@@@ทัวร์ลาวใต้2400กม ออกเดินทางวันนี้ (8 ต.ค) โดย อ. ขวัญใจ @@กับข้อคิดดีๆในการดำเินินชีวิต ที่ทุกท่านควรอ่านจาก พี่แดง สารภี ครับ

จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440

ผู้ดูแล: เอ็ม.เจ.ไบค์ นครปฐม

กฏการใช้บอร์ด
จำหน่ายจักรยาน(เก่าญี่ปุ่น) เสือภูเขาโครโมลี-อลูมิเนียมแบบตะเกียบ พร้อมซ่อมและโมดิฟายด์เสือภูเขาทางเรียบ-จักรยานเดินทางไกล โทร. 0814881440
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

อินทนนท์

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพรูปภาพรูปภาพ

:idea: :idea: เราสามคนส่งคณะถึง อ.สันป่าตอง เนื่องจาก อ.โอ๊ค ติดงานการสอนภาคบ่าย ลุงป๊อก แขกจากเยอรมันจะมาพักที่บ้าน ส่วนผมนั้นติดงานสังคม(งานแต่งงานลูกสาวเพื่อนรัก) ก็เลยไม่ได้ร่วมปั่นขึ้นอินทนนท์ และครั้งแรกเป้าหมายเราจะปั่นไปส่งจนถึง อ.จอมทอง(ที่พักวัดน้ำต้อง) แต่เกรงว่าจะกลับไม่ทันเวลาสอนของ อ.โอ๊ค ก็เลยเอาแค่สันป่าตอง ขากลับเราทั้งสามแวะไปเยี่ยมสวนลุงหมื่น สวนนี้แกสร้างมาหลายปีแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะเสร็จ คงเดินหน้าการก่อสร้างไปเรื่อย ๆ และยิ่งใหญ่มากขึ้น ๆ ใครไปภาคเหนืออย่าลืมแวะไปชื่นชมได้ หรือใครจะไปเช่าสถานที่เพื่อจัดงานต่าง ๆ ก็ไปติดต่อประสานได้สถานที่สวยงามน่าไปทัศนาพอสมควรครับ


รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:o :o ที่นี่เขาจะเน้นเรื่องของศิลปะและไม้พันธ์หายาก อย่าลืมกันนะครับขึ้นเชียงใหม่แวะลำพูนไปเที่ยวให้ได้ครับ ได้ทั้งความงามและความรู้ เสียอย่างเดียวไม่มีไกด์อธิบายเท่านั้น ช่วงนี้เข้าชมฟรีครับอีกไม่ช้าคงเก็บเงินแน่ ๆ :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:( :( ปีนี้เป็นปีแรกที่ผมไม่ได้ปั่นขึ้นอินทนนท์ เพราะมีงานสำคัญเรียงแถวให้มีอันต้องพลาด ก็เรื่องของสังคมซึ่งผมพูดเสมอ ๆ ว่า "มนุษย์เป็นสัตว์สังคม" อยู่ที่ไหน ๆ ก็ต้องกลับมาเพราะเป็นงานแต่งงานลูกสาวเพื่อนรัก สมัยเรียนด้วยกันตั้งแต่ชั้นมัธยม "ชั่วดีอย่างไร เราต้องรักกัน รักกัน" นี่เป็นท่อนหนึ่งของเพลงมาร์ชประจำโรงเรียน ครูสมัยนั้นสอนนักเรียนด้วยวิญญาณของความเป็นครู ท่านถ่ายทอดความรู้ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้กับเด็กนักเรียนแบบชนิดว่าฝังแน่น พวกเราไม่มีวันลืมและพวกเราก็ออกมาดำเนินชีวิตได้ดิบได้ดีกันเป็นส่วนมาก แม้จะใหญ่โตแค่ไหนมีหน้าที่การงานสูงเพียงใดอย่างไร เราก็คือเพื่อนกันจะไม่ลืมกัน เป็นความผูกพันที่ลึกซึ้งครับ :) :D

รูปภาพ รูปภาพ

:idea: :idea: อาริสโตเติล(Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีก กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทั้งนี้เขาเชื่อว่า มนุษย์โดยสภาพธรรมชาติจะต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันกับบุคคลอื่น ๆ ติดต่อสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างอิสระตามลำพังแต่ผู้เดียวได้ สังคมจึงเกิดขึ้น

อุทัย หิรัญโต ได้เสนอไว้ว่า มนุษย์ทุกคนย่อมเกิดมาในหมู่คน ดำรงชีวิตอยู่ในหมู่คน และต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนอื่น มนุษย์จะอยู่โดดเดี่ยวไม่สัมพันธ์กับคนอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยทารก วัยเด็ก :idea: :idea:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

อินทนนท์

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:( :( ปีนี้การแข่งขันขึ้นอินทนนท์เป็นปีที่ ๙ ผมขึ้นมาแล้ว ๕ ครั้งแต่ครั้งนี้มีงานสำคัญที่มาตรงกัน ก็เลยอดขึ้น แต่ก็นับเป็นการโชคดีที่ผมได้ติดตามการถ่ายทอดสดดูแล้วตื่นเต้นสนุกสนานมาก เพราะการถ่ายทอดสดได้ให้ความรู้ควบคู่ไปด้วย ต้องชื่นชมผู้บรรยายทั้ง ๓ ท่านที่มาร่วมให้ความรู้เมื่อวานนี้ครับ ปีนี้เช่นกันที่ทีม M.J.นำโดยท่านประธาน เมธา เปรมแสง พร้อมศรีภรรยาและ น้องฝ้าย บุตรสาวคนสวยมาร่วมในการแข่งขันด้วย นอกจากนี้ทีม รักรถรักธรรมพิษณุโลก ได้ปั่นกันมาจากพิษณุโลกมาขึ้นอินทนนท์ให้กำลังผู้เข้าแข่งขันเช่นกัน ขณะที่ผมกำลังส่งรายงานนี้ ทีมน่าใกล้ถึงพืษณุโลกแล้วครับ มาดูภาพการถ่ายทอดสดครับ :) :)

รูปภาพผู้บรรยายการถ่ายทอดสด

รูปภาพนักกีฬาเข้าจุดปล่อยตัวที่หน้าที่ว่าการอำเภอจอมทอง

รูปภาพ

รูปภาพจำนวนนักกีฬาที่สมัครมียอดถึง ๕,๐๐๐ คนมากเป็นประวัติการ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

และนี่คือทีม M.J.ที่นำโดยคุณ เมธา พร้อมศรีภรรยา บุตรสาว และลูกทีมอีกรวม ๘ ชีวิตร่วมในการแข่งขันด้วย และอีกหนึ่งทีม ๓ คนที่ขึ้นไปรออยู่บนยอดดอยแล้วแต่ ๒๐ ก.พ.ในวันแข่งขันก็ได้ไหลลงมาสวนทางกันเพื่อให้กำลังใจ พบกันก็ทักทายกันนิดหน่อย ก่อนจะแยกจากกัน(หนึ่งขึ้น หนึ่งลง) :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

สำหรับผมนั้นมีงานสังคมที่จำเป็นจริง ๆ ไม่สามารถร่วมปั่นขึ้นไปรอเชียร์กับพรรคพวกได้ครับเป็นงานแต่งงาน เพื่อนครูบ้านเดียวกันแต่งที่โรงแรม ดิเอ็มเพลส ในเมืองเชียงใหม่ครับ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพรูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

ปีหน้ามีแผนจะขึ้นด้านข้างดอย ทางหมู่บ้านขุนวิน ซึ่งน่าจะเป็นเส้นทางที่โหดที่สุดสำหรับเส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ พวกเราเคยปั่นขึ้นด้านหลังอินทนนท์เมื่อปีที่แล้ว นับว่าโหดพอสมควร สำหรับเส้นด้านข้างดังกล่าวไปสำรวจมาแล้วโหดกว่าด้านหลัง ปีหน้าไปกันนะครับ เตรียมตัวเตรียมใจไว้ไม่ผิดหวังครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ความรวย

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:( :( ในภาพคนสรวมเสื้อสีแดง เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันสมัยขาสั้น(มัทธยม) ปั่นจักรยานด้วย ถูกมอไซด์มาเกี่่ยวแฮนด์กระชากล้ม บาดเจ็บนอน รพ. ๓ คืน ปรากฏกระดูกหลังเคลื่อนเชิงกรานร้าว หมอให้พักรักษาตัว ๓ เดือน แม่บ้านโกรธมากแต่ตัวเพื่อนเองไม่โกรธกลับให้อภัยคนมาเฉี่ยว และไม่เอาเรื่องบอกสงสารเขา(คนจน)เรานัดรวมตัวกันไปเยี่ยม แต่เจ้าตัวขอเลื่อนวันเยี่ยมและเนื่องด้วยผมเองต้องมีภารกิจอีกหลายอย่าง จึงถือโอกาสปั่นจักรยานไปเยี่ยม(บ้านเราห่างกันประมาณสิบกว่าโล) ไปถึงก็ได้รับคำฟ้องจากแม่บ้านพะเรอเกวียน ก็ได้แต่ปลอบใจให้ถือเป็นคราวเคราะห์และต่อแต่นี้ไปก็จะหมดทุกข์หมดโศรก หายแล้วก็ค่อยกลับไปปั่นได้ ได้รับคำตอบว่า "ต่อไปจะไม่ให้ออกไปปั่นอีกแล้ว" ต้องรีบล้างสมองใหม่และทำความเข้าใจ ว่า "เมื่อถึงคราวตายวายชีวา อนิจจาไม้จิ้มฟันถิ่มเหงือกยังเสือกตาย" และบอกถ้ารักเพื่อนอยากให้อยู่นาน ๆ ปล่อยเขาปั่นและให้ไปปั่นแบบ "ทัวร์ริ่ง" ไม่ใช่ปั่นแบบที่ปั่นทุกวัน ๆ (พวกนี้ชอบความเร็ว) เป็นอันว่าตกลงตามนั้นก็มาติดตามครับว่า เมื่อหายแล้วจะออกทัวร์เหมือนที่เราออกกันหรือเปล่า :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพบ้านเป็นฟาร์เลี้ยงหมูที่ใหญ่ที่สุดใน ต.บ้านธิ ลำพูน โรงงานราคานับร้อยล้าน เพื่อนคนนี้ก็ถือได้ว่าเป็นคหบดีคนหนึ่ง แต่จิตใจดีงามมากรักเพื่อนมีเมตตาอารีกับทุกคน คนงานก็คนในหมู่บ้านแต่งานที่มอมแมมคนไทยเราสู้ต่างชาติไม่ได้ คนงานต่างชาติก็ต้องทำทะเบียนให้ถูกต้อง เมื่อถึงจุดอิ่มตัวอยากจะผ่องถ่ายให้ทายาท แต่ก็ยังไม่สามารถผ่องถ่ายได้เต็มที่นักทุกวันนี้บ่น "เหนื่อย" อยากปล่อยวางมาใช้ชีวิตแบบที่ผมสองคนตา - ยาย กำลังดำเนินอยู่(ปั่นธุดงค์) :lol: :lol:

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:idea: :idea: “ความรวย” เป็นความใฝ่ฝันของผู้คนทั่วไป ซึ่งเริ่มจาก การได้ทำงานดีๆ มีเงินเดือนสูงๆ หรือมีธุรกิจของตนเอง จะได้มีเงินเยอะๆ เมื่อรวยแล้ว ชีวิตจะได้สบาย

แต่ว่า “คนรวยที่แท้จริง” ต้องมีเงินเท่าไหร่กัน ? ในยุคปัจจุบัน “ความร่ำรวยที่แท้จริง” ไม่ได้วัดจาก “จำนวนเงินที่มี” แต่วัดจาก “อิสรภาพ” ที่ได้รับต่างหาก

ความร่ำรวยที่แท้จริง “4 วิถี สู่อิสรภาพ”


คงถึงเวลาทบทวนแล้วว่า โลกนี้กำลังต้องการแนวคิดของ “ความร่ำรวย” ในรูปแบบใหม่หรือเปล่า คนที่มี “ความร่ำรวยที่แท้จริง” อาจดูได้จาก 4 วิถีการใช้ชีวิต ดังนี้

1. ความร่ำรวย ทางอารมณ์

คนรวยที่แท้จริง คือคนที่ “ไร้ความกังวลในเรื่องเงิน” เขาสามารถควบคุมอารมณ์ภายในให้สดใสเบิกบานได้ การที่เขามีอารมณ์ดีเป็นประจำ ก็จะทำให้พบแต่ประสบการณ์ดีๆในชีวิต ไม่จำเป็นต้องรวยร้อยล้านพันล้าน ถึงจะปราศจากความกังวลในเรื่องเงิน ขอเพียงรู้จักบริหารเงินให้มีเหลือใช้ในทุกเดือน ไม่ยึดติดกับวัตถุภายนอกที่อาจสูญเสียไปเมื่อไหร่ก็ได้ รู้จักพึ่งพาตัวเองมากกว่าพึ่งพาคนอื่น เมื่อมี “ความร่ำรวยทางอารมณ์” ก็จะไม่ขี้กลัว ไม่หงุดหงิดจิตตก ไม่ห่อเหี่ยวนานๆ จะมีความชัดเจนในชีวิต มีแรงบันดาลใจ มีความคิดสร้างสรรค์ มีพลังข้างในที่ผลักดันในตัวเองอยู่เสมอ และมีประสิทธิภาพในการทำงานให้สำเร็จได้อย่างสูง

2. ความร่ำรวย ด้านเวลา

เวลาคือสิ่งที่มี “ราคา” มากที่สุด เพราะชีวิตมีวันหมดอายุ จึงไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับเวลาที่หมดไปแต่ละปีๆ หากเราไม่ใช้ชีวิตที่เราเลือก เราก็กำลังผลาญเวลาในชีวิตของตัวเองลงไปเปล่าๆ คนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริง สามารถเลือกวิถีชีวิตที่สามารถเป็นผู้กำหนดตารางเวลาของตัวเองได้ ว่าจะตื่นกี่โมง ทำงานกี่โมง พักผ่อนเมื่อไหร่ ไม่ต้องให้คนอื่นเป็นผู้กำหนด ไม่ต้องตื่นเช้าฝ่ารถติดบนถนน ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนเพื่อไปพักผ่อนในวันหยุดยาว เมื่อมี “ความร่ำรวยด้านเวลา” ทำให้เค้าใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่นได้มากที่สุด

3. ความร่ำรวย ไม่จำกัดด้วยสถานที่

คนรวยที่แท้จริง สามารถจะอาศัยอยู่ที่ใดก็ได้ หรือเดินทางเมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินมากมายที่จะใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว แต่เป็นเพราะพวกเค้ามีเวลา มีพลังเหลือเฟือ จึงสามารถเลือกที่จะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้ พวกเค้าเป็นเจ้าของชีวิตตัวเองอย่างแท้จริง จึงสามารถทำงาน ใช้ชีวิตและพักผ่อนได้ทุกที่ และทุกเวลาเมื่อมี “ความร่ำรวย ที่ไม่จำกัดด้วยสถานที่” ทำให้เค้าได้รู้จักออกไปใช้ชีวิต พบปะผู้คน ไม่ต้องทนอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมๆ ได้มีโอกาสพบเห็นสิ่งแปลกใหม่ๆ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมและวิถีชีวิตอันหลากหลายในโลก เป็นอิสรภาพที่เค้ากำหนดได้ด้วยตัวเอง

4. ความร่ำรวย ในการให้

สุดยอดตัวชี้วัดของการเป็นคนรวยที่แท้จริงคือ “ความสามารถในการให้และแบ่งปัน” ไม่ว่าจะเป็นการให้เวลา ให้แรงงาน ให้เงิน หรือแบ่งปันความสุขที่มีแผ่กระจายไปสู่ผู้คนรอบๆตัว คนที่มั่งคั่งนั้นเป็นผู้เหลือเฟือที่จะให้ ไม่จำเป็นว่าเค้าต้องมีเงินมากมาย เพียงแต่ว่ามันมากพอที่จะแบ่งปันออกไปได้ แม้บางคนมีมากมายก็ยังไม่สามารถให้คนอื่นรได้ เพราะลึกๆแล้วในจิตใจ เค้ายังรู้สึกว่ามีไม่พอนั่นเอง เมื่อมีความมั่งคั่งในการให้ ย่อมจะเติมเต็มคุณค่าและความหมายในชีวิต เค้าจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งของตัวเองอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ได้วัดจากจำนวนเงินที่มีหรือมูลค่าสิ่งของที่ครอบครองอย่างใดเลย

แนวคิดจากหนังสือ The New Meaning of Rich: Four Principles of Wealth That Will Change Your Life by Evan Tarver เรียบเรียงโดย เรือรบ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

สัมมาทิฏฐิ

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

:shock: :shock: ศาลจำคุก 13 ปี 4 เดือน 'สรยุทธ' คดีไร่ส้ม

29 ก.พ. - ศาลชั้นต้นสั่งจำคุก นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ดำเนินรายการข่าวชื่อดัง และพวก 13 ปี 4 เดือน, อดีตพนักงานจัดคิวโฆษณา อสมท. 20 ปี ไม่รอลงอาญา พร้อมปรับบริษัทไร่ส้ม 80,000 บาท ในคดีบริษัทไร่ส้มโกงเงินโฆษณา อสมท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษา จากกรณีฟ้องร้องบริษัทไร่ส้ม จำกัด ของ นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. สรุปสำนวนชี้มูลความผิด นายสรยุทธ กรรมการผู้จัดการบริษัท และเจ้าหน้าที่ อสมท. กับพวก ร่วมกันสนับสนุนยักยอกเงินโฆษณา ทำให้บริษัท อสมท.จำกัด (มหาชน) เสียหายกว่า 138 ล้านบาท

วันนี้ ศาลได้สั่งจำคุกนายสรยุทธกับลูกน้อง 20 ปี ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน ส่วนอดีตคน อสมท คุก 30 ปี ลดเหลือ 20 ปี ไม่รออาญา ปรับไร่ส้ม 80,000 บาท


;) ;) หนังชีวิตเขาดูกันนาน ๆ ก็จับตาดูกันต่อไป นี่เป็นยกที่ ๑ ครับ เราติดตามชม ยกที่ ๒ และ ๓ ต่อไป สิ่งที่เตือนใจเราคือจะทำอะไร ๆ ขอให้เห็นถูกต้องตามทำนองครองธรรม ทั้งทางโลกและทางธรรมก็จะลดปัญหาที่ตามมาได้ และจะรู้ว่าถูกต้องตามทำนองต้อง เห็นถูกเห็นชอบ หรือที่พระท่านมักสอนเราว่า มีสัมมาทิฏฐิ เรามาดูสัมมาทิฏฐิกันครับ

สัมมาทิฏฐิ หมายถึง เห็นชอบ ได้แก่ ความรู้อริยสัจ ๔ หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือ รู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมข้อแรกของมรรคมีองค์ ๘

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ มีดังนี้ ปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ (ทางเกิดแห่งแนวคิดที่ถูกต้อง, ต้นทางของความดีงามทั้งปวง : sources or conditions for the arising of right view)

๑. ปรโตโมสะ (เสียงจากผู้อื่น การกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังคำแนะนำสั่งสอน เล่าเรียนความรู้ สนทนาซักถาม ฟังคำบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร : another’ s utterance; inducement by others; hearing or learning from others)

๒. โยนิโสมนสิการ (การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้น ๆ หรือปัญหานั้น ๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย : reasoned attention; systematic attention; genetical reflection; analytical reflection)

จาก...พจนานุกรมพุทธศาสน์ ของ ท่าน ป.อ.ปยุตโต
:idea: :idea:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

สุริยุปราคา

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

:idea: :idea: ในวันที่ ๙ มีนาคม ที่จะถึงนี้จะมีปรากฏการณ์ธรรมชาติเกิดขึ้นในโลก ประเทศไทยก็จะได้เห็นปากฏการณ์นี้เช่นกัน และเมืองไทยเราชื่นชอบกับการทำนายปรากฏการณ์ต่าง ๆ (หมอดู) กรณีเกิดสุริยุปราคานี้มักจะทำนายไปในทางร้าย ในฐานะที่เรียนทางพุทธศาสตร์มาจึงได้ค้นคว้าบทความที่น่าสนใจ เป็นเหตุเป็นผลจึงอยากจะนำมาให้ผู้ที่ติดตามและเข้ามาเยี่ยมชมในกระทู้นี้ ให้ได้เกิดประโยชน์ไปด้วย

อรรถกถา นักขัตตชาดก
ว่าด้วย ประโยชน์คือฤกษ์

พระบรมศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอาชีวกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนนฺตํ เป็นอาทิ.

ได้ยินว่า กุลบุตรชาวบ้านนอกผู้หนึ่ง ไปขอกุลธิดานางหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ให้แก่ลูกชายของตน นัดหมายวันกันว่า ในวันโน้น จักมารับเอาตัวไป. ครั้นถึงวันนัด จึงถามอาชีวก ผู้เข้าไปสู่ตระกูลของตน ว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ วันนี้ พวกผมจักทำมงคลอย่างหนึ่ง ฤกษ์ดีไหมครับ.

อาชีวกนั้นโกรธอยู่แล้วว่า คนผู้นี้ ครั้งแรกไม่ถามเราเลย บัดนี้ เลยวันไปแล้ว กลับมาถามเรา เอาเถิด จักต้องสั่งสอนเขาเสียบ้าง. จึงพูดว่า วันนี้ ฤกษ์ไม่ดี พวกท่านอย่ากระทำการมงคล ในวันนี้เลย ถ้าขืนทำจักพินาศใหญ่.

พวกมนุษย์ในตระกูลพากันเชื่ออาชีวกนั้น ไม่ไปรับตัวในวันนั้น. ฝ่ายพวกชาวเมืองจัดการมงคลไว้พร้อมแล้ว ไม่เห็นพวกนั้นมา ก็กล่าวว่า พวกนั้นกำหนดไว้วันนี้ แล้วก็ไม่มา แม้การงานของพวกเรา ก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว เรื่องอะไรจักต้องไปคอยพวกนั้น จักยกธิดาของเราให้คนอื่นไป แล้วก็ยกธิดาให้แก่ตระกูลอื่นไป ด้วยการมงคลที่เตรียมไว้ นั้นแหละ.

ครั้นวันรุ่งขึ้น พวกที่ขอไว้ก็พากันมาถึง แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงส่งตัวเจ้าสาวให้พวกเราเถิด. ทันใดนั้น ชาวเมืองสาวัตถีก็พากันบริภาษพวกนั้นว่า พวกท่านสมกับที่ได้ชื่อว่า เป็นคนบ้านนอก ขาดความเป็นผู้ดี เป็นคนลามก กำหนดวันไว้แล้ว ดูหมิ่นเสีย ไม่มาตามกำหนด เชิญกลับไปตามทางที่มากัน นั่นแหละ. พวกเรายกเจ้าสาวให้คนอื่นแล้ว.

พวกชาวบ้านนอกก็พากันทะเลาะกับชาวเมือง ครั้นไม่ได้เจ้าสาว ก็ต้องพากันไปตามทางที่มา นั่นเอง. เรื่องที่อาชีวกกระทำอันตรายงานมงคลของมนุษย์เหล่านั้น ปรากฏว่ารู้กันทั่วไปในระหว่างภิกษุทั้งหลาย. และภิกษุเหล่านั้นประชุมกันในธรรมสภา นั่งพูดกันว่า อาวุโสทั้งหลาย อาชีวกกระทำอันตรายงานมงคลของตระกูลเสียแล้ว. พระศาสดาเสด็จมา แล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอกำลังสนทนากันด้วยเรื่องอะไร? ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว. ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่อาชีวกกระทำอันตรายงานมงคลของตระกูลนั้นเสีย แม้ในกาลก่อน ก็โกรธคนเหล่านั้น กระทำอันตรายงานมงคลเสียแล้ว เหมือนกัน แล้วทรงนำเอา เรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุงพาราณสี ชาวพระนครพากันไปสู่ขอธิดาของชาวชนบท กำหนดวันแล้ว ถามอาชีวกผู้คุ้นเคยกันว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ วันนี้ ผมจะกระทำงานมงคลสักอย่างหนึ่ง ฤกษ์ดีไหมขอรับ. อาชีวกนั้นโกรธอยู่แล้วว่า คนพวกนี้กำหนดวันเอาตามพอใจตน บัดนี้ กลับถามเรา คิดต่อไปว่า ในวันนี้ เราจักทำการขัดขวางงานของคนเหล่านั้นเสีย แล้วกล่าวว่า วันนี้ ฤกษ์ไม่ดี ถ้ากระทำการมงคลจักพากันถึงความพินาศใหญ่. คนเหล่านั้นพากันเชื่ออาชีวก จึงไม่ไปรับเจ้าสาว. ชาวชนบททราบว่า พวกนั้นไม่มา ก็พูดกันว่า พวกนั้นกำหนดวันไว้วันนี้ แล้วก็ไม่มา ธุระอะไรจักต้องคอยคนเหล่านั้น แล้วก็ยกธิดาให้แก่คนอื่น.

รุ่งขึ้น ชาวเมืองพากันมาขอรับเจ้าสาว ชาวชนบทก็พากันกล่าวว่า พวกท่านขึ้นชื่อว่า เป็นชาวเมือง แต่ขาดความเป็นผู้ดี กำหนดวันไว้แล้ว แต่ไม่มารับเจ้าสาว เพราะพวกท่านไม่มา เราจึงยกให้คนอื่นไป.

ชาวเมืองกล่าวว่า พวกเราถามอาชีวกดู ได้ความว่า ฤกษ์ไม่ดีจึงไม่มา จงให้เจ้าสาวแก่พวกเราเถิด. ชาวชนบทแย้งว่า เพราะพวกท่านไม่มากัน พวกเราจึงยกเจ้าสาวให้คนอื่นไปแล้ว คราวนี้จักนำตัวเจ้าสาวที่ให้เขาไปแล้วมาอีกได้ อย่างไรเล่า?

เมื่อคนเหล่านั้นโต้เถียงกันไป โต้เถียงกันมา อยู่อย่างนี้ ก็พอดี มีบุรุษผู้เป็นบัณฑิตชาวเมืองคนหนึ่ง ไปชนบทด้วยกิจการบางอย่าง ได้ยินชาวเมืองเหล่านั้นกล่าวว่า พวกเราถามอาชีวกแล้ว จึงไม่มาเพราะฤกษ์ไม่ดี ก็พูดว่า ฤกษ์จะมีประโยชน์อะไร เพราะการได้เจ้าสาวก็เป็นฤกษ์อยู่แล้ว มิใช่หรือ? ดังนี้แล้ว กล่าวคาถานี้ ความว่า :-

“ ประโยชน์ผ่านพ้นคนโง่ ผู้มัวคอยฤกษ์ยามอยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดวงดาวทั้งหลาย จักทำอะไรได้ ” ดังนี้.

อ่านบทความเต็ม ๆ ได้ในเวปป์นี้ครับ http://www.rojn-info.com/misc/%E0%B8%9E ... B8%A3.html
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

สุริยุปราคา

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

:( :( ผมไปอยู่ภูแสงจันทร์เชียงรายแต่วันที่ ๖ มี.ค.ได้เห็นปรากฏการณ์สุริยุปราคาเพียงเสี้ยวเดียว เนื่องจากไม่ได้เตรียมอุปกรณ์(ประมาท)คิดว่าคงหาได้พอเอาเข้าจริง ๆ ไขว่คว้าอะไรไม่ได้เลย เสียดายมาก ๆ ครับ สุดท้ายได้แค่ช่วงเข้านิดเดียว ก็นับว่าไม่เสียเที่ยวต้องรออีก ๓ ปีจึงจะได้เห็น ไม่รู้จะอยู่ถึงหรือไม่ ๕๕๕. :lol: :lol:
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

พระหมา

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

:lol: :lol: โดนแล้ว พระหนูที คนดังโซเชียล! พาหมาบิณฑบาต ตร.จับทารุณสัตว์ (ว่าแล้วโดนจนได้) :lol: :lol:


สาวใหญ่แปดริ้วทนดูไม่ไหว แจ้งจับ‘พระหนูที’หลวงตาคนดังที่เคยเป็นข่าวเดินบิณฑบาตกับสุนัข ขับรถตู้ตระเวนไปทั่ว หวิดปะทะหลังจะเข้าไปอุ้มหมา 3 ตัว ที่ถูกใช้งานจนบักโกรก แจ้งข้อหาทารุณกรรมสัตว์ สารภาพเอง ใช้หมาบังหน้าหากิน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 14 มี.ค. 59 ที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ร.ต.ท.หญิง กรรณิการ์ ทวีศรี รอง สว. (สอบสวน) สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ได้รับแจ้งจาก น.ส.ชื่นใจ บูชาธรรม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 41/2 ถนนพระยาศรีสุนทร ต.หน้าเมือง อ.เมืองฉะเชิงเทราว่า พบพระรูปหนึ่งกระทำทารุณกรรมสุนัขที่บริเวณวัดโสธรวรารามวรวิหาร จึงประสานสายตรวจเข้าตรวจสอบ

พบพระหนูที สุตธัมโม หรือ หลวงตาหนูที อายุ 67 ปี พระลูกวัดจันทราทิพย์ จ.อุดรธานี พระชื่อดังในโลกโซเชียลที่เคยมีเจ้าสมหวัง สุนัขพันธุ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์ เดินลากรถเข็น และเป็นข่าวมาก่อนหน้านี้ เดินบิณฑบาตอยู่บริเวณหน้าวัดโสธรวรารามฯ โดยมีสุนัขเพศผู้ พันธุ์บางแก้ว เดินลากรถเข็นรับของบิณฑบาต ซึ่งพระหนูที เมื่อเห็นตำรวจก็พยายามจะหลบหนีโดยรีบเดินไปที่รถตู้อีซูซุ สีครีม ทะเบียน ฒว 9319 กรุงเทพมหานคร ของตัวเองที่ขับมาจอดอยู่ข้างวัด จึงประสานให้เจ้าหน้าที่ภายในวัดช่วยกันควบคุมตัว และเชิญมาสอบสวนที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา

ต่อมา น.ส.ชื่นใจ บูชาธรรม ได้ตามมาแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับพระหนูที ในข้อหาทารุณกรรมสัตว์ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ ซึ่งมีระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ แต่พอมาเจอหน้ากัน ทั้งสอง คือ น.ส.ชื่นใจ กับ พระหนูที ได้มีปากเสียงทะเลาะอย่างรุนแรง จนทางตำรวจต้องเข้าห้ามปราม

ขณะเดียวกัน ได้มีนายธีรพงษ์ อินทร์พันธ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดฉะเชิงเทรามาพบและพาพระหนูที ไปเข้านมัสการพระปัญญาวิสุทธิโมลี รองเจ้าอาวาวัดเทพนิมิตร เจ้าคณะอำเภอท่าตะเกียบ-แปลงยาว เพื่อพูดคุย โดยพระหนูที บอกว่าที่นำสุนัขมาเดินลากรถเข็นนั้น ทีแรกเพราะเห็นว่าไม่มีใครดูแลสุนัข โดยมีเจ้าสมหวัง สุนัขพันธุ์โกลเดนรีทรีฟเวอร์ เป็นสุนัขตัวแรก ซึ่งทำให้เวลาไปไหนมาไหน มีชาวบ้านชอบใจใส่บาตรให้ทุกครั้งที่พบเห็น แต่ต่อมาเจ้าสมหวังเริ่มไม่ไหว ทำให้หลายคนเริ่มไม่พอใจ และไม่ชอบที่เห็นตนทำทารุณกับเจ้าสมหวัง จึงไปหาสุนัขตัวอื่นมาแทน แล้วฝึกให้ลากรถเข็น

นอกจากนี้ พระหนูที ยังยอมรับด้วยว่า การที่นำสุนัขมาเดินลากรถเข็นก็เพื่อให้คนที่พบเห็นสงสารจะได้ทำบุญ โดยใช้ความสงสารสุนัขเป็นจุดขาย ทำแบบนี้เรื่อยมาโดยไม่สนใจคำพูดของคนที่พบเห็น หลายครั้งถูกชาวบ้านแจ้งความจับ แต่ก็หลบหนีได้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้หนีไม่ทัน จึงถูกนำตัวมาที่โรงพัก

ทางด้านพระปัญญาวิสุทธิโมลี ได้สอบถามเรื่องที่พระหนูที ขับรถยนต์เอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม พระหนูทีก็อ้างว่าไม่มีคนขับให้ อีกทั้งจะขับรถไปเรื่อยๆ โดยมืดที่ไหนพักที่นั่น ไม่เคยก่อความเดือดร้อนให้กับใคร จนสุดท้ายได้มีการขอร้องให้เลิกพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ในเรื่องการขับรถ การนำสุนัขเดินลากรถเข็นเพื่อบังหน้าบิณฑบาต และให้พระหนูทีกลับไปยังวัดใน จ.อุดรธานี โดยไม่ให้เดินทางยังที่อื่นอีก ซึ่งพระหนูทีก็ยอมรับปฏิบัติตาม ก่อนจะกลับไปที่ สภ.เมืองฉะเชิงเทรา เพื่อรับทราบข้อหา

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับถึงโรงพัก และเดินมาที่รถตู้ ได้มี น.ส.สุชาดา ชนะวรรณ อายุ 46 ปี ชาวบ้านที่ยืนดูเหตุการณ์ และสงสารสุนัขที่อยู่ในรถ จึงขออนุญาตตำรวจขึ้นไปช่วยเหลืออุ้มสุนัขออกจากรถ แต่พระหนูทีไม่ยอม ทำให้เกิดการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง จนเกือบถึงขั้นลงไม้ลงมือ ทางตำรวจต้องเข้าห้ามปรามอีกครั้ง ก่อนจะนำตัวพระหนูทีไปสงบสติอารมณ์ภายในห้องสืบสวน

ฝ่าย น.ส.สุชาดา ได้เข้าช่วยอุ้มสุนัขที่ถูกขังในรถจำนวน 3 ตัว ออกมา โดยตัวแรกเป็นลูกสุนัข สีดำ เพศผู้ มีอาการขาหลังเดินไม่ได้ ตัวที่สองเป็นลูกสุนัขโกลเดนรีทรีฟเวอร์ สีทอง ตาฝ้าฟางมองไม่ค่อยเห็น ส่วนตัวสุดท้ายเป็นสุนัขพันธุ์บางแก้ว สีดำ-ขาว โดยมีอาการเดินไม่ค่อยไหวเพราะถูกให้ใช้ลากรถเข็น ก่อนจะนำทั้ง 3 ตัว ย้ายเข้าไปในรถเก๋งของ น.ส.ชื่นใจ ที่ขอรับไปเลี้ยง พร้อมกับมีการประสานไปทางมูลนิธิเกี่ยวกับคนรักสุนัขเข้ามาดูแล เพื่อให้สุนัขมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พ.ต.อ.ธราเทพ ตูพานิช ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา กล่าวว่า เบื้องต้นได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาทารุณสัตว์ไว้ก่อน แล้วทำประวัติไว้ ไม่ได้ควบคุมตัวเนื่องจากเป็นพระสงฆ์ จึงต้องปล่อยตัวไป แต่จะรีบรวบรวมหลักฐาน เพื่อแจ้งดำเนินคดีตามกฎหมายและห้ามไม่ให้พระหนูทีกระทำการใช้สุนัขไปหากิน หรือนำไปเดินบิณฑบาตอีก เพราะถือเป็นเรื่องที่ผิด


รูปภาพ

:o :o พบเห็นในเวปป์หลาย ๆ เวปป์ ล้วนแต่ชื่นชมหนำซ้ำนำไปเปรียบเปรยกับ "คน" ซึ่งก็น่าเห็นใจใหม่ ๆ ผมก็ชื่นชมแต่เมื่อพิจารณาโดยรอบคอบตลอดจนเข้าไปศึกษาตามแบบอย่างพ่อ-แม่-ครูบาอาจารย์แล้ว ท่านพูดคำเดียวว่า "ผิด" ผมจึงคิดว่าไม่ช้านานต้องเป็นประเด็นแน่นอน จึงได้ติดตามเรื่องมาโดยตลอดในที่สุดเป็นดังที่ผมนำมาเสนอ เพือจะได้เป็นกรณีศึกษาหลาย ๆ เรื่องที่พวกเราไม่รู้แล้วพากันเห็นดีเห็นงามไปด้วย ต่อไปนี้มีแนวคิดนะครับว่า ถ้าสิ่งใดที่เราพิจารณาแล้วมีความ "สงสัย ลังเล ไม่แน่ใจ ฯ ให้หยุดคิดสักนิดก่อนจะนำมาโพสต์หรือนำมาเสนอ" ท่านปัญญา นันทภิกขุ เคยบอกผมไว้แต่นานมาแล้วว่า "โลกเราเต็มไปด้วยคนไม่ฉลาด" ศาสนาจะมัวหมองเพราะความไม่ฉลาดของคนเราชาวพุทธนี่แหละ ห้ามพูดว่าศาสนาเสื่อมเป็นอันขาด พุทธศาสนาเป็นศาสนาของ"มนุษย์" ดังนั้นความเป็น "คน" จึงยากที่จะเข้าถึง เรามาร่วมสร้างคน ให้เป็นมนุษย์ กันเถิด เพื่อจะได้เข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์กันเสียทีครับ(ผิดพลาดเมตตา อภัยด้วยครับ) :) :D

รูปภาพ รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

อุบัติเหตุลำปาง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: ชีวิตอย่าประมาทภัยรอบด้านให้ระมัดระวังกันนะครับ :idea: :idea:


:( :( ......... https://www.youtube.com/watch?v=ijfVJkYf5NE....... :( :(


ลำปาง - คนขับรถทัวร์ บขส.ที่มาวิ่งรับผู้โดยสารแทนสายเชียงใหม่-กรุงเทพฯ ยอมรับเข้าเกียร์ผิดทำรถพุ่งขึ้นชานชาลาขนส่งลำปาง จนทำให้คนนั่งรอรถได้รับบาดเจ็บ 4 ราย สาหัส 1 ราย

รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ
รูปภาพ

ล่าสุดนายพงษ์เทพ แก้วสนธิ คนขับรถคันดังกล่าวได้ยอมรับสารภาพต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้วว่า หลังเดินขึ้นไปบนที่นั่งคนขับก็ได้ปลดเบรกมือรถเพื่อเตรียมที่จะเคลื่อนรถถอยหลัง แต่ทว่าคนขับเกิดความสะเพร่า ใส่เกียร์ออโต้ผิด โดยเลื่อนเป็นเกียร์เดินหน้า ก่อนเหยียบคันเร่งทำให้รถพุ่งปีนฟุตปาธขึ้นไปบนชานชาลาชนทั้งเก้าอี้นั่ง ป้ายต่างๆ และประชาชนผู้โดยสารที่นั่งรออยู่บริเวณดังกล่าวได้รับบาดเจ็บ

พนักงานสอบสวน สภ.เมืองลำปาง จึงได้แจ้งข้อกล่าวหากระทำการโดยประมาทจนทำให้ทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย และทำให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็จะได้ทำสำนวนและส่งฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป


:idea: :idea: ความประมาทเกิดจากอะไร? ก็เกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้จักมองชีวิตให้ออกว่าชีวิตของเรานี้มันมีแต่ปัญหาและทุกข์รอเราอยู่ในอนาคต เรามาศึกษารายละเอียดกันนะครับ

ความประมาทก็คือความรู้สึกว่า “ไม่เป็นไร” ซึ่งถ้าเรากำลังทำอะไรที่จะเกิดปัญหาหรือความเดือดร้อนในอนาคต แต่เรายังไม่หยุดการกระทำนั้น เพราะคิดว่าคงไม่เป็นไรอย่างนี้แล้ว ก็จัดว่าเรากำลังประมาทอยู่ ซึ่งความรู้สึกว่าไม่เป็นไรนี้ก็จะมาหล่อเลี้ยงการกระทำนั้นไว้ให้ทำไปเรื่อยๆ จนในที่สุดปัญหาหรือความเดือดร้อนนั้นก็จะเกิดขึ้น ซึ่งนี่คือลักษณะของความประมาท ผู้ประมาทแล้วก็เหมือนคนที่ตายแล้ว ความประมาทจึงเป็นหนทางแห่งความพินาศหรือความตาย

ชีวิตที่ประมาทก็คือการใช้ชีวิตที่จะก่อให้เกิดปัญหาหรือความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนเองหรือครอบครัว หรือสังคมประเทศชาติ หรือแม้แก่โลกได้ ตัวอย่างเช่นนักเรียนนักศึกษาที่มีหน้าที่เรียนหนังสือ ถ้ามีความประมาทก็จะไม่ค่อยสนใจเล่าเรียน เอาแต่เที่ยวเล่นหรือลุ่มหลงเพศตรงข้ามเพราะคิดว่าไม่เป็นไร ถึงเรียนไม่จบก็ไปทำงานอื่นได้ หรือคิดว่ายังไงครูอาจารย์ก็ไม่อยากเอาไว้ต้องให้จบอยู่ดี หรือคิดว่าจบไปไม่ต้องมีความรู้ก็ได้ อาศัยเส้นสายก็เข้าทำงานสบายได้ เป็นต้น และเมื่อเรียนไม่จบหรือจบมามีความรู้น้อยก็ต้องมาทำงานหนัก ซึ่งก็อาจจะทำให้ชีวิตไม่เจริญรุ่งเรือง จะมีแต่ความทุกข์ยากเรื่อยไปได้ ซึ่งนี่คือผลของความประมาทของนักเรียนนักศึกษา ส่วนการครองเรือนที่ประมาทก็คือการไม่สนใจทำการงานอย่างเต็มที่ หรือไม่สนใจเก็บหอมรอมริบ เอาแต่เที่ยวเตร่ หรือเล่นการพนัน หรือดื่มสุราเสพสิ่งเสพติด หรือใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยไม่ประหยัด ไม่สร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัว เป็นต้น จนในที่สุดก็อาจจะตกงานหรือเจ็บป่วยแล้วที่นี้ความเดือดร้อนก็จะเกิดขึ้น หรือต้องเป็นคนแก่ที่ไร้คนเหลียวแลเพราะไม่มีทรัพย์สมบัติไว้ให้ลุกหลานได้

ความประมาทเกิดจากอะไร? ก็เกิดมาจากความโง่ที่ไม่รู้จักมองชีวิตให้ออกว่าชีวิตของเรานี้มันมีแต่ปัญหาและทุกข์รอเราอยู่ในอนาคต คือเรามักโง่มองเห็นแต่ว่าชีวิตมันมีแต่ความสุขสนุกสนานมากมายรอเราอยู่ในอนาคต เราจึงได้ลุ่มหลงและแสวงหาแต่ความสนุกสนุกสนานตามที่ฝันไว้นั้น และเมื่ออนาคตมาถึง ความจริงก็ปรากฏ คือต้องพบแต่ปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนมากมาย จึงทำให้คนที่ประมาทนั้นต้องทุกข์ตรมเรื่อยไป คนที่ไม่ประมาทจะมองชีวิตว่ามันมีความสุขเพียงเล็กน้อยแต่มีปัญหาและความทุกข์ความเดือนร้อนมากมายรออยู่ในอนาคต เขาจะไม่มองชีวิตสั้นๆเพียงแค่วันนี้หรือแค่เดือนนี้ ปีนี้ เขาจะมองออกไปยาวนาน คนที่ไม่ประมาทสูงสุดก็จะมองออกไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตเลยทีเดียว และเมื่อเขามองเห็นปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนรออยู่ในอนาคต จึงทำให้เขากลัวว่าอนาคตเขาจะต้องพบกับความทุกข์อย่างมหันต์ ดังนั้นเขาจึงได้พยายามที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท คือเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับปัญหาและความเดือดร้อนนั้น เพื่อให้มันลดน้อยลง หรือให้หมดสิ้นไปเลย และเมื่อเขาใช้ชีวิตที่ไม่ประมาทเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ชีวิตของเขาจึงไม่มีปัญหาและความเดือดร้อนใดๆ หรือมีน้อยกว่าใครๆทั้งในปัจจุบันและแม้ในอนาคต ซึ่งนี่คือผลดีของความไม่ประมาท

คนที่ประมาทจะมีสายตาสั้น คือมองแค่วันนี้ หรือเดือนนี้ ปีนี้เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงทำอะไรเพียงแค่ให้ผ่านไปวันๆ หรือขอไปที เอาไว้ไปแก้ปัญหากันในวันหลัง หรือคิดว่าช่างมัน ไม่มีความคิดที่จะหาทางป้องกันปัญหาความเดือดร้อนในอนาคต แล้วชีวิตของเขาก็ต้องพบแต่ปัญหากับความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งในปัจจุบันและในอนาคตอย่างน่าสงสาร ทุกสิ่งไม่มีอะไรแน่นอน มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยของมันเสมอ เช่นอยู่ๆอาจจะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแก่เราขึ้นก็ได้ หรือเราอาจจะถูกลงโทษโดยที่เราไม่ได้ทำความผิดเลยก็ได้ หรือเศรษฐกิจอาจจะตกต่ำจนเราต้องตกงานไม่มีเงินใช้ก็ได้ หรือเราอาจจะหิวโซเพราะไม่มีเงินมาซื้ออาหารกินก็ได้ หรือถ้าเรากินมากก็จะอ้วนได้ หรือเราอาจจะถูกหลอกจนสิ้นเนื้อประดาตัวก็ได้ หรือชายที่ไปเที่ยวโสเภณีโดยไม่ระวังก็อาจติดโรคเอดส์ได้ หรืออยู่ๆก็อาจเกิดโรคระบาดร้ายแรงขึ้นมาได้ หรือคนที่เมาสุราแล้วขับรถก็อาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นได้ หรือเราอาจจะถูกจี้ปล้น หรือถูกทำร้ายร่างกาย หรือถูกรังข่มเหงแก หรือผู้หญิงก็อาจจะถูกล่อลวงหรือถูกฉุดเอาไปข่มขืนก็ได้ หรือแม้ภัยพิบัติทางธรรมชาติต่างๆก็อาจเกิดขึ้นจนสร้างความเดือดร้อนแก่เราหรือครอบครัวหรือแก่สังคม หรือแม้แก่โลกก็ได้ เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้มันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้มากทีเดียวถ้าเราประมาท

แต่ถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นมันก็ยังมีสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนนั่นก็คือความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก, ความประสบกับสิ่งที่ไม่รัก, และความผิดหวัง ซึ่งไม่นานมันจะต้องเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน และมันย่อมมาซึ่งความทุกข์ตรมอย่างยิ่งเลยทีเดียว

การใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะเรียกว่าไม่ประมาท? การใช้ชีวิตที่ไม่ประมาทนั้นมีอยู่ ๒ อย่าง คือการเตรียมพร้อมทางวัตถุ กับการเตรียมพร้อมทางจิตใจ ซึ่งการเตรียมพร้อมทางวัตถุก็คือการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ด้วยการประกอบอาชีพที่สุจริต ด้วยความขยัน อดทน และประหยัดอดออม รู้จักช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อสร้างสังคมที่มั่นคง ไม่ทำลายสภาพแวดล้อม ป่าไม่ แม่น้ำลำคลอง เป็นต้น เรียกว่าเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อไม่ให้ร่างกายเป็นทุกข์ ส่วนการเตรียมพร้อมทางจิตใจก็คือการแสวงหาความรู้ที่จะช่วยให้จิตใจไม่เป็นทุกข์เมื่อต้องประสบกับสภาวะที่ไม่น่าพึงพอใจทั้งหลายในอนาคต เช่น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นต้น และพยายามฝึกฝนจิตให้เข้มแข็งเพื่อเอาไว้ต้อนรับกับสภาวะที่ไม่น่าพอใจทั้งหลายในอนาคตนั้น ซึ่งผู้ที่ไม่ประมาทสูงสุดก็ย่อมที่จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงนี้ได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ส่วนผู้ที่ประมาทไม่เตรียมพร้อมทางจิตใจก็ย่อมที่จะต้องประสบกับความทุกข์อย่างยิ่งจากสิ่งเหล่านี้อย่างแน่นอนในอนาคต

สรุปได้ว่า ผู้ที่ประมาทย่อมประสบกับความทุกข์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะโง่เขลามองโลกด้วยสายตาอันสั้นว่ามีแต่ความสุขสนุกสนาน ส่วนผู้ที่ไม่ประมาทย่อมประสบกับความสงบสุขและไม่มีทุกข์หรือมีทุกข์น้อยทั้งในปัจจุบันและในอนาคต จึงหวังว่าผู้ที่กำลังประมาทอยู่ทั้งหลาย จะหันมาหาความไม่ประมาทกันมากขึ้น เพื่อจะได้พ้นจากปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งในปัจจุบันและในอนาคตกันต่อไป.


กราบขอบพระคุณ ท่านพระ เตชปญฺโญ ภิกขุ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี (ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)

*********************
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ความพอดี

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพ
รูปภาพรูปภาพ




รูปภาพรูปภาพ




รูปภาพในขณะที่ปั่นไปในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะในเวียตนาม เขมร ลาว เราจะพบเห็นภาพแบบนี้เป็นประจำ ถามตัวเองเสมอ ๆ ว่า อะไรจะปานนั้น เราก็ไม่ได้ตำหนิติติงอะไรนะ เพียงแต่ปลงอนิจจัง บางครั้งเรายังเคยได้ช่วยเขาก็มี นี่ล่ะครับความไม่พอดี โลภ ฯ บางครั้งต้องเสียเวลา เสียเงิน เสียอะไรหลาย ๆ เสียแม้กระทั่งเสียชีวิต ความไม่ประมาทในชีวิตมันน่าจะมาควบคู่กับความพอดี อะไรที่เกินพอดีมักมีปัญหาเสมอ ๆ เคยกันบ้างไหมครับ ผมมีบทความดี ๆ มาฝากในเย็นวันนี้ครับเรื่อง "ความพอดีของคนอยู่ตรงไหน?" นำเสนอโดย ดอยไซดอทคอม (doisai.com) ขอขอบพระคุณเวปป์ดังกล่าวไว้ ณ ที่นี้ครับ :) :D

รูปภาพรูปภาพ

:idea: :idea: ความพอดีของคนเราอยู่ตรงไหน

คนเราทุกคนเกิดมาต้องดิ้นรนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตัวเองตลอดเวลา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในแต่ละชีวิต ขาดไปบ้าง เกินไปบ้าง พยายามเสาะแสวงหาไปตลอดชีวิต และก้อไม่มีใครพบความพอดีให้กับตนเองได้ง่าย ๆ หรือไม่เคยพบเคยเห็นเคยรู้มาก่อนตลอดชีวิตของตนเองว่าความพอดีของตนเองที่ตนเองต้องการนั้นมันอยู่ที่ไหน บางครั้งก็พบอยู่บ้างแต่ก็เป็นความพอดีชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่จีรังยั่งยืนตามที่คนเราต้องการและก็ไม่เข้าใจว่าความพอดีที่เราได้มาชั่วคราวนั้น จริง ๆ แล้วมันใช่ความพอดีที่ชีวิตต้องการหรือไม่ แต่ละคนที่เกิดมาก็พยายามเสาะแสวงหามันต่อไป บางครั้งชีวิตในชาตินี้ไม่พอที่จะแสวงหาความพอดีให้พบได้ เพราะแต่ละคนก็ใช้วิธีการของแต่ละคนเสาะแสวงหาความพอดีให้กับตนเองแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่มีผู้ใดพบได้ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะคนเราเกิดมาไม่มีความรู้เพียงพอที่จะไปแสวงหาความพอดีให้กับตนเอง แม้กระทั่งความรู้เกี่ยวกับตัวของตัวเอง คนเรายังไม่รู้จัก ซึ่งอยู่กับตัวเรานี่แหล่ะ ใกล้ชิดติดกันอย่างนี้ยังไม่รู้จักแล้วจะไปรู้จักสิ่งอื่น ๆ นั้นไกลเกินไป สิ่งที่ใกล้ ๆ นี้ยังไม่เข้าใจ แล้วสิ่งที่อยู่ไกลจะรู้จักให้ดีได้อย่างไร

เพื่อจะได้มีความเข้าใจถูกต้องในเบื้องต้นจึงต้องขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร คนเราเกิดเพื่อจะหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคน สุขนั้นก็ต้องการสุขที่ถาวรตลอดไป สุขชั่วคราวไม่มีผู้ใดต้องการ สุขถาวรที่ทุกคนต้องการแปลเป็นภาษาธรรมเรียกว่า “นิพพาน” คนทุกคนที่เกิดมามีความ ต้องการสุขถาวร หรือนิพพานกันทุกคน ฉะนั้นเป้าหมายของชีวิตคนเราทุกคนคือ “นิพพาน”

แล้วก็ชีวิตคืออะไร ชีวิตของคนเราคือการศึกษาเรียนรู้ฝึกฝนตนเอง คนเราทุกคนเกิดมาไม่ได้อะไรมาฟรี ๆ ต้องศึกษาเรียนรู้เอาทั้งหมด ถ้าไม่ได้ศึกษาเรียนรู้ก็ไม่ได้อะไรเลย และชีวิตของคนเราต้องมาฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐด้วยการฝึก ถ้าไม่ฝึกแล้วเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน แล้วคนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ไหน มีเครื่องมืออะไรที่ธรรมชาติให้มาฝึกฝนตนเองบ้าง คนเราจะฝึกฝนตนเองได้ที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เรียก “อินทรีย์ ๖” อินทรีย์ นี้แหละ ที่ธรรมชาติให้มาเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนตนเอง คนเราจะดีหรือเลวอยู่ที่การใช้อินทรีย์ ๖ นี้แหละ ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ไปในทางรับความรู้สึกอย่างเดียวชีวิตก็จะมีแต่ปัญหา แต่ถ้าใช้อินทรีย์ ๖ ในทางการศึกษาเรียนรู้ ชีวิตของคน ๆ นั้นก็จะมีปัญหาน้อย พบแต่ความสุข

เมื่อเรารู้จักตัวเองดีแล้ว เราก็จะรู้จักใช้เครื่องมือฝึกฝนตนเองที่ธรรมชาติให้มา ต่อไปเราจะพบความพอดีของชีวิตของเราได้อย่างไร และมีผู้ใดที่รู้เรื่องราวของโลกและชีวิตดีที่สุด บุคคลที่รู้เรื่องราวของชีวิตดีที่สุดในโลกก็คือ พระพุทธเจ้าศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้แจ้งโลกและชีวิต หาผู้ใดเสมอเหมือนไม่ได้ ในโลกนี้หรือโลกไหน ๆ พระองค์ได้ตรัสสั่งสอนมนุษย์และเทวดาอยู่ถึง ๔๕ พรรษา คำสอนของพระองค์มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ คำสอนของพระองค์ท่านทั้งหมด พระองค์ท่านสรุปไว้ว่า พระองค์ท่านสอนเรื่องทุกข์และการดับทุกข์เท่านั้น ค ำสอนของพระองค์ท่านขณะนี้ได้จารึกไว้ในพระไตรปิฎกจำนวน ๔๕ เล่ม ถ้ามนุษย์ทุกคนต้องการความพอดีของชีวิตตนเองว่าอยู่ตรงไหน ต้องศึกษาเรียนรู้จากพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่านที่สอนให้ไว้ในพระไตรปิฎกให้จบหลาย ๆ รอบแล้วท่านจะรู้เห็นความจริงของโลกและชีวิตของท่าน แล้วก็จะหาพบความพอดีของชีวิตท่านได้

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าที่สุดโต่งของมนุษย์มี ๒ ด้าน สุดโต่งด้วนที่ ๑ คือ ความพอใจ (กามสุขัลลิกานุโยค) และที่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง ก็คือ ความไม่พอใจ (อัตตกิลมถานุโยค) มนุษย์ส่วนมากจะไปตกอยู่ในที่สุด ๒ ด้านนี้ตลอดเวลา ความพอใจก็คือความโลภ ความไม่พอใจก็คือความโกรธ ตามความพอใจ ไม่พอใจไม่ทันเรียกว่าความหลง ชีวิตของคนเราจึงไปหลงพอใจไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่มีโอกาสพบความดีของชีวิต ความพอดีของชีวิตก็คือหลักสายกลางหรือหลักความจริง ไม่ไปเกี่ยวข้องกับความพอใจ ไม่พอใจ โดยรู้เท่ากันความจริงของโลกและชีวิตคือ กฎธรรมชาติ ๒ กฎ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้ อันได้แก่ กฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และกฎของเหตุปัจจัยหรือ อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ในโลกนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอย ๆ หรือบังเอิญมีเหตุปัจจัยให้เกิดเสมอ

เมื่อคนเราฝึกฝนตนเองให้รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิตตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ก็จะรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราหรืออินทรีย์ ๖ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วตัวของเราก็ไม่ไปหลงพอใจและไม่พอใจต่อสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา สัมมาทิฐิหรือปัญญาก็เกิดขึ้นทันทีแล้วองค์ธรรมของมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นตามมาคือ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี้คือ หลักความจริงหรือหลักสายกลาง หรือหลักของความดี “ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงนี้” ความพอดีของชีวิตคนเราอยู่ตรงที่คนเรารู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตเราจึงไม่ไปสุดโต่งทั้ง ๒ ด้าน คือ ด้านความพอใจ และไม่พอใจ

วิธีปฏิบัติตนเองให้เขาถึงความพอดีของชีวิต ก็เอาหลักทางสายเอกที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้คือหลักวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ อินทรีย์ ๖ ให้รู้ให้เห็นสิ่งทั้งปวงว่าไม่เที่ยงเกิดดับ เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว แล้วแตกสลาย ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง การปฏิบัติให้ถึงความพอดีของชีวิตคือ เริ่มตื่นนอนขึ้นมาให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งตัวของเราไม่เที่ยงเกิดดับ ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นแล้วก็แตกสลายไป ต่อไป ตาเห็นรูปอะไร ให้พิจารณาว่ารูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ หูได้ยินเสียง ให้พิจารณาว่าเสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ จมูกได้กลิ่น ให้พิจารณาว่ากลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ลิ้นกระทบรส ให้พิจารณาว่ารสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ กายกระทบสัมผัส ให้พิจารณาว่าสิ่งที่มากระทบสัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ใจนึกคิดขึ้นมา ให้พิจารณาว่าความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ให้พิจารณาให้เห็นความจริง ทั้ง ๒ ด้านอย่างนี้ตลอดเวลา เวลาออกจากบ้านไปทำงานให้พิจารณาอย่างนี้ มองดูบ้านของตัวเองให้เห็นความจริงว่าบ้านฉันใหม่แล้วเก่าแล้ว จะแต้องแตกสลายในที่สุด ตัวของเราก็หนุ่มแก่แล้วตาย เห็นผู้คนทั้งหลายก็เกิดดับแตกสลายเช่นกัน ปฏิบัติอย่างนี้ทุกวัน ความพอใจหรือไม่พอใจหรือ โลภะ โทสะ โมหะ ก็จะลดลงไปทุกวัน ความจริงที่เรียกว่าปัญญา ก็จะเข้ามาแทนที่ในใจของเรา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสตัวของเราทางอินทรีย์ ๖ สติก็จะดึงปัญญาออกมารับปัญหาก็จะถูกแก้ไขไปในทางที่ถูกต้องทุกครั้ง ปัญหาของชีวิตก็ลดน้อยลงทุกวัน ในที่สุดก็หมดไป การวิปัสสนาอย่างนี้ไม่กระทบกระเทือนเวลาการทำงานในหน้าที่ของท่าน มีแต่จะเสริมสร้างงามและชีวิตของให้ดีขึ้น เพราะการปฏิบัติอย่างนี้จึงมีปัญญา (ความรู้ที่ดับทุกข์หรือแก้ปัญหาได้) เกิดขึ้นมาพร้อมกับการทำงานหรือการดำเนินชีวิตของท่าน ปัญญาที่เกิดขึ้นก็จะแก้ปัญหาให้กับท่านตั้งแต่ถูกกระทบสัมผัสแล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นต่อไปอีกก็ไม่มี อุปมาเหมือนเมล็ดมะม่วงที่งอกขึ้นมาเราก็รีบบี้มันทิ้งเสียทีที่มันงอก มะม่วงก็ไม่มีต้นเกิดขึ้นให้รกรุงรังในบ้านของเราอีกฉันใดก็ฉันนั้น


การที่เราเอาความจริงของโลกและชีวิตตามกฎธรรมชาติ ๒ กฎ ดังกล่าวนั้นมาตั้งไว้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นทางแห่งการเกิดทุกข์หรือปัญหาเป็นฐานรองรับการกระทบสัมผัสอย่างนี้เรียกว่า เอาความจริง หรือปัญญา หรือสัมมาทิฐิ มาตั้งรับกระทบสัมผัส แล้วจะทำให้ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) หรือความคิดถูกต้องเกิดขึ้น ต่อไปองค์ธรรมของมรรคมีองค์ ๘ เกิดขึ้นครบ คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นี่แหล่ะคือหลักสายกลางหรือหลักแห่งความพอดีของชีวิต ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในทางสุดโต่งทางใดทางหนึ่งคือความพอใจและไม่พอใจ เมื่อคนเราปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ ๕ และอินทรีย์ ๖ อย่างนี้ตลอดเวลา องค์ธรรมของการบรรลุมรรค ผล นิพพาน เกิดขึ้นตามครบโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ เมื่อมีองค์ธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นครบเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้วชีวิตของเราก็จะพบความพอดีของชีวิตถาวร ซึ่งชีวิตของมนุษย์ทุกคนต้องการความต้องการอันนี้ซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของทุกคน ถ้าสภาวะจิตเบาบางจากกิเลสตัณหาลงไปบ้าง ก็จะมองเห็นความจริงอันนี้ได้


นี่คือหลักการและหลักปฏิบัติให้ชีวิตของเราเองเข้าไปถึงความพอดีของชีวิต ความพอดีของชีวิตทุกคนอยู่ที่การรู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเราทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในขณะปัจจุบันตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวเท่านั้นไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ว่างจากตนและของตน รู้เห็นอย่างนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาทแล้วก็จะนำพาตัวเองตั้งอยู่ในความพอดีของชีวิต



รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

ความพอดี

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

:idea: :idea: การใช้ชีวิตตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงนั้น จะต้องมีความพอดี ๕ ประการคือ

๑. ความพอดีด้านจิตใจ
- ต้องเข้มแข็ง สามารถพึงตนเองได้
- มีจิตสำนึกที่ดี
- เอื้ออาทร ประนีประนอม
- นึกถึงผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก

๒. ความพอดีด้านสังคม
- ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
- รู้รักสามัคคี
- สร้างความเข้มแข้งให้ครอบครัวและชุมชน

๓. ความพอดีด้านทรัพยากรสิ่งแวดล้อม
- รู้จักใช้และจัดการอย่างชาญฉลาดและรอบคอบ
- เลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดความยั่งยืนอย่างสูงสุด

๔.ความพอดีด้านเทคโนโลยี
- รู้จักใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมสอดคล้องต่อความต้องการและสภาพแวดล้อม
- พัฒนาเทคโนโลยีจากภูมิปัญญาชาวบ้านของเราเองก่อน
- ก่อให้เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก

๕.ความพอดีด้านเศรษฐกิจ
- เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ดำรงชีวิตอย่างพอควร
- พออยู่ พอกินสมควรตามอัตภาพ และฐานะของตน


รูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพรูปภาพ
:o :o เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีนักธุรกิจชาวกาญจนบุรี ทุ่มเงินเกือบ 200 ล้านบาท สร้างเมืองโบราณยุค ร.ศ.124 หลังพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประกาศเลิกทาสสำเร็จ จึงเดินทางไปตรวจสอบ

เมื่อไปถึงพบสถานที่ก่อสร้างติดกับสถานีบริการน้ำมันบางจาก ตั้งอยู่ริมถนนสาย 323 ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 32-33 หมู่ 5 ต.สิงห์ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ห่างจากตัวเมือง ประมาณ 33 กม.

จากการตรวจสอบโดยรอบพบว่าอยู่ระหว่างการก่อสร้างกำแพงแบบโบราณขนาดใหญ่ สูงประมาณ 10 เมตร ส่วนภายในพื้นที่มีการก่อสร้างบ้านเรือนแบบทรงไทยอยู่หลายหลัง บางหลังสร้างอยู่กลางสระน้ำขนาดใหญ่ โดยมีแปลงไร่นา สวนดอกมะลิ และองค์ประกอบอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก

ภายในโครงการมีการจำลองวิถีชีวิตแบบไทย โดยทีมงานทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชายแก่ และหญิงชรา ต่างแต่งกายแบบไทย ๆ ในยุคโบราณกันทุกคน โดยแต่ละคนได้ทำกิจกรรมเหมือนใช้ชีวิตในยุคสมัยโบราณเป็นอย่างมาก ทำให้บรรยากาศภายในเหมือนสมัยโบราณ ยุค ร.ศ.124 โดยแท้จริง

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ นายพลศักดิ์ ประกอบ อายุ 51 ปี นักธุรกิจจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าของโครงการเมืองโบราณก็ได้แต่งชุดโบราณให้เข้ากับบรรยากาศอีกด้วย

นายพลศักดิ์ ประกอบ อายุ 51 ปี เปิดเผยว่า เดิมทีตนมีนิสัยเป็นคนชอบวิถีชีวิตของชาวไทยสมัยโบราณ และเป็นคนชอบอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการอ่านก็พบว่าวิถีชีวิตชาวไทยในสมัยโบราณนั้นมีภูมิปัญญาแทรกอยู่ จากที่เป็นคนที่ชอบวิถีชีวิตชาวไทยโบราณ จึงมีความคิดขึ้นมาว่าน่าจะสร้างเมืองโบราณขึ้นมาใหม่ เพื่อสานฝันของตนเองขึ้นมาให้เป็นจริง และที่สำคัญต้องการให้เด็กรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้ ให้ทุกคนรู้และเข้าใจว่า รากเหง้าของคนไทยนั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร รวมทั้งให้รู้ว่าชีวิตความเป็นอยู่ กายแต่งกาย การกิน การหุงหาอาหาร การประกอบอาชีพของคนสมัยนั้นเป็นอย่างไร

ดังนั้น เพื่อต่อยอดความฝันของตน จึงตัดสินใจทุ่มงบประมาณเกือบ 200 ล้านบาท เพื่อเนรมิตที่ดินที่มีอยู่ 60 ไร่ ให้กลายเป็นเมืองโบราณในยุคสมัย ร.ศ.124 ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาสได้สำเร็จ หลังประกาศเลิกทาส ทำให้วิถีชีวิตคนไทยในสมัยนั้นเริ่มมีความสุข และเริ่มมีวัฒนธรรมของชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามา จึงเชื่อว่าช่วงนั้นคนไทยเริ่มมีความสุขที่สุด เพราะว่าการสู้รบและศึกสงครามก็ไม่เกิดขึ้นอีก

สำหรับโครงการที่ตัดสินใจสร้างขึ้นมาใช้ชื่อโครงการว่า “โครงการเมืองมัลลิกา” เริ่มลงมือก่อสร้างเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน 2558 บ้านเรือนไทยทุกหลังออกแบบโดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยศิลปากร สำหรับบ้านมัลลิกา จะมีทีมงานทั้งหมดประมาณ 400 คน เข้ามาอยู่ในบ้าน ทุกคนจะแต่งกายแบบโบราณ และดำรงชีวิตในแต่ละวันเสมือนจริงในยุคสมัยนั้น โดยไม่ใช่การแสดง เมื่อนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม ก็จะได้เห็นภาพวัฒนธรรมโดยไม่ต้องจินตนาการอีกต่อไป

ปัจจุบันพบว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรีมีมากถึงปีละ 9 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงเชื่อว่า บ้านมัลลิกา เมืองโบราณที่สร้างขึ้นมา จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณปีละ 2 ล้านคน และคาดว่า “เมืองมัลลิกา ร.ศ.124” จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่มีศักยภาพดึงดูดใจนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ให้เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรีเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน


เครดิตจาก ข่าวมติชน (Matichon)ออนไลน์ ครับ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

สงกรานต์

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

ฟ็อกกี้จ๋า พี่มาก่อน! ปืนฉีดน้ำรูปนกสุดเก๋ พร้อมกระบอกไม้ไผ่ ในสงกรานต์พม่า128 ปีมาแล้ว © มติชนออนไลน์

สงกรานต์ปีนี้ ภาครัฐแนะให้ใช้ “ฟ็อกกี้” ในการเล่นสงกรานต์ แทนขัน สายยาง และถังน้ำบนรถกระบะ เพื่อประหยัดทรัพยากรน้ำในห้วงเวลาแห่งความแห้งแล้ง จึงขอหยิบยกภาพเก่าของอุปกรณ์ประกอบประเพณีสงกรานต์ ที่ไม่ได้มีแต่ในสยามประเทศ หากแต่เป็นวัฒนธรรมร่วมในแดนอุษาคเนย์ ไม่ว่าจะเป็น ลาว กัมพูชา พม่า และอื่นๆอีกหลายแห่งด้วยเหตุนี้ จึงมีการบันทึกถึงเรื่องราวของประเพณีดังกล่าวที่มีมานานนมเนหนึ่งในนั้น คือ สงกรานต์ในพม่า ผู้เคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ มีผู้วาดภาพ เทศกาลสงกรานต์ในกรุงมัณฑะเลย์ ตีพิมพ์ ในหน้า 13 ของ หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของอังกฤษ

ชื่อว่า THE GRAPHIC ฉบับวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1888 หน้า 13 เมื่อ ค.ศ.1888 หรือ พ.ศ. 2431 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 ของไทยมีขนาด 14 X 10 นิ้ว แสดงภาพชาวต่างชาติขี่ม้า สันนิษฐานว่าเป็น ทหารอังกฤษ ทำท่าปัดป้องสายน้ำจาก “กระบอกฉีด” ของเด็กและสตรีสวมชุดพื้นเมือง


รูปภาพ

:idea: :idea: สุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ด้านประวัติศาสตร์ในเครือมติชน เห็นภาพนี้แล้วบอกว่า

“ท่าทางฝรั่งขี่ม้าไม่สนุก แต่ผู้หญิงและเด็กสนุกมาก (ฮา)”

แล้วยังวิเคราะห์ต่อไปว่า กระบอกฉีดน้ำที่เห็นในรูปลายเส้นมี 2 แบบ

แบบหนึ่งเป็นกระบอกไม้ไผ่ทั่วไป อีกแบบหนึ่งเป็นกระบอกน้ำเต้าสลักเป็นรูปนกหรือไก่

กระบอกไม้ไผ่ฉีดน้ำสงกรานต์มีลูกสูบดูดน้ำเข้ากระบอก (ใช้วิธีเดียวกับหลอดเข็มฉีดยา) แล้วอัดฉีดน้ำพุ่งไปที่เป้าหมาย จากนั้น รำลึกถึงวัยเยาว์ครั้งยังเป็นเด็กชายสุจิตต์ วิ่งเล่นอยู่ที่หมู่บ้านลาวพวน ในจังหวัดปราจีนบุรี

“พ่อ เป็นลาวพวน เคยทำกระบอกฉีดน้ำอย่างนี้ ให้เล่นสงกรานต์ในดงศรีมหาโพธิ์ อ. ศรีมโหสถ จ. ปราจีนบุรี แล้วเชื่อมาตลอดว่าเป็นงานประดิษฐ์ของคนดงคนดอนบ้านนอกคอกนาเท่านั้น คนที่อื่นเจริญกว่าเขาไม่เล่นอย่างนี้หรอก เพิ่งรู้เมื่อเห็นรูปนี้ ว่ากระบอกฉีดน้ำจากไม้ไผ่แท้จริงเป็นงานสร้างสรรค์ร่วมกันของคนสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์นับร้อยๆปีมาแล้ว”

สุจิตต์กล่าว พร้อมตบท้ายว่า ภาพนี้ ยังทำให้คิดถึงคำอธิบายของครูบาอาจารย์ที่ว่า พฤติกรรมสาดน้ำอย่างก้าวร้าวรุนแรงเริ่มก่อนจากพม่า เพื่อแสดงออกทางการเมืองต่อต้านอังกฤษเจ้าอาณานิคม

“ไม่มั่นใจว่าความเข้าใจอย่างนี้จะเป็นไปได้ แต่คิดอย่างอื่นก็คิดไม่ออก จึงเอามาบอกเล่าสู่กัน” สุจิตต์กล่าว


:idea: :idea: สำหรับ นสพ. THE GRAPHIC ออกทุกวันเสาร์ พิมพ์จำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 1869 (พ.ศ. 2412 ตรงกับสมัยต้น รัชกาลที่ 5) พิมพ์ต่อเนื่องมาจนปี 1932 (พ.ศ. 2475) รวม 3,266 ฉบับ ก่อตั้งโดย William Luson Thomas ศิลปินที่ประสบความสำเร็จในด้านภาพพิมพ์ (ที่มาภาพ : http://www.old-print.com)
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ
ทั่วโลกอยู่ในอาการเดียวกัน เมื่อต้อง 'ทั้งรัก-ทั้งชัง' ทัวร์จีน

ประเด็นนักท่องเที่ยวจีน ยังคงเป็นข่าวคราวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในแง่ความประพฤติและมารยาท

อย่างล่าสุดก็คือคลิปที่เผยให้เห็นกรุ๊ปทัวร์จีนแย่งกันตักกุ้งที่ห้องอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่ละคนพยายามตักกุ้งให้ได้มากที่สุด โดยไม่คิดจะเผื่อแผ่เหลือให้คนข้างหลังได้ทาน หลายคนที่ตักไปเยอะ เสร็จแล้วก็กินไม่หมด เหลือทิ้งบานเบอะ

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ขึ้นชื่อเลื่องลือมากที่สุดของคนจีน ก็คือการเสียงดัง แซงคิว ทิ้งขยะไม่เลือกที่ และไม่ทำความสะอาดห้องน้ำเมื่อทำธุระส่วนตัวเสร็จ

แต่ในเมื่อนักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในโลก โดยครองแชมป์ 3 ปีติดต่อกันแล้ว ในแง่ที่เป็นประเทศที่ประชากรออกไปท่องเที่ยวต่างประเทศมากที่สุดในโลก เฉพาะปีที่แล้วก็เกิน 100 ล้านคน (หรือเที่ยว) เข้าไปแล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ดังนั้น ก็ขึ้นกับว่าแต่ละประเทศจะหาทางรับมือเรื่องนี้อย่างไร จึงจะได้ประโยชน์จาก "กระเป๋าเงิน" ของนักท่องเที่ยวจีนมากที่สุด

กล่าวง่าย ๆ จะถอย คือ ไม่ต้อนรับให้เข้ามา แสดงความรังเกียจอย่างเปิดเผย

หรือว่าจะ "สู้และทน" เพื่อแลกกับรายได้เข้าประเทศ ในสภาวะที่เศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาอย่างหนัก

เพราะอย่าลืมข้อเท็จจริงอันหนึ่งว่า นักท่องเที่ยวจีนนั้นชอบการชอปปิง และมีการใช้จ่ายต่อหัวค่อนข้างสูง

ว่าไปแล้วนักท่องเที่ยวจีน ก็คงเหมือนนักท่องเที่ยวมือใหม่ของไทย (และอีกหลายประเทศ) คือการออกไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกมักเน้นไปที่การชอปปิง แม้แต่ครั้งสองครั้งสามก็ต้องช็อป แต่เมื่อนานไปนั่นล่ะ จึงจะหันไปชื่นชมวิวทิวทัศน์หรือวัฒนธรรม

อีกประการหนึ่ง จีนเป็นประเทศที่เปิดตัวเองสู่โลกภายนอกได้ไม่นาน ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกมากนัก จึงไม่รู้จักมารยาทสากล

เคยมีโอกาสคุยกับไกด์จีน เธอก็บอกว่า คนจีนที่ออกมาเที่ยวเมืองไทยส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม "คนรวยใหม่" หรือเพิ่งรวยกลุ่มนี้เดิมเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่ว่ารวยข้ามคืนจากการขายที่ดินให้กับโครงการอุตสาหกรรมของภาครัฐ เช่น ในจูไห่ หรือเซินเจิ้น ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ (ทั้งสองเมืองจะเห็นรถยุโรป ทั้งเบนซ์ บีเอ็มฯ และออดี้ ขับกันเต็มถนนไปหมด)

เมื่อรวยก็มีเงินออกไปเที่ยวต่างประเทศ และประเทศแรกที่พวกเขาออกไปเปิดหูเปิดตาก็คือไทย

ไกด์รายนี้ยอมรับว่า ส่วนหนึ่งของพฤติกรรมนักท่องเที่ยวจีนที่ไม่ค่อยสุภาพนั้น เป็นเพราะความ "รวยใหม่" ทำให้พวกเขาหยิ่งยโส คิดว่ามีเงินแล้วไม่ต้องง้อใคร คนอื่นต้องมาเอาใจพวกเขา (คนรวยใหม่มักมีนิสัยไม่อารยะเหมือนกันทั้งโลก)

ส่วนปัญหาเรื่องการใช้ส้วม เป็นเพราะคนจีนส่วนใหญ่เหล่านี้เคยชินกับส้วมแบบนั่งยอง ใช้ชักโครกไม่เป็น จึงเกิดปัญหาแบบที่คนไทยบ่นกันคุณไกด์คนนี้ยังพูดทีเล่นทีจริงว่า บางทีต้องโทษประเทศไทยเหมือนกันนะ ที่ไม่ทำส้วมยองให้คนจีนใช้

แต่ก็อย่างว่า คนจีนก็มีหลายระดับชั้น หลายการศึกษา จึงไม่อาจเหมาว่าคนจีนจะมีพฤติกรรมเหมือนกันหมด ซึ่งก็คงแบบเดียวกับคนไทยเวลาออกไปเที่ยวต่างประเทศ บางทีแม้จะมีการศึกษา แต่เมื่อพี่ไทยไปกันเป็นกลุ่มใหญ่เมื่อไหร่ก็ซ่าและไร้มารยาทไม่เบาเหมือนกัน

หลายประเทศทั่วโลก มีอาการแบบเดียวกันเมื่อพูดถึงทัวร์จีน คือ "ทั้งรัก-ทั้งชัง"

กล่าวแบบสำนวนไทยก็คือ เกลียดตัวกินไข่รัก (จำใจรัก) เพราะอยากได้เงินจากนักท่องเที่ยวจีน ที่ใช้จ่ายหนักมือ และชังเพราะไม่ชอบพฤติกรรมด้านลบของพวกเขา (และส่วนลึกแล้วจนถึงบัดนี้ก็ยังไม่อาจทำใจยอมรับได้)

ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา ชาติยุโรป นำโดยฝรั่งเศส ผ่อนคลายกฎระเบียบการออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวจีน เพื่อดึงดูดให้เข้าไปเที่ยว ซึ่งก็ได้ผล อย่างที่เราได้เห็นจากข่าวว่าปีที่แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนรายหนึ่ง พาพนักงาน 6,400 คนไปเที่ยวฝรั่งเศส โดยเหมาโรงแรมระดับ 4 และ 5 ดาว 74 แห่ง 4,760 ห้อง และต้องใช้รถบัสขนส่งถึง 164 คัน

ประเมินว่า เฉพาะทริปนี้ของทัวร์จีนเป็นเวลา 4 วัน น่าจะมีการใช้จ่ายราว 33 ล้านยูโร (ราว 1,320 ล้านบาท) จึงไม่แปลกที่ประธานบริษัทดังกล่าวได้รับเกียรติให้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศฝรั่งเศสด้วย

แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อตะวันตกที่รายงานข่าวดังกล่าวนี้ ไม่มีการรายงานพฤติกรรมด้านลบของนักท่องเที่ยวจีนหรือเสียงบ่นจากชาวฝรั่งเศสออกสู่สาธารณะเลย ทั้งที่สื่อตะวันตกได้ชื่อว่ามีเสรีภาพมากที่สุด หากจะให้เดาก็คงเป็นเพราะสื่อจำเป็นต้องระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวหรือสร้างความรู้สึกไม่ดีต่อคนจีน

ฝรั่งเศสก็เคยมีปัญหาเดียวกับไทย คือมีโรงแรมระดับบนบางแห่งในปารีส ได้ประกาศว่าไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน เท่านั้นล่ะ เกิดเสียงไม่พอใจยกใหญ่ จนในที่สุดโรงแรมแห่งนั้นต้องออกมาขอโทษ

ตามข้อมูลของสภาท่องเที่ยวภูมิภาคของหอการค้าปารีส ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วนักท่องเที่ยวจีนโดยทั่วไป ใช้จ่ายต่อคนประมาณวันละ 171 ยูโร (ราว 6,800 บาท) สินค้าที่เป็นที่นิยมของคนจีนก็คือพวกแบรนด์เนมทั้งหลาย เช่น หลุยส์ วิตตอง

หากใครเคยไปปารีสและแวะเข้าไปในห้างดังอย่างแกลเลอรี่ ลาฟาแยตต์ ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จะสังเกตได้ว่ามีแต่คนเอเชียหัวดำเต็มไปหมด แทบจะไม่เห็นหัวฝรั่งเลย แน่นอนว่าคนจีนเยอะที่สุด และร้านที่มีคนต่อแถวยาวที่สุดคือ หลุยส์ วิตตอง

ที่แผนกบริการลูกค้าของลาฟาแยตต์ แน่นอนว่าต้องมีเอกสารภาษาเอเชียทั้งจีน ญี่ปุ่น ไทย (ที่เป็นลูกค้าหลัก) ไว้บริการ พร้อมพนักงานที่สามารถพูดภาษานั้น ๆ ได้ (ส่วนใหญ่จ้างพนักงานที่เป็นเจ้าของภาษา) ส่วนใหญ่แผนกนี้มีหน้าที่ให้คำแนะนำเรื่องการคืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยว

ห้างฝรั่งเศสแห่งนี้มีวิธีแก้ปัญหาและรับมือคนจีนเพื่อไม่ให้กระทบกับลูกค้าชาติอื่น ด้วยการแยกแผนกบริการลูกค้าญี่ปุ่นออกไปต่างหากจากลูกค้าอื่น ๆ ตามคำร้องขอของนักช็อปญี่ปุ่นที่ไม่ค่อยชอบใจความเสียงดังและมารยาทของคนจีน

หรืออย่างสวิตเซอร์แลนด์ ก็มีวิธีจัดการ ด้วยการแยกนักท่องเที่ยวจีนออกจากชาติอื่น เช่น จัดขบวนรถไฟพิเศษให้กับนักท่องเที่ยวจีนเป็นการเฉพาะในการขึ้นชมยอดเขา สาเหตุก็มาจากมารยาทชาวจีนที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาติอื่นไม่พอใจ ซึ่งก็ถือเป็นการแก้ปัญหาแบบ win-win

ผู้บริหารรถไฟที่ว่านี้บอกว่า ได้จัดทำป้ายวิธีใช้ห้องน้ำให้ทัวร์จีนได้ทราบด้วย และยอมรับว่าต้องทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยกว่าปกติ

"ทัวร์จีนมีความสำคัญก็จริง แต่เราก็ต้องรู้วิธีบริหารจัดการ"

นี่คงเป็นวิธีเดียวกับ นายเฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ จิตรกรดัง เจ้าของวัดร่องขุ่น เชียงราย ที่ครั้งหนึ่งเคยรังเกียจทัวร์จีนถึงกับคิดจะปิดวัดไม่ต้อนรับทัวร์จีน เพราะไปทำสกปรกเลอะเทอะในห้องน้ำและสร้างความเสียหายให้กับวัดมาก

รูปภาพ

แต่ล่าสุดได้เปลี่ยนแนวคิดและมุมมองใหม่ เพราะเห็นว่าด่าไปก็เหนื่อยเปล่า แถมทัวร์จีนก็เข้ามาสร้างรายได้ให้กับชาวเชียงราย ไม่มีทางหนีทัวร์จีนพ้น ดังนั้น แทนที่จะด่าก็หันมาให้คำแนะนำ ทำความเข้าใจ สอนถึงวิธีปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง และจัดหาวิธีรับมือเพื่อลดปัญหา เช่น เขียนป้ายเตือนเป็นภาษาจีน เพิ่มเจ้าหน้าที่ที่พูดจีนได้คอยประกบ และทำความตกลงกับไกด์ว่าต้องให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวล่วงหน้าว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร

หากลูกทัวร์คนไหนใช้ห้องน้ำแล้วไม่ล้าง ไกด์ก็ต้องมาล้าง หรือบางทีก็เพิ่มเจ้าหน้าที่สอดส่องหน้าห้องน้ำ หากเห็นนักท่องเที่ยวรายไหนไม่ล้างห้องน้ำ ก็บังคับกลับให้เข้าไปล้างต้องยอมรับว่า ณ ชั่วโมงนี้ จีนคือนักท่องเที่ยวรายใหญ่ของโลก

ปรากฏการณ์ของพวกเขาเพียงทำให้เราได้เรียนรู้ว่าจะบริหารจัดการปัญหาใหม่ๆ อย่างไร เพื่อไม่ให้โอกาสทองในวิกฤตหลุดลอยไป


รูปภาพ
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพ

:) :D © ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ 8 ลักษณะนิสัยที่ควรเลิก หากต้องการประสบความสำเร็จ

1.ยึดติดอยู่กับอดีตที่ผ่านไปแล้ว

เราทุกล้วนต้องเคยผ่านการทำผิดพลาดมากันทั้งนั้นอยู่ที่ว่าจะผิดมากหรือผิดน้อย เพราะถือเป็นประสบการณ์ชีวิตหน้าหนึ่ง ซึ่งเราต้องรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาดนั้น ๆ แล้วนำมาพัฒนาตนเอง เพื่อไม่ให้ผิดพลาดอีก

คนที่ประสบความสำเร็จล้วนเคยผิดพลาดด้วยกันมาทั้งนั้น การผิดพลาดคือการเรียนรู้อย่างดี ดังนั้นเราอย่าเสียเวลายึดติดกับอดีต หันมาอยู่กับปัจจุบันและคิดถึงอนาคตดีกว่า

2.พูดจากล่าวว่าร้ายผู้อื่น

การนินทาว่าร้ายผู้อื่นนั้นถือเป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะอาจจะก่อความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นได้ และสำหรับคนที่ประสบความสำเร็จพวกเขามักจะพูดจาอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา พูดคุยกันโดยตรงด้วยเจตนาที่ดีและใช้น้ำเสียงที่เป็นมิตร เนื่องจากพวกเขาจะคิดเสมอว่าการนินทาว่าร้ายผู้อื่นนั้น ไม่ได้ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จได้ครับ

3.ดูถูกดูแคลนผู้อื่น

หากเราอยากให้ผู้อื่นให้เกียรติเรา เราก็ควรที่จะให้เกียรติผู้อื่นก่อน การให้เกียรติสามารถทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็น การเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังความคิดเห็นจากผู้อื่น หรือการไม่ดูถูกคนที่ด้อยกว่าเรา ถือเป็นเรื่องที่เราทุกคนควรทำ เพราะไม่มีใครที่จะมีความสุขเวลาโดนผู้อื่นดูถูก เราทุกคนย่อมอยากได้รับการให้เกียรติจากผู้อื่นทั้งนั้น

4.ไม่รักษาคำพูด

ถือเป็นเรื่องสำคัญมากๆ สำหรับเรื่องการรักษาคำพูด เพราะหากเรารับปากอะไรไปแล้วไม่สามารถทำได้ หากเป็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ๆ เพราะแค่คำพูดยังรักษาไม่ได้ คงจะยากที่จะให้มีคนเชื่อถือในตัวเรา คนที่ประสบความสำเร็จจะรักษาคำพูด พูดแล้วต้องทำให้ได้ และเรื่องผิดนัดหรือไม่รักษาคำพูด รวมถึงการไปตามนัดสาย ควรเลิกทำครับ หากต้องการจะประสบความสำเร็จในอนาคต

5.เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น

หากเราชอบจะนำตัวเราเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แบบเห็นเขามีอะไรก็อยากมีบ้าง ทำไมชีวิตดีจัง จนเกิดเป็นความอิจฉา ไม่พอใจ แนะนำให้เลิกทำครับ เพราะจากการวิจัยพบว่าคนที่ประสบความสำเร็จ จะไม่เสียเวลากับสิ่งเหล่านี้ ไม่เอาตัวเองไปเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แต่เขาจะทำสิ่งที่เขาทำให้ออกมาดีที่สุด เท่า ๆ ที่จะสามารถทำได้ เอาเวลาที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ไปทำประโยชน์ให้กับชีวิตเราเองดีกว่าครับ


6.ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า

เรื่องเวลาถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐีคนไหน ๆ ก็มีเวลาเท่ากันกับเรา คือ 24 ชม. คนที่ประสบความสำเร็จมักจะมีการบริหารและจัดการเวลาที่ดี ที่ส่งผลให้สามารถจัดการงานทุกอย่างได้อย่างทันเวลาเสมอ เพราะเวลาของเรามีเท่ากันทุกคน จึงควรทำทุกวินาทีให้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์มากที่สุด

7.คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดแล้ว

ไม่มีใครในโลกหรอกครับที่จะเก่งไปทุกอย่างเพราะเราแต่ละคนมีความชำนาญและความถนัดที่แตกต่างกัน ซึ่งคนที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักจะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ หาความรู้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ไม่ยอมหยุดที่จะเรียนรู้ เพราะเชื่อว่าบนโลกนี้ยังมีคนเก่งที่ประสบความสำเร็จอีกมากมาย เป็นแรงบันดาลใจให้ไม่หยุดพัฒนาตัวเองครับ

8.ไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

ไม่แปลกที่คนที่กลัวการเปลี่ยนแปลง มักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะหากเราทำอะไรเหมือนเดิม ซ้ำ ๆ ผลลัพธ์ที่ได้มาก็จะเหมือนเดิม แต่คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มักจะไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง จะคอยศึกษาและเปลี่ยนแปลงตัวเอง มองหาความรู้ใหม่ๆ มาพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอยู่เสมอ โลกเราเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน จะมาหยุดอยู่กับที่คงจะไม่ได้ครับ

"มีแต่คนบ้าเท่านั้น ที่จะทำสิ่งเดิมซ้ำ ๆ แต่กลับหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (ข้อมูลจาก : kapook)

หากเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จนั้น ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ กล้าคิดกล้าทำ ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลง มองหาโอกาสที่ดีอยู่เสมอและไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปง่าย ๆ บริหารจัดการทุกอย่างให้คุ้มค่า และก่อประโยชน์สูงสุดแก่เรา ปัจจัยเหล่านี้แหละที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกันครับ

ขอบคุณข้อมูล จาก : www.Masii.co.th
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

คุนหมิง

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพรูปภาพรูปภาพกรณีกระแสวิจารณ์หลังสื่อสังคมออนไลน์ เผยแพร่ภาพถ่ายป้ายไวนิล โดยอ.โปรงน้ำร้อน จ.จันทบุรี ได้จัดโครงการพัฒนากลไกความร่วมมือบริเวณชายแดนระหว่างประเทศ ที่สำนักงานสมาคมการค้าและการท่องเที่ยวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งดำเนินการเมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยจัดพิมพ์ภาพธงชาติไทยที่มีแถบสีไม่ถูกต้อง จนถูกติติงเรื่องความหละหลวมต่อการทำงานแบบสุกเอาเผากิน กระแสวิจารณ์มามายซึ่งไม่ได้ติดใจในการผลิตที่ผิดพลาด แต่ติดใจที่นำไปไปใช้ได้อย่างไร หลายคนจึงตั้งข้อสังเกตว่า ช่างที่ทำเป็นคนไทยหรือไม่ ถึงไม่รู้จักสีธงชาติไทย

ทั้งนี้ภายหลัง นายวิทูรัช ศรีนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้ทำหนังสือเร่งด่วน เลขที่ จบ 0018.2/ว91 ลงวันที่ 9 พ.ค.59 ร่อนถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดโครงการดังกล่าวทั้งหมด ระบุข้อความว่า “จังหวัดจันทบุรี ขอเรียนว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดขึ้นจากความบกพร่อง และไม่ละเอียดรอบคอบในการทำงาน ซึ่งหลังจากจัดพิมพ์ป้ายไวนิลเสร็จแล้ว ได้ไปรับจากร้านแล้วนำไปติด โดยมิได้ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง ซึ่งการกระทำดังกล่าวมิได้มีเจตนาเป็นอื่น โดยทุกคนที่เกี่ยวข้องยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเทิดทูนในสถาบันชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด และจะขอนำไปแก้ไขและให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพิ่มความระวัดระวังในการทำงานมากขึ้น เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นอีก”

ขณะที่ล่าสุดวันที่ 10 พ.ค. พล.ร.ท.จุมพล ลุมพิกานนท์ รองเสนาธิการทหารเรือ ในฐานะโฆษกกองทัพเรือ กล่าวผ่าน “เดลินิวส์ออนไลน์” ด้วยว่า ได้สอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งยอมรับผิดว่าไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง และทำหนังสือชี้แจงไปแล้ว โดยเรื่องดังกล่าวทางผู้บังคับบัญชา ระบุว่าให้จำไว้เป็นบทเรียน อย่าให้เกิดความผิดพลาดในลักษณะเช่นนี้อีกเป็นครั้งต่อไป

ด้านน.ส.จีรพร แพงาม เจ้าของร้านผลิตป้ายไวนิลดังกล่าว ได้กล่าวขอโทษพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศ และยืนยันว่าทางร้านไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความผิดพลาดแต่ประการใด ทางร้านเห็นว่าธงชาติไทยที่ติดอยู่ที่ป้ายไวนิลควรจะปลิวไสว ไม่ใช่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าธรรมดา จึงได้ออกแบบใหม่ โดยไม่ได้แจ้งให้ทราบ ด้วยความเร่งรีบทำให้เกิดความผิดพลาดในการให้สี จึงขอรับผิดแต่โดยดี

อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติธง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม96/ตอนที่ 67/ฉบับพิเศษ หน้า 1/30 เม.ย.2522กำหนดไว้ว่า มาตรา 53 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดต่อธงตามมาตรา 5 หรือมาตรา 6 ดังต่อไปนี้ ประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นใดในผืนธง รูปจำลองของธง หรือในแถบสีธง นอกจากที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้หรือกฎหมายอื่น หรือแสดงธง รูปจำลองของธง แถบสีธงโดยวิธีอันไม่สมควร และแสดงหรือใช้สิ่งใดๆ ที่มีรูปธง รูปจำลองของธง หรือมีแถบสีธงโดยไม่สมควร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


:shock: :shock: ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ........ :o :o
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
รูปประจำตัวสมาชิก
Deang-sarapee
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 4352
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ย. 2011, 13:48
Tel: 0814730594
team: รักรถรักธรรม
Bike: Trex,Bridgestone,Jagoa,Specailize
ตำแหน่ง: ๑๓ ม.๑๐ บ้านปากกอง ต.สารภี อ.สารภี จ.เชียงใหม่ ๕๐๑๔๐

วิสาขบูชา

โพสต์ โดย Deang-sarapee »

รูปภาพรูปภาพรูปภาพ

รูปภาพ

:idea: :idea: วันวิสาขบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า 3 ประการ คือ เป็นวันประสูติ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าและปรินิพพาน เป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา
วันวิสาขบูชา ปี 2559 ตรงกับวันที่ 20 พฤษภาคม 2559

วันวิสาขบูชา หรือ วิศาขบูชา (บาลี: วิสาขปูชา; อังกฤษ: Vesak) เป็น "วันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล" ของชาวพุทธทุกนิกายทั่วโลก, วันหยุดราชการ ในหลายประเทศ และ วันสำคัญของโลก ตามมติเอกฉันท์ของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ เพราะเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ด้วยกัน คือ เป็นวันคล้ายวันประสูติ, ตรัสรู้ และปรินิพพาน แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยทั้งสามเหตุการณ์นั้นได้เกิดตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 หรือในวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขมาส (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็นวันที่รวมเกิดเหตุการณ์อัศจรรย์ยิ่ง จึงเรียกการบูชาในวันนี้ว่า "วิสาขบูชา" ย่อมาจาก"วิสาขปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" อันเป็นเดือนที่สองตามปฏิทินของอินเดีย ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน โดยในประเทศไทย ถ้าในปีใดมีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 7 หลัง ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทอื่นที่ไม่ได้ถือคติตามปฏิทิน จันทรคติของไทย จะจัดพิธีวิสาขบูชาในวันเพ็ญเดือน 6 แม้ในปีนั้นจะมีเดือน 8 สองหนตามปฏิทินจันทรคติไทยก็ตาม[2] และในกลุ่มชาวพุทธมหายานบางนิกาย ที่นับถือว่าเหตุการณ์ทั้ง 3 นั้น เกิดในวันต่างกันไป จะมีการจัดพิธีวิสาขบูชาต่างวันกันตามความเชื่อในนิกายของตน ๆ ซึ่งจะไม่ตรงกับวันวิสาขบูชาตามปฏิทินของชาวพุทธเถรวาท

วันวิสาขบูชา วันสำคัญของโลก วันวิสาขบูชา นั้นได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนทั่วโลกให้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เนื่องจากเป็นวันที่บังเกิดเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธเจ้าและจุดเริ่มต้นของศาสนาพุทธ ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดได้เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ณ ดินแดนที่เรียกว่าชมพูทวีปในสมัยพุทธกาล โดยเหตุการณ์แรก เมื่อ 80 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในพระราชอุทยานลุมพินีวัน (อยู่ในเขตประเทศเนปาลในปัจจุบัน) และเหตุการณ์ต่อมา เมื่อ 45 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันที่เจ้าชายสิทธัตถะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มโพธิ์พฤกษ์ ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) และเหตุการณ์สุดท้าย เมื่อ 1 ปี ก่อนพุทธศักราช เป็น "วันเสด็จดับขันธปรินิพพานขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ณ ใต้ร่มสาละพฤกษ์ ในสาลวโนทยาน พระราชอุทยานของเจ้ามัลละ เมืองกุสินารา (อยู่ในเขตประเทศอินเดียในปัจจุบัน) โดยเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนเกิดตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 หรือเดือนวิสาขะนี้ทั้งสิ้น ชาวพุทธจึงนับถือว่าวันเพ็ญเดือน 6 นี้ เป็นวันที่รวมวันคล้ายวันเกิดเหตุการณ์สำคัญ ๆ ของพระพุทธเจ้าไว้มากที่สุด และได้นิยมประกอบพิธีบำเพ็ญบุญกุศลและประกอบพิธีพุทธบูชาต่าง ๆ เพื่อเป็นการถวายสักการะรำลึกถึงแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบมาจนปัจจุบัน

วิสาขบูชา มีการนับถือปฏิบัติกันในหลายประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งมหายานและ เถรวาททุกนิกายมาช้านานแล้ว ในบางประเทศเรียกพิธีนี้ว่า "พุทธชยันตี" (Buddha Jayanti) เช่นใน อินเดีย และศรีลังกา ในปัจจุบันมีหลายประเทศที่ยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ประเทศอินเดีย, ประเทศไทย, ประเทศพม่า, ประเทศศรีลังกา, สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เป็นต้น (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนประชากรที่นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท มากที่สุด) ในฝ่ายของประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาทในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับคติการปฏิบัติบูชาในวันวิสาขบูชามาจากลังกา (ประเทศศรีลังกา) ในประเทศไทยปรากฏหลักฐานว่ามีการจัดพิธีวิสาขบูชามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

วันวิสาขบูชามีความสําคัญอย่างไร ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล เพราะชาวพุทธทุกนิกายจะพร้อมใจกันจัดพิธีพุทธบูชาในวันนี้พร้อมกันทั่วทั้งโลก (ซึ่งไม่เหมือนวันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชา ที่เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาที่นิยมนับถือกันเฉพาะในประเทศไทย, ลาว, และกัมพูชา) และด้วยเหตุนี้ ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติจึงยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็น "วันสำคัญสากลนานาชาติ (International Day)" หรือ "วันสำคัญของโลก" ตามคำประกาศของที่ประชุมใหญ่สมัชชาสหประชาชาติ ครั้งที่ 54 ลงวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2542

ปัจจุบันประเทศไทยได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดราชการ โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์ และประชาชน จะมีการประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อเป็นการบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญ 3 เหตุการณ์ดังกล่าว ที่ถือได้ว่าเป็นวันคล้ายวันที่ "ประสูติ" ของเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งต่อมาได้ "ตรัสรู้" เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงกอปรไปด้วย "พระบริสุทธิคุณ", "พระปัญญาคุณ" ผู้ซึ่งได้ทรงสั่งสอนประกาศพระสัจธรรม คือความจริงของโลกแก่พหูชนทั้งปวงโดย "พระมหากรุณาธิคุณ" จวบจนทรง "เสด็จดับขันธปรินิพพาน" ในวาระสุดท้าย ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสืบเนื่องในวันเพ็ญเดือน 6 ทั้งสิ้นนี้ ทำให้พระพุทธศาสนาได้บังเกิดและสืบต่อมาอย่างมั่นคงจนถึงปัจจุบัน

ประวัติวันวิสาขบูชา ปรากฎหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ.420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาจากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่นๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา วันพระพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา วันของเรา

ประวัติวันวิสาขบูชาในประเทศไทย ประวัติในส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะว่าประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยนั้นมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนา กับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย ข้อมูลดีๆ

วันวิสาขบูชา มีความสำคัญอย่างไร วันวิสาขบูชา มีความสำคัญต่อชาวพุทธและชาวโลกอย่างไร โดย พระธรรมปิฏก (ป.อ.ปยุตฺโต) วันวิสาขบูชาสำคัญต่อชาวพุทธ เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ประดิษฐานพระพุทธศาสนา เป็นผู้ทำให้พระพุทธศาสนาเกิดขึ้น เราจึงเรียกพระองค์ว่า “พระบรมศาสดา” เมื่อพระพุทธศาสนาสำคัญต่อเรา พระพุทธเจ้าก็สำคัญต่อเราชาวพุทธทั้งหลาย นี้เป็นการพูดในแง่หลักทั่วไป ถ้าจะพูดในความหมายที่ลึกลงไป ความสําคัญวันวิสาขบูชา ก็มีความสำคัญในแง่ที่ว่าเป็นเครื่องเตือนใจให้เรานำเอาหลักพระพุทธศาสนาขึ้นมาประพฤติปฏิบัติ อย่างน้อยเริ่มต้นด้วยเตือนใจให้เราไม่ลืมที่จะมองความหมายว่าพระพุทธศาสนา คืออะไร แล้วก็เป็นโอกาสสำหรับการทำความดีงามต่างๆ เริ่มตั้งแต่การมาระลึก ทบทวนความหมาย ตรวจสอบความเข้าใจและขวนขวายศึกษาพระพุทธศาสนา ถ้าเราใช้โอกาสนี้มาเตือนใจกัน แล้วส่งเสริมการศึกษาพระพุทธศาสนา ด้วยการสร้างความรู้ความเข้าใจ และชวนกันประพฤติปฏิบัติ ก็จะเป็นผลดีต่อตนเอง ต่อผู้อื่นและต่อสังคมส่วนรวม

แต่ละปีเราอาจจะมาตกลงกันว่า ปีนี้จะเน้นอะไรสำหรับชาวพุทธ เช่น เน้นเรื่องที่สัมพันธ์กับสภาพสังคม โดยพิจารณาว่าสังคมไทยเวลานี้มีสภาพเป็นอย่างไร มีจุดอ่อนจุดแข็งในแง่ไหน มีปัญหาทางด้านสังคม เช่น อบายมุข ยาบ้า ยาเสพติด การพนัน ที่หนักมาก ประชาชนลุ่มหลงในเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์และการอ้อนวอนหวังผลจากการดลบันดาล การบ้านการเมือง ก็มีปัญหาจากความไม่สามัคคี เป็นต้น ตลอดจนเรื่องของความไม่สะอาด ไม่เรียบร้อย ไม่สุจริตต่างๆ ดังที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย เป็นเหตุการณ์ความเป็นไปของสังคม ซึ่งชาวพุทธก็คือคนไทย ทั่วๆไปนี่แหละ ต้องมีความรับผิดชอบ

โดยเฉพาะความรับผิดชอบในฐานะชาวพุทธนี่ต้องสูง เพราะพฤติกรรมเสื่อม ทรามเสียหายเหล่านี้ จะเป็นอบายมุขก็ดี ความไม่สุจริตในการบริหารดำเนินกิจการต่างๆก็ดี เป็นเรื่องที่ผิดหลักพระพุทธศาสนามาก ถ้าเราจะให้พระพุทธศาสนามีความหมาย และแสดงว่าคนไทยนับถือ พระพุทธศาสนาจริง ก็ต้องให้คนไทยแสดงตัวออกมาด้วยพฤติกรรมหรือการกระทำ และการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องตาม หลักพระพุทธศาสนา เมื่อชีวิตและสังคมของเรามีสภาพอย่างนี้ ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพระพุทธศาสนา ก็เป็นเครื่องฟ้องตัวเอง ที่เราจะต้องมาทบทวนพิจารณากัน แล้วก็วิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไข

วันวิสาขบูชา ก็เป็นโอกาสสำคัญที่จะได้มาเอาจริงเอาจังโดยมารวมใจกัน ประชุมกัน หรือร่วมมือกัน ในการวาง แนวทางนโยบาย เริ่มตั้งแต่หยิบยกปัญหา ขึ้นมาถกเถียงแล้วตั้งประเด็นเป็นจุดกำหนด และวางเป้าหมายใหญ่ๆ ที่เราจะเอาจริงเอาจังเพื่อปรับปรุงกิจการ พระศาสนา พัฒนาชีวิตและสังคม เมื่อได้จุดหมายชัดเจนแล้ว ก็วางวิธีการในการแก้ปัญหาให้เป็นเรื่องที่จะทำกันให้จริงจังต่อไป

พระพุทธศาสนาสำคัญต่อโลก ก็คือในแง่ที่ “เป็นบ่อเกิดสำคัญของอารยธรรมมนุษย์” ซึ่งจะพูดตามภาวะ ที่เป็นอยู่ในบางแถบของโลกก็ได้ หรือจะพูดในแง่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของโลกทั้งหมดก็ได้ อารยธรรมมนุษย์นั้นเป็นผลงานสร้างสรรค์ของมนุษย์ในถิ่นต่างๆเมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมา ก็ทำให้เกิดความก้าวหน้าในการสร้างสรรค์ในส่วนต่างๆของโลก ตามที่ปรากฏในประวัติ ศาสตร์แห่งวัฒนธรรมและอารยธรรมของมนุษย์ในท้องถิ่นต่างๆแต่ละภูมิภาค หรือแต่ละประเทศก็ดี หรือในส่วนรวมของโลกก็ดี ถ้าเราศึกษาดูให้ดี ก็จะเห็นส่วนร่วมและบทบาทสำคัญของบุคคลในพระพุทธศาสนาและของตัวสถาบันพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เมื่อมีบุคคลมานับถือหรือนำหลักธรรมในพุทธศาสนาไปใช้ ความเปลี่ยนแปลงในทางพฤติกรรม จิตใจ และความรู้ความคิดก็เกิดขึ้น เมื่อความเชื่อถือ การประพฤติปฏิบัติ และความคิด ความ เข้าใจแพร่ขยายกว้างออกไป และอยู่ตัว ก็กลายเป็นวิถีชีวิต วิถีสังคม วัฒนธรรม ตลอดจนการสร้างสรรค์ ต่างๆตามแนวทางนั้น เรียกว่าอารยธรรม เกิดขึ้น

เหมือนอย่างประเทศไทยเราก็เป็นตัวอย่างของท้องถิ่นหนึ่งหรือประเทศหนึ่งที่ วัฒนธรรม มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา ความเจริญก้าวหน้าและความเป็นมาของสังคมย่อมสืบเนื่องมาจากหลักการต่างๆที่นำมาใช้ ไม่ว่าหลักการคือหลักธรรมในพระพุทธศาสนานั้นเราจะเอามาใช้ได้แค่ไหน และใช้ได้ถูกต้องเพียงใดก็ตาม แต่แน่นอนว่าเราเอามาจากพระพุทธศาสนามากมาย

ถ้าจะวิเคราะห์ในแง่ของตัววัฒนธรรมกว้างๆ ก็แยกออกไปได้หลายเรื่อง เช่น ศิลปวัตถุสถาน ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ภาษา วรรณคดี นิติธรรม แม้แต่ในด้านรัฐ เรื่องของการบ้านการเมือง การปกครอง ก็ได้รับอิทธิพลจากคำสอนของพระพุทธศาสนา แล้วก็เรื่องของวิถีชีวิต เรื่องของภาวะจิตใจอะไรต่างๆ เช่น ความโอบอ้อม อารีมีน้ำใจ ก็เห็นกันได้อย่างชัดเจน แม้จะเป็นเรื่องที่ยังต้องวิเคราะห์กันว่าเรา นำมาใช้ได้สำเร็จผลดีมากน้อยแค่ไหน แต่พูดรวมๆว่าในการนำมาใช้นั้นเราก็ได้ ประโยชน์จากข่าวพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามก่อนจะรับนับถือพระพุทธศาสนา และแม้แต่เมื่อพูดว่าเรานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว คนไทยเราก็มีพื้นเพจิตใจของตัวเอง ที่มีฐานภูมิหลังมาเก่า เมื่อนำหลักพุทธศาสนามาใช้ เราก็อาจจะเลือกเอาส่วนที่สนองความต้อง การของเราตามกาลเทศะ

เรื่องนี้มองได้หลายอย่าง เช่น อาจมองว่าการนำพระพุทธศาสนามาใช้นั้น เป็นการที่เราพยายามก้าวเข้าไปสู่หลักการ ของพุทธศาสนา สังคมนั้นมีการพัฒนา และพระพุทธศาสนาก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา ถ้าเราไม่ประมาท เราก็จะคอย ตรวจสอบวัดผลว่าเรานำหลักพระพุทธศาสนามาใช้ได้เท่านี้และเราคืบหน้าไปได้เท่านี้ แต่หลักพระพุทธศาสนาไม่ใช่มีเท่านี้ เราจึงต้องก้าวต่อไป เราอย่ามองในแง่เหมือนกับว่า พระพุทธศาสนาเข้ามาอยู่ในสังคมไทยของเราแล้ว สังคมไทยของเราเป็นไปตาม หลักพระพุทธศาสนาแล้ว หลักมีอยู่เท่านี้ เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่แน่นอน แม้แต่ส่วนที่นำมาใช้แล้ว นานๆไปเมื่อเป็นของส่วนรวม สังคมใหญ่ๆก็มีการคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปได้ จึงต้องมีการตรวจสอบ ปรับตัวแก้ไข โดยนำเอาหลักแท้ๆมาเป็นมาตรฐาน คือปรับตัวเข้ากับหลักการที่ ถูกต้องจริงแท้ให้ได้

ยิ่งโดยเหตุผลสำคัญ คือพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ก็ยิ่งทำให้การที่จะต้องทบทวนตรวจสอบตัวเองกับ หลักการเป็นเรื่องสำคัญ พูดง่ายๆก็คือ จะต้องมีการศึกษานั่นเอง เพราะว่าศาสนาแห่งปัญญานั้น คนจะต้องศึกษาจึงจะนำหลักมาใช้ได้ถูกต้อง ถ้าเป็นศาสนาแห่งศรัทธา ก็จะวางหลักความเชื่อและข้อปฏิบัติมาตายตัว ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องถาม ต้องเชื่อตามและทำตามแน่นอน เช่น บอกว่า นี่นะ คุณเป็นศาสนิกคุณจะต้องเชื่ออย่างนี้ๆ คุณจะต้องปฏิบัติอย่างนี้ วางมาให้เลย ๑-๒-๓-๔-๕ ตายตัว ไม่ต้องรู้เหตุผล ไม่ต้องเข้าใจอะไรก็ได้ แต่ในพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าการจะประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ไม่ผิดพลาด อยู่ที่ต้องรู้เข้าใจโดยใช้ปัญญา ต้องเรียนรู้ว่าหลักเป็นอย่างไร จะต้องก้าวต่อไปอย่างไร การที่จะนำมาใช้ได้แค่ไหน อยู่ที่เรามีปัญญา รู้ เข้าใจ และมีความสามารถ ที่จะนำมาประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง ต่อตัวบุคคลผู้ปฏิบัตินั้นเองและต่อกาลเทศะ เพื่อให้บรรลุจุดหมายของพระศาสนา

เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่ว่าในแง่หนึ่งก็เสี่ยง คือเสี่ยงต่อการคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยน ซึ่งก็แน่นอนว่าได้เกิดการคลาด เคลื่อนผิดเพี้ยนขึ้นมากมายแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน เราก็ถือว่าถ้ามนุษย์จะมีการพัฒนาได้จริง ก็จะต้องให้คนพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะการใช้ปัญญา อันนี้เป็นเรื่องที่ทำให้พุทธศาสนามีลักษณะพิเศษ ที่ว่าให้เสรีภาพในทางความคิด และส่งเสริมการศึกษาที่เน้นปัญญา วันอาสาฬหบูชามีความสําคัญอย่างไร

(หมายเหตุ : จากหนังสือ‘มองวัน วิสาขบูชาหยั่งถึงอารยธรรมโลก’) คัดลอกจาก http://www.manager.co.th/dhamma/DhammaL ... 1433236002
ธรรมลีลา ปีที่ 3 ฉบับที่ 30 พฤษภาคม 2003
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=72&t=890159
http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic.php?f=188&t=745024
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เอ็ม.เจ.ไบค์-นครปฐม”