเดินกว่าปราสาทเขาซะอีกแค่ไม่ใหญ่โตเท่าแค่นั้นเอง หลังจากเดินเก็บภาพไปทั่วก็เดินทางกลับเพราะเริ่มจะเย็นแล้วกลัวทางกลับจะมืดเกินไป เพราะเส้นทางไม่ใช่ทางหลัก แต่ลงมาได้สักระยะนึกขึ้นได้ว่าทางมามันน่าจะอ้อมเลยลองเปิดแผนที่หาพิกัดและเส้นทางดูปรากฎว่ามีอีกเส้นทางนึงจริงๆลัดไปตัวหมู่บ้านที่ไปมาหลายเกือบห้ากิโลเลยลองใช้เส้นทางใหม่ดู แต่พอปั่นไปได้สักพักจากทางลาดปูนซีเมนต์เป็นทางหินแทนหินนี่เป็นเหืนก้อนภูเขาไฟแดงๆกลม เยอะมากตลอดทาง ตัวเราเองก็กลัวเหมือนกันไม่รู้เจ้าเบนโตะมันจะไหวมั้ยกลับถนนสถาพนี้แต่คิดได้ว่าลุงสุพรรณเคยบอกว่าทางไปเขาชะนะได๋ก็เป็นสภาพแบบนี้ก็เลยถือโอกาสลองซะเลยผ่านได้ก็น่าจะไปเขาของลุงสุพรรณได้เหมือนกัน ก็เลยปรับโช้คหน้าเป็นแบบเด้งได้แล้วก็ลุยลงยาวเลย ของบอกมันสส์มาก ทางลงเขา และทั้งถนนมีแต่หินก้อนใหญ่ก้อนเล็กปนๆกันต้องระวังตลอดทาง เพื่อคอยหลบจากก้อนใหญ่ๆที่บางทีเผลอชนแล้วอาจจะหัวคะมำได้ จนลงทางไปเรื่อยจากเป็นหินเริ่มเป็นป่าและทางรกขึ้นเรื่อยๆก็แปลกใจเหมือนกันดูทางแล้วไม่น่ามีคนสันจรได้เลย แต่ดูGPSแล้วมันก็ยังบอกเส้นทางนี้อยู่ก็ยังเชื่อมันอยู่แต่สุดท้าย สุดจริงๆเป็นทางตันไม่สามารถไปต่อได้ยกไปยังไม่ได้เลย ก็เอาแล้วสิตรูตลอดทางที่มามันเป็นทางลงเขาแล้วก็หินล้วนๆ จะปั่นย้อนกลับไปนี่ตายแน่ๆใกล้มืดแล้วด้วย(5โมงครึ่ง) ก็มองแผนที่ใหม่คราวนี้ซุมใกล้ๆก็เห็นมีทางแยกเล็กๆนิดนึงไม่ใกล้มากแต่แผนที่ไม่ได้บอกว่ามันออกเส้นถนนใหญ่ได้ แต่ดูเส้นทางแล้วน่าจะทะลุได้ ก็เอาว่ะเสี่ยงดู ไปแบบไม่เชื่อGPSบ้างไปตามทางก็โอเค จากรกป่าเริ่มเป็นท้องนา และเริ่้มมีบ้านคน ก็ใจชื้นแล้ว เพราะถ้ามีบ้านคนอยู่ก็ต้องมีทางออกแน่นอน ปั่นจนถึงทางรกข้างหน้าแผนที่บอกว่าเป็นถนนใหญ่แต่กลับไม่ยักจะมองเห็นจนผ่านดงไม้ออกมานั่นหล่ะเป็นเส้นถนนหลักใหญ่ รถยนต์ผ่านมากมายก็โล่งอก และนึกว่ามันสนุกนะเนี้ยใช้เส้นทางนี้ตื่นเต้นตลอดทาง เพราะถ้าผิดทางย้อนกลับเนี้ยมืดหาทางออกจากป่าไม่ได้แน่นอน วันหลังมีเพื่อจะทำทริปนี้ดูเส้นทางสนุกตื่นเต้นมาก กลับถึงรีสอร์ทก็ค่ำพอดี คืนนี้ก็นอนเป็นคืนสุดท้าย ยังไม่แน่ใจว่าจะกลับยังไงเลย วางไว้สองแผน คือกลับโดยรถไฟ แต่ต้องปั่นเข้าตัวเมืองบุรีรัมย์์60กิโล กับ กลับบขส.เหมือนเดิม แต่ต้องเสี่ยงกลับมหาชนที่ต้องกลับไปทำงานที่กรุงเทพเหมือนกันวันนี้ไม่รู้มากมายขนาดไหน แต่ก็ลองไปถามที่ื่ท่ารถที่เคยมาดูก่อน เค้าก็บอกว่ามีรถกลับแน่นอนแต่ต้องดูรถก่อนว่าเอาเจ้าเบนโตะใส่เข้าไปได้มั้ย ช่วงบ่าย(เช็คเอาท์้เที่ยงครึ่ง)ก็มารอและกว่าจะได้ขึ้นจริงๆก็เกือบบ่ายสาม แต่ก็ยังดีที่ำไม่ต้องรีบปั่นเข้าตัวเมือง ไปขึ้นรถไฟ เสียเวลารอหน่อยแค่นั้นพอ งานนี้ก็คงต้องขอบคุณน้องเจ้าของบ้าน ที่ดูแลเรื่องอาหารการกินตลอดสองสามวันที่ผ่านมา หาร้านอร่อยๆ ให้ได้ลองชิมเสียดายกินน้อยมื้อไปหน่อยไปได้ไม่หมดทุกที่ ทำให้เดินทางกลับบ้านอย่างมีความสุขกับรอยยิ้มกวนๆสุดท้ายที่จากกัน ทำให้เข้าใจว่าแสงสว่างบางแบบมันอาจทำให้มีพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแสงนั้นจะต้องอยู่ด้วยกันกับเราตลอดไป แค่ส่องแสงมาตอนที่เราไม่มีทางเดินไปแค่นั้นเอง ขอบคุณนะที่ทำให้มีชีวิตอีกด้านนึงที่ไม่เหมือนเดิมแบบนี้ (เสียดายเค้าขอไม่ให้ลงรูป พอดีเค้าดังซะด้วยกลัวคนบังเอิญมาเจอแล้วจะเป็นข่าว)


ประสบการณ์

Level Junior E (Dst 2040km/3000km)

71.สิ่งบางสิ่งมันอาจจะอยู่กับเราแค่ชั่วขณะ มีความสุขจริงแต่อย่าคิดว่าสิ่งนั้นจะเป็นของเราตลอดไป เผื่อใจที่จะสูณเสียไว้บ้าง
72.เรื่องบางเรื่องอาจจะไม่ฟลุ๊คเสมอไปถ้าำไม่แน่ใจหรือไม่จำเป็นจริงๆอย่าเสี่ยงดีกว่า
73.ความตั้งใจแน่แน่วถึงจะพาไปสู่ความสำเร็จได้อย่ารีรอ ตั้งใจแล้วต้องไปให้ถึง แต่อย่าขัดกับของข้อบนนะ


-----------------------------------------------------------------------------


ทริปในเมืองไหว้พระนอน 9 วัดงานของสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทยจัด(Quest No.15)

โดย Huggybeary Bike Rider เมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 23:46 น

9/1/11 เป็นวันที่เค้าถือว่าเป็นวันมงคลเป็น9แรกของปี ซึ่งทางสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพได้จัดทริปชวนปั่นไหว้พระนอนเก้าวัด กับเค้าด้วยดูจากทริปชวนปั่นตั้งแต่ปีก่อนก็มาร์ควันนี้ไว้ด้วยเพราะเห็นว่าเป็นวันสำคัญและสื่อความหมายดีเลยร่วมงานดังกล่าวด้วย และถือว่าไปออกทริปปั่นร่วมกับคนอื่นครั้งแรกด้วยในนามเสือซิงซิงด้วย ^^ ก็ต้องตื่นเช้ากว่าปกติหน่อยเพราะเค้านัดรวมตัวกันที่หน้าสมาคมแถวในเมืองกลางกรุง แล้วก็ไม่อยากไปตอนใกล้เวลาด้วย หน้าใหม่ไม่อยากไปสายว่างั้น เพราะไปถึงจุดนัดก็มีคนมากันประปรายแล้วทางคนสมาคมเห็นก็สวัสดีทักทายกันอย่างเป็นกันเอง เจออาสิทธิชัย ถ้าจำชื่อไม่ผิด เข้ามาทักเพราะจำเราได้ในทริป65วันวัยเกษียณ แต่เค้ากลับมาก่อนก็เลยคุยกันได้ยาวเพราะได้ร่วมผ่านเหตการณ์ร่วมกันมาและยังแถมเล่าเรื่องทริปต่อหลังจากนั้นอีกนิดหน่อย คิดไปแล้วกลุ่ม65ฯวันนี้ น่าทึ่งจริงๆเราปั่นไปพักไปหลายอาทิตย์พวกลุงๆป้าๆเค้าก็ยังปั่นกันได้ทุกวันไม่มีหยุดพัก สุดยอดไปเลย แล้วก็เจอคนอีกสองสามคนที่เคยเจอในทริปอื่น เช่นงานสำรวจเลนจักรยานคราวก่อนโน้นก็มาร่วมงาน แมมมอสคนขายที่วางของหลังรถก็มาแถมเป็นสตาฟซะด้วย พอถึงเวลาก็ออกเดินทางตอนนี้คนเริ่มเยอะแล้ว นับรวมก็ร้อยกว่าคัน วิ่งกันเต็มถนน เจ้าหน้าที่ก็ช่วยกันดูแลกลุ่มไม่ให้แตกกระจายกันมากนัก ชื่อและรายละเอียดแต่ละวัดไม่ลงมากแล้วกันมันเยอะอ่ะ ส่วนมากก็จะเป็นวัดที่ไม่ค่อยรู้จัก ทางผู้จัดทริปบอกเค้าเลือกวัดไม่ดังมากคนน้อยดีเพราะวันนี้กลุ่มอื่นน่าจะจัดทริปไหว้พระเหมือนกัน แต่ก็ดีเจอพระนอนแปลกๆหลายแห่ง นอนหงาย นอนติดกำแพง นอนเหมือนคนเลยก็มี แต่มีวัดนึงที่สะดุดและงงกลับตัวเองเหมือนกันว่าเป็นคนกรุงเทพแท้กลับไม่รู้ว่ามีพระนอนขนาดใหญ่โตมากอยู่ในวัดนี้ ก็คือวัดเชตุพลนั่นเอง สวยงามใหญ่โตมากอยู่ในโบสถ์รู้สึกว่าจะใหญ่กว่า พระนอนที่เขาอังคารเลยด้วยซ้ำถ้ากะขนาดไปผิด ส่วนการปั่นในทริปนี้เรื่อยๆแทบไม่ต้องเร่ง จะหนักก็ตอนเบรคตลอดทางไม่ให้ไปชนกับคันหน้า เหมือนแข่งกันช้ามากกว่าใครไปได้ช้ากว่ากัน(อันนี้แซวเล่นๆนะ)คนในทริปก็มีทั้งเด็กและแก่มากรวมกัน แก่สุดคนเป็นลุงสมัยมั้ง มาขำแก่ตอนถึงวัดที่สาม แก่จอดรถแล้วลืมว่าจอดไว้ที่ไหนก็บ่นว่ารถหาย เดินหาไม่เจอ จนทุกคนช่วยกันตามหา ปรากฏว่าจอดไว้ด้านในแล้วแกลืมเอง คนก็แซวแกกันตลอดทาง (แก่ตัวไปก็คงเป็นยังงี้หล่ะมั้งเรา)คนน่ารักๆก็มี ปั่นรถสีชมพูและแต่งตัวสีชมพูด้วย แต่ไม่รู้มากะแฟนรึป่าว ปั่นกันท่าติดกันตลอดทางไม่มีโอกาสชวนคุยเลย (เสียดายอ่ะเป็นคนแพ้สีชมพูซะด้วย)นอกนั่นก็มีอีกคน สุดยอดมากไม่รู้หลงมากับทริปเด็กๆนี่ได้ไง ก็คือ ทัชจัง นักปั่นชาวญี่ปุ่น แต่ปั่นมาตั้งแต่บ้านเค้าข้ามมาเกาหลีออกจีนเข้าลาวเลยมาเขมรทะลุมาไทย แล้วก็จะลงใต้ไปมาเลย์จบที่สิงค์โปร ไม่รู้จะข้ามไปฟิลิปปินกับอินโดด้วยรึป่าว ฟังดูเส้นทางแล้วก็ทึ่ง ชีวิตอยากทำอะไรที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มั่งจัง คุยกะเค้าเรื่องครอบครัวก็ถึงรู้ว่าเค้าไม่มีแฟน พ่อแม่ก็ตายหมด เลยมาใช้ชีวิตแบบนี้ได้ ก็เลยเกาะปั่นกันไปตลอดทริปนี้เลย จบลงที่วัดสุดท้าย แล้วเราเองก็มั่วแต่โทรศัพท์เลยพลัดหลงกับขบวน เค้าออกไปก่อนไม่รู้ไปเส้นไหนพอดีมีคนรั้งท้ายปั่นอยู่ไกลๆก็เลยไล่กวดไป จนทันที่ รพ.กลางเค้าก็หันมาถามว่าไปไหนเราก็บอกว่าจะไปร่วมกับกลุ่มไหว้พระ เค้าก็งงเค้าไม่ได้ปั่นเข้ากลุ่มนั้นเค้ากำลังกลับบ้าน อ่าวเวงแล้วตู หลงกันไปใหญ่ตามผิดคน ก็เลยไม่หากลุ่มแร้ว ปั่นกลับบ้านเลยที่กว่า มาถึงบ้านถึงรู้ว่ากลุ่มปั่นไปรวมลงชื่อถวายพระพรที่ศิริราชกัน(อดเลยเรา)ถึงบ้านก็เลยเซงๆ นอนพักมันซะเลยตั้งแต่เย็น รวมๆแล้ววันนี้ก็ปั่นไปปั่นมาได้ระยะเกือบ60กิโลเลยนะเนี้ย ตั้งแต่ออกจากบ้านไป

ประสบการณ์

Level Junior E (Dst 2250km/3000km)

74.การปั่นเป็นหมู่้คณะแต่ละทริปไม่เหมือนกัน ต้องเชื่อฟังผู้กำหนดทริปและสตร๊าฟในทริปให้ดี รักษากฏเพื่อไม่ให้ใครเอามาว่าที่หลังได้ว่าปั่นเก่งปั่นเยอะซะเปล่าแต่กับไม่มีวินัยในการปั่นเลย
75.เจอคนถูกใจก็ให้ทำความรู้จักกันไว้อาจเป็นเพื่อนกันก็ได้ในภายหลัง ไม่ต้องมานึกเสียดายที่หลังว่าทำไมไม่ทักเค้าไปซะเลยได้จบๆเรื่อง เพราะคนกลุ่มแบบนี้รู้จักและสนิทกันง่ายออก(ไม่แน่ใจนะ กับเพศตรงข้าม ระวังโดนหาว่าหน้าฮิตาชิแล้วกัน)
76.ดูแลรถด้วยหลังจากปั่นทริปไกลๆมานาน เคยบอกไปแล้วนะแต่ย้ำอีกที(รู้ว่าเหนื่อยแต่รถก็ต้องรักษาเข้าใจ๋)


-----------------------------------------------------------------------------
แก้ไขล่าสุดโดย HuggyBeary เมื่อ 06 ก.ย. 2012, 00:41, แก้ไขแล้ว 6 ครั้ง
สันติภาพ เเว่นเเก้ว
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 974
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ก.ค. 2011, 10:17
team: ปั่นกินกาเเฟ
Bike: CAAD

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย สันติภาพ เเว่นเเก้ว »

การใช้ชีวิตทำงาน กลับมาเล่นเกมส์ นอนตี2-3 ตื่น 7 โมง นี้ก็เป็นของผมเหมือนกันครับ เมื่อก่อนนี้ตั้งเเต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ก็เรียนมั่งโดดมั่งเพราะอะไรนะหรือ เหตุผลเดียวครับ ผมติดเกมส์ นั่งเล่นทั้งวันทั้งคืน หิวก็มาม่า เป๊ปซี่ เลย์ อะไรก็ได้ง่ายๆเเล้วกลับไปมันส์ในอารมของตัวเองต่อ เเต่ผมจะต่างจากพี่นิดนึงตรงที่ทุกวันตอนเย็นผมจะไปเตะบอล ว่ายน้ำ ตีเเบต ครับ(ณ ตอนที่ยังเรียน)

พอเรียนจบเริ่มทำงาน ตอนเย็นกลับมาก็ไม่รู้จะทำอะไร เพราะมันเย็นเเล้วเเละเหนื่อยเกินไปที่จะไปออกกำลังกาย ก็เลยกลับเข้าสู่วงจรเดิมก็คือเล่นเกมส์อยากทราบเหตุผลไหมครับว่าทำไม ก็ไม่รู้จะไปทำอะไรนะสิครับ กว่าจะนอนก็อีกยาวนานเลยหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลา เเต่การกลับคราวนี้ผมเล่นมากกว่าเดิมเพราะเราเริ่มมีเงิน เติมเเคชในเกมมากขึ้น ทำงานก็นั่งคิดเเต่ว่าเย็นนี้จะไปทำยังไงให้ชีวิตในเกมส์เจริญรุ่งเรืองน๊า จนทำงานพลาดบ่อยครั้งเเละโดนว่าบ่อยขึ้น จึงกลับมานั่งคิดทบทวนว่าเกิดจากอะไรว๊า (ยังทำเหมือนเป็นคนโง่ พยายามคิดไม่ออกเเละไม่ยอมรับว่ามันเกิดจากเกมส์ เเละสมองผมเริ่มรับรู้เเละจดจำอะไรต่างๆได้น้อยลง หรือลืมไวมาก) เเต่สิ่งสิ่งที่ผมได้รับจากการเล่นเกมส์หลักๆคือ
1.อารมณ์ที่เเปรปวนจนคนรอบข้างรู้สึกว่าเราเเปลกไป อันนี้เรื่องจริงครับ การที่เราเข้าไปคุกคีกับเกมส์นานๆเเล้วมันไม่เป็นไปตามที่เราตั้งใจหวังไว้เราจะอารมเสียหรือหากว่ามันดีหรือเป็นไปตามที่เราหวังไว้วันนั้นทั้งวันเราจะดีจนน่าใจหายนี้คือข้อเสียเเละเหตุผลที่ผมเลิกเล่นเกมส์โดยเด็ดขาด
เเละอย่างที่ 2 เเละสำคัญตอนผมเล่นเกมส์ ผมจะไม่ค่อยได้ตากเเดดผิวผมจะขาวมากจนคนรอบข้างอิจฉาเเต่มันก็ไม่ใช่ประเด็นนี้ไอ้ที่จะบอกคืออย่าดูผมที่ภายนอก เพราะภายในผมเเย่มาก ขึ้นลงบันได 2 ชั้นจะตายเอาให้ได้เลย ผมเลยคิดว่า โห.....เมื่อก่อนวิ่งขึ้นลงบันได 5 ชั้นยังเฉยๆ ทำไมตอนนี้มึงถึงได้อ่อนเเอนักวะ(อารมสมเพสตัวเอง) เเละนี้ก็เป็นอีก 1 เหตุผลที่เลิกเล่นเกมส์
เเละสุดท้าย 3 การที่เราเสียเวลานั่งเล่นเกมส์มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ สมมติว่าผมคือคนเทพที่สุดในเกมส์เเล้ว เจ้าของเขาไม่ประสงค์จะเปิดเซิฟเวอร์ต่อเเล้วผมจะทำยังไง ซึ่งนี้ก็เป็นอีก 1 คำถามที่เกิดขึ้นกับผม ลงทุนไปก็เยอะ ทั้งเงิน ทั้งเวลา ทั้งร่างกาย จิตใจ ผลลัพย์ออกมากเท่ากับศูนย์ครับ ผมเลยเบนเข็มมาเทพนอกจอดีกว่า อยู่กับสิ่งที่เรียกว่าความจริงเเล้วทุ่มเทกับมัน
ผลลัพสุดท้ายผมก็มาลงที่จักรยานครับ ลงทุน ลงเเรง ลงใจ หรือที่เเถวบ้านเรียกว่าบ้านั้นหละครับ คำเดียวกัน เเต่ผลลัพย์ที่ตามมามันเรียกได้ว่า...โอ้จอร์จ มันยอดมาก ได้ทั้งเพื่อน(เพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนในเกมส์ เพื่อนที่เราไม่เคยคิดว่าจะได้มาง่ายขนาดนี้ เเละไม่เคยคิดว่าคนที่ไม่เคยรู้จักกัน จะต้องมาทักกันทุกครั้งที่ขี่ผ่านกัน บอกตรงๆว่าเป็นจุดหนึ่งที่ผมชอบมากๆที่ได้ขี่จักรยาน เเต่ก็ได้พี่ ได้น้อง ได้อาจารย์สอนความรู้ในเรื่องจักรยานเพิ่ม) ได้ร่างกายเฟริมๆคืนมา(บอกตรงๆว่าเพื่อนผมที่เอาเเต่ทำงานไม่ออกกำลังกาย บางคนยังติดเกมส์ หุ่นเเละหน้าตาพวกเขานำหน้าผมไปเยอะเเล้วครับ) ได้เที่ยว ได้สนุก+ความเหนื่อยไปพร้อมๆกัน เเละที่สำคัญได้ประสบการณ์ใหม่ที่ที่คนบางคนไม่เคยคิดจะลองมันทั้งๆที่มันอยู่ใกล้ตัวคุณจะตาย

ผมบอกได้คำเดียวครับ.....ลองดู เเล้วคุณจะรู้
:P
รูปประจำตัวสมาชิก
HuggyBeary
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 635
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2010, 21:46
team: เสือซิงซิง ณ กรุงเทพฯ
Bike: Fuji Lifestyle Sunfire 2.0
ตำแหน่ง: ฝั่งธนฯ ย่านตลาดบางปะกอก
ติดต่อ:

Re: <I'm Huggy> บทนำ... ก่อนที่จะมาเป็น ทีพันโล มนุษย์บ้าพลัง เค้าเคยเป็นแค่คนป่วยที่นับถอยหลัง กับชะตาชีวิตตัวเอง..!!

โพสต์ โดย HuggyBeary »

สันติภาพ เเว่นเเก้ว เขียน:การใช้ชีวิตทำงาน กลับมาเล่นเกมส์ . . . . .
เรื่องมันอีกยาวครับ อันนี้แค่บทนำ .. แต่เท่าที่เล่ามาประสบการณ์วงจรชีวิต ก็คล้ายๆกัน แต่ของพี่จะหนักกว่า้เรื่องอาหาร และการออกกำลังกาย กว่าจะรู้ตัวก็ออกอาการซะแล้ว
ตอบกลับ

กลับไปยัง “ThaiNCC”