++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

ผู้ดูแล: พลพล, Real

Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

...มาแล้วจ้า วันนี้มีเรื่อง"น้ำเพื่อชีวิตและสุขภาพ"มาฝากครับ

รูปภาพ

...น้ำมีความสำคัญกับชีวิต เรา อาจมีชีวิตอยู่ได้นานนับเดือนหากขาดอาหาร แต่เราอยู่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้นหากขาดน้ำ ที่เป็นเช่นนี้เพราะร่างกายเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงประมาณร้อยละ 60 สำหรับผู้ชายส่วนผู้หญิงมีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 50 การที่ผู้หญิงมีน้ำในร่างกายน้อยกว่าผู้ชาย เนื่องจากโดยโครงสร้าง ของร่างกายผู้หญิงมีเซลล์ไขมันมากกว่า ซึ่งเซลล์ไขมันจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่เพียงร้อยละ 10-15 เท่านั้น ในขณะที่เซลล์ของกล้ามเนื้อมีน้ำเป็นส่วนประกอบถึงร้อยละ 70-75

บทบาทของน้ำในร่างกายคือ
-เป็นส่วนประกอบ ของเซลล์ต่างๆ
-เป็นตัวทำละลายสารอาหารและของเสีย
-ช่วยในการขนส่งสารอาหารและของเสียในร่างกาย
-มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพื่อสร้างเป็นพลังงาน
-เป็นสารหล่อลื่นข้อต่อต่างๆ และช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย

...ความต้องการน้ำจะต่างกันไปตามอายุ ขนาดร่างกาย กิจกรรมที่ทำ สภาพแวดล้อม และสภาวะของร่างกาย โดยเด็กต้องการน้ำมากกว่าผู้ใหญ่ และสภาวะบางอย่างทำให้ร่างกายต้องการน้ำเพิ่มขึ้น เช่น มีไข้ อาเจียน ปัสสาวะบ่อย ท้องเสีย มีเหงื่อออกมากกว่าปกติ เป็นต้น

น้ำเพื่อสุขภาพ
...หลายท่านคงคุ้นเคยกับคำแนะนำให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้วเพื่อสุขภาพที่ดี แต่เมื่อปี 2002 มีนักวิจัย ท่านหนึ่งพบว่าไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะยืนยันว่าผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงดี ซึ่งไม่ได้ทำกิจกรรมหนัก มีความต้องการน้ำปริมาณมากเมื่ออยู่ในสภาวะอากาศร้อน จึงแนะนำให้ดื่มน้ำเมื่อรู้สึกกระหาย และยังกล่าวอีกว่าน้ำที่ร่างกายต้องการนั้นอาจได้จากการดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก็ได้ และในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2004 Institute of Medicine(IOM) ได้ออกคำแนะนำใหม่เรื่องการดื่มน้ำว่า ผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงสามารถใช้ความกระหายเป็นสิ่งกำหนดความต้องการน้ำได้ ซึ่งคำแนะนำนี้ไม่สามารถใช้ได้ในผู้ที่มีความจำเป็นต้องจำกัดน้ำ เช่น นักกีฬา หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่สุดขั้ว เช่น ร้อนจัด หรือหนาวจัด แม้ว่าทาง IOM ไม่ได้กำหนดปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการ

...แต่ได้ให้คำแนะนำว่า ปกติผู้หญิงต้องการน้ำวันละประมาณ 11 แก้ว และผู้ชายต้องการวันละประมาณ 15 แก้ว ซึ่งปริมาณดังกล่าวเป็นปริมาณน้ำที่ได้จากทั้งอาหารและเครื่องดื่ม โดยทั่วไปเราได้น้ำจากการบริโภคอาหารประมาณร้อยละ 20 ดังนั้นผู้หญิงควรดื่มน้ำวันละประมาณ 9 แก้ว และผู้ชายควรดื่มน้ำวันละประมาณ 12 แก้ว

น้ำกับการออกกำลังกาย
...ในขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา การทำงานของ กล้ามเนื้อทำให้เกิดความร้อน อุณหภูมิของร่างกาย สูงขึ้น เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้เป็นปกติจึงต้องมีการระบายความร้อน เหงื่อคือรูปแบบการ ระบายความร้อนอย่างหนึ่ง การออกกำลังกายหนัก เป็นเวลานานอาจทำให้มีการสูญเสียน้ำจำนวนมาก และการออกกำลังกายในบางสภาวะ เช่นในสภาพอากาศร้อนและแห้ง เราอาจมีการเสียน้ำจำนวนมากโดยไม่รู้ตัว
...หากไม่ได้น้ำเข้าไปทดแทนอย่างเพียงพอจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ และอาจ เกิดอาการดังต่อไปนี้ กระหายน้ำ ปากแห้ง หอบเหนื่อย หน้ามืด ตาลาย เวียนศีรษะ นอกจากนี้ความร้อนในร่างกายที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เกิดอาการ เช่น เป็นตะคริว หมดแรง หน้ามืด เป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ หมดสติ ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นในการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ควรใส่ใจเรื่องการดื่มน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ โดยมีข้อแนะนำดังนี้
-ดื่มน้ำ 400-600 มิลลิลิตร ก่อนออกกำลังกาย 2 ชั่วโมง
-ดื่มน้ำ 150-350 มิลลิลิตร ทุก 15-20 นาที ขณะออกกำลังกาย
-ควรดื่มน้ำตามเวลาที่กำหนด อย่ารอให้รู้สึกกระหายน้ำ

น้ำกับการควบคุมน้ำหนัก
...บางท่านอาจเคยได้รับข้อมูลว่าน้ำช่วยในการลดน้ำหนักได้ แต่ในความเป็นจริง น้ำช่วยลดความกระหายได้แต่ไม่สามารถลดความหิวได้ ทั้งนี้เนื่องจากการจัดการกับความกระหายและความหิวของร่างกายมีขบวนการที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า การดื่มน้ำก่อนอาหารหรือระหว่างมื้ออาหารช่วยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารในแต่ละมื้อได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น น้ำจะช่วยลดน้ำหนักได้เมื่อดื่มน้ำ เปล่าแทนการดื่มเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน สูง นอกจากนี้การเลือกรับประทานอาหาร ที่มีน้ำเยอะจะช่วยลดน้ำหนักได้เนื่องจากทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น อาหารที่มีน้ำเยอะ จะมีปริมาณเยอะแต่ให้พลังงานต่ำ

...มีการศึกษาที่พบว่าการรับประทานอาหารที่มีน้ำเยอะ ช่วยในการลดน้ำหนักได้ดีกว่าการเลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ดังนั้นในผู้ที่ต้องการ ลดน้ำหนักควรเลือกรับประทานอาหารที่มีน้ำเยอะเป็นประจำ อาหารที่มีน้ำเยอะ เช่น ผัก ผลไม้(ผักและผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 80-90) ปลา ไข่(มีน้ำอยู่ประมาณร้อยละ 70) รวมถึงซุปใส แกงจืด เกาเหลา และก๋วยเตี๋ยวน้ำ เป็นต้น

...จะเห็นว่าน้ำมีบทบาทหลายด้านในชีวิตของเรา การขาดน้ำทำให้เกิดความเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ การใส่ใจกับสัญญาณเตือนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ความรู้สึกกระหายน้ำ ปากแห้ง มีไข้ ปวดศีรษะ ปัสสาวะมีสีเข้ม ทำให้เราทราบว่าร่างกายมีภาวะขาดน้ำ ควรมีการดื่มน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการหนักขึ้น และในเดือนที่อากาศเริ่มร้อนขึ้น เราอาจมีการเสียน้ำมากขึ้น ควรดูแลใส่ใจสุขภาพด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอกันด้วย

ราตรีสวัสดิ์ครับ :P
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

คืนนี้มีรูปการออกกำลังกายท่าง่ายๆมาฝากครับ

รูปภาพ
1.ท่า นอนยกขา
เริ่มต้น : นอนตะแคงขวาดังรูป
นับ 1 : ยกขาซ้ายขึ้น
นับ 2 : ลดขาซ้ายลงสู่ท่าเริ่มต้น
ทำซ้ำกัน 5 ครั้ง แล้วทำอย่างเดียวกันกับขาขวา

รูปภาพ
2.ท่า ซิทอัพ
เริ่มต้น : นอนหงายประสานมือไว้ท้ายทอย และงอเข่า
นับ 1 : ยกตัวโน้มมาทางซ้าย พร้อมกับเข่าซ้าย ยกขึ้นตาม จากนั้นกลับสู่ท่าเริ่มต้น
นับ 2 : ยกตัวโน้มมาทางขวา พร้อมกับเข่าขวายกขึ้นตาม แล้วกลับสู่ท่าเริ่มต้นค่อยๆทำเพิ่มให้ได้ อย่างน้อย 20 ครั้ง

รูปภาพ
3.ท่า เอนตัว
เริ่มต้น : ยืนกางเท้าออกเพียงระยะของไหล่ ประสานมือ ไว้เหนือศีรษะ ดังรูป
นับ 1 : เอนตัวไปทางด้านซ้ายให้มากที่สุด
นับ 2 : กลับสู่ท่าเริ่มต้น
นับ 3 และ นับ 4 : ทำเช่นเดิมไปทางด้านขวา
ให้ทำอย่างน้อย 15 ครั้ง

รูปภาพ
4.ท่า ยกขา
เริ่มต้น : นอนราบไปกับพื้น แขนทั้งสองวางข้างลำตัว
นับ 1 : ยกขาทั้งสองขึ้นพร้อมกัน
นับ 2 : ค่อยๆเอาขาลงเป็นนอนราบเหมือนท่าเริ่มต้น
ให้ทำอย่างน้อย 15 ครั้ง

รูปภาพ
5.ท่าหมุนคอ
เริ่มต้น : ยืนตัวตรง แขนแนบชิดลำตัว
นับ 1 : หมุนคอไปทางซ้าย
นับ 2 : หมุนคอกลับมาทางขวา
.ให้ทำประมาณ 10 ครั้งพอ มากกว่านี้ มึน

รูปภาพ
6.ท่า แอ่นหลัง
เริ่มต้น : นอนคว่ำแนบพื้น ยาเหยียดตรงและกดขาให้แนบพื้น
แขนเหยียดตรงไว้ข้างหลัง
นับ 1 : ยกขาทั้งสองขึ้น แขนยกขึ้นตามไปด้วย
นับ 2 : เอาขาทั้งสองลง พร้อมแขนคืนหลับมาที่เดิม
ให้ทำประมาณ 12 ครั้ง

รูปภาพ
7.ท่า ยกเข่า
เริ่มต้น : นอนชันเข่า แขนแนบลำตัว ดังรูป
นับ 1 : งอเข่า และดึงเข้ามาหาลำตัว
นับ 2 : เอาเข่าลง กลับสู่ท่าเริ่มต้น
ให้ทำประมาณ 10 ครั้ง

รูปภาพ
8.ท่า ย่อเข่า
เริ่มต้น : ยืนตรง เท้าแยกออกจากกันให้เท่ากับระยะกว้างของไหล่
มือเท้าสะโพก
นับ 1 : ย่อเข่าลงครึ่งทาง
นับ 2 : กลับคืนสู่ทาเริ่มต้น
ประมาณ 10 ครั้ง

ราตรีสวัสดิ์ครับรูปภาพ
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

...เพื่อนๆเคยมีปัญหาเวลาออกกำลังกายแล้วปวดกล้ามเนื้อบ้างมั้ยครับ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อเรายังไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร ดังนั้นคืนนี้จึงขอนำเรื่องการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching) รวมทั้งมีท่าประกอบมาฝากครับ

การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching)

...เป็นสิ่งสำคัญมากในการที่จะทำให้สามารถเล่นกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อที่ดีจะช่วยเอ็นข้อต่อและเส้นใยกล้ามเนื้อ ที่ได้รับการยืดเหยียดมีความยาวและมุมกว้างกว่าปกติ ทำให้สามารถช่วยป้องกันการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อ ซึ่งจะช่วยลดทอนการบาดเจ็บลง โดยปกติแล้ว เราจะทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในช่วงการอบอุ่นร่างกาย(Warm up) และการคลายเย็น(Cool down) ดังนั้น ในการเล่นกีฬาทุกครั้ง เราจึงควรทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การเล่น การฝึกซ้อมหรือการแข่งขันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

วัตถุประสงค์ในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ
1. เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับข้อต่อ ตลอดจนการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ
2. เป็นการพัฒนาระบบการทำงานต่าง ๆ ของร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทำให้การฝึกซ้อมหรือเล่นกีฬาได้ผลดียิ่งขึ้น
3. ช่วยในการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หลังการฝึกซ้อมหรือแข่งขัน
4. ช่วยในการลดอาการตึง เกร็ง ของกล้ามเนื้อ
5. ช่วยในการลดอันตรายที่อาจจะเกิดกับกระดูกสันหลัง
6.ช่วยพัฒนาความยืดหยุ่นหรือความอ่อนตัว Flexibility
7.เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจในการฝึกซ้อมและแข่งขัน

ข้อแนะนำในการยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิภาพ
-ขั้นแรก ควรอบอุ่นร่างกายก่อน เพราะถ้าหากอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จะทำให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นได้ดี ลดการบาดเจ็บได้มากขึ้น
-ควรยืดเหยียดด้วยความนุ่มนวล และค่อยๆ เพิ่มขึ้น
-ยืดเหยียดค้างไว้ประมาณ 10-30 วินาที เพื่อทำให้กล้ามเนื้อค่อยๆ เหยียดยาวขึ้น อย่างช้าๆ โดยเฉพาะช่วงการCool down หลังการเล่นควรทำการยืดเหยียดนานกว่าช่วง Warm up หลักการก็คือ ยิ่งเล่นหนักมาก ยิ่งต้องคลายหรือยืดเหยียดให้มาก เพื่อให้กล้ามเนื้อสามารถกลับสู่สภาพปกติและฟื้นคืนสภาพได้เร็วขึ้น
-อย่ากระตุกหรือกระชาก เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหดตัว และสั้นลง
-ยืดเหยียดจนถึงจุดที่เริ่มรู้สึกตึงกล้ามเนื้อ ถ้ายืดเหยียดจนเจ็บ แสดงว่า ออกแรงดึง หรือดันมากเกินไป
-ใช้การยืดเหยียด เพื่อปรับความสมดุลย์ของร่างกาย และจิตใจ ก่อนและหลังการเล่น
-ควรหายใจอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรกลั้นหายใจ

การยืดเหยียดกล้ามเนื้อสามารถทำได้ 2 วิธี ดังนี้
1.การยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Stretching) เป็นการยืดเหยียดในลักษณะที่ทำให้ข้อต่อส่วนต่างๆหมุนหรือเคลื่อนที่ การยืดเหยียดลักษณะนี้ เราสามารถทำได้พร้อมๆกับการอบอุ่นร่างกาย (Warm up)
2.การยืดเหยียดกล้ามเนื้อในลักษณะหดค้างหรืออยู่กับที่ (Static Stretching) เป็นการยืดเหยียดกล้ามเนื้อในลักษณะที่ใช้แรงในการดึง ดัน หรือกดกระทำต่อกล้ามเนื้อให้ยืดเหยียด การยืดเหยียดกล้ามเนื้อลักษณะนี้เราสามารถกระทำได้ 2 ลักษณะ คือ
2.1 การยืดเหยียดด้วยตัวเอง ( Active static stretching )
2.2 การยืดเหยียดโดยผู้อื่นกระทำให้ ( Passive static stretching )

หมายเหตุ การยืดเหยียดกล้ามเนื้อโดยผู้อื่นกระทำให้จะเพิ่มประสิทธิภาพในการยืดของกล้ามเนื้อดีกว่า แต่ผู้ที่กระทำจะต้องมีความรู้ ในการใช้แรงที่เหมาะสม และแรงปฏิกิริยา ควรจะเป็นโค้ช,นักกีฬา หรือ ผู้ปกครอง ซึ่งถ้าใช้แรงไม่เหมาะสม อาจจะทำให้กล้ามเนื้อได้รับการบาดเจ็บได้ ขั้นตอนนี้ควรทำประมาณ 10 - 12 นาที ( เหมาะสำหรับทำในช่วง Cool down )

รูปภาพ
Downloadรูปใหญ่ --> http://konthairaipung.anamai.moph.go.th ... media1.pdf

รูปภาพ
Downloadรูปใหญ่ --> http://konthairaipung.anamai.moph.go.th ... media2.pdf
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
รูปประจำตัวสมาชิก
โส๋ยตี๋
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 2157
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ส.ค. 2008, 08:24
Tel: 089-929-3444
team: รามอินทรา
Bike: รถพับ KHS

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย โส๋ยตี๋ »

>>>>เพิ่มกำลังแขนอีกนิดครับ :lol: 55555
กระทู้สำรวจแนวกระสุน http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 62&start=0
ปั่นฯคนเดียวภาคอีสาน http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 72&start=0
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

วันนี้มาดูบทความที่น่าสนใจเรื่อง ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี ?
... ผมอ่านบทความของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เสก อักษรานุเคราะห์ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู สภากาชาดไทยที่พรรคพวกส่งต่อมาที่สรุปว่าการออกกำลังกายตอนเย็นดีกว่าตอนเช้าแล้วเห็นว่าน่าสนใจ

บทความของคุณหมอเสกฉบับเต็มบอกอย่างนี้ครับ...
...สมมุติว่า ตัวเราเป็นรถยนต์ เครื่องยนต์ของเราคือกล้ามเนื้อ แขน ขา ที่จะทำให้เราเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้ รถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อให้เครื่องยนต์ทำงาน คนเราก็ต้องการอาหารเป็นพลังงานให้ร่างกาย เคลื่อนไหว ไปไหนมาไหนได้ โดยเฉพาะใช้ออกกำลังกาย ตื่นนอนเช้ารถยนต์และร่างกายเรา ไม่มีน้ำมันไม่มีพลังงานจำเป็นต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินอาหารก่อน รถยนต์จะได้มีพลังงานวิ่งไปได้ คนเราจะได้มีพลังงานให้กล้ามเนื้อแขน ขา ทำให้เราไปไหนมาไหนได้

...รถยนต์ต่างกับร่างกายเรา ตรงที่พอเติมน้ำมันเต็มถังแล้ว สามารถขับรถไปได้ทันที แต่คนเราหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ยังไปออกกำลังกายไม่ได้ เพราะหลังกินอาหาร 2 ช.ม. จะมีเลือดมารอรับอาหารที่จะถูกย่อยที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมากหลังจากอาหารถูกดูดซึมเข้ามาในเลือดแล้ว เลือดจะพาสารอาหารแจกจ่ายไปยังอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้ เช่น วิ่งออกกำลังซึ่งต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขาที่ใช้วิ่ง 20 เท่าตัวของสภาวะปกติ เมื่อเลือดมากองอยู่ที่กระเพาะเป็นจำนวนมาก บวกกับมาเลี้ยงที่ขาอีก 20 เท่าดังกล่าว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอทำให้หน้ามืดเป็นลม หรือถ้าทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ เท่ากับกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถึงชีวิตได้ จึงห้ามเด็ดขาด ห้ามออกกำลังหลังกินอาหาร 2 ช.ม. เมื่ออาหารย่อยหมดแล้ว ดูดซึมเข้าเลือดหมดแล้ว (2 ช.ม.) เลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะก็จะกระจายไปหมด ถึงตอนนี้จะวิ่งก็ปลอดภัย
ทีนี้คนตื่นนอนตอนเช้าแล้วมาออกกำลัง เพราะตอนเช้าอากาศสดชื่น มลพิษก็น้อย อากาศเย็น ร่างกายยังสดชื่นเพราะได้พักมาทั้งคืน แต่คงไม่มีใครกินอาหารก่อนออกกำลังแน่ เท่ากับรถยนต์ไม่ได้เติมน้ำมันรถยนต์จะวิ่งได้อย่างไร แต่คนออกกำลังกายได้โดยไม่ต้องกินอาหาร เพราะตอนเย็นกินอาหารเสร็จเข้านอน ไม่ได้ใช้พลังงานขณะที่นอนหลับ ตับจะปรับเปลี่ยนสารอาหาร เช่น น้ำตาลเปลี่ยนเป็นไกลโคเจน ไตรกรีเซอร์ไรด์ ไขมันเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โปรตีนเปลี่ยนเป็นฟอสฟาเจน เป็นต้น แล้วนำไปเก็บไว้ในอวัยวะต่าง ๆ เมื่อตื่นนอนจึงไม่มีพลังงานหลงเหลืออยู่ในเลือด เท่ากับ รถยนต์น้ำมันแห้งถัง สภาพนี้คนออกกำลังได้โดยตับจะดึงสารอาหารที่ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ตอนนอนหลับ ให้กลับเป็นสารพลังงานในเลือดใหม่ จึงสามารถออกกำลังกายได้ มาลองคิดดู ตอนนอนตับทำงานหนักมาก เพื่อเอาสารอาหารไปเก็บ ตื่นตอนเช้าไปออกกำลังกายทันที ตับต้องดึงสารอาหารที่เอาไปเก็บไว้เมื่อคืน ออกมาใช้ใหม่ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ ทุกวัน ๆ ตับจะต้องทำงานหนักแค่ไหน จะทนสภาพนี้ได้นานเท่าไร เพราะไม่ได้พักเลย เหมือนคนกินเหล้าแล้วไม่กินอาหาร ตับต้องไปดึงสารอาหารจากที่ต่าง ๆ มาให้แอลกอฮอลเผาผลาญ มาก ๆ เข้านาน ๆ เข้า ในตับมีแต่ไขมัน กลายเป็นตับแข็ง

...ทีนี้ถ้าจะทำให้ถูกต้องก็ต้องกินอาหารเสียก่อน แต่ต้องรอถึง 2 ช.ม. จึงจะไปออกกำลังได้ เช่น กินอาหาร ตี 5 เจ็ดโมงเช้าจึงจะออกกำลังกายได้ จะมีใครทำอย่างนี้บ้าง ฉะนั้น ฝรั่งจึงมีแต่คำว่า morning walk ไม่เคยได้ยิน morning jogging เลย นั่นคือออกกำลังกายเบา ๆ ได้ เช่น เดิน ก่อนเดินก็กินอาหารเบา ๆ เช่น แซนวิช 1 ชิ้น กับโอวันติน 1 ถ้วย ซึ่งจะใช้เวลาย่อยอาหารสัก 1/2 - 1 ช.ม. ก็พอ ก็จะไปเดินออกกำลังกายได้ กินเล็กน้อยออกกำลังกายเบา ๆ ก็ใช้พลังงานน้อย ที่กินมาแค่นี้ก็พอไหว ลองพิจารณาการออกกำลังตอนเย็นบ้าง เรากินอาหารเช้า อาหารกลางวัน ตกเย็นรับรองว่าพลังงานยังเหลือเฟือ ขณะทำงานใช้ไปไม่หมด สามารถออกกำลังกายได้เลย เหมือนกับรถยนต์ น้ำมัน ยังไม่แห้งถัง แต่จะให้ดีอาจเติมอาหารเหมือนตอนเช้าอีกสักเล็กน้อย ก่อนไปออกกำลัง จะทำให้ไม่รู้สึกระโหย ความจริงไม่ต้องไปกินอะไรเลยก็ได้ ข้อสำคัญ เมื่อออกกำลังตอนเย็นเสร็จแล้ว ให้ดื่มน้ำโดยค่อย ๆ ดื่มจนรู้สึกอิ่ม กลับถึงบ้านท่านจะไม่รู้สึกหิวและไม่อยากกินอะไรอีก และหลังออกกำลังกายตอนเย็นนี้แล้ว เมื่อถึงเวลาเข้านอน จะเหลือสารอาหารน้อยที่สุด ตับไม่ต้องทำงานมาก สารอาหารไม่มีไปเก็บตามที่ต่าง ๆ จึงไม่ทำให้อ้วน และไม่มีสารอาหารเหลือค้างในหลอดเลือดโดยเฉพาะไขมัน จึงเป็นวิธีที่จะลดไขมันในเลือดได้ดีที่สุดโดยไม่ต้องกินยา

...ถ้าพิจารณาตรงนี้ ออกกำลังกายตอนเช้า หรือตอนเย็นจะเป็นการออกกำลังที่ทำให้สุขภาพทั่ว ๆ ไปดี (แอโรบิก) เท่า ๆ กันทั้งคู่ แต่การออกกำลังกายตอนเย็นโดยไม่ไปกินอาหารภายหลัง ยังจะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินตอนเช้าและตอนเที่ยง น้อยลงจนไม่สามารถทำร้ายร่างกายได้ด้วย การออกกำลังกายตอนเย็นจึงได้ 2 ต่อ

...จากงานวิจัยต่างประเทศ เร็ว ๆ นี้ พบว่า การออกกำลังกายตอนเช้านั้น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลง และการออกกำลังกายตอนเย็น จะทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายเพิ่มขึ้น ดูในแง่นี้ถ้าไข้หวัดระบาด การออกกำลังกายตอนเย็นจะได้ 3 ต่อ มีกรณีเดียวที่ออกกำลังกายตอนเช้าได้ประโยชน์ คือ พวกที่มีภูมิต้านทานมากไป เช่นโรคภูมิแพ้ได้แก่ หอบหืด แพ้อากาศ แพ้ฝุ่น หรือโรคพุ่มพวงดวงจันทร์ ออกกำลังกายตอนเช้าช่วยลดภูมิต้านทาน จึงเท่ากับช่วยให้คน ๆ นั้น กินยาลดภูมิต้านทานน้อยลงได้

สรุปมาถึงแค่นี้ คงทราบแล้วนะครับว่า ออกกำลังกายตอนเช้าหรือตอนเย็นดี

...มีข้อเสนอ อีกข้อหนึ่งคือออกกำลังกายแบบแอโรบิกก่อนนอน เช่น เดินบนสายพาน หรือขี่จักรยาน 30 นาที – 60 นาที ไม่ต้องกลัวว่าจะนอนไม่หลับ เพราะการออกกำลังกายแบบแอโรบิก 30 นาที ขึ้นไปนี้ ร่างกายจะหลั่ง “เอนดอร์ฟีน” ออกมาซึ่งมีฤทธิ์คล้าย ๆ มอร์ฟีน ที่ใช้ฉีดให้คนไข้หลังผ่าตัด จะทำให้ง่วงนอนคลายความเจ็บปวด คลายเครียด ฉะนั้น ออกกำลังกายเสร็จ อาบน้ำแล้วเข้านอนเลย ท่านจะนอนหลับสนิทชนิดไม่ฝัน การนอนหลับสนิทนี้ท่านต้องการ การนอนเพียง 5 ช.ม. ก็เพียงพอ จะทราบได้คือตอนทำงานกลางวัน จะไม่เพลีย ไม่ง่วง แสดงว่านอนหลับสนิท 5 ช.ม. เพียงพอแล้ว นอกจากนี้มีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาพบว่า คนนอน 5 ช.ม. มีอุบัติการ โรคเส้นเลือดหัวใจอุดตันน้อยกว่าพวกนอน 7-8 ช.ม. ฉะนั้น การออกกำลังกายตอนเย็นหรือก่อนนอน ดีกว่าออกกำลังกายตอนเช้า :D
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

การซ้อมจักรยานด้วยการปั่นอย่างเดียวอาจจะยังไม่สมบรูณ์นัก ดังนั้นจึงต้องทำการเวทเทรนนิ่งช่วยด้วย ...เพราะฉะนั้นคืนนี้หาเรื่อง..เอ๊ย..มีเรื่อง เวทเทรนนิ่งด้วยdumbbell มาฝากครับ (ข้อมูลจากBL.)

...dumbbell เป็นอุปกรณ์ที่หาได้ง่ายและมีราคาไม่แพงนัก การเล่นเวทเทรนนิ่งด้วยdumbbellนั้นเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหรืออุปกรณ์พิเศษที่มีในโรงยิมหรือสถานบริการฟิตเนสเลย
...ท่าที่ใช้ในการเล่นdumbbellนั้นมีแยกย่อยอยู่หลายท่า ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นท่าที่ใช้บริหารร่างกายท่อนบน ได้แก่กล้ามเนื้อแขน หัวไหล่ สะบัก รวมไปถึงหลังบางส่วน เราคงจะทราบกันดีแล้วว่ากล้ามเนื้อร่างกายท่อนบนมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการบังคับควบคุมรถ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยว การขืนรถให้กลับมาสู่แนวเดิม รวมไปถึงเทคนิคต่างๆไม่ว่าจะเป็นการยกล้อหน้าเพื่อข้ามสิ่งกีดขวาง การขี่ผ่านที่ทุรกันดารขรุขระ ร่างกายท่อนบนล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
...หลักการเล่นเวทเทรนนิ่งอย่างง่ายๆนั้น จะเริ่มต้นด้วยน้ำหนักน้อยๆ ยกติดต่อกันเป็นการวอร์มอัพกล้ามเนื้อ15ที จากนั้นจึงค่อยๆเพิ่มนน.ที่ละ 1 step ( ส่วนใหญ่แล้วจะเพิ่มทีละ 1 กก. ) พร้อมๆกับลดจำนวนครั้งลง โดยpatternจะเป็นดังนี้
1. ยกครั้งแรก 15 ครั้ง เพื่อเป็นการวอร์มอัพ
2. เพิ่มน้ำหนัก 1 step แล้วยก 12 ครั้ง
3. เพิ่มน้ำหนักอีก 1 step แล้วยก 10 ครั้ง
4. เพิ่มน้ำหนักอีก 1 step แล้วยก 8 ครั้ง
5. อาจจะเพิ่มอีก 1 step แล้วยก 6 ครั้ง

...ในกรณีที่ไม่สามารถหาซื้อลูกนน.มาเติมได้มากมายนัก แนะนำให้เริ่มที่น้ำหนักข้างละ 3 - 4 กก. ก่อน อาจจะยกซ้ำๆกัน ยกละ 15 ครั้ง โดยใช้น้ำหนักเท่าเดิมสักทั้ง 4 ยก ก็สามารถทำได้เช่นกัน ( อาจจะได้ผลไม่รวดเร็วนัก แต่ก็ถือว่าเป็นการบริหารกล้ามเนื้อได้เช่นกัน ) คราวนี้เรามาดูท่าต่างๆที่เลือกเอามาให้เล่นกัน

1. ต้นแขนบริเวณหัวไหล่ หรือ กล้ามเนื้อDeltoids

1.1 Dumbbell side laterals เป็นท่าสำหรับบริหารกล้ามเนื้อDeltoids ในส่วนด้านข้าง
รูปภาพ

1.2 Dumbbell alternate front raises เป็นท่าสำหรับบริหารกล้ามเนื้อDeltoids ในส่วนด้านหน้า
รูปภาพ

1.3 Dumbbell bent-over laterals เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อDeltoids ในส่วนด้านหลัง
และยังได้แถมกล้ามเนื้อสะบักอีกด้วย

รูปภาพ

ครบ 3 ท่านี้หัวไหล่ก็จะกลมกลึง แต่ต้องแถมด้วยอีกท่าหนึ่ง

1.4 Seated dumbbell overhead presses ท่านี้จะบริหารกล้ามเนื้อDeltoidsในส่วนด้านบน และยังบริหารกล้ามเนื้อแผงคอส่วนบน รวมไปถึงช่วยบริหารกล้ามเนื้อTriceps ( มัดที่อยู่หลังแขนท่อนบน )
รูปภาพ


2. กล้ามเนื้อบริเวณคอ นอกจากจะได้จากท่าSeated dumbbell overhead presses แล้ว ยังมีท่าเฉพาะได้แก่

2.1 Dumbbell shrugs
รูปภาพ


3. กล้ามเนื้อสะบัก ปีกและหลัง ความจริงกล้ามเนื้อส่วนนี้จะบริหารได้ดีด้วยเครื่องมือ หรือ การดึงข้อบนบาร์เดี่ยว ในท่ากางแขน คว่ำมือ แล้วดึงตัวขึ้นให้คางแตะบาร์เดี่ยว ( ยากนะ ) การใช้ dumbbell ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงแต่อาจจะไม่รวดเร็วเท่า

3.1 o­ne-Arm drumbbell bent-over rows
รูปภาพ


4. กล้ามเนื้อหน้าอก

4.1 Flat-bench dumbbell flyes
รูปภาพ


5. กล้ามเนื้อต้นแขน

5.1 Standing dumbbell curls เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อBiceps และกล้ามเนื้อส่วนปลายแขน
รูปภาพ

5.2 Lying dumbbell triceps extension ท่านี้เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อTriceps ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อที่สำคัญในการแบกรับนน.ตัวในขณะที่กำลังขี่จักรยาน
รูปภาพ
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

สวัสดียามดึกดึก ผมมีข้อมูลเกี่ยวกับอาหารมาฝากโดยแบ่งเป็น
-อาหารช่วงฝึกซ้อม
-อาหารก่อนและระหว่างแข่งขัน
-อาหารหลังการแข่งขัน
-อาหารนักกีฬามีอะไรพิเศษ
โดยจะลงรายละเอียดวันละอย่างจนครบ4วัน วันนี้เริ่มจาก

อาหารช่วงฝึกซ้อม
...ก่อนอื่นต้องเข้าใจการทำงานของร่างกายในการให้พลังงานเสียก่อน การบริโภคอาหารเมื่อเข้าไปในร่างกายจะผ่าน การย่อยและดูดซึมเพื่อนำไปใช้ให้พลังงานและที่เหลือเก็บสะสมในรูปไขมันใต้ผิวหนังและ ไกลโคเจน
...การเก็บไขมันเก็บได้ไม่อั้น เพราะเป็นการเก็บที่มีประสิทธิภาพ แต่การเก็บไกลโคเจนทำได้ในปริมาณที่จำกัด ในการฝึกฝนร่างกายให้ใช้พลังงานทั้งจากอาหารที่บริโภคและจากแหล่งพลังงานที่สะสมในร่างกาย ผู้ที่ฝึกฝนร่างกายจะ มีประสิทธิภาพในการสร้างพลังงาน จากการเผาผลาญไขมันสะสม ซึ่งต่างจากผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนจะนำไขมันมาใช้เป็น พลังงานได้น้อยกว่า จากการศึกษาพบว่าการที่ระดับไกลโคเจนต่ำลงมีความสัมพันธ์กับความเมื่อยล้าและอ่อนแรง

การดูแลด้านโภชนาการ
...การได้รับคาร์โบไฮเดรต (อาหารจำพวกแป้ง ข้าว ขนมปัง มักกะโรนี ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน เผือก มัน) จะช่วยให้ร่างกาย มีการเติมกลับไกลโคเจน (Glycogen Resynthesis) ได้เร็วกว่าการบริโภคอาหารประเภทโปรตีน ไขมัน หรือใยอาหาร หลังการฝึกซ้อม การแนะนำทั่ว ๆ ไปก็คือ การได้รับอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงหลังการฝึกซ้อม

นักกีฬาควรบริโภคอาหารประเภทใดก่อนการฝึกซ้อม
...โดยหลักการก็คือ นักกีฬาจำเป็นต้องมีแรงที่จะซ้อมจึงจะฝึกกีฬาได้ดี การฝึกซ้อมในขณะที่นักกีฬาหิว หรือกระหายน้ำ จะลดสมรรถภาพนักกีฬาอาหารก่อนการฝึกซ้อมจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และควรเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงเช่นกัน เพราะเป็นอาหาร ที่ย่อยง่ายใช้เวลาอยู่ในกระเพาะอาหารน้อยกว่าอาหารประเภทโปรตีนหรือไขมัน และที่สำคัญก็คือควรดื่มน้ำให้พอเพียง การบริโภคอาหาร ควรบริโภค 2-3 ชั่วโมง ก่อนการฝึกซ้อม เพื่อให้แน่ใจอาหารได้ออกจากกระเพาะแล้ว และอยู่ระหว่างการย่อยและดูดซึม

การบริโภคกลูโคสก่อนการฝึกซ้อมและแข่งขันเป็นผลดีหรือไม่
...กลูโคสเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดที่มีโมเลกุลเล็ก ย่อยง่าย ดูดซึมไว้ จึงเป็นสิ่งที่นักกีฬาและโคชให้ความสำคัญ และมักจะให้ นักกีฬาบริโภค เพื่อให้มีแรงและช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย นักวิจัยทำการศึกษากันมาก ซึ่งพบว่าควรบริโภคกลูโคสอย่างน้อย ครึ่งชั่วโมงก่อนการแข่งขันหรือบริโภคทันที ก่อนการแข่งขันจะเป็นการเสริมกลูโคสในกระแสเลือด

พรุ่งนี้มาต่ออาหารก่อนและระหว่างแข่งขันนะครับ :mrgreen:
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

...วันนี้มาต่อกันเรื่องอาหารอาหารก่อนและระหว่างแข่งขันกันนะครับ
อาหารก่อนและระหว่างการแข่งขัน

อาหารมื้อก่อนการแข่งขัน
...สำหรับอาหารมื้อก่อนแข่งขันยึดหลักว่าควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เพื่อจะได้ย่อยหมดไปก่อนการแข่งขัน อาหารที่เข้าหลักนี้คือ อาหารที่มีไขมันต่ำและมีปริมาณโปตีนไม่มากนัก เพิ่มอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรทมากขึ้น อาหารมื้อหลักควรกินก่อนการแข่งขัน 3-4 ชั่วโมง อาหารว่างกินได้ 1-2 ชั่วโมงก่อนแข่ง อาหารที่เหมาะแก่การบริโภคในมื้อก่อนแข่งจึงควรเป็นอาหารธรรมดา ที่ถูกหลักโภชนาการ โดยหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ เช่น พริกไทย กะหล่ำปลี ผักดอง ซึ่งจะทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายท้องหลีกเลี่ยงอาหารรสจัดหรืออาหารที่มีรสหวานมาก เลือกรับประทานอาหารให้ถูกจังหวะกับการแข่งขัน และควรเป็นอาหารที่นักกีฬาคุ้นเคย ไม่ควรจะอดอาหารก่อนการแข่งขันถ้ารู้สึกไม่อยากอาหาร อาจเปลี่ยนจากอาหารปกติมาเป็นอาหารเหลวได้ ซึ่งนอกจากจะง่ายต่อการย่อยแล้ว ยังจำเป็นสำหรับการเสริมพลังงานแก่ร่างกายได้รวดเร็วขึ้นอีกด้วย

ระหว่างการแข่งขัน
...ปกตินักกีฬาจะไม่รับประทานอาหารในระหว่างการแข่งขันเพราะจะมีปัญหาเรื่องการย่อย ( ยกเว้นในกีฬาบางประเภท เช่น การแข่งขันจักรยานประเภทถนนที่แข่งกันครั้งละหลาย ๆ ชั่วโมง ) อาหารส่วนใหญ่ที่นักกีฬาจะกินได้จึงอยู่ในรูปของเครื่องดื่มที่มีกลูโคสหรือสารคาร์โบไฮเดรทตัวอื่น ๆ สำหรับเครื่องดื่มเหล่านี้ควรระวังไม่ให้มีปริมาณน้ำตาลมากเกินไป ( รสหวานจัด ) เพราะจะมีปัญหาเรื่องการดูดซึมและเกิดอาการท้องอืดแน่น จุกเสียด หรือคลื่นไส้อาเจียน ปกติความเข้มข้นของน้ำตาลไม่ควรเกิน 2.5 % แต่การแข่งขันที่ยาวนานกว่านั้นเครื่องดื่มเกลือแร่อาจเข้ามามีบทบาท ทั้งน้ำเปล่าและเครื่องดื่มเกลือแร่ควรแช่เย็นก่อนรับประทานอาหาร จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้เร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความร้อนระอุในร่างกายอันเกิดจากการออกกำลังกาย

มีข้อมูลอีกแหล่งกัน
...ในช่วงก่อนการแข่งขันนักกีฬาไม่ควรกินอาหารหนักหรือกินในปริมาณมาก เนื่องจากจะทำให้ รู้สึกไม่สบายท้อง อึดอัด ควรกินอาหารเบาๆ เพื่อไม่ให้ท้องว่างหิวจนเกินไป หรือกินอาหารในช่วง 3 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน
...ในช่วงก่อนการแข่งขันควรดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มให้เพียงพอ นักกีฬาบางคนพบว่าการดื่มน้ำหวาน หรือน้ำกลูโคสในช่วง ครึ่งชั่วโมงก่อนการแข่งขัน ทำให้สมรรถภาพทางกีฬาลดลง บางคนพบว่าถ้าดื่มน้ำหวานก่อนการแข่งขัน (ใกล้เวลาแข่งขัน) จะช่วย ให้ดีขึ้น ดังนั้นควรให้นักกีฬาแต่ละคนใช้วิจารณญาณ หรือประสบการณ์ของตัวเองตัดสินใจว่าควรดื่มน้ำหวานก่อนการแข่งขันหรือไม่ เพื่อไม่ให้มีผลเสียในระหว่างการแข่งขัน สิ่งสำคัญที่ควรกระทำในช่วงระหว่างการแข่งขัน คือควรทดแทนเหงื่อที่เสียไปด้วยการดื่มน้ำ สำหรับนักกีฬาที่ใช้แรงมาก และใช้เวลาในการแข่งขันนาน มีการสูญเสียเหงื่ออย่างมาก เช่น นักกีฬาฟุตบอล ในช่วงพักครึ่งเวลา ควรดื่มน้ำหวาน หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ที่ความเข้มข้นไม่สูงมากนัก จะช่วยทำให้มีแรงวิ่งและสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดของตัวเอง ได้มากยิ่งขึ้น

หลักการดูแลทางด้านอาหารก่อนการแข่งขัน
- ไม่ควรลองอาหารที่ไม่รู้จัก หรือไม่คุ้นเคย
- ควรกินอาหารมื้อหนักประมาณ 2 – 4 ชั่วโมงก่อนการแข่งขัน
- ควรกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีน และไขมันพอประมาณ
- ถ้ากินอาหารปกติไม่ได้ควรกินอาหารเหลวที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ดีแทน
- ควรได้รับน้ำอย่างพอเพียง :P
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

คืนนี้มาต่อเรื่องอาหาร

อาหาร...หลังการแข่งขัน
...การกินอาหารหลังการแข่งขันไม่มีข้อจำกัดอย่างใด หลักใหญ่คือ พยายามกินชดเชยพลังงานที่ใช้ไป ตลอดจนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไประหว่างการแข่งขัน ตัวอย่างเช่น ถ้าเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้เวลานาน เช่นจักรยานทางไกล , การวิ่งมาราธอน ก็ต้องกินอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง และมีปริมาณเกลือแร่เพียงพอ โดยเฉพาะโพแพแทสเซียม ซึ่งมีมากในผลไม้ประเภทส้ม กล้วย และในถั่วเมล็ดแห้ง ในการแข่งขันที่ต้องสูญเสียพลังงานไปมาก การกินชดเชยอาจทำไม่ได้ในมื้อเดียว แต่จะต้องใช้เวลา 2-3 วัน กว่าจะมีการสร้างและสะสมไกลโคเจน ในกล้ามเนื้อกลับคืนสู่สภาพเดิม

...เนื่องจากอาหารต่างชนิดกันมีองค์ประกอบไม่เหมือนกัน อาหารเพียงชนิดเดียว จึงไม่สามารถเป็นแหล่งของสารอาหารทุกชนิดในปริมาณที่ร่างกายต้องการได้ เราจึงต้องบริโภคอาหารทั้ง 5 หมู่ ทุกมื้อ ทุกวัน สำหรับหมู่ผักและผลไม้ สามารถรับประทานทดแทนกันได้

...ร่างกายจะมีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงและสมบูรณ์ได้นั้น ปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยได้ก็คือรับประทานอาหารให้ถูกต้อง และเหมาะสมตามหลักโภชนาการ อาหารที่ดีมิได้หมายความถึงอาหารที่มาจากภัตตาคารชั้นสูง ราคาแพง ๆ แต่หมายความถึงอาหารที่มีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ สร้างความเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายได้

...สำหรับกีฬาบางประเภท โดยเฉพาะฟุตบอล เทนนิส แบดมินตัน มวยสากล การแข่งขันไม่ได้สิ้นสุดเพียงครั้งเดียว บางครั้งอาจ จำเป็นต้องลงแข่งแทบทุกวัน หรือแม้กระทั่งการวิ่ง บางครั้งมีสนามวิ่งซึ่งขัดไม่ได้จำเป็นต้องเข้าร่วมทั้ง เสาร์และอาทิตย์

...ดังนั้นภายหลังการแข่งขันแต่ละครั้ง โดยเฉพาะช่วงหลังของการแข่งขัน นักกีฬาส่วนใหญ่จะไม่อยู่ในสภาพพร้อมที่จะแข่งขัน วันต่อไป ดังนั้นอาหารภายหลังการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีความสำคัญอย่างมาก เพื่อให้นักกีฬาสามารถฟื้นตัวได้เร็ว โดยเฉพาะถ้าเป็น การแข่งขันที่ใช้เวลานาน ปริมาณไกลโคเจนที่สะสมในร่างกายอาจจะหมดไปได้ และการที่ร่างกายจะสะสมไกลโคเจนให้กลับมา ในปริมาณเท่าเดิมได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 20 ชั่วโมง โดยมีอัตราสะสมประมาณร้อยละ 5 ต่อชั่วโมง แต่ ในช่วง 2 ชั่วโมงแรกภายหลัง การแข่งขัน ไกลโคเจนจะสามารถเก็บสะสมด้วยอัตรามากกว่าปกติ โดยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 7 ดังนั้นการได้รับอาหารภายใน 2 ชั่วโมง หลังการแข่งขัน จึงมีความสำคัญอย่างมาก
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

วันนี้นำเรื่อง กินอย่างไรไม่ให้อ้วน มาฝากครับ

...ต้นตอสำคัญที่ทำให้อ้วน ก็คือการเลือกกินตามใจปาก โดยทุกครั้งที่เลือกอาหารเข้าปากนอกจากความอร่อยแล้ว ควรเหลือบมองแคลอรี่กันสักนิด
ถ้ามื้อเช้าหนักอาหารที่มีแคลอรี่สูงมื้อต่อไปควรมองหาเมนูแคลอรี่ต่ำ รวม ๆ กันแล้ว ควรอยู่ระหว่าง 1,500 - 2,000 แคลอรี่ ต่อวัน สำหรับคนทำงานออฟฟิศอย่างเรา ๆ แต่สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักโดยให้น้ำหนักของร่างกาย ค่อย ๆลดลง ควรทานอาหารที่ให้พลังงานวันละ1,200-1,600 แคลอรี ซึ่งเป็นปริมาณอาหารที่ช่วยให้ลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย ไม่โทรม และ
อ่อนเพลียจนเกินไป
...อย่างไรก็ตาม ควรเลือกกินอาหารแต่ละหมวดหมู่ให้ครบ เพื่อที่จะได้ไม่ขาดสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง รวมทั้งไขมันด้วยเพราะไขมันนั้น ไม่ใช่มีแต่โทษ จนต้องงดไปซะทีเดียว แต่จริง ๆแล้ว ร่างกายจำเป็นต้องใช้ไขมันเพื่อดูดซึมวิตามินหลายชนิดที่ละลายในไขมัน ควรเลือกกินไขมันจากพืช เช่นน้ำมันพืชชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นไขมันที่ร่างกาย ต้องการ แต่ก็ควรจำกัดปริมาณ

ข้อมูลปริมาณแคลอรี่สำหรับอาหารแต่ละประเภท


-อาหารจานเดียว (แสดงจำนวนแคลอรี่/1 จาน)
1 ข้าวมันไก่ 596
2 ข้าวหมูแดง 541
3 ข้าวราดแกงเขียวหวานไก่ 483
4 ข้าวยำปักษ์ใต้ 248
5 ข้าวขาหมู 436
6 ข้าวผัดใบกระเพราไก่ 554
7 ข้าวผัดหมูใส่ไข่ 557
8 ข้าวหมกไก่ 534
9 ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยใส่ไข่ 577
10 ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ราดหน้าหมู,ไก่ 397
11 เส้นหมี่ลูกชิ้นเนื้อวัวน้ำ 226
12 เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วหมูใส่ไข่ 679
13 ขนมจีนน้ำยา 332
14 ขนมจีนน้ำพริก 228
15 ขนมจีนน้ำยาปักษ์ใต้ 146
16 ขนมจีนน้ำเงี้ยว 243
17 โจ๊กใส่ไข่ 250
18 ข้าวต้มปลา 325
19 กระเพาะปลา 250
20 เกาเหลาราดหน้า 300
21 ผัดไทยไร้เส้น 182
22 สลัดไก่น้ำใส 97
23 สลัดกุ้งน้ำใส 92
24 ก๋วยเตี๋ยวเนื้อสับ 330
25 ข้าวผัดรวมมิตร (น้ำมันน้อยๆ) 210
26 สุกี้หมู,ไก่,กุ้ง (ไม่ใส่วุ้นเส้น) 200
27 สลัดปลาทูน่าน้ำใส 122
28 สลัดไข่ใส่น้ำ 123
29 วุ้นเส้นต้มยำ 245
30 บะหมี่หมูแดง 231
31 ก๋วยเตี๋ยวหลอด (2อัน) 100
32 บะหมี่สำเร็จรูป 253

-ขนมหวาน (ตัวเลขหลังสุดเป็นจำนวนแครอรรี่)
1 กล้วยไข่เชื่อม กล้วย 2 ผล 177
2 ฟักทองเชื่อม 1 จานเล็ก 167
3 มันเทศเชื่อม 1 จานเล็ก 230
4 เผือกเชื่อม 1 จานเล็ก 220
5 กล้วยต้มจิ้มมะพร้าว 1 จานเล็ก 180
6 ฟักทองนึ่งโรยมะพร้าว 1 จานเล็ก 188
7 ข้าวโพดคลุก 1 จานเล็ก 156
8 ลอดช่องน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 116
9 แมงลักน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
10 เผือกน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 162
11 ข้าวตอกน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
12 ข้าวเม่าน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 112
13 ข้าวเหนียวดำน้ำกระทิ 1 ชามเล็ก 325
14 บัวลอย 1 ชามเล็ก 223
15 สาคูบัวลอย 1 ชามเล็ก 162
16 ปาท่องโก๋ 1 ตัว 124
17 ฝอยทอง 1 แพ 146
18 เม็ดขนุน 5 เม็ด 174
19 สังขยา 2"x2" 204
20 สังขยาฟักทอง 2"x2" 288
21 สังขยาเผือก 2"x2" 222
22 สังขยาขนุน 2"x2" 256
23 ขนมหม้อแกงถั่ว 2"x2" 179
24 ขนมหม้อแกงเผือก 2"x2" 174
25 ข้าวเหนียวมูลกระทิ 1 จานเล็ก 197
26 ข้าวเหนียวหน้าสังขยา 1 จานเล็ก 223
27 ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง 1 จานเล็ก 179
28 ข้าวเหนียวหน้ากระฉีก 1 จานเล็ก 202
29 กล้วยฉาบ 7 ชิ้น 200
30 มันรังนก 2 ก้อน 95
31 ฟักทองแกงบวช 1 ชามเล็ก 165
32 มันแกงบวช 1 ชามเล็ก 184
33 กล้วยบวชชี กล้วย 5 ชิ้น 152
34 ข้าวเหนียวดำเปียก 1 ชามเล็ก 205
35 เผือก-มะพร้าวเปียก 1 ชามเล็ก 199
36 เต้าส่วน 1 ชามเล็ก 215
37 ขนมน้ำดอกไม้ 9 ชิ้น 190
38 ขนมเหนียว 1 จานเล็ก 314
39 ขนมต้มแดง 1 จานเล็ก 197
40 ขนมต้มขาว 12 ลูก 352
41 ขนมเปียก 1 จานเล็ก 128
42 ขนมเปียกปูนขาว 1 จานเล็ก 179
43 ขนมเปียกปูน 1 จานเล็ก 195
44 ขนมเล็บมือนาง 1 จานเล็ก 275
45 ขนมถั่วแปบ 3 ตัว 432
46 ขนมกล้วย 2"x2" 57
47 ทองหยิบ 2 ดอก 210
48 ขนมครก 1 คู่ 92
49 เต้าส่วน 1 ถ้วยเล็ก 215
50 เฉาก๊วย 1 ถ้วยตวง 18
51 มันทอด 2ชิ้น 248
52 กล้วยแขก 5ชิ้น 252
53 ข้าวเม่าทอด 2ใบ 418
54 ขนมฝักบัว 2ชิ้น 140
55 ไข่หงษ์ ใบเล็ก 11ใบ 174
56 ไข่นกกระทา 1 จานเล็ก 191
57 ถั่วทอด 2 อัน 163
58 ขนมทอง 8 วง 165
59 ครองแครงกรอบเค็ม 22 ตัว 425
60 ขนมเกลียว 11 ตัว 276
61 สัมปะนี 10 ชิ้น 210
62 ขนมสาลี่ 2"x2" 116
63 ทองม้วน 4" 9 ชิ้น 320
64 สาลี่กรอบ 2"x2" 138
65 ขนมบ้าบิ่น 2"x2" 130
66 ขนมผิง 27 ก้อนเล็ก 128
67 ขนมหน้านวล 4 ชิ้น 87
68 ขนมกลีบลำดวน 5 ชิ้น 115
69 กะหรี่พัฟ 1 ตัว 157
70 ขนมปังขาว 1 แผ่น 68
71 ขนมปโฮล์วีท 1แผ่น 58
72 ช๊อคโกแลต 28 กรัม 135
73 ขนมปังแครกเกอร์ 1 แผ่น 52
74 แพนเค้กผสมนมไข่ 1 ชิ้น 55
75 พายเชอรี่ 1/7 153กรัม 353
76 เค้ก 1 ชิ้น 235
77 ครัวซอง 1 อัน 235
78 ไอศกรีม 1 ถ้วย 300

-ผลไม้ (ตัวเลขหลังสุดเป็นจำนวนแครอรรี่)
1 ลูกเกด (15 กรัม) 2 ช้อนโต๊ะ 40
2 มะขามหวาน (15 กรัม) 1 ฝักใหญ่ 40
3 กล้วยไข่สุก (30 กรัม) 1 ผลกลาง 40
4 กล้วยหอมสุก (30 กรัม)(กลาง) 1/2 ผล 40
5 กล้วยน้ำว้า (40 กรัม) 1ผลเล็ก 40
6 ทุเรียน (35 กรัม)(เม็ดกลาง) 1/2 เม็ด 40
7 พุทราไทย (50 กรัม)(เม็ดกลาง) 3-4 ผล 40
8 พุทราแอปเปิ้ล (100 กรัม) 3 ผลใหญ่ 40
9 น้อยหน่า (50 กรัม)(ผลกลาง) 1/2 ผล 40
10 เงาะ (60-65 กรัม) 3 ผลกลาง 40
11 ลิ้นจี่ (60 กรัม) 3 ผลกลาง 40
12 มะม่วงสุก (60 กรัม)(ผลกลาง) 1/2 ผล 40
13 แตงไทย (350 กรัม) 12-15 ชิ้น 40
14 แคนตาลูป (250 กรัม) 1 ชิ้น 40
15 ลำไย (40 กรัม)(ผลกลาง) 5-6 ผล 40
16 แอปเปิ้ล (65 กรัม) 1 ผลกลาง 40
17 มังคุด (65 กรัม) 3 ผลกลาง 40
18 ลางสาด (75 กรัม) 7-10 ผล 40
19 องุ่น (75 กรัม) 12 ผล 40
20 ฝรั่งกลมสาลี่ (120 กรัม) 1/2 ผลกลาง 40
21 ละมุด (50 กรัม) เท่าไข่ไก่ 40
22 สับปะรด (85 กรัม) 1 ชิ้น 40
23 มะละกอ (90 กรัม) 1 ชิ้น 40
24 ส้มเขียวหวาน (100 กรัม) 1 ผลใหญ่ 40
25 ส้มโอ (100 กรัม)(ขนาดกลาง) 2 กลีบ 40
26 แตงโม (250 กรัม) 1 ชิ้น 40
27 สาลี่ 1 ผล 40

-อาหารฟาสฟู้ส (ตัวเลขหลังสุดเป็นจำนวนแครอรรี่)
1 เฟรนฟรายด์ (ธรรมดา)10 ชิ้น 220
2 ชีสเบอเกอร์ 1 แซนวิช 1 ชิ้น 308
3 บิ๊กแบค 1 แซนวิช 1 ชิ้น 502
4 พิซซ่า (ขนาด 4-5/4) 60 กรัม 145
5 พิซซ่าทะเล (347 กรัม) ขนาดกลาง 347
6 แซนวิชไก่ (122 กรัม) ขนาดกลาง 287
7 คลับทูน่าแซนวิช 1 คู่ 557
8 แซนวิชแฮม,เนยแข็ง (153 กรัม) 1 อัน 372
9 แฮมเบอร์เกอร์ขนาดปกติ (989 กรัม) 1 อัน 245
10 แซนวิชแฮม (108 กรัม) 398

-เครื่องดื่ม (ตัวเลขหลังสุดเป็นจำนวนแครอรรี่)
1 แฟนต้า,เขียว,แดง,องุ่น (100 ก.) 1 แก้ว 120
2 สไปร์ท 1 แก้ว 110
3 โค้ก,เป๊ปซี่ 1 แก้ว 100
4 นมถั่วเหลือง (ไม่ใส่น้ำตาล) 1 แก้ว 55
5 ชา (น้ำตาล 2 ช้อน) 1 ถ้วย 42
6 โอวัลตินเย็น/ร้อน 1 ถ้วย 220
7 ชา 1 ถ้วย 2
8 กาแฟ(น้ำตาล 2 ช้อนชา,ครีม 2 ช้อนชา) 1 ถ้วย 65
9 รูทเบียร์ 1 แก้ว 105
10 ชอคโกแลตเย็น, ร้อน 1 แก้ว 280
11 น้ำส้มคั้น 1 แก้ว 160
12 ไวตามิลค์ 1 ขวด 150
13 โอเลี้ยง 1 แก้ว 103
14 เบียร์ 3.5 % 80 z 100
15 วิสกี้ 70 พรุป 42.5% 1 แก้ว 85
16 วิสกี้ 80 พรุป 42.5% 1 แก้ว 100
17 ชาเย็น 1 แก้ว 81
18 ไอซ์ที 1 แก้ว 85
19 นมถั่วเหลือง 1 แก้ว 150
20 นมปราศจากไขมัน (240 กรัม) 1 กล่อง 80
21 นมผงปราศจากไขมัน (30 กรัม) 1/4 ถ้วยตวง 80
22 นมระเหยปราศจากไขมัน (120 กรัม) 1/2 ถ้วยตวง 80
23 โยเกิตทำจากนมปราศจากไขมัน (240 กรัม) 1 ถ้วยตวง 80
24 Butter milk ทำจากนมปราศจากไขมัน (240 กรัม) 1 ถ้วยตวง 80
25 ไขมัน (240 กรัม) 1 ถ้วยตวง 125
26 นมสดไขมัน 2 % (240 กรัม) 1 ถ้วยตวง 125
27 โยเกิตทำจากนมปราศจากไขมัน 2 % (ไม่เติมผลไม้หรือแต่งรส) 1 ถ้วยตวง 125
28 นมระเหยทำจากนมสดไขมัน 2 % (120 กรัม) 1/2 ถ้วยตวง 125
29 นมสด (240 กรัม) 1 ถ้วยตวง 150
30 นมระเหยทำจากนมสด (120 กรัม) 1/2 ถ้วยตวง 150
31 โยเกิร์ตทำจากนมสด (ไม่เติมผลไม้หรือแต่งรส) 1 ถ้วยตวง 150
32 นมผง (30 กรัม) 1/4 ถ้วยตวง 150
33 ยาคูลท์ 1 ขวด 90
34 โอวัลติน ร้อน/เย็น 1 ถ้วย 220

-เมนูอาหารไทย (ตัวเลขหลังสุดเป็นจำนวนแครอรรี่)
1 ข้าวสวย 1 ทัพพี 68
2 แกงจืดตำลึงหมูสับ 1 ถ้วย 197
3 แกงเลียงผักรวม 2 ถ้วย 95
4 แกงจืดมะระสอดไส้ 3 ถ้วย 199
5 แกงส้ม 4 ถ้วย 110
6 ต้มจับฉ่าย 5 ถ้วย 75
7 ต้มยำปลาทู 6 ถ้วย 60
8 ต้มยำปลาหมึก 7 ถ้วย 60
9 ไข่เจียว,ไข่ดาว 1 ฟอง 215
10 ไข่ตุ๋นทรงเครื่อง 1 ฟอง 159
11 ผัดผักบุ้ง (ด้วยน้ำ) 1 จาน 40
12 ยำหอยแมลงภู่ 1จาน 60
13 ลาบปลา 1จาน 94
14 ไก่อบ1 อก 169
15 ไก่ย่าง 1 อก 110
16 ปลาหมึกย่าง 1 ไม้ 37
17 ลูกชิ้นไก่ 10 ลูก 56
18 ขนมกุ้ยช่าย (3 อัน) 120 กรัม 159
19 ทอดมันปลา (80 อัน) 5 ชิ้น 185
20 น้ำพริกกุ้งเผา 170 กรัม 90
21 ซาลาเปาไส้หมู 1 ลูก 202
22 ขนมจีบ 1 ชิ้น 32
23 ปลานึ่ง,เผา 1 ตัว 156
24 ลาบเนื้อ,หมู 1 จาน 119
25 แกงจืดวุ้นเส้น 1 ถ้วย 85
26 ต้มจืดเลือดหมู 1 ถ้วย 120
27 แกงป่าไก่ 1 ถ้วย 110
28 พะโล้ 1 ถ้วย 210
29 ต้มยำกุ้ง 1 ถ้วย 65
30 ต้มยำไก่ 1 ถ้วย 60
31 ไข่ต้ม 1 ฟอง 73
32 ยำรวมมิตร (กุ้ง,ปลาหมึก,หอย) 1 จาน 132
33 ยำมะม่วงซีฟู๊ด 1 จาน 136
34 ส้มตำ (ไม่ใส่ถั่วลิสง) 1 จาน 80
35 ยำมะเขือยาว 1 จาน 35
36 ยำแมงกระพรุน 1 จาน 105
37 ยำไข่ต้มทรงเครื่อง 1 จาน 188
38 ซุปหน่อไม้ 1 จาน 90
39 กุ้งนึ่งกระเทียม 1 จาน 124
40 ไก่ย่าง 1 น่อง 97
41 หมูปิ้ง 1 ไม้ 125
42 ลูกชิ้นเนื้อวัว 10 ลูก 84
43 ลูกชิ้นปลา 10ลูก 38
44 ยำผักกาดดอง 1 จาน 30
45 ยำปลาหมึกย่าง 1 จาน 99
46 ส้มตำปูปนไทย 1 จาน 118
47 กุ้งแช่น้ำปลา 6 ตัว 86

บ๊ายบาย...
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
รูปประจำตัวสมาชิก
kajorn
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 133
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ย. 2008, 15:36
Tel: 0818869240
Bike: Merida

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย kajorn »

พึ่งเข้ามาอ่าน (ยังไม่จบ) มีประโยชน์มากๆครับ คุณ Real ขอขอบคุณ
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

สวัสดีครับวันนี้มีรื่อง น้ำและสารละลายเกลือแร่ มาฝากครับ

ความสำคัญของน้ำต่อการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อ
1. เป็นองค์ประกอบของเซลล์และช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. ช่วยในปฏิกิริยาชีวเคมีและการสันดาปสารอาหารต่าง ๆ
3. ช่วยลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ และระบายของเสียออกจากเซลล์
4. ช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย
5. เป็นองค์ประกอบที่สำคัญในระบบไหลเวียนเลือด

ความสมดุลของน้ำในร่างกาย
...โดยปกติ ร่างกายจะมีการสูญเสียน้ำประมาณวันละ 2,300 มิลลิลิตร โดยแบ่งออกเป็นการสูญเสียน้ำทางปัสสาวะ 1,400 มิลลิลิตร ทางอุจจาระ 100 มิลลิลิตร และระเหยออกทางเหงื่อและลมหายใจ 800 มิลลิลิตร โดยประมาณ แต่จะมีน้ำเกิดขึ้นจากกระบวนการสลายไกลโคเจนเพียงวันละ 300 มิลิลิตรเท่านั้น ดังนั้น ร่างกายจึงจำเป็นจะต้องได้รับน้ำ จากภายนอกประมาณวันละ 2,000 มิลลิลิตร จึงจะเกิดความสมดุลของน้ำภายในร่างกาย (stroke 1979)
...ระหว่างการออกกำลังกายจะมีการสูญเสียน้ำเพิ่มขึ้นเนื่องจากการระเหยของเหงื่อเพื่อระบายความร้อนออกจากร่างกาย แม้ว่าไตจะได้ทำหน้าที่ดูดน้ำกลับแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยได้เพียงพอ พบว่าถ้าออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่ร้อนและอบอ้าว อาจมีการสูญเสียน้ำออกจากร่างกายได้มากถึง 3 ลิตรได้ ดังนั้น ระหว่างการออกกำลังกาย จำเป็นต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้เซลล์กล้ามเนื้อทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์

ผลกระทบของการขาดน้ำและเกลือแร่ ต่อการแข่งขันกีฬา
1. ระบบการไหลเวียนเลือดบกพร่อง เกิดผลกระทบโดยตรงต่อการลำเลียงสารอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์กล้ามเนื้อ ประสิทธิในการระบายของเสียและความร้อนออกจากเซลล์ลดลง
2. ประสิทธิภาพในการทำงานของเซลล์กล้ามเนื้อลดลง
2.1 ถ้าเสียน้ำไปประมาณร้อยละ 2 ของน้ำหนักตัว (1-1.4 ลิตร) กล้ามเนื้อจะอ่อนล้าง่าย นักกีฬาไม่สามารถแข่งขันนาน ๆ ได้ และถ้าเสียน้ำไปมากกว่าร้อยละ 4 ของน้ำหนักตัว (2-2.8ลิตร) สมรรถภาพจะลดลงอย่างชัดเจน
2.2 กล้ามเนื้อเป็นตะคริวง่าย กลไกการเกิดตะคริวยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นผลจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ร่วมกัน
3. ความดันเลือดลดลง มึนงง และเป็นลม ขณะแข่งขันได้ง่าย
4. ประสิทธิภาพในการระบายความร้อนออกจากร่างกายลดลง อุณหภูมิร่างกายขึ้นสูงจนเกิดการเจ็บป่วยได้

การสูญเสียเหงื่อและองค์ประกอบของเหงื่อในนักกีฬา
...ขณะออกกำลังกายจะมีความร้อนเกิดขึ้นภายในร่างกายอย่างมากจากกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ ระหว่างที่ออกกำลังกายหนักปานกลาง (ร้อยละ 75 ของสมรรถภาพสูงสุด) จะมีความร้อนเกิดขึ้นประมาณ 1,000-1,500 กิโลแคลอรี่ ร้อยละ 80 ของความร้อนที่เกิดขึ้นนี้จะต้องระบายออกจากร่างกาย ในการระบายความร้อน 580 กิโลแคลอรี่ต้องอาศัยการระเหยของเหงื่อประมาณ 1 ลิตร ดังนั้น ในการออกกำลังกายดังกล่าว จะเสียเหงื่อถึง 1-2 ลิตรใน 1 ชั่วโมง
...เกลือแร่ที่สูญเสียออกไปพร้อมกับเหงื่อส่วนใหญ่จะเป็นโซเดียม อยู่ในรูปของสารละลายที่มีความเข้มข้นประมาณหนึ่งในสามของโซเดียมในพลาสมา จากการศึกษาพบว่านักกีฬาที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี การขับเหงื่อจะเกิดขึ้นเร็วและมีประสิทธิภาพดีขึ้น มีการสูญเสียโซเดียมไปกับเหงื่อน้อยกว่าคนปกติ การเสียเหงื่อในนักกีฬาส่วนใหญ่จึงเป็นการเสียน้ำมากกว่าโวเดียม นอกจากนี้ขณะออกกำลังกาย ไตยังเก็บกักโซเดียมไว้ได้มาก ร่างกายจึงไม่ขาดโซเดียม

ความจำเป็นในการให้น้ำ โซเดียมและกลูโคส ระหว่างออกกำลังกาย
...“น้ำเปล่าที่สะอาดและเย็น” เป็นสิ่งทดแทนที่ดีที่สุดสำหรับการเสียเหงื่อในการออกกำลังกาย ด้วยเหตุผลดังนี้
1. การเสียเหงื่อส่วนใหญ่เป็นการเสียน้ำ ร่างกายมีการสูญเสียโซเดียมไปน้อยมากระหว่างการออกกำลังกาย และไม่มีการสูญเสียโพแทสเซียม จึงไม่จำเป็นต้องทดแทนด้วยสารละลายเกลือแร่แต่อย่างใด ยกเว้นในกรณีที่เสียเหงื่อมากจากการออกกำลังกายท่ามกลางอากาศที่ร้อนและอบอ้าว อาจให้โซเดียมทดแทนในความเข้มข้นที่ไม่เกินร้อยละ 0.2
2. น้ำเย็นจะเคลื่อนผ่านกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็กได้เร็ว จึงถูกดูดซึมได้เร็วกว่าน้ำอุ่น และยังช่วยลดอุณหภูมิร่างกายลงได้
3. การดื่มสารละลายกลูโคสที่มีความเข้มข้นมากกว่าร้อยละ 2.5 จะเคลื่อนตัวจากกระเพาะอาหารลงสู่ลำไส้เล็กได้ช้า ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนาน ทำให้เกิดความรู้สึกอิ่มนานและดูดซึมช้า นอกจากนี้ สารละลายกลูโคสที่เข้มข้นมากจะมี osmolarity สูงจะดึงน้ำไว้ภายในลำไส้ ปิดกั้นการดูดซึมของน้ำให้ช้าลงอีก จึงดูเหมือนว่าจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี สารละลายเกลือแร่หรือน้ำอัดลมที่มีขายในท้องตลาด มักมีความเข้มข้นของกลูโคสมากกว่าร้อยละ 2.5 (น้ำอัดลมมีน้ำตาลประมาณร้อยละ 8-10) จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในการดื่มเพื่อทดแทนการเสียเหงื่อ ในกรณีที่ต้องการให้กลูโคสระหว่างออกกำลังกาย เช่น ระหว่างการวิ่งมาราธอน เตรียมได้โดยผสมผงกลูโคสประมาณ 5 ช้อนชา (25 กรัม) ลงในน้ำเย็ย 1 ลิตร ก็จะได้สารละลายกลูโคสที่มีความเข้มข้นร้อยละ 2.5 ร่างกายจะดูดซึมกลูโคสไปใช้ได้ เป็นการประหยัดไกลโคเจนไว้ใช้ได้นานขึ้นอีก ถ้าใช้น้ำอัดลมจะต้องเจือจางลงเป็น 1:4 และไม่ควรใช้น้ำอัดลมที่มีแก๊สซึ่งจะทำให้เกิดอาการจุกเสียด หรือถ้าจะใช้น้ำผลไม้สดควรเจือจางลงเหลือ 1:5 หรือ 1:6

วิธีการให้น้ำในการออกกำลังกาย
...ควรดื่มน้ำให้พอทั้งก่อน ระหว่าง และภายหลังการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการขาดน้ำซึ่งจะทำให้สมรรถภาพในการแข่งขันลดลง โดยมีวิธีการดังนี้
1. ก่อนออกกำลังกายประมาณ 20-30 นาที ควรดื่มน้ำเย็นที่สะอาดประมาณ 400-500 มิลลิลิตร ซึ่งกว่าน้ำจะผ่านจากกระเพาะลงสู่ลำไส้เล็กเพื่อถูกดูดซึมจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที และไม่ต้องเกรงว่าจะปวดปัสสาวะเพราะเมื่อเริ่มออกกำลังกายเลือดไหลเวียนไปยังไตจะลดลง ทำให้มีปัสสาวะออกน้อย ไม่ควรดื่มน้ำมาก ๆ ทันทีก่อนออกกำลังกาย เพราะจะทำให้จุกเสียดท้องและยังไม่ถูกดูดซึมจากลำไส้ด้วย
2. ระหว่างออกกำลังกาย ถ้าเป็นการแข่งขันที่ใช้เวลาน้อยกว่า 30 นาที ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำในระหว่างนี้ ให้ดื่มเมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุดทันที แต่ถ้าเป็นการแข่งขันที่ใช้เวลานานกว่า 30 นาที เช่น การวิ่งระยะไกล การแข่งจักรยานระยะไกล หรือฟุตบอล นักกีฬาควรดื่มน้ำทดแทนเป็นระยะ ๆ ให้ดื่มครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการจุกแน่น เช่นให้ดื่มน้ำเย็นครั้งละ 200 มิลลิลิตรทุก 15 นาที และเมื่อแข่งขันเสร็จให้ดื่มอีก 500 มิลลิลิตร
3. เมื่อการออกกำลังกายสิ้นสุด ปริมาณน้ำที่ควรดื่มทดแทน ให้คำนวณดูจากน้ำหนักตัวที่หายไปในระหว่างการแข่งขัน น้ำหนักหายไปเท่าใดให้ดื่มเท่านั้น น้ำหนักที่ลดลงภายหลังออกกำลังกายส่วนใหญ่เป็นน้ำหนักของน้ำที่สูญเสียไปกับเหงื่อ เป็นน้ำหนักของไขมันน้อยมาก

...นักกีฬาควรชั่งน้ำหนักตัวทุกครั้ง ทั้งก่อนและหลังการออกกำลังกาย เพื่อคำนวณหาปริมาณน้ำที่ต้องดื่มทดแทน การชั่งน้ำหนักตัวเป็นระยะ ๆ จะเป็นการประเมินภาวะ การขาดน้ำได้ดีที่สุด อาการกระหายน้ำเป็นตัวบ่งชี้ภาวะ การขาดน้ำที่ไม่ดี เพราะจะมีอาการต่อเมื่อร่างกายขาดน้ำไปมากพอสมควร พบว่านักกีฬาหลายรายมรน้ำหนักตัวลดลงอย่างมาก เนื่องจากภาวะการขาดน้ำโดยไม่มีการกระหายน้ำให้เห็นเลย

เครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการ
...นักกีฬาควรเลือกดื่มแต่เครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการซึ่งได้แก่
1. น้ำนม นมจืด 200 มิลลิลิตร มีโปรตีน 7 กรัม แคลเซียม 300 มิลิกรัม
2. นมถั่วเหลือง (ไม่เจือน้ำตาล) 200 มิลลิลิตร มีโปรตีน 6.75 กรัม แคลเซียม 47 มิลลิกรัม
3. น้ำผลไม้สด เช่น น้ำส้มคั้นที่ไม่เจือน้ำตาลมากนัก มีวิตามินเอ วิตามินซี โพแทสเซียม และเกลือแร่ชนิดอื่น ๆ
4. เครื่องดื่มที่ใช้นมเป็นพื้น เช่น โกโก้ โอวัลติน ไมโล คุณค่าทางโภชนาการจะได้จากน้ำนมเป็นหลัก

...ในปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดที่คนนิยมดื่มเพื่อบำรุงกำลัง หรือดื่มเพื่อทดแทนการเสียเหงื่อ ถ้าดูจากส่วนประกอบของเครื่องดื่มเหล่านั้น จะพบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการน้อยมากและไม่คุ้มกับราคา ตัวอย่างเช่นน้ำอัดลม 1 ขวด (290 มิลลิลิตร) ประกอบด้วยน้ำตาลน้อยละ 10 กาเฟอีนร้อยละ 2 (เฉพาะเครื่องดื่มโคล่า) สารปรุงกลิ่น สี สารแต่งรส และสารกันบูด ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการจากน้ำตาลเพียง 120 กิโลแคลอรี่เท่านั้น ส่วนเครื่องดื่มชูกำลัง 1 ขวด (100 มิลลิลิตร) จะประกอบด้วยน้ำตาล 2 กรัม กาเฟอีน 50-100 มิลลิกรัม วิตามินบี (จำนวนเล็กน้อย) อิโนซิทอล(inositol ซึ่งเป็นสารที่ร่างกายสังเคราะห์เองได้จากโปรตีน) กลูโคโนแล็กโทนและทอรีน (gluconolactone, taurine ซึ่งเกิดจากกระบวนการเมทาโบลิซึ่มของกรดอะมิโนและน้ำตาล) กรดมะนาวเพื่อแต่งกลิ่น ซึ่งจะให้พลังงานจากน้ำตาลเพียง 8 กิโลแคลอรี่เท่านั้น :D
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

สวัสดีครับคืนนี้มีเรื่อง "การลดไขมัน" มาฝากครับ โดยผศ.ดร.วิชิต คนึงสุขเกษม ภาควิชาพลศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

...เนื่องจากไขมันมีการสะสมอยู่มากในอวัยวะบางส่วนของร่างกาย ฉะนั้นคนส่วนมากจึงคิดว่าถ้ามีการบริหารออกกำลังกายอวัยวะส่วนที่มีไขมันสะสมอยู่มาก ๆ ก็จะทำให้ไขมันบริเวณนั้นถูกกำจัดออกไปได้ คุณผู้หญิงทั่วไปมักจะกังวลเกี่ยวกับไขมันที่สะสมอยู่ที่บริเวณสะโพกและต้นขา, ส่วนคุณผู้ชายทั่วไปมักกังวลเกี่ยวกับไขมันที่สะสมอยู่ที่บริเวณหน้าท้อง ด้วยเหตุนี้จึงจะสังเกตเห็นได้ว่า มีคนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ได้สมัครเป็นสมาชิกของสโมสรสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งต่างก็รับประกันว่าจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินจากอวัยวะเฉพาะส่วนได้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจซื้อเครื่องมืออุปกรณ์การออกกำลังกายต่าง ๆ ที่รับประกันว่าจะสามารถกำจัดไขมันส่วนเกินจากอวัยวะเฉพาะส่วนได้

...มีวิธีกำจัดไขมันเฉพาะส่วนที่นิยมกันอยู่สองวิธีคือ วิธีแบบทางอ้อมและวิธีแบบทางตรง ซึ่งทั้งสองวิธีนี้ต่างก็ไม่ได้ผลทั้งสิ้นจริง ๆ แล้วยังไม่มีเทคนิคใด ๆ ที่สามารถกำจัดไขมันออกจากอวัยวะเฉพาะส่วนของร่างกายได้ ยกเว้นการผ่าตัดดูดเอาไขมันออก ซึ่งนอกจากจะเกินตัวแล้วยังแพงอีกด้วย

...วิธีกำจัดไขมันเฉพาะส่วนด้วยวิธีแบบทางอ้อมได้แก่ การใช้เข็มขัดลูกรอกและลูกกลิ้ง ซึ่งมักจะพบได้เสมอ ๆ ในสโมสรสุขภาพต่าง ๆ ทฤษฎีรองรับวิธีแบบทางอ้อมนี้คือ ต้องออกกำลังกายอย่างหนักเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งเชื่อกันว่าจะช่วยเป็นการทำให้ไขมันถูกทำลายกระจัดกระจายออกไปจากบริเวณที่สะสมในอวัยวะเฉพาะส่วนนั้น ๆ คิดว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่เป็นการกำจัดไขมันเลย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการทำให้เนื้อนุ่มเสียมากกว่า นั่นก็คือคล้าย ๆ กับการทุบเนื้อเพื่อเตรียมทำเนื้อสเต็กนั่นเอง ถ้าสมมุติว่าท่านผู้อ่านไม่สามารถเข้าร่วมสโมสรสุขภาพได้ เพียงแต่ท่านผู้อ่านนั่งลงกับพื้น แล้วกระดอนบั้นท้ายขึ้นและลงกับพื้น นี่ก็เป็นวิธีคล้าย ๆ กับการใช้ลูกกลิ้งในการบริหารกายเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน

...วิธีทางอ้อมอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้กันคือ การใช้เข็มขัดความร้อนพันรอบบริเวณเอว โดยเชื่อว่าความร้อนจากเข็มขัดจะช่วยกำจัดไขมันทำให้ไขมันละลายหายไปได้ จริง ๆ แล้วความร้อนและความกดดันจะช่วยในการขับน้ำออกจากเนื้อเยื่อในบริเวณนั้น ๆ ถ้าคุณถอดเข็มขัดความร้อนออกแล้วรีบเอาสายวัดมาวัด ก็จะพบว่าเส้นรอบวงของเอวลดลงไปเป็นนิ้ว ๆ เลยทีเดียว

แต่ลองรออีกสักชั่วโมงสิครับแล้วลองวัดใหม่ ผลก็คือเอวที่ลดลงไปจะกลับคืนมามีสภาพเหมือนเดิมอีก ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

...อีกวิธีหนึ่งเป็นวิธีที่ผสมกันระหว่างวิธีแบบทางอ้อมกับวิธีแบบทางตรง นั่นก็คือ การสวมชุดซับเหงื่อนั่นเอง เชื่อกันว่าถ้าใส่ชุดซับเหงื่อขณะออกกำลังกายจะทำให้ไขมันถูกเผาผลาญเร็วขึ้น ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่า ไขมันจะถูกเผาผลาญได้ต้องต้มด้วยความร้อนถึง 360 องศา จริง ๆ แล้วชุดซับเหงื่อช่วยในการขับน้ำออกจากร่างกาย และทำให้ความทนทานของร่างกายลดลง ปัญหาที่ร้ายแรงในการวิ่งระยะทางไกล ๆ คือความร้อน นั่นก็คือการที่ร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อนออกจากร่างกายได้ทันนั่นเอง เมื่อกล้ามเนื้อมีอุณหภูมิสูงขึ้น ตัวเร่งปฏิกิริยาในกล้ามเนื้อจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพน้อย ตัวเร่งปฏิกิริยาประกอบด้วยโปรตีนและสารเคมีที่จะทำงานได้ดีในระดับที่ร่างกายมีอุณหภูมิและสภาพความเป็นกรดด่าง ที่เหมาะสม

...ฉะนั้นอย่าพยายามทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงเกินไปเพราะจะทำให้ระบบสารเคมีภายในร่างกายทำงานได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ต้องพยายามสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมขณะออกกำลังกาย เสื้อผ้าที่เหมาะสมคือ เสื้อผ้าบาง ๆ ขับเหงื่อออกได้ง่าย

...จากสิ่งที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยถ้าจะลดน้ำหนักตัวด้วยการเข้าห้องอบไอน้ำ หรืออาจจะเป็นวิธีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มอุณหภูมิภายในร่างกาย เพราะว่าถ้าร่างกายมีความร้อนสูงมากเกินไป ตัวเร่งปฏิกิริยาในกล้ามเนื้อที่จำเป็นต่อการเผาผลาญไขมันอาจจะถูกทำลายและจะเป็นอันตรายมากขึ้น ถ้าเผอิญอยู่ในช่วงที่ร่างกายกำลังป่วยไข้เนื่องจากการติดเชื้อหรือไวรัสต่าง ๆ และที่แน่นอนที่สุดคือน้ำหนักตัวที่ลดลงไปเป็นน้ำหนักของน้ำ ไม่ใช่น้ำหนักของไขมัน

วิธีกำจัดไขมันเฉพาะส่วนแบบทางตรงคืออะไร

...โดยทั่วไปหมายถึงการบริหารกล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้ไขมัน ผู้เขียนยอมรับว่า ครั้งหนึ่งผู้เขียนก็เคยทำเช่นนี้เหมือนกัน โดยที่ผู้เขียนเริ่มมีไขมันสะสมที่บริเวณหน้าท้อง ผู้เขียนได้บริหารกายด้วยการลุก-นั่ง ประมาณ 300 ครั้งต่อวัน โดยทำในช่วงตอนเช้าและตอนเย็น ภายในเวลาสามเดือนต่อมาหน้าท้องของผู้เขียนแข็งเหมือนเหล็กเลยทีเดียว แต่ก็ยังมีไขมันส่วนเกินอยู่เหนือกล้ามเนื้อท้องอยู่ดี

คุณผู้หญิงทั่วไปมักจะบ่นเกี่ยวกับไขมันที่สะสมอยู่บนบริเวณต้นขาส่วนบน ดังนั้นส่วนมากคุณผู้หญิงก็มักจะบริหารด้วยการยกขา หรือเตะขาไปมาเพื่อที่จะพยายามกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป

...การออกกำลังกายทั้งสองชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการลุก-นั่ง หรือการบริหารขาก็ตาม เป็นการออกกำลังกายชนิดที่คล้ายคลึงกับการยกน้ำหนักทั้งสิ้น นั่นก็คือกล้ามเนื้อที่มีการออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักมักจะมีขนาดขยายใหญ่ขึ้น ผลสุดท้ายก็คือ กล้ามเนื้อจะมีขนาดขยายใหญ่ขึ้นทั้ง ๆ ที่ยังมีไขมันส่วนเกินสะสมอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะว่าไขมันที่สะสมอยู่ไม่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ แต่เกี่ยวข้องกับร่างกาย โดยส่วนรวมทั้งหมด และไขมันเหล่านี้จะหายไปก็ต่อเมื่อไขมันถูกนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงสร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย เมื่อกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียวมีการออกกำลังกาย ไขมันจะไม่ถูกนำไปใช้สร้างพลังงานให้แก่ร่างกาย เพราะร่างกายมีความต้องการพลังงานน้อย แต่เมื่อกล้ามเนื้อใหญ่ ๆ หลาย ๆ มัดมีการออกกำลังกาย ไขมันจะค่อย ๆ ถูกนำออกไปใช้ในการสร้างพลังงานเพื่อให้ทันกับความต้องการพลังงานของร่างกาย และกล้ามเนื้อกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย คือกล้ามเนื้อขาและสะโพก ซึ่งในกลุ่มกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกายแบบแอโรบิคนั่นเอง

...สิ่งที่ผู้เขียนต้องการจะชี้ให้เห็นก็คือ มันเป็นไปไม่ได้ที่ไขมันเฉพาะส่วนในร่างกายจะถูกกำจัดโดยมีการออกกำลังกายเฉพาะส่วน เพราะผลก็คือ ถ้ามีการออกกำลังกายบริหารเฉพาะส่วน ไขมันที่อยู่ในกล้ามเนื้อจะสามารถถูกกำจัดออกไปได้ แต่ไขมันที่สะสมอยู่ที่ใต้ผิวหนังที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ไขมันใต้ผิวหนังเป็นไขมันที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย โดยส่วนรวมทั้งหมด พูดง่าย ๆ ก็เปรียบเสมือนอาหารในตู้เย็นไม่ได้เป็นของพ่อครัว เพราะเพียงแต่พ่อครัวต้องยืนอยู่ใกล้ตู้เย็นตลอดเวลา เช่นเดียวกันก็จะเห็นได้ว่าไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังก็เหมือนอาหารในตู้เย็น ซึ่งถูกเก็บไว้เพื่อปรุงอาหารสำหรับคนทั่วไป คน ๆ หนึ่งไม่ว่าจะตะกละเพียงใด แต่ก็ต้องใช้เวลาในการกินอาหารทั้งหมดที่เก็บไว้ในตู้เย็นนานกว่าคนหลาย ๆ คนที่กินอาหารตามปกติ

...กล้ามเนื้อมัดหนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะออกกำลังกายมากเพียงใดก็ต้องใช้เวลาในการที่จะกำจัดไขมันส่วนที่อยู่เหนือกล้ามเนื้อนานกว่ากล้ามเนื้อหลาย ๆ มัดที่มีการออกกำลังกายพร้อมกัน ฉะนั้นถ้าอยากให้ไขมันใต้ผิวหนังลดลง ก็จำเป็นที่จะต้องพยายามให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ ๆ มีการออกกำลังกายพร้อมกันเพื่อที่จะทำให้ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ

...โดยทั่วไปไขมันใต้ผิวหนังจะสะสมครั้งแรกอยู่ที่บริเวณหลังต้นขาก่อน จากนั้นจึงเริ่มไปสะสมที่บริเวณนอกต้นขา เช่น สะโพก และลำตัวส่วนบน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใต้ท้องแขน แต่เมื่อถึงเวลาที่ไขมันจะถูกกำจัด บริเวณที่ถูกกำจัดจะเรียงลำดับในทิศทางตรงกันข้ามจากบริเวณใต้ท้องแขน ไปยังบริเวณหลังต้นขา ถ้าสมมุติว่าท่านผู้อ่านเป็นผู้หญิงและต้องการลดไขมันด้วยการขี่จักรยาน ไขมันก็จะถูกกำจัดที่บริเวณใต้ท้องแขนก่อนและขาเป็นบริเวณสุดท้าย ทั้ง ๆ ที่การขี่จักรยานต้องใช้ขาเป็นหลักในการออกกำลังกาย

มีบางคนอาจแนะนำว่า ถ้าต้องการกำจัดไขมันใต้ท้องแขนต้องมีการออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนหรือดันพื้น แต่เชื่อผู้เขียนเถอะครับว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น ขี่จักรยาน หรือวิ่งเหยาะจะกำจัดไขมันใต้ท้องแขนได้เร็วกว่า

...รอยย่น ๆ ที่พบในขาของผู้หญิงซึ่งเรียกว่า เซลลูไลท์ (CELLULITE) เกิดขึ้นจากการที่ไขมันเป็นจำนวนมากสะสมอยู่ภายใต้ผิวหนัง มันอาจจะทำให้รู้สึกว่าน่าเกลียด แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนขอแนะนำว่าอย่าไปออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อหวังจะลดไขมันที่บริเวณนั้น การออกกำลังกายแบบแอโรบิคเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในการกำจัดไขมันทั่วร่างกาย โดยไม่ทำให้ไขมันมีการสะสมมากเป็นแห่ง ๆ

ครับ มาถึงตรงนี้ก็คงทราบกันแล้วครับว่า การบริหารกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนไม่สามารถกำจัดไขมันที่อยู่ภายนอกกล้ามเนื้อ แต่ไขมันที่สะสมอยู่ภายนอกกล้ามเนื้อสามารถลดลงได้ด้วยการออกกำลังกายแบบแอโรบิค คือการทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายได้ออกกำลังกายพร้อมกัน

...ผู้เขียนใคร่ขอเสนอการออกกำลังกายอีกชนิดหนึ่งควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิค นั่นก็คือการยกน้ำหนักนั่นเอง เพราะการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน ที่ผู้ออกกำลังกาย ด้วยการยกน้ำหนักสามารถเพิ่มขนาดหรือเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนได้ ตัวอย่างเช่น นักฟุตบอลยกบาร์เบล เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาเป็นต้น

...นอกจากนั้นแล้วาการยกน้ำหนักที่เหมาะสมและถูกต้องยังสามารถเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อหน้าอกได้อีกด้วย ซึ่งการยกน้ำหนักเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกนี้สามารถทำให้รูปร่างของคุณผู้หญิงเปลี่ยนแปลงขึ้นได้อย่างเห็นได้ชัดเจน เลยทีเดียว

...การยกน้ำหนักไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เช่น บาร์เบลหรือดัมเบล สำหรับผู้เริ่มต้นก็อาจจะใช้อุปกรณ์ชนิดอื่นเช่น ถุงทราย, กระป๋องที่มีขนาดใหญ่ ๆ , หนังสือเล่มหนา ๆ หรือแม้กระทั่งการยึดพื้นหรือการลุก-นั่ง ก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายแบบยกน้ำหนักเหมือนกัน ถ้าสมมุติว่ามีไขมันสะสมอยู่ที่แขนหรือท้องของคุณมากก็พยายามออกกำลังกายแบบแอโรบิคเพื่อลดไขมันส่วนนั้น และให้เพิ่มการออกกำลังกายแบบการยึดพื้น หรือลุก-นั่ง เพื่อสร้างความแข็งแรงให้แก่กล้ามเนื้อแขนและกล้ามเนื้อท้อง

...มาถึงบรรทัดนี้ท่านผู้อ่านก็คงจะพอทราบกันแล้วนะครับว่า การออกกำลังกายแบบใดที่เหมาะสำหรับการกำจัดไขมัน ไม่ว่าจะเป็นไขมันเฉพาะส่วนหรือไขมันที่สะสมทั่วไปในร่างกาย ถ้าไม่เชื่อผู้เขียนลองปฏิบัติดูสัก 2 เดือนก่อนสิครับ ทำสม่ำเสมออาทิตย์ละ 3 วัน , วันเว้นวัน , วันละ 30 – 40 นาที เมื่อทำเสร็จแล้วถ้าปรากฏว่ายังไม่รู้สึกเลยว่ารูปร่างดีขึ้น ก็ขอเชิญต่อว่าผู้เขียนได้ตามสะดวกเลยครับ แต่ถ้าปรากฏว่ารู้สึกว่ารูปร่างดีขึ้นก็ขอเชิญชวนให้ทำกันต่อไป เพื่อที่ท่านจะได้หล่อ , จะได้สวยกันต่อไปนาน ๆ ไงครับ
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

...คืนนี้มีเรื่อง อนุมูลอิสระและสารต้านอนุมูลอิสระ มาฝากครับ
อนุมูลอิสระ
...เป็นอะตอม ที่มีอิเล็กตรอนไร้คู่เมื่อมีนเกิดขึ้นแล้วก็จะวิ่งเที่ยวจับอิเล็กตรอนจากโมเลกุลข้างเคียง เพื่อไปจับคู่กับตัวของมันเองเมื่อโมเลกุลใดเสียอิเล็กตรอนไป ก็จะแย่งเอาอิเล็กตรอนจากเพื่อนข้างเคียงเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆแบบลูกโซ่ การที่โมเลกุลสูญเสียอิเล็กตรอนไปนี่เอง ทำให้โมเลกุลนั้นสูญเสียหน้าที่ที่มันเคยทำอยู่ถ้าเป็นโมเลกุลของผนังเซลล์ เซลล์นั้นก็จะเสื่อมถ้าเป็นโมเลกุลของดีเอ็นเอก็ยิ่งเกิดผลร้ายมากขึ้น เพราะดีเอ็นเอเป็นกองบัญชาการของกิจกรรมทุกอย่างในเซลล ์แม้แต่เป็นพิมพ์เพื่อพิมพืแบบสำหรับเซลล์ตัวต่อๆไปด้วยหากดีเอ็นเอเสียก็อาจ
หมายถึงว่าจะเกิดเซลล์มะเร็งขึ้นได้ทุกเมื่อ

อนุมูลอิสระเกิดขึ้นในกรณีใดบ้าง?
...เกิดได้๒ทางคือ มากับอาหารน้ำอากาศที่ร่างกายรับเข้าสู่ร่างกาย อาหารที่คุณไม่เลือกกินเช่นอาหารที่ปิ้งย่างหรือทอดให้เกรียมๆจัดๆอาหาร เหล่านี้จะมีเขม่าและควันไฟจับอยู่เยอะมากบรรดาเขม่าควันไฟพวกนี้คืออณูของคาร์บอนที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศส่วนหนึ่งกลายเป็นคาร์บอนไดออกไซด ์ไปส่วนที่สันดาปไปครึ่งๆกลางๆนั่นแหละที่อุดมด้วยอนุมูลอิสระ
โปรตีนและไขมันของอาหารแบบนี้ยังถูกความร้อนที่รุนแรงเร่งให้เกิดการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนเกิดเป็นอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้ออาหาร ร้ายกว่านั้นคือน้ำมันท ี่ใช้ทอดซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างเช่นปาท่องโก๋กล้วยแขกน้ำมันยิ่งทอดก็ยิ่งรวมตัวกับออกซิเจนในอากาศจึงอุดมไปด้วย อนุมูลอิสระที่พร้อมจะเข้า ไปจู่โจมเซลล์ในตัวของคุณง่ายมากขึ้น นอกจากปัจจัยภายนอกเหล่านี้แล้วภายในร่างกายของคนก็เกิดอนุมูลอิสระขึ้นเองทุกๆวินาท ีที่คนเราย่อยอาหารดูดซึมอาหารใช้อาหารเป็นพลังงานทุกเวลาที่ออกกำลังกาย และเวลาที่เซลล์ถูกคุกคามจากเชื้อโรคมีการอักเสบมีไข้นั่นแหละเป็นกระบวนการเคมีในร่างกายที่จะ มีอนุมูลอิสระเกิดขึ้นเป็นผลพลอยได้ อนุมูลอิสระนั้นไม่ใช่ว่าจะมีแต่โทษความจริงอนุมูลอิสระ เป็นตัวเร่งการทำงานของเอนไซม์ในร่างกายถ้ามันไปชนกับตัวเชื้อโรคเชื้อโรคก็ตายอนุมูลอิสระยังช่วยเร่งเม็ดเลือดขาวในคนให้ทำงานสู้กับเชื้อโรคด้วยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณของอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นแต่มักจะนำมากล่าวแต่โทษก็เนื่องจากร่างกายคนรับมันเข้าไปจนล้นเกินปริมาณคุณประโยชน์ต่างหากจึงเกิดโทษ ความจริงร่างกายคนจะมีกลไกการป้องกันตัวเองจากอนุมูลอิสระอยู่แล้วคือ เป็นกลไกลปกป้องภายในเซลล์ได้แก่เอนไซม์ชนิดต่างๆ สารต้านอนุมูลอิสระเรียกชื่อว่าแอนตี้ออกซิแดนต์ที่เรารับจากภายนอกร่างกายจะรับสารเหล่านี้มากจากอาหารต่างๆเด่นๆคือวิตามิน-ซีวิตามิน-อีและโปรวิตามิน-เอรวมทั้งเซเลเนียมฯลฯวิตามิน-อีและโปรวิตามิน-เอจะปกป้องเราตรงตำแหน่งผนังเซลล์วิตามิน-ซีจะเฝ้าอยู่ในน้ำรอบเซลล์คอยปกป้องอยู่รอบนอก

10 สารต้านอนุมูลอิสระ
1. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น
ได้รับการขนานนามว่าเป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์มานาน เนื่องจากคุณสมบัติเด่นในด้านการกำจัดอนุมูลอิสระที่สูงกว่าสารแอนตี้ออกซิแดนท์อื่น ๆ โดยสูงกว่าวิตามินซี 20 เท่า และวิตามินอี 50 เท่า ทั้งยังคงอยู่ในกระแสเลือดได้นานถึง 72 ชม. สามารถป้องกันและลดการทำลายล้างจากสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในร่างกายเราตลอดเวลาทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน อันเป็นสาเหตุของความเสื่อมและอ่อนแอของร่างกายโดยรวม โดยเฉพาะระบบหลอดเลือด หัวใจ ผิวหนัง และตา เมื่อรับประทานสารสกัดจากเมล็ดองุ่นเป็นประจำจะทำให้ได้รับสาร OPCs เข้าไปยับยั้งการเสื่อมสลายของคอลลาเจนใต้ผิวหนัง จึงช่วยชะลอการเสื่อมของผิวพรรณไม่ให้แก่ก่อนวัยอย่างตรงจุด
ปริมาณการใช้ วันละ 20-60 มก.

2. ชาเขียว
ในชาเขียวประกอบด้วยสารต้านอนุมูลอิสระประเภทฟลาโวนอยด์ ที่ทรงพลังหลายชนิด โดยเฉพาะสาร EGCG ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง โดยมีฤทธิ์มากกว่าวิตามินอีถึง 20 เท่า มีผลการวิจัยพบว่าชาเขียวสามารถลดอัตราการเป็นมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะมะเร็งปอด, มะเร็งลำไส้, มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งตับ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเป็นพิษจากการสูบบุหรี่ เช่น นิโคติน และน้ำมันทาร์ เป็นต้น
ปริมาณการใช้ วันละ 300-1,000 มก.

3. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส
เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ออกฤทธิ์ได้ดีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งนอกจากประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องฝ้าด้วยการควบคุมการทำงานของกระบวนการสร้างเม็ดสีในร่างกายให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ไม่ผลิตเม็ดสีออกมาผิดปกติจนเป็นฝ้า, กระ แล้ว ยังมีประโยชน์ต่อผิวพรรณและสุขภาพร่างกายโดยรวมอีกด้วย
ปริมาณการใช้ วันละ 75 มก.

4. โคเอ็นไซน์คิวเท็น
มีหน้าที่หลักในกระบวนการสร้างพลังงานในระดับเซลล์ เพื่อให้เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายทำงานได้อย่างปกติ หากร่างกายขาดโคเอ็นไซม์คิวเท็นถึง 75% ก็อาจเสียชีวิตได้ ทั้งนี้เซลล์ที่ต้องการพลังงานสูงและมีความต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นมากเป็นพิเศษ ได้แก่ เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์สมอง เพื่อให้มีความตื่นตัว เพิ่มทักษะในการจดจำและผ่อนคลายจากความตึงเครียด ส่วนเซลล์ผิวหนังต้องการโคเอ็นไซม์คิวเท็นเพื่อช่วยฟื้นฟูความสดใส
ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.

5. แนทเชอรัลเบต้าคาโรทีน
เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ นอกจากประโยชน์ในการบำรุงสายตาและผิวพรรณแล้ว เบต้าแคโรทีนยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งที่ปอดจากการสูบบุหรี่จัด ลดการก่อเซลล์มะเร็งที่ผิวหนัง และทำให้ผิวหนังสามารถต้านทานต่อแสงแดดได้นานยิ่งขึ้น เบต้าแคโรทีนจากธรรมชาติที่สกัดได้จากสาหร่าย D.Salina จะเป็นแหล่งของเบต้าแคโรทีนที่เข้มข้น และปลอดภัยกว่าชนิดทั่วไปที่เป็นเคมีสังเคราะห์
ปริมาณการใช้ วันละ 6-15 มก.

6. ลูติน
เป็นสารธรรมชาติพบได้มากในพืชผักที่มีสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาดเขียว ใบหยิก ผักปวยเล้ง ในชีวิตประจำวันนอกจากจะต้องเผชิญกับรังสียูวีในแสงแดดที่กระทบต่อดวงตาโดยตรงแล้ว ยังต้องเจอกับแสงจ้าจากเครื่องคอมพิวเตอร์และทีวีวันละหลายชั่วโมง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ในตาอ่อนแอหรือเสื่อมสภาพและตาบอดได้ ซึ่งการรับประทานลูตินจะเป็นสารอาหารที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดรับภาพและจอประสาทตาได้ดี เพราะมีส่วนรวมในการทำงานของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่สำคัญ
ปริมาณการใช้ วันละ 6-20 มก.

7. กรดอัลฟ่าไลโปอิค
สารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาตินี้ทำหน้าที่สำคัญ ๆ หลายอย่างในร่างกาย การใช้เป็นอาหารเสริมจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยปรับปรุงกระบวนการเผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน จึงช่วยป้องกันและบรรเทาโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้ดี
ปริมาณการใช้ วันละ 50-200 มก.

8. สารสกัดจากใบแปะก๊วย
ฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วยเป็นผลมาจากสารในกลุ่มฟลาโวนไกลโคไซด์ ที่มีอยู่กว่า 20 ชนิดในใบแปะก๊วย ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ ทั้งนี้นอกจากคุณสมบัติอันโดดเด่นในการป้องกันความเสื่อมของเซลล์สมองและช่วยบำรุงสุขภาพสมองอย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่ยอมรับทั่วโลกแล้วนั้น คุณสมบัติในการเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สมองยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตันได้อย่างตรงจุดเช่นกัน
ปริมาณการใช้ วันละ 40-80 มก.

9. วิตามินซี
นอกจากประโยชน์ในการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย ช่วยป้องกันโรคหวัด และบรรเทาอาการภูมิแพ้แล้ว วิตามินซียังช่วยสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวพรรณ คลายความเครียด ความอ่อนเพลีย แก้สภาวะการเป็นหมันในผู้ชาย โดยช่วยเพิ่มความแข็งแรง และปริมาณของตัวอสุจิอีกด้วย
ปริมาณการใช้ วันละ 1,000-4,000 มก.

10. วิตามินอี
ช่วยในเรื่องการบำรุงผิวพรรณ ป้องกันโรคหัวใจและการอุดตันของเส้นเลือดในหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันการกลายพันธุ์ของเซลล์อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ การรับประทานวิตามินอีในระยะยาวยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และลดอัตราการตายของผู้ชายที่สูบบุหรี่จัด
ปริมาณการใช้ วันละ 200-400 มก.

รูปภาพ
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
Real
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 5153
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ส.ค. 2008, 20:00
Tel: 083-22000-98
team: Ramindra
Bike: RB, MTB, FOLDING
ติดต่อ:

Re: ++ กระทู้รวบรวมเทคนิคจักรยาน ++

โพสต์ โดย Real »

รูปภาพ

การโด๊ปเลือด (Blood Doping)
...หลายท่านอาจจะสงสัยว่ามีการโด๊ปอย่างไร ฉะนั้นมาทราบกรรมวิธีและความเป็นมาของการโด๊ปเลือดกันนะครับ

ประวัติการโด๊ปเลือดและการใช้ Erythropoietin
...มีหลักฐานและรายงานว่ามีการให้เลือด แก่นักกีฬามาตั้งแต่ราว ปี พ.ศ. ๑๙๔๗ ในการใช้เลือดจากผู้อื่น ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๖๖ Ekblom ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าการโด๊ปเลือดมีผลเพิ่ม Arobic Capacity ( ความจุของออกซิเจน ) อย่างชัดเจน และในปี ๑๙๗๖ ในการแข่งขันโอลิมปิคเกมส์ที่แคนาดา มีรายงานอย่างไม่เป็นทางการในการแข่งขันว่ามีนักกีฬาใช้กันอย่างประปรายแล้ว และครั้งสุดท้ายก็คือ โอลิมปิคเกมส์ที่ลอสแอนเจลิสสหรัฐอเมริกา ในปี ๑๙๘๔ ทีมนักกีฬาของสหรัฐที่ได้เหรียญทอง เหรียญเงิน บางคนได้ยอมรับว่ามีการโด๊ปเลือดในหมู่นักจักรยานทางไกล

...สำหรับ Erythropoietin (EPO) ตามปกติเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสร้างขึ้นบริเวณไต มีหน้าที่ควบคุมและกระตุ้นการผลิตเม็ดเลือดแดงที่ไขกระดูก ในปี ค.ศ. ๑๙๘๗ Eschbach และคณะได้รายงาน การใช้ EPO ชนิดสังเคราะห์ในการรักษาผู้ป่วยที่มีโลหิตจางจากสาเหตุของโรคไตเรื้อรังเป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้นก็มีผู้นำแนวคิดดัดแปลงการใช้ EPO กับนักกีฬา

ผลทางสรีรวิทยาของการโด๊ปเลือด
..นักกีฬาที่ใช้การโด๊ปเลือด มักจะเป็นนักกีฬาที่ต้องใช้ความอดทนในการแข่งขัน อาทิเช่น นักวิ่งระยะไกล จักรยานทางไกล สกีน้ำแข็งระยะไกล เป็นต้น วัตถุประสงค์ในการโด๊ปเลือดให้แก่นักกีฬา อาศัยความรู้ทางทฤษฎีว่าเม็ดเลือดแดงมีหน้าที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกาย ในการแข่งขันกีฬาที่ต้องใช้พลังงานแบบแอโรบิค ถ้ามีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อมากย่อมก่อให้เกิดพลังงานได้มากด้วย

กรรมวิธีการโด๊ปเลือด
...ได้มีการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีขึ้นเป็นระยะๆ เดิมที่มีการใช้เลือดแท้ๆ (whole blood) จากผู้อื่น ซึ่งมีเม็ดเลือดแดงประมาณ ๔๐-๔๕% และที่เหลือคือน้ำเลือด แต่วิธีนี้มีผลเสีย คือ จะมีภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวเนื่องจากมีเม็ดเลือดเกินกว่าปกติในร่างกายทันที นอกจากนี้มีผลเสียอื่นๆ อีก เช่น ปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่พบบ่อยๆ เช่น ลมพิษ ไข้หนาวสั่น และที่อันตรายมากคือการให้เลือดผิดกรุ๊ปซึ่งรุนแรงถึงตายได้ นอกจากนี้ยังมีปฏิกิริยาแพ้น้ำเหลืองคนอื่น การรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี การรับเชื้อกามซิฟิลิส การรับเชื้อโรคเอดส์ เป็นต้น

...ต่อมามีการปรับปรุงการโด๊ปเลือดแบบให้เฉพาะเม็ดเลือดแดงอย่างเดียวโดยไม่เอาน้ำเลือดเข้ามาปน ซึ่งจะมีเม็ดเลือดแดงประมาณ ๘๐% โดยให้ครั้งละ ๑ ยูนิต คือประมาณ ๓๐๐ ซีซี จะหลีกเลี่ยงปัญหาการเกิด Circulation over load ได้ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้และเสี่ยงต่อการรับเชื้อโรค ที่ไม่พึงประสงค์ของผู้อื่นอยู่ดี

การใช้ Erythropoietin (EPO)
...ในภาวะปกติของคนทั่วไปจะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงและทำลายเม็ดเลือดแดงในอัตราที่สมดุลกัน อยู่เสมอ Eschbach และคณะ ได้ทดลองให้ EPO ในผู้ป่วยไตที่มีปัญหาโลหิตจาง โดยให้ขนาด ๕๐ ยูนิต/กก.นน.ตัว เป็นระยะ พบว่าสามารถเพิ่มฮีมาโตคริต (Hematocrit) ได้ถึง ๓๕% หรือมากกว่านั้น แต่สำหรับผู้ป่วยโลหิตจางสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่โรคไตเรื้อรังที่รักษาด้วย EPO ยังไม่ได้ผลที่แน่นอน ในขณะเดียวกันการใช้ EPO กับนักกีฬาเพื่อวัตถุประสงค์กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงให้มากกว่าปกติยังไม่มีรายงานการวิจัย อย่างเป็นทางการถึงผลของการเพิ่มจำนวนเม็ดเลือดแดง แต่เมื่อคำนึงถึงหลักทฤษฏีเช่น เดียวกับการโด๊ปเลือดก็น่าจะให้ผลเช่นเดียวกัน

การตรวจสอบและบทลงโทษ
...การโด๊ปเลือดและการใช้ EPO ได้ถูกประกาศห้ามกระทำโดยคณะกรรมการโอลิมปิคสากล (IOC)ตั้งแต่ปี ค.ศ . ๑๙๘๔ ถึง ค.ศ. ๑๙๘๗ เป็นต้นมาตามลำดับ ส่วนหลักฐานที่จะพิสูจน์ว่านักกีฬาเป็นผู้ใช้หรือไม่อย่างไร เนื่องจากการโด๊ปเลือดเป็นกรรมวิธี ไม่ใช่การใช้ยาจึงไม่อาจตรวจจากปัสสาวะนักกีฬาได้ จนปัจจุบันนี้

...ยังไม่มีรายงานการลงโทษจาก IOC เลยแม้แต่รายเดียว คงเป็นเพียงคำขู่และคำเตือนที่ว่าถ้ามีหลักฐานข้อบ่งชี้จากพยานผู้ยืนยันการเห็นเหตุการณ์การให้เลือด วัสดุการให้เลือด และการเรียกผู้ต้องสงสัยมาตรวจเลือดเพื่อหาค่า
• SERUM HEMOGLOBIN
• BILIROBIN
• ธาตุเหล็กที่เกาะรวมกับเม็ดเลือดแดง
ถ้า ๓ ค่าที่กล่าวมาแล้วสูงผิดปกติ ร่วมกับปริมาณ EPO ภายในร่างกายลดลง อาจเป็นหลักฐานผูกมัดผู้กระทำผิดได้ราว ๕๐-๖๐% เท่านั้น

ทำไมใครบางคนจึงต้องการเม็ดเลือดแดงจำนวนมาก
...เม็ดเลือดแดงมีฮีโมโกลบินเป็นส่วนประกอปซึ่งทำหน้าที่นำพาอ๊อกซิเจนไป ทั่วร่างกาย การที่มีเม็ดเลือดแดงเป็นจำนวนมากย่อมจะมีการนำออกซิเจนไปยังกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ทำให้มีความอดทน แข็งแรง และความเร็วได้

เราจะทราบได้อย่างไรว่าจำนวนเท่าไรจึงถือว่ามีปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงในร่างกาย
...โดยทั่วไปแล้วในผู้ชายจะมีระดับฮีโมโกลบินอยู่ในช่วง 14 – 17 กรัมต่อเดซิลิตรของเลือด (เดซิ = 10-2) และผู้หญิงอยู่ในช่วง 12-15 กรัมต่อเดซิลิตรของเลือด ในกีฬาที่แตกต่างกันหรือในการแข่งขันที่แตกต่างกัน จะมีค่าอนุญาตที่ต่างกันด้วย ตัวอย่างเช่น สมาคมสกีนานาชาติ (the international ski federation; FIS) อนุญาตให้มีค่ามากที่สุดเท่ากับ 17 กรัมต่อเดซิลิตร ในนักกีฬาผู้ชาย ส่วนนักกีฬาผู้หญิงมีฮีโมโกลบินได้มากที่สุด คือ 16 กรัมต่อเดซิลิตร

ทำอย่างไรถึงจะเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดแดงได้จำนวนมากๆ
...การที่มีปริมาณเม็ดเลือดแดงสูงเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่ามีอาการ โพลีโกลบูเรีย (Polyglobulia) ซึ่งมีสาเหตุของการเกิดได้หลายอย่าง เช่น คนที่อาศัยหรือถูกฝึกซ้อมในที่สูง จะมีการเพิ่มขึ้นของระดับฮีโมโกลบิน เหตุผลเป็นเพราะว่าบริเวณดังกล่าวมีออกซิเจนเบาบาง ทำให้ไตมีการผลิตฮอร์โมนที่มีชื่อว่า อีริโทรพอีทิน (erythiopoietin; EPO) เพิ่มขึ้น ฮอร์โมนนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการผลิตเม็ดเลือดแดงที่โพรงกระดูก (bone marrow)

จากการศึกษาในคนที่อาศัยอยู่บนเทือกเขาแอนดีส (Andes) แสดงให้เห็นว่ามีปริมาณฮีโมโกลบินที่สูงขึ้นแบบธรรมชาติ โดยมีระดับถึง 21 กรัมต่อเดซิลิตร

และอีกเหตุผลหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ คือการที่มีอ๊อกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ลดลง เช่นเป็นคนป่วยเป็นโรคปอดเรื้อรังและโรคหัวใจ หรือการสูบบุหรี่อย่างหนัก และยังมีบางสาเหตุบางอย่าง นั้นคือเกิดจากพันธุกรรมบกพร่อง ซึ่งสามารถนำไปสู่การมีเม็ดเลือดแดงปริมาณมากๆได้

แต่ส่วนใหญ่เมื่อมีอาการเหล่านี้แล้วจะทำให้ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถเป็นนักกีฬาโอลิมปิก เพราะจะทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ (dehydration) ได้ง่าย ทำให้เลือดมีความข้นมากขึ้น และความเข้นข้นของเม็ดเลือดแดงสูงขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่เกิดการตกตะกอนของเลือดได้
พูดคุยกันในfacebook คลิ๊ก ---> http://www.facebook.com/real.bicycle

Project : ปลุกคืนชีพ เฟรมคาร์บอน คลิ๊ก---> http://www.thaimtb.com/forum/viewtopic. ... 0&t=281682
ตอบกลับ

กลับไปยัง “กลุ่มรามอินทรา”