แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ผู้ดูแล: เสือชอร์
กฏการใช้บอร์ด
ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
ผู้ดูแลบอร์ด โทร 0813722240
ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
ผู้ดูแลบอร์ด โทร 0813722240
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
น้ำตกเอราวัณอยู่ใกล้เขื่อนศรีนครินทร์ ปั่นจักรยานเสร็จมาคลายกล้ามเนื้อด้วยน้ำเย็นๆจากธรรมชาติ
น้ำตกเอราวัณ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 500 เมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 - 400 เมตร แบ่งเป็นชั้นต่างๆ 7 ชั้น มีระยะทางจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด 1500 เมตร ลำน้ำเมื่อตกลงมาแล้วจะไหลลงแม่น้ำแควใหญ่บริเวณที่ทำการอุทยาน เดิมน้ำตกนี้ชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกสะด่องม่องลาย อันเป็นชื่อลำห้วยม่องลายที่เป็นต้นน้ำ โดยบริเวณน้ำตกจะมีน้ำตลอดปีแต่จะมีน้ำน้อยในช่วงฤดูแล้งราวเดือนธันวาคมถึงเมษายน
น้ำตกเอราวัณ เป็นอีกน้ำตกหนึ่งที่ขึ้นชื่อของ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกที่สวยงามบนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตรติดต่อกัน เดิมมีชื่อว่า "น้ำตกสะด่องม่องลาย"ตามชื่อลำห้วยม่องลายซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตก แต่ด้วยลักษณะน้ำตกชั้นที่ 7 ของที่นี่มีลักษณะคล้ายหัวช้างเอราวัณ 3 เศียร จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ น้ำตกเอราวัณ ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี
น้ำตกเอราวัณมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าน้ำตกอื่นๆคือเป็นน้ำตกบนเทือกเขาหินปูนทำให้น้ำมีสีฟ้าอมเขียวเมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ น้ำตกเอราวัณมี 7 ชั้น ดังนี้
-ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง เป็นน้ำตกชั้นเล็ก ๆ ที่เหมาะกับการนั่งเล่นรับลมพักผ่อน
-ชั้นที่ 2 วังมัจฉา เหมาะกับการลงเล่นน้ำ เพราะมีแอ่งให้ลงไปแวกว่ายได้ และมีฝูง "ปลาพลวง" อาศัยอยู่ในน้ำด้วย
-ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ชั้นนี้น้ำตกจะตกลงมาในระดับสูง นักท่องเที่ยวสามารถไปยืนบริเวณน้ำตกเพื่อเล่นน้ำได้
-ชั้นที่ 4 อกผีเสื้อ ชั้นนี้มีจุดเด่นในการเล่นสไลด์เดอร์ไหลลื่นตกลงมายังแอ่งน้ำด้านล่าง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นเต้น
-ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง เป็นชั้นที่กินพื้นที่กว้างสามารถเล่นน้ำได้
-ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา ชั้นนี้ถูกล้อมรอบด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
-ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นที่สวยงามมาก
บริเวณน้ำตกชั้นที่ 1 - 4 จะมีปลาพลวง (ปลาตระกูลปลาตะเพียน ลำตัวสีน้ำตาลเขียวเกล็ดโต มีหนวดยาว 2 คู่) แหวกว่ายอยู่เป็นจำนวนมากอันเป็นลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง
น้ำตกเอราวัณ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ตำบลท่ากระดาน อำเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานประมาณ 500 เมตร มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 100 - 400 เมตร แบ่งเป็นชั้นต่างๆ 7 ชั้น มีระยะทางจากชั้นล่างสุดขึ้นไปชั้นบนสุด 1500 เมตร ลำน้ำเมื่อตกลงมาแล้วจะไหลลงแม่น้ำแควใหญ่บริเวณที่ทำการอุทยาน เดิมน้ำตกนี้ชาวบ้านเรียกว่า น้ำตกสะด่องม่องลาย อันเป็นชื่อลำห้วยม่องลายที่เป็นต้นน้ำ โดยบริเวณน้ำตกจะมีน้ำตลอดปีแต่จะมีน้ำน้อยในช่วงฤดูแล้งราวเดือนธันวาคมถึงเมษายน
น้ำตกเอราวัณ เป็นอีกน้ำตกหนึ่งที่ขึ้นชื่อของ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นน้ำตกที่สวยงามบนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตรติดต่อกัน เดิมมีชื่อว่า "น้ำตกสะด่องม่องลาย"ตามชื่อลำห้วยม่องลายซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตก แต่ด้วยลักษณะน้ำตกชั้นที่ 7 ของที่นี่มีลักษณะคล้ายหัวช้างเอราวัณ 3 เศียร จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ น้ำตกเอราวัณ ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปเป็นอย่างดี
น้ำตกเอราวัณมีลักษณะที่โดดเด่นกว่าน้ำตกอื่นๆคือเป็นน้ำตกบนเทือกเขาหินปูนทำให้น้ำมีสีฟ้าอมเขียวเมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ น้ำตกเอราวัณมี 7 ชั้น ดังนี้
-ชั้นที่ 1 ไหลคืนรัง เป็นน้ำตกชั้นเล็ก ๆ ที่เหมาะกับการนั่งเล่นรับลมพักผ่อน
-ชั้นที่ 2 วังมัจฉา เหมาะกับการลงเล่นน้ำ เพราะมีแอ่งให้ลงไปแวกว่ายได้ และมีฝูง "ปลาพลวง" อาศัยอยู่ในน้ำด้วย
-ชั้นที่ 3 ผาน้ำตก ชั้นนี้น้ำตกจะตกลงมาในระดับสูง นักท่องเที่ยวสามารถไปยืนบริเวณน้ำตกเพื่อเล่นน้ำได้
-ชั้นที่ 4 อกผีเสื้อ ชั้นนี้มีจุดเด่นในการเล่นสไลด์เดอร์ไหลลื่นตกลงมายังแอ่งน้ำด้านล่าง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความตื่นเต้น
-ชั้นที่ 5 เบื่อไม่ลง เป็นชั้นที่กินพื้นที่กว้างสามารถเล่นน้ำได้
-ชั้นที่ 6 ดงพฤกษา ชั้นนี้ถูกล้อมรอบด้วยแมกไม้นานาพันธุ์
-ชั้นที่ 7 ภูผาเอราวัณ เป็นชั้นสุดท้ายซึ่งเป็นชั้นที่สวยงามมาก
บริเวณน้ำตกชั้นที่ 1 - 4 จะมีปลาพลวง (ปลาตระกูลปลาตะเพียน ลำตัวสีน้ำตาลเขียวเกล็ดโต มีหนวดยาว 2 คู่) แหวกว่ายอยู่เป็นจำนวนมากอันเป็นลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่ง
แก้ไขล่าสุดโดย somsak tarasunton เมื่อ 27 มิ.ย. 2014, 08:16, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
น้้ำตกห้วยแม่ขมิ้น เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ห่างจังหาัดกาญจนบุรี 108 กิโลเมตรตามเส้นทางสายกาญจนบุรี-เอราวัณ น้ำตกห้วยขมิ้น ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ กิโลเมตร น้ำตกห้วยขมิ้นมีสภาพสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาชนิด น้ำตกแบ่งออกเป็นหลายชั้น แต่ละชั้นมีความสูงและความงดงามต่างกันไป อุทยานฯ ได้ทำทางเดินเท้าสำหรับขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้น ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์
ตั้งอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานฯริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ห่างจังหาัดกาญจนบุรี 108 กิโลเมตรตามเส้นทางสายกาญจนบุรี-เอราวัณ น้ำตกห้วยขมิ้น ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯ ริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ กิโลเมตร น้ำตกห้วยขมิ้นมีสภาพสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาชนิด น้ำตกแบ่งออกเป็นหลายชั้น แต่ละชั้นมีความสูงและความงดงามต่างกันไป อุทยานฯ ได้ทำทางเดินเท้าสำหรับขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้น ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม-กุมภาพันธ์
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
วัดถ้ำเสือ กาญจนบุรี
วัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี สิ่งที่สะดุดสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมวัด เพื่อกราบนมัสการพระธาตุ ก็คือ ความใหญ่โตกว้างขวางของวัด และพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีตัวองค์ พระสวยงามประดับ ด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์ เมื่อเดินทางมาถึงด้านบนก็พบกับความสดชื่นของลมที่พัดเย็น และแรงทีเดียว มองไปด้านล่างเห็นเป็น ทุ่งนา เขียวขจี
วัดถ้ำเสือ กาญจนบุรี
นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท องค์พระเจดีย์เป็นสีอิฐทั้งองค์ แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ หลายชั้น แต่ละชั้นจะ ประดิษฐาน พระพุทธรูปต่าง ๆ มากมาย จนถึงชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศ อินเดีย และยังมีวิหารต่าง ๆ ให้เข้าไปสักการะพระพุทธรูปและชื่นชมความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังภายใน เมื่อชมจนทั่วแล้ว ก็ลงไป ข้างล่างเพื่อเข้าถ้ำเสือ เป็นถ้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณเชิงเขาด้านล่าง ภายในประดิษฐานพระประจำวันเกิด และจำหน่ายวัตถุมงคล
วัดถ้ำเสือ ตั้งอยู่ อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี สิ่งที่สะดุดสายตาของนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมวัด เพื่อกราบนมัสการพระธาตุ ก็คือ ความใหญ่โตกว้างขวางของวัด และพระพุทธรูปปางประทานพรที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดกาญจนบุรีตัวองค์ พระสวยงามประดับ ด้วยโมเสคสีทองทั้งองค์ เมื่อเดินทางมาถึงด้านบนก็พบกับความสดชื่นของลมที่พัดเย็น และแรงทีเดียว มองไปด้านล่างเห็นเป็น ทุ่งนา เขียวขจี
วัดถ้ำเสือ กาญจนบุรี
นอกจากนี้ยังมีพระเจดีย์เกศแก้วปราสาท องค์พระเจดีย์เป็นสีอิฐทั้งองค์ แบ่งเป็นชั้นต่าง ๆ หลายชั้น แต่ละชั้นจะ ประดิษฐาน พระพุทธรูปต่าง ๆ มากมาย จนถึงชั้นบนสุดเป็นที่ประดิษฐานของพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากประเทศ อินเดีย และยังมีวิหารต่าง ๆ ให้เข้าไปสักการะพระพุทธรูปและชื่นชมความงดงามของจิตรกรรมฝาผนังภายใน เมื่อชมจนทั่วแล้ว ก็ลงไป ข้างล่างเพื่อเข้าถ้ำเสือ เป็นถ้ำขนาดเล็กอยู่บริเวณเชิงเขาด้านล่าง ภายในประดิษฐานพระประจำวันเกิด และจำหน่ายวัตถุมงคล
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
เขาช้างเผือก อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ซึ่งต้องเดินทางไปเริ่มต้นที่บ้านอิต่อง โดยมากนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปให้ถึงบ้านอิต่องก่อนสว่างเพื่อเตรียมตัวเดินทางผจญภัยบนเส้นทางวัดใจสันคมมีด เพื่อพิชิตยอดเขาช้างเผือก ระยะทางประมาณ 4,000 เมตร ยอดเขาช้างเผือกสูงจากระดับน้ำทะเล 1,249 เมตร
ทั้งนี้ก่อนที่จะเดินทางขึ้นเขาช้างเผือกนักท่องเที่ยวต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ เพื่อจองวันเดินทาง ลูกหาบ และเจ้าหน้าที่ เพราะเขาช้างเผือกสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เพียง 60 คน เท่านั้น
อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าห้วยเขย่งและป่าเขาช้างเผือก มีเนื้อที่ประมาณ 700,000 ไร่ อยู่ห่างจากอำเภอทองผาภูมิไปทางทิศตะวันตก ประมาณ 60 กิโลเมตร ตามทางหลวง 3272 มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายจุด สำหรับจุดชมวิวทิวทัศน์มี 2 แห่ง คือ ดอยต่องปะแล ซึ่งต้องจอดรถและเดินขึ้นเขาไปประมาณ 300 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นน้ำตกจ๊อกกะดิ่นอยู่ไม่ไกล ส่วนเนินกูดดอย สามารถนำรถขึ้นไปจอดได้ เป็นจุดชมวิวทิวเขาซับซ้อนสุดสายตา มองเห็นทะเลสาบเขื่อนวชิราลงกรณและเขาช้างเผือกภูเขาที่สูงที่สุดในอุทยานฯ และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติ 3 เส้นทาง คือ น้ำตกจ๊อกกะดิ่น น้ำตกผาแป น้ำตกเจ็ดมิตร ต้องติดต่อว่าจ้างเจ้าหน้าที่เป็นผู้นำทาง น้ำตกเหล่านี้อยู่ในเขตตำบลปิล๊อก ซึ่งเดิมเป็นเหมืองแร่ดีบุก วุลแฟรม ตั้งอยู่พรมแดนไทย-พม่า อุดมด้วยป่าดิบ ปกคลุมด้วยหมอกเกือบตลอดทั้งปี ซึ่งต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ
การเดินทาง ห่างจาก อ.ทองผาภูมิ ประมาณ 59 กม. โดยเป็นเส้นทางลาดยาง แต่เป็นทางขึ้นเขาและมีโค้งหักศอกอยู่มากจึงต้องขับอย่างระมัดระวัง สำหรับบ้านอิต่องอยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิไปอีกประมาณ 15 กิโลเมตร
บริเวณอุทยานฯ มีบริการบ้านพักและสถานที่กางเต็นท์
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1382 0359 หรือ อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ตู้ ปณ.18 อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี 71180
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
โบสถ์สแตนเลสหนึ่งเดียวในโลก วัดปากลำขาแข้ง เมืองกาญจน์
"วัดปากลำขาแข้ง" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดปากลำ"
ปัจจุบัน ชาวบ้านเปลี่ยนมาเรียกกันจนติดปากว่า "วัดโบสถ์สแตนเลส" ด้วยวัดแห่งนี้มีอุโบสถที่ทำด้วยสแตนเลสโดดเด่นสะดุดตางาม นับเป็นหนึ่งเดียวในโลก
วัดปากลำขาแข้ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2484 อยู่ด้านเหนือเขื่อนศรีนครินทร์ ต้นแม่น้ำแควใหญ่ ช่วงที่ลำน้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน คือ ลำน้ำห้วยขาแข้ง ลำน้ำแม่โจน ลำน้ำแม่พูน ด้านทิศเหนือของวัดติดกับลำธารน้ำลำขาแข้ง ทิศตะวันออกติดกับพื้นที่ของชาวบ้าน ทิศใต้ติดกับหมู่บ้านปากลำ ทิศตะวันตกติดกับถนนท่าลำไย-หนองปรือ และถนนกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์
วัดปากลำขาแข้ง เริ่มก่อสร้างด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ ที่พักอาศัยอยู่บริเวณนั้น ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวไม่มีศาสนสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวันเข้าพรรษาหรือออกพรรษา หรือประเพณีงานบุญต่างๆ
จัดสร้างขึ้นบนเนื้อที่ของอุทยานแห่งชาติประมาณ 27 ไร่ ตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สำนักงานบริหารที่ดินอำเภอเป็นผู้รับรองออกให้ตามหนังสือที่ กจ.0922/28
มี พระพิพัฒน์กาญจนาคม (อาคม อานันโท) ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดปากลำขาแข้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับการเดินทางไปชมอุโบสถสแตนเลส วัดปากลำขาแข้ง สามารถใช้บริการนั่งสปีดโบ๊ตจากท่าเรือ หมู่บ้านท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ ล่องไปตามเขื่อนศรีนครินทร์ ชมธรรมชาติอันสวยงามสมบูรณ์เขียวขจีสองริมฝั่งน้ำแบบไร้มลพิษ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นสปีดโบ๊ต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือติดต่อชาวบ้านแถว หมู่บ้านท่ากระดาน เพื่อใช้บริการเรือหางยาวก็ได้
พระครูพิพัฒน์กาญจนาคม หรือพระอาจารย์อาคมเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุอย่างเต็มกำลังความสามารถ ดำเนินการจัดสร้างโบสถ์สแตนเลสขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองไทย
สำหรับโบสถ์สแตนเลสแห่งนี้ มีลวดลายไทยวิจิตรงดงาม สร้างสรรค์จากแรงศรัทธาของชาวบ้าน ที่ช่วยกันบริจาคสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ใน อ.ศรีสวัสดิ์
การไปชมต้องนั่งเรือหางยาวจากเขื่อนศรีนครินทร์ไปชมความงดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้วยวัดตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ ไม่สามารถเดินทางด้วยพาหนะอย่างอื่น
ตัวโบสถ์ส่องประกายงดงามยามต้องแสงแดด เมื่อเข้าใกล้จะได้เห็นลวดลายฉลุของลายไทย บริเวณซุ้มประตูโบสถ์และหน้าต่าง ผู้คนทั่วไปอาจจะคิดว่าโบสถ์สร้างด้วยสแตนเลสแบบนี้ ข้างในน่าจะร้อนเหมือนบ้านที่มุงหลังคาสังกะสี แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะตัวโบสถ์ทำโครงเป็นสแตนเลส แต่อัดฉนวนกันความร้อนไว้ตรงกลาง ทำให้โปร่งเย็นสบาย
นอกจากโบสถ์สแตนเลส ที่วัดปากลำขาแข้ง ถัดมาไม่ไกล ยังมีหลวงพ่อศรีสวัสดิ์มหามงคล เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 8 เมตร สูง 12 เมตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ทำด้วยสแตนเลสเช่นกัน ตั้งตระหง่านหันหน้าสู่แม่น้ำใหญ่ สงบและร่มเย็นยิ่งนัก
ขณะนี้ วัดปากลำขาแข้ง จัดสร้างฐานบัวสแตนเลสหลวงพ่อศรีสวัสดิ์มหามงคลองค์สแตนเลส ซึ่งยังขาดปัจจัยในการก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญ วัดปากลำขาแข้ง กำลังสร้างแพสถานีอนามัยลอยน้ำ เพื่อเป็นสถานที่ปฐมพยาบาลพระสงฆ์และชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่รอบบริเวณวัด
ดังนั้น วัดปากลำขาแข้ง คณะกรรมการวัด จึงขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธาและสาธุชน ร่วมสร้างและบำเพ็ญกุศลเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี สร้างฐานบัวสแตนเลสหลวงพ่อศรีสวัสดิ์ และร่วมพิธีเททององค์พระพิฆเนศวร ณ วัดปากลำขาแข้ง ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี วันที่ 6 พ.ย.2556 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงเปิดศาลเพียงตา วันที่ 7 พ.ย.2556 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงองค์พระพิฆ เนศวร เวลา 10.00 น. พิธีทอดกฐินสามัคคีและผ้าป่า เวลา 12.39 น. พิธีเททององค์พระพิฆเนศวรต้นแบบ
สอบถามรายละเอียดโทร.0-3454-6613
"วัดปากลำขาแข้ง" ตั้งอยู่ที่ ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "วัดปากลำ"
ปัจจุบัน ชาวบ้านเปลี่ยนมาเรียกกันจนติดปากว่า "วัดโบสถ์สแตนเลส" ด้วยวัดแห่งนี้มีอุโบสถที่ทำด้วยสแตนเลสโดดเด่นสะดุดตางาม นับเป็นหนึ่งเดียวในโลก
วัดปากลำขาแข้ง สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ อ.ศรีสวัสดิ์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่ปีพ.ศ.2484 อยู่ด้านเหนือเขื่อนศรีนครินทร์ ต้นแม่น้ำแควใหญ่ ช่วงที่ลำน้ำสามสายไหลมาบรรจบกัน คือ ลำน้ำห้วยขาแข้ง ลำน้ำแม่โจน ลำน้ำแม่พูน ด้านทิศเหนือของวัดติดกับลำธารน้ำลำขาแข้ง ทิศตะวันออกติดกับพื้นที่ของชาวบ้าน ทิศใต้ติดกับหมู่บ้านปากลำ ทิศตะวันตกติดกับถนนท่าลำไย-หนองปรือ และถนนกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์
วัดปากลำขาแข้ง เริ่มก่อสร้างด้วยศรัทธาอันแรงกล้าของพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ ที่พักอาศัยอยู่บริเวณนั้น ได้ร่วมแรงร่วมใจกัน ด้วยในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวไม่มีศาสนสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นวันเข้าพรรษาหรือออกพรรษา หรือประเพณีงานบุญต่างๆ
จัดสร้างขึ้นบนเนื้อที่ของอุทยานแห่งชาติประมาณ 27 ไร่ ตามหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินที่สำนักงานบริหารที่ดินอำเภอเป็นผู้รับรองออกให้ตามหนังสือที่ กจ.0922/28
มี พระพิพัฒน์กาญจนาคม (อาคม อานันโท) ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดปากลำขาแข้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 จนถึงปัจจุบัน
สำหรับการเดินทางไปชมอุโบสถสแตนเลส วัดปากลำขาแข้ง สามารถใช้บริการนั่งสปีดโบ๊ตจากท่าเรือ หมู่บ้านท่ากระดาน อ.ศรีสวัสดิ์ ล่องไปตามเขื่อนศรีนครินทร์ ชมธรรมชาติอันสวยงามสมบูรณ์เขียวขจีสองริมฝั่งน้ำแบบไร้มลพิษ ประมาณ 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็นสปีดโบ๊ต ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือติดต่อชาวบ้านแถว หมู่บ้านท่ากระดาน เพื่อใช้บริการเรือหางยาวก็ได้
พระครูพิพัฒน์กาญจนาคม หรือพระอาจารย์อาคมเจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน บูรณปฏิสังขรณ์ถาวรวัตถุอย่างเต็มกำลังความสามารถ ดำเนินการจัดสร้างโบสถ์สแตนเลสขึ้นเป็นแห่งแรกของเมืองไทย
สำหรับโบสถ์สแตนเลสแห่งนี้ มีลวดลายไทยวิจิตรงดงาม สร้างสรรค์จากแรงศรัทธาของชาวบ้าน ที่ช่วยกันบริจาคสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ใน อ.ศรีสวัสดิ์
การไปชมต้องนั่งเรือหางยาวจากเขื่อนศรีนครินทร์ไปชมความงดงามของโบสถ์แห่งนี้ ด้วยวัดตั้งอยู่บนเกาะกลางน้ำของเขื่อนศรีนครินทร์ ไม่สามารถเดินทางด้วยพาหนะอย่างอื่น
ตัวโบสถ์ส่องประกายงดงามยามต้องแสงแดด เมื่อเข้าใกล้จะได้เห็นลวดลายฉลุของลายไทย บริเวณซุ้มประตูโบสถ์และหน้าต่าง ผู้คนทั่วไปอาจจะคิดว่าโบสถ์สร้างด้วยสแตนเลสแบบนี้ ข้างในน่าจะร้อนเหมือนบ้านที่มุงหลังคาสังกะสี แต่ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เพราะตัวโบสถ์ทำโครงเป็นสแตนเลส แต่อัดฉนวนกันความร้อนไว้ตรงกลาง ทำให้โปร่งเย็นสบาย
นอกจากโบสถ์สแตนเลส ที่วัดปากลำขาแข้ง ถัดมาไม่ไกล ยังมีหลวงพ่อศรีสวัสดิ์มหามงคล เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ ขนาดหน้าตักกว้าง 8 เมตร สูง 12 เมตร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ทำด้วยสแตนเลสเช่นกัน ตั้งตระหง่านหันหน้าสู่แม่น้ำใหญ่ สงบและร่มเย็นยิ่งนัก
ขณะนี้ วัดปากลำขาแข้ง จัดสร้างฐานบัวสแตนเลสหลวงพ่อศรีสวัสดิ์มหามงคลองค์สแตนเลส ซึ่งยังขาดปัจจัยในการก่อสร้างอีกเป็นจำนวนมาก
ที่สำคัญ วัดปากลำขาแข้ง กำลังสร้างแพสถานีอนามัยลอยน้ำ เพื่อเป็นสถานที่ปฐมพยาบาลพระสงฆ์และชาวบ้านที่พักอาศัยอยู่รอบบริเวณวัด
ดังนั้น วัดปากลำขาแข้ง คณะกรรมการวัด จึงขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธาและสาธุชน ร่วมสร้างและบำเพ็ญกุศลเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี สร้างฐานบัวสแตนเลสหลวงพ่อศรีสวัสดิ์ และร่วมพิธีเททององค์พระพิฆเนศวร ณ วัดปากลำขาแข้ง ต.เขาโจด อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี วันที่ 6 พ.ย.2556 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงเปิดศาลเพียงตา วันที่ 7 พ.ย.2556 เวลา 09.09 น. พิธีบวงสรวงองค์พระพิฆ เนศวร เวลา 10.00 น. พิธีทอดกฐินสามัคคีและผ้าป่า เวลา 12.39 น. พิธีเททององค์พระพิฆเนศวรต้นแบบ
สอบถามรายละเอียดโทร.0-3454-6613
- ไฟล์แนบ
-
- p16lvvfeggd7sb6j31ovi04vk3.jpg (93.61 KiB) เข้าดูแล้ว 3989 ครั้ง
-
- images (5).jpg (9.23 KiB) เข้าดูแล้ว 3989 ครั้ง
-
- images (6).jpg (8.16 KiB) เข้าดูแล้ว 3989 ครั้ง
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
วัดสระลงเรือ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของตำบลสระลงเรือ อำเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ในอดีตได้มีผู้คนอพยพมาทำมาหากินบริเวณแถวนั้นเมื่อประมาณ 100 กว่าปี ได้พบวัดเก่าซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างที่ยังเหลืออยู่ในขณะนั้น เช่น พระเจดีย์ 2 องค์ วิหารและอุโบสถ ซากปลักหักพัง ในอุโบสถหลังนี้มีพระพุทธรูปปางองค์ดำประทับอยู่ในนั้น และมีต้นโพธิ์ใหญ่ปกคลุมอุโบสถ มีสระน้ำอยู่ด้านหน้าอุโบสถ ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
วัดสระลงเรือ
ผู้คนในสมัยนั้นได้มาพักแรมทำมาหากิน และได้อาศัยน้ำนั้นดื่มน้ำใช้ เนื่องจากบริเวณแถวนั้นเป็นป่าดงดิบและไม้ใหญ่มากมายผู้คนจึงมาตัดไม้ในบริเวณนั้นเพื่อนำไปทำเรือพาย และนำไปขายในจังหวัดใกล้เคียง เอาไม้หรือเรือลำนั้นมาลองในสระน้ำ ว่าเรือลำนั้นรั่ว หรือจะได้ศูนย์ของเรือลำนั้นหรือไม่ จึงเป็นที่มาของคำว่า “สระลองเรือ” ต่อมาเมื่อประมาณ 80 กว่าปีที่ผ่านมา ได้มีพระธุดงค์มาจำพรรษาอยู่ใน ณ.ที่นี้ จึงได้ตั้งชื่อวัดขึ้นว่า วัดสระลองเรือ
และได้มีการซ่อมแซมพระพุทธรูปขึ้นให้ดีเหมือนเดิมจึงได้ขนานนามว่า พระพุทธอนันตภูมิสุคุตโต (หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ) แล้วได้มีเกจิอาจารย์หลายสำนักได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์นี้ได้สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงอายุขององค์ท่านน่าจะประมาณ 600 กว่าปีมาแล้ว ชาวบ้าน และพุทธศาสนิกชน ที่มาพบเจอได้เกิดศรัทธาเลื่อมใส และได้เข้าอธิฐานจิตขอพร และหลายคนมาพูดว่าสัมฤทธิ์ผล
วัดสระลงเรือ
เมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่ผ่านมา ข้าพเจ้านายจำเนียร ใคร่ครวญ ได้ไปขอพรจากพระพุทธอนันตภูมิสุคุตโต (หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ)ชีวิตก็ได้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ ที่มาของเรือสุพรรณหงส์ลำนี้ ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นเพราะเหตุผลที่ว่า ข้าพเจ้าได้รับพรจาก พระพุทธอนันตภูมิสุคุตโต (หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ) และข้าพเจ้าจึงตั้งใจที่จะสร้างเรือสุพรรณหงส์ลำนี้ขึ้น และทางด้านรอบอุโบสถ ยังมีพระเกจิชื่อดังทุกภาคของประเทศ, เทพเจ้าของจีน และของไทยอีกมากมาย และยังได้สร้างเมืองนรกไว้ใต้อุโบสถ เพื่อเตือนสติผู้คนให้ทำแต่ความดี ทางด้านหน้าอุโบสถได้สร้างพระพุทธรูปปางลีลา
ส่วนด้านหลังอุโบสถได้สร้างพระพุทธรูปปางป่าเรไร ส่วนอุโบสถได้สร้างเรือขึ้นมา 2 ลำ เรือลำด้านขวามือเป็นเรือสุพรรณหงส์ เรือลำด้านซ้ายมือเป็นเรือนาคราช ในลักษณะหามโบสถ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นภายในวัดสระลงเรือ เพื่อตอบแทนพรที่พระพุทธอนันตภูมิสุคุตโต (หลวงพ่อใหญ่องค์ดำ)ประทานมาให้ข้าพเจ้า ในสมัยนั้น ได้เรียกวัดนี้ว่า “วัดสระลองเรือ” แต่ชาวบ้านในแถบนั้นพูดสำเนียงเหน่อ จึงได้ออกเสียง เป็น “วัดสระลงเรือ” จนถึงปัจจุบัน
การเดินทาง - ใช้เส้นทาง ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ผ่านจังหวัดนครปฐม โดยใช้เส้นทางไป จังหวัดสุพรรณบุรี เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 321 (ถนนมาลัยแมน) วิ่งตามเส้นทางจนถึง สามแยกจรเข้สามพันไปทางขวา และเมื่อถึงสามแยกบ่อพลอย (ประมาณ กม.ที่ 67 ) ให้เลี้ยวซ้ายอีกครั้ง เพื่อเข้าทางหลวงหมายเลข 3342 (บ่อพลอย - อู่ทอง) วิ่งรถตรงไปประมาณ 11 กม. ถึงสี่แยกไผ่สี เลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 3443 (ตลุงเหนือ) ตรงไปประมาณ 1.5 กม. ผ่าน โรงเรียนห้วยกระเจาพิทยาคม และโรงพยาบาลส่งเสริมคุณภาพตำบลสระลงเรือ วัดสระลงเรือ จะอยู่ฝั่งตรงข้าม โดยจะมองเห็น เรือสุพรรณหงส์ ลำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนถึงวัดสระลงเรือ
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
กิจกรรมขี่ช้างล่องแพ
แคมป์ช้างทวีชัย
อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 30 นาที มาตามถนนสายลาดหญ้า-ศรีสวัสดิ์ ทางหลวงที่ 3199 และ 3457 เป็นแค้มป์ที่ใหญ่ได้มาตรฐานและถูกเลือกสรรให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ของบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี มีกิจกรรมหลากหลายให้ได้สัมผัส อาทิ
-กิจกรรมนั่งช้างชมธรรมชาติ ชมความงามของป่าเขา ผ่านชมหมู่บ้านควาญช้างและลัดเลาะสายธารลำน้ำแควใหญ่
-ล่องแพไม้ไผ่ ชมความงดงามของธรรมชาติริมฝั่งแคว และเพลิดเพลินกับนกนานาชนิดริมฝั่งน้ำ
-พักผ่อนในรูปแบบ สบาย สบาย ยามเย็น กับ "โปรแกรมอาบน้ำร่วมกับช้าง" สัมผัสชีวิตช้างอย่างใกล้ชิด มีความสุขกับการรับประทานอาหารเย็นและบาร์บีคิวริมแม่น้ำ ช่วงดึก นั่งช้าง นับดาวที่ส่องประกายสุกใสบนท้องฟ้า
กิจกรรมกางเต้นท์
บนพื้นที่ 60 ไร่ สามารถจัดกิจกรรม WALK RALLY และกิจกรรมสันทนาการ อื่นๆได้ (บริการจัดอาหาร บุฟเฟ่ห์ ริมแม่น้ำ)
เปิดทุกวันเวลา 08.00-15.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1774 8301, 08 1941 4658, 0 3453 2128 แฟกซ์ 0 3453 2129 อีเมล์ info@twcelephantcamp.com, www.twcelephantcamp.com
แคมป์ช้างทวีชัย
อยู่ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีประมาณ 30 นาที มาตามถนนสายลาดหญ้า-ศรีสวัสดิ์ ทางหลวงที่ 3199 และ 3457 เป็นแค้มป์ที่ใหญ่ได้มาตรฐานและถูกเลือกสรรให้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ของบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดกาญจนบุรี มีกิจกรรมหลากหลายให้ได้สัมผัส อาทิ
-กิจกรรมนั่งช้างชมธรรมชาติ ชมความงามของป่าเขา ผ่านชมหมู่บ้านควาญช้างและลัดเลาะสายธารลำน้ำแควใหญ่
-ล่องแพไม้ไผ่ ชมความงดงามของธรรมชาติริมฝั่งแคว และเพลิดเพลินกับนกนานาชนิดริมฝั่งน้ำ
-พักผ่อนในรูปแบบ สบาย สบาย ยามเย็น กับ "โปรแกรมอาบน้ำร่วมกับช้าง" สัมผัสชีวิตช้างอย่างใกล้ชิด มีความสุขกับการรับประทานอาหารเย็นและบาร์บีคิวริมแม่น้ำ ช่วงดึก นั่งช้าง นับดาวที่ส่องประกายสุกใสบนท้องฟ้า
กิจกรรมกางเต้นท์
บนพื้นที่ 60 ไร่ สามารถจัดกิจกรรม WALK RALLY และกิจกรรมสันทนาการ อื่นๆได้ (บริการจัดอาหาร บุฟเฟ่ห์ ริมแม่น้ำ)
เปิดทุกวันเวลา 08.00-15.00 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 08 1774 8301, 08 1941 4658, 0 3453 2128 แฟกซ์ 0 3453 2129 อีเมล์ info@twcelephantcamp.com, www.twcelephantcamp.com
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ประวัติสะพานถ้ำกระแซและทางรถไฟสายมรณะ
ทางรถไฟสายนี้เริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ผ่านจังหวัดกาญจนบุรีข้ามแม่น้ำแควใหญ่ไปทางทิศตะวันตกจนถึงด่านเจดีย์สามองค์ เพื่อให้ถึงปลายทางที่เมืองตันบูซายัด ประเทศพม่า รวมระยะทางในเขตประเทศไทย 300 กิโลเมตร ใช้เวลาในการสร้างเสร็จเพียง 1 ปี เพื่อใช้เป็นเส้นทางยุทธศาสตร์ผ่านประเทศพม่า หลังสงครามทางรถไฟบางส่วนถูกเลาะทิ้ง บางส่วนจมอยู่ใต้ทะเลสาบเขื่อนเขาแหลม ทางรถไฟสายนี้ ถือเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึงเหตุการณ์สงครามในครั้งนั้นจากน้ำพักน้ำแรงของการบุกเบิกก่อสร้างของทหารเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่กองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา ทิวทัศน์ตลอดเส้นทางนี้สวยงามมาก โดยเฉพาะบริเวณถ้ำกระแซ ที่เส้นทางรถไฟจะลัดเลาะไปตามเชิงผาเลียบไปกับลำน้ำแควน้อย ปัจจุบันทางรถไฟสายนี้สุดปลายทางที่บ้านท่าเสาหรือสถานีน้ำตก ระยะทางจากสถานีกาญจนบุรีถึงสถานีน้ำตกเป็นระยะทางประมาณ 77 กิโลเมตร การรถไฟแห่งประเทศไทยเปิดบริการเดินรถบนเส้นทางสายนี้ทุกวัน และจัดรถไฟขบวนพิเศษสายกรุงเทพฯ - น้ำตก ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ และวันหยุดราชการ
- ไฟล์แนบ
-
- 11081_4de38f384254a_big.jpg (112.05 KiB) เข้าดูแล้ว 3961 ครั้ง
-
- %28Small%29.jpg (70.04 KiB) เข้าดูแล้ว 3961 ครั้ง
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ล่องแพที่เขื่อนศรีนคริทร์
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ต้นจามจุรีหรือก้ามปูยักษ์อายุเกิน 100 ปี ที่ไม่ว่าใครได้มาเห็นก็ต้องตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของต้นไม้ยักษ์คู่เมืองกาญจนบุรีต้นนี้ สำหรับใครที่ยังไม่เคยไปยลมากับตา บอกคร่าวๆ ได้ว่า ต้นจามจุรียักษ์นี้มีขนาดเส้นรอบวงลำต้น 7.83 เมตร และมีพื้นที่พุ่มประมาณ 1 ไร่เศษเลยทีเดียว
ไม่มีค่าเข้าชม เวลาเปิด 06.00 - 18.00 น.
ที่ตั้ง บ้านกสิกรรม หมู่ที่ 5 ต.เกาะสำโรง อ.เมือง ในพื้นที่รับผิดชอบของกองการสัตว์และเกษตรกรรมที่ 1 กรมการสัตว์ทหารบก จาก ถ.แสงชูโต ใช้เส้นทาง 3429 ที่แยกจากหน้าศาลากลางจังหวัด ตรงไปข้ามสะพานแม่น้ำแม่กลอง ผ่านป้อมตำรวจแม่กลอง เลี้ยวซ้ายที่สามแยกวัดถ้ำเขาแหลม ไปตามทางประมาณ 5 กม. จะพบสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายเข้าเส้น 3209 ขับไปจนเข้าเขตกรมการสัตว์ทหารบก จากนั้นจะมีป้ายบอกทางตลอด
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ปราสาทเมืองสิงห์, กาญจนบุรี
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ ๘๐๐ เมตร หมายถึงส่วนกว้างของเมือง ยาวประมาณ ๘๕๐ เมตร และกำแพงสูง ๗ เมตร มีประตูเข้าออก ๔ ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ ๖ สระ
ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓0 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้ ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๘๐) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จารึกชื่อเมือง ๒๓ เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง และยังมีชื่อของเมือง ละโวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมืองสิงห์เป็นเมืองหน้าด่าน รัชกาลที่ ๔ โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล จึงยุบเมืองสิงห์เหลือแค่ตำบล
โบราณสถาน
โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ สามารถแบ่งได้เป็นเช่นนี้
โบราณสถานหมายเลข
โบราณสถานหมายเลข ๑ สันนิษฐานว่า สร้างเพื่ออุทิศถวายพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในนิกายมหายาน ตัวปราสาทตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมือง ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ประดับลวดลายปูนปั้น ศิลาแลงนั้นได้มาจากเมืองครุฑ ซึ่งเป็นแหล่งตัดหินริมแม่น้ำน้อย ห่างจากเมืองสิงห์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕ กิโลเมตร ซึ่งการลำเลียงแท่งศิลาแลงมานี้คงจะมาทางน้ำ เช่นเดียวกับการสร้างนครวัด นครธม ที่ลำเลียงมาไกลถึง ๕๐ กิโลเมตร แต่ละแท่งหนักร่วมตัน น่าจะใช้ช้างดันลากจูงจนลงแพแล้วลอยมาตามแควนี้ มาชักลากขึ้นฝั่งแล้วใช้ถมดินเอาก้อนศิลาแลงยกขึ้นไปบนฐานโบราณสถานยังมี โคปุระ(ซุ้มประตู) ระเบียงคต อยู่รอบปรางค์ประธานทั้ง ๔ ทิศบรรณาลัย สร้างเพื่อเก็บคัมภีร์ทางศาสนา และ กำแพงแก้ว
โบราณสถานหมายเลข ๒
โบราณสถานหมายเลข ๒ ยังมีปรางค์ประธาน โคปุระ ๔ ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย สถานที่ขุดพบเทวรูป
โบราณสถานหมายเลข ๓
โบราณสถานหมายเลข ๓ ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาแลง
โบราณสถานหมายเลข ๔
โบราณสถานหมายเลข ๔ อยู่ใกล้หมายเลข ๓ ยังบูรณะอยู่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้องคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะเป็นศพของคนที่ตายมา ๒,๐๐๐ ปีแล้ว คงจะยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ เป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำแควน้อยทางทิศเหนือในเขตตำบลสิงห์ อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี แวดล้อมด้วยทิวเขาเป็นแนวยาวอยู่โดยรอบ ลักษณะผังเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กำแพงเมืองก่อด้วยศิลาแลง กว้างประมาณ ๘๐๐ เมตร หมายถึงส่วนกว้างของเมือง ยาวประมาณ ๘๕๐ เมตร และกำแพงสูง ๗ เมตร มีประตูเข้าออก ๔ ด้าน มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ภายในเมืองมีสระน้ำ ๖ สระ
ปราสาทเมืองสิงห์ มีจุดมุ่งหมายสร้างขึ้นเพื่อเป็นพุทธศาสนสถานในพุทธศาสนา นิกายมหายาน จากการขุดตกแต่งของกรมศิลปากรที่ค่อยทำค่อยไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๘ แต่มาเริ่มบุกเบิกกันจริงจังเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๗ แล้วเสร็จเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓0 จึงสวยงามดังที่เห็นอยู่ในวันนี้ ปราสาทเมืองสิงห์นี้กล่าวว่าสถาปัตยกรรมและปฏิมากรรม คล้ายคลึงกับของสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๐ - ๑๗๘๐) กษัตริย์นักสร้างปราสาทแห่งขอม จากการขุดแต่งของกรมศิลปากร พบศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งคือพระพุทธรูปนาคปรก พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร และ นางปรัชญาปารมิตา และยังพบรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรเปล่งรัศมีอีกองค์หนึ่ง รูปลักษณ์คล้ายกับที่พบในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้นำไปเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แล้ว คงเหลือแต่องค์จำลองไว้จากศิลาจารึกปราสาทพระขรรค์ เมืองพระนคร ประเทศกัมพูชา ซึ่งจารึกโดย พระวีรกุมาร พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ จารึกชื่อเมือง ๒๓ เมือง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ทรงสร้างไว้ มีเมืองชื่อ ศรีชัยสิงห์บุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าคือเมือง ปราสาทเมืองสิงห์ นี่เอง และยังมีชื่อของเมือง ละโวธยปุระ หรือ ละโว้ หรือลพบุรี ที่มีพระปรางค์สามยอด เป็นโบราณวัตถุร่วมสมัย
ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เมืองสิงห์เป็นเมืองหน้าด่าน รัชกาลที่ ๔ โปรดให้เจ้าเมืองสิงห์เป็น พระสมิงสิงห์บุรินทร์ แต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นมณฑลเทศาภิบาล จึงยุบเมืองสิงห์เหลือแค่ตำบล
โบราณสถาน
โบราณสถานในอุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์ สามารถแบ่งได้เป็นเช่นนี้
โบราณสถานหมายเลข
โบราณสถานหมายเลข ๑ สันนิษฐานว่า สร้างเพื่ออุทิศถวายพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ในนิกายมหายาน ตัวปราสาทตั้งอยู่เกือบกึ่งกลางเมือง ก่อด้วยศิลาแลงฉาบปูน ประดับลวดลายปูนปั้น ศิลาแลงนั้นได้มาจากเมืองครุฑ ซึ่งเป็นแหล่งตัดหินริมแม่น้ำน้อย ห่างจากเมืองสิงห์ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๕ กิโลเมตร ซึ่งการลำเลียงแท่งศิลาแลงมานี้คงจะมาทางน้ำ เช่นเดียวกับการสร้างนครวัด นครธม ที่ลำเลียงมาไกลถึง ๕๐ กิโลเมตร แต่ละแท่งหนักร่วมตัน น่าจะใช้ช้างดันลากจูงจนลงแพแล้วลอยมาตามแควนี้ มาชักลากขึ้นฝั่งแล้วใช้ถมดินเอาก้อนศิลาแลงยกขึ้นไปบนฐานโบราณสถานยังมี โคปุระ(ซุ้มประตู) ระเบียงคต อยู่รอบปรางค์ประธานทั้ง ๔ ทิศบรรณาลัย สร้างเพื่อเก็บคัมภีร์ทางศาสนา และ กำแพงแก้ว
โบราณสถานหมายเลข ๒
โบราณสถานหมายเลข ๒ ยังมีปรางค์ประธาน โคปุระ ๔ ด้าน แต่พังลงมามาก บูรณะได้น้อย สถานที่ขุดพบเทวรูป
โบราณสถานหมายเลข ๓
โบราณสถานหมายเลข ๓ ตั้งอยู่นอกกำแพงแก้ว เป็นโบราณสถานขนาดเล็ก ก่อด้วยศิลาแลง
โบราณสถานหมายเลข ๔
โบราณสถานหมายเลข ๔ อยู่ใกล้หมายเลข ๓ ยังบูรณะอยู่ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี
หลุมขุดค้นทางโบราณคดี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งขุดค้นพบทั้งโครงกระดูก เครื่องมือเครื่องใช้ ภาชนะสำริด ดินเผา เครื่องมือเหล็ก สร้องคอทำด้วยลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว ซึ่งชี้ชัดว่าชุมชนเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่จะสร้างเมืองสิงห์ เพราะเป็นศพของคนที่ตายมา ๒,๐๐๐ ปีแล้ว คงจะยุคเดียวกับคนในชุมชนบ้านเก่า
- ไฟล์แนบ
-
- 14714a20.jpg (67.69 KiB) เข้าดูแล้ว 3928 ครั้ง
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
สงสัยไหมครับถ้ามาชมที่สันเขื่อนจะมีจุดนึงที่เห็นเจ้าถังน้ำที่ต่อกันเป็นลูกบวบ ลอยต่อกันจากอีกฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฝั่ง มีคนถามมาเยาะนะครับ
ตอบคือ มันเป็นตะข่ายเอาไว้ดักสิ่งของหรือกิ่งไม้ที่อยู่ในน้ำไม่ให้เข้าไปยัง ท่อน้ำลงขนาดใหญ่ที่เห็นกันอยู่ 5 ท่อนั้นละครับ
ถ้ามีสิ่งของหลุดเข้าไปหรือกิ่งไม้ มันจะไปขัดกับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าด้านล่างจะทำให้เกิดการเสียหายได้^^
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
สะพานมอญ...สะพานแห่งศรัทธา
โดย...คุณกานติ์ชนิต วรนัยพินิจ
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
E-mail : kanchanit@trf.or.th
(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)
“สังขละบุรี” ถือเป็นเมืองชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำซองกาเลีย
(เป็นชื่อเรียกมาจากภาษามอญ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า“ฝั่งโน้น”) ที่มีต้นกำเนิดในประเทศพม่าไหลผ่านเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ และ
เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์มอญที่อาศัยอยู่ทั้งสองประเทศมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ตัวอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่บริเวณที่เรียกขานกันว่า
"สามประสบ" นั่นคือ บริเวณที่ลำน้ำสามสายมาบรรจบกัน ได้แก่ ซองกาเลีย บิคลี่ และรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย ซึ่งแบ่งแผ่นดิน
อำเภอสังขละบุรีออกเป็นสองฟากฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือ ตัวอำเภอสังขละบุรีเป็นศูนย์กลางของสถานที่ราชการและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว อีกฝั่งหนึ่งคือ
หมู่บ้านมอญที่มีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากและตั้งรกรากมานานนับร้อยปี รวมถึงกลุ่มมอญที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ ส่งผลให้
สังขละบุรีเป็นเมืองที่มีความงดงามและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อาทิ ไทย มอญ ลาว พม่า กะเหรี่ยง เป็นต้น
หากพูดถึง “อำเภอสังขละบุรี” เชื่อว่า ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวของทุกคนต่างเห็นเป็นรูปเดียวกัน นั่นคือ รูปสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวอยู่
เหนือแม่น้ำ ที่ฉากหลังรายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอันเขียวขจีของต้นไม้นานาพันธุ์ และมีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ซึ่งสะพานไม้
แห่งนี้ สะท้อนถึงมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ คือ สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “สะพานมอญ” นั่นเองแต่เดิม
ชาวบ้านเรียกกันว่า “สะพานบาทเดียว” สร้างด้วยแพไม้ไผ่ต่อติดกัน ตรงกลางเป็นแพมีคนชักสะพานให้มาเชื่อมกัน และเก็บเงินผู้ที่สัญจรไปมา
คนละ 1 บาท ต่อมาพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งเป็นพระที่คนมอญและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเคารพเลื่อม
ใส เป็นผู้คิดริเริ่มและผู้นำในการสร้างสะพานแห่งนี้ เนื่องจากเห็นว่า ชาวบ้านเดือดร้อนที่ต้องเสียเงินข้ามผั่งและไม่สะดวกนัก
สะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในประเทศ
พม่า มีความยาวโดยประมาณ 850 เมตร และเป็นสะพานที่มีความหมายต่อชุมชนมอญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสร้างขึ้นมาบนฐานของพลังแห่ง
ความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งเป็นสะพานมิตรภาพระหว่างชาวไทยและชาวมอญ จนก่อให้เกิดเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวมอญ
ในการสร้างสะพานแห่งนี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยสะพานแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "สะพานแห่งศรัทธา" เนื่องจากวิธีการก่อสร้างและขั้น
ตอนการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนทั้งสิ้น ล้วนสะท้อนถึงพลังแห่งความศรัทธาของคนสังขละ ดังเช่น กลอนที่ปรากฏที่สะพานว่า
“ชมสะพานมอญไม้ไม้ก่อนเก่า
สะพานมอญมอญจรัสพัฒนา
นับพันเสาพยุงค้ำย้ำแน่นนาน
อุตตมานุสาวรีย์ที่เดียวกัน”
คุณอมรเทวา 16 ม.ค. 54 (ทวี เนื่องอาชา, 2555)
สะพานมอญนับเป็นหนึ่งในภาพที่คลาสสิกที่สุดภาพหนึ่งของเมืองไทย เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของแผ่นไม้แต่ละแผ่นที่หลอมรวมกันจนกลาย
เป็นศิลปะบนสะพานที่มีความงดงามโดยไร้การปรุงแต่งและมีความเฉพาะตัว อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นสะพานไม้ที่ตั้งอยู่กลางแดดและฝนและ
มีผู้คนสัญจรไปมาอยู่ทุกวันยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้สะพานแห่งนี้ทรุดโทรมจนต้องซ่อมแซมสะพานอยู่เป็นระยะๆ และต่อจากนี้คงจะได้เห็นความ
เปลี่ยนแปลงของสะพานไม้แห่งนี้พร้อมๆ กับความเจริญเติบโตของเมืองสังขละบุรี เพราะเป็นดินแดนที่หมายปองของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ
สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวิถีมอญ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความเจริญทางวัตถุที่ย่างกรายเข้ามาสู่ชุมชนจะไม่สร้างความเสื่อมคลายให้กับน้ำใจอันดีงามของ
คนสังขละไปด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของเมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดมแห่งนี้
โดย...คุณกานติ์ชนิต วรนัยพินิจ
แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ
E-mail : kanchanit@trf.or.th
(เนื้อหาและภาพประกอบเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียน)
“สังขละบุรี” ถือเป็นเมืองชายแดนฝั่งตะวันตกของประเทศไทยที่ตั้งอยู่ระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า โดยมีแม่น้ำซองกาเลีย
(เป็นชื่อเรียกมาจากภาษามอญ ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า“ฝั่งโน้น”) ที่มีต้นกำเนิดในประเทศพม่าไหลผ่านเพื่อหล่อเลี้ยงผู้คนสองฟากฝั่งแม่น้ำ และ
เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์มอญที่อาศัยอยู่ทั้งสองประเทศมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ตัวอำเภอสังขละบุรีตั้งอยู่บริเวณที่เรียกขานกันว่า
"สามประสบ" นั่นคือ บริเวณที่ลำน้ำสามสายมาบรรจบกัน ได้แก่ ซองกาเลีย บิคลี่ และรันตี ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำแควน้อย ซึ่งแบ่งแผ่นดิน
อำเภอสังขละบุรีออกเป็นสองฟากฝั่ง ฝั่งหนึ่งคือ ตัวอำเภอสังขละบุรีเป็นศูนย์กลางของสถานที่ราชการและที่พักสำหรับนักท่องเที่ยว อีกฝั่งหนึ่งคือ
หมู่บ้านมอญที่มีชาวมอญอาศัยตั้งบ้านเรือนอยู่เป็นจำนวนมากและตั้งรกรากมานานนับร้อยปี รวมถึงกลุ่มมอญที่เพิ่งอพยพเข้ามาใหม่ ส่งผลให้
สังขละบุรีเป็นเมืองที่มีความงดงามและมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ อาทิ ไทย มอญ ลาว พม่า กะเหรี่ยง เป็นต้น
หากพูดถึง “อำเภอสังขละบุรี” เชื่อว่า ภาพแรกที่แวบเข้ามาในหัวของทุกคนต่างเห็นเป็นรูปเดียวกัน นั่นคือ รูปสะพานไม้ที่ทอดตัวยาวอยู่
เหนือแม่น้ำ ที่ฉากหลังรายล้อมด้วยธรรมชาติและขุนเขาอันเขียวขจีของต้นไม้นานาพันธุ์ และมีหมอกจางๆ ปกคลุมไปทั่วบริเวณ ซึ่งสะพานไม้
แห่งนี้ สะท้อนถึงมนต์เสน่ห์แห่งวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ คือ สะพานอุตตมานุสรณ์ หรือเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่า “สะพานมอญ” นั่นเองแต่เดิม
ชาวบ้านเรียกกันว่า “สะพานบาทเดียว” สร้างด้วยแพไม้ไผ่ต่อติดกัน ตรงกลางเป็นแพมีคนชักสะพานให้มาเชื่อมกัน และเก็บเงินผู้ที่สัญจรไปมา
คนละ 1 บาท ต่อมาพระราชอุดมมงคล (หลวงพ่ออุตตมะ) เจ้าอาวาสวัดวังก์วิเวการาม ซึ่งเป็นพระที่คนมอญและพุทธศาสนิกชนทั่วไปเคารพเลื่อม
ใส เป็นผู้คิดริเริ่มและผู้นำในการสร้างสะพานแห่งนี้ เนื่องจากเห็นว่า ชาวบ้านเดือดร้อนที่ต้องเสียเงินข้ามผั่งและไม่สะดวกนัก
สะพานแห่งนี้ถือว่าเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยและเป็นสะพานไม้ที่ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากสะพานไม้อูเบ็งในประเทศ
พม่า มีความยาวโดยประมาณ 850 เมตร และเป็นสะพานที่มีความหมายต่อชุมชนมอญเป็นอย่างมาก เนื่องจากสร้างขึ้นมาบนฐานของพลังแห่ง
ความศรัทธาที่มีต่อหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งเป็นสะพานมิตรภาพระหว่างชาวไทยและชาวมอญ จนก่อให้เกิดเป็นการร่วมแรงร่วมใจของชาวมอญ
ในการสร้างสะพานแห่งนี้ เมื่อก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยสะพานแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า "สะพานแห่งศรัทธา" เนื่องจากวิธีการก่อสร้างและขั้น
ตอนการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานคนทั้งสิ้น ล้วนสะท้อนถึงพลังแห่งความศรัทธาของคนสังขละ ดังเช่น กลอนที่ปรากฏที่สะพานว่า
“ชมสะพานมอญไม้ไม้ก่อนเก่า
สะพานมอญมอญจรัสพัฒนา
นับพันเสาพยุงค้ำย้ำแน่นนาน
อุตตมานุสาวรีย์ที่เดียวกัน”
คุณอมรเทวา 16 ม.ค. 54 (ทวี เนื่องอาชา, 2555)
สะพานมอญนับเป็นหนึ่งในภาพที่คลาสสิกที่สุดภาพหนึ่งของเมืองไทย เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของแผ่นไม้แต่ละแผ่นที่หลอมรวมกันจนกลาย
เป็นศิลปะบนสะพานที่มีความงดงามโดยไร้การปรุงแต่งและมีความเฉพาะตัว อย่างไรก็ตามด้วยความที่เป็นสะพานไม้ที่ตั้งอยู่กลางแดดและฝนและ
มีผู้คนสัญจรไปมาอยู่ทุกวันยาวนานกว่า 20 ปี ทำให้สะพานแห่งนี้ทรุดโทรมจนต้องซ่อมแซมสะพานอยู่เป็นระยะๆ และต่อจากนี้คงจะได้เห็นความ
เปลี่ยนแปลงของสะพานไม้แห่งนี้พร้อมๆ กับความเจริญเติบโตของเมืองสังขละบุรี เพราะเป็นดินแดนที่หมายปองของนักท่องเที่ยวที่ต้องการ
สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งวิถีมอญ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความเจริญทางวัตถุที่ย่างกรายเข้ามาสู่ชุมชนจะไม่สร้างความเสื่อมคลายให้กับน้ำใจอันดีงามของ
คนสังขละไปด้วย เหล่านี้ล้วนเป็นเสน่ห์ของเมืองแห่งสายน้ำ ขุนเขา และผืนป่าอันอุดมแห่งนี้
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
ปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
เหมืองปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว ตำบล ปิล๊อก จังหวัดกาญจนบุรีกัน ซึ่งที่นี้เมื่อย้อนอดีตไปหลาย 10 ปีก่อน พบว่าพื้นที่ แถบนี้มีแร่ดีบุกและวุลแฟรมอยู่มากมายและยังมีสายแร่ทองคำ ปะปนอยู่กับ สายแร่ดีบุกต่อมา องค์การเหมืองแร่ กรมโลหะกิจ ได้เปิด“เหมืองปิล๊อก”ขึ้นเป็น แห่งแรกที่บ้านอีต่อง ต.ปิล๊อก ในอดีตชาวบ้านเรียกว่า “เหมืองผีหลอก” ต่อมาเพี้ยนเป็น “ปิล๊อก” ซึ่งกลายเป็นชื่อ เหมืองแร่และตำบลในเวลาต่อมา หลังจากนั้นก็ได้มีเหมืองแร่อื่นๆทยอยเปิดตามกันมาอีกมากมายทั้ง เหมืองเล็ก เหมืองใหญ่ ราว 50-60 เหมือง โดยผู้คนพากันเรียกบรรดาเหมืองทั้งหลายในพื้นที่แถบนี้แบบเหมารวมว่า “เหมืองปิล๊อก” ดินแดนแห่งนี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของ บรรดานายเมืองทั้งหลายที่ต่างหลั่งไหลเข้ามาผู้แสวง โชคมีทั้งคนไทย พม่า และที่มาจากแถบอินเดีย เหมืองแร่จึงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชุมชนโดยรอบเป็นอย่างมาก
แต่ในปัจจุบันความนิยมการทำเหมืองแร่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากราคาแร่ตกต่ำ ทำให้บรรดาเหมืองต่างๆในปิล๊อกต่างพากันปิดตัวลง ทำให้มีร่องรอยของ การทำเหมืองและ เหมืองเก่าให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ปัจจุบันเหมืองปิล๊อกกลายเป็นแหล่งท่อง เที่ยวที่แวดล้อม ด้วยทะเลแห่งภูเขาอันสลับซับซ้อนและสวยงามของเทือกเขาตะนาวศรี เส้นแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ทุกๆปี สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณ ต.ปิล๊อกนั้นมี อุโมงค์เหมืองแร่ ซึ่งทิ้งร่องรอยการขุดแร่ในสมัยก่อน เนิน ตชด. เนินเสาธง ซึ่งเป็นพื้นที่ยอดเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า และจุดชมวิวเนินช้างศึก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตำรวจตระเวนชายแดนของไทย สามารถมองเห็นได้ทั้งฝั่งประเทศพม่า และฝั่งหมู่บ้านอีต่องของไทย
เก็บภาพประทับใจพร้อมกับสัมผัสสายลมกันจนเต็มอิ่มก็ลงจากจุดชมวิวเพื่อไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านอีต่อง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ติดกับชายแดนพม่า เดิมชมบรรยากาศของวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้าน แวะทานนํ้าแข็งใส พร้อมซื้อของฝากไว้เป็นที่ระลึก
เหมืองปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
ทริปนี้เราจะพาไปเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยว ตำบล ปิล๊อก จังหวัดกาญจนบุรีกัน ซึ่งที่นี้เมื่อย้อนอดีตไปหลาย 10 ปีก่อน พบว่าพื้นที่ แถบนี้มีแร่ดีบุกและวุลแฟรมอยู่มากมายและยังมีสายแร่ทองคำ ปะปนอยู่กับ สายแร่ดีบุกต่อมา องค์การเหมืองแร่ กรมโลหะกิจ ได้เปิด“เหมืองปิล๊อก”ขึ้นเป็น แห่งแรกที่บ้านอีต่อง ต.ปิล๊อก ในอดีตชาวบ้านเรียกว่า “เหมืองผีหลอก” ต่อมาเพี้ยนเป็น “ปิล๊อก” ซึ่งกลายเป็นชื่อ เหมืองแร่และตำบลในเวลาต่อมา หลังจากนั้นก็ได้มีเหมืองแร่อื่นๆทยอยเปิดตามกันมาอีกมากมายทั้ง เหมืองเล็ก เหมืองใหญ่ ราว 50-60 เหมือง โดยผู้คนพากันเรียกบรรดาเหมืองทั้งหลายในพื้นที่แถบนี้แบบเหมารวมว่า “เหมืองปิล๊อก” ดินแดนแห่งนี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของ บรรดานายเมืองทั้งหลายที่ต่างหลั่งไหลเข้ามาผู้แสวง โชคมีทั้งคนไทย พม่า และที่มาจากแถบอินเดีย เหมืองแร่จึงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชุมชนโดยรอบเป็นอย่างมาก
แต่ในปัจจุบันความนิยมการทำเหมืองแร่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก เนื่องจากราคาแร่ตกต่ำ ทำให้บรรดาเหมืองต่างๆในปิล๊อกต่างพากันปิดตัวลง ทำให้มีร่องรอยของ การทำเหมืองและ เหมืองเก่าให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน
ปัจจุบันเหมืองปิล๊อกกลายเป็นแหล่งท่อง เที่ยวที่แวดล้อม ด้วยทะเลแห่งภูเขาอันสลับซับซ้อนและสวยงามของเทือกเขาตะนาวศรี เส้นแบ่งเขตแดนไทย-พม่า ทุกๆปี สถานที่ท่องเที่ยวบริเวณ ต.ปิล๊อกนั้นมี อุโมงค์เหมืองแร่ ซึ่งทิ้งร่องรอยการขุดแร่ในสมัยก่อน เนิน ตชด. เนินเสาธง ซึ่งเป็นพื้นที่ยอดเขาที่กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศสหภาพพม่า และจุดชมวิวเนินช้างศึก ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของตำรวจตระเวนชายแดนของไทย สามารถมองเห็นได้ทั้งฝั่งประเทศพม่า และฝั่งหมู่บ้านอีต่องของไทย
เก็บภาพประทับใจพร้อมกับสัมผัสสายลมกันจนเต็มอิ่มก็ลงจากจุดชมวิวเพื่อไปชมวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้านอีต่อง ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ติดกับชายแดนพม่า เดิมชมบรรยากาศของวิถีชีวิตของชาวบ้านในหมู่บ้าน แวะทานนํ้าแข็งใส พร้อมซื้อของฝากไว้เป็นที่ระลึก
- somsak tarasunton
- ขาประจำ
- โพสต์: 3952
- ลงทะเบียนเมื่อ: 21 พ.ค. 2009, 12:01
- Tel: 081-1997717
- team: ชมรมจักรยานจังหวัดกาญจนบุรี
- Bike: Cervélo-Specialized -merida- bianchi-TREk
Re: แหล่งท่องเที่ยวกาญจนบุรี
น้ำตกไทรโยคน้อย
ทัวร์รัสเซียชอบมาเทียวแต่ละวันหลายสิบคันรถบัส
น้ำตกไทรโยคน้อย (น้ำตกเขาพัง) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ถนนสายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) กิโลเมตรที่ 46 เป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี บริเวณน้ำตกมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจะมีน้ำมาก
ในอดีตเมื่อ พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสบริเวณน้ำตกไทรโยค นอกจากนี้บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยยังได้มีการนำหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้งไว้เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านบริเวณหน้าน้ำตกเข้าสู่ประเทศพม่า
การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถไฟสายน้ำตก พานักท่องเที่ยวไปชมน้ำตกแห่งนี้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020 หรือ 1690 หรือที่เว็บไซต์ http://www.railway.co.th นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งอำเภอเมืองผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย ซึ่งออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.30 น.
ทัวร์รัสเซียชอบมาเทียวแต่ละวันหลายสิบคันรถบัส
น้ำตกไทรโยคน้อย (น้ำตกเขาพัง) อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ตั้งอยู่ริมทางหลวงหมายเลข 323 (ถนนสายกาญจนบุรี-ไทรโยค-ทองผาภูมิ) กิโลเมตรที่ 46 เป็นน้ำตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี บริเวณน้ำตกมีสภาพธรรมชาติที่สวยงามร่มรื่น โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนประมาณเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจะมีน้ำมาก
ในอดีตเมื่อ พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เสด็จประพาสบริเวณน้ำตกไทรโยค นอกจากนี้บริเวณน้ำตกไทรโยคน้อยยังได้มีการนำหัวรถจักรไอน้ำสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 มาตั้งไว้เพื่อรำลึกถึงการสร้างทางรถไฟสายมรณะที่สร้างผ่านบริเวณหน้าน้ำตกเข้าสู่ประเทศพม่า
การรถไฟแห่งประเทศไทยได้จัดขบวนรถไฟสายน้ำตก พานักท่องเที่ยวไปชมน้ำตกแห่งนี้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดราชการ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 0 2223 7010, 0 2223 7020 หรือ 1690 หรือที่เว็บไซต์ http://www.railway.co.th นอกจากนี้ยังมีรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งอำเภอเมืองผ่านน้ำตกไทรโยคน้อย ซึ่งออกทุก 30 นาที ตั้งแต่เวลา 06.00 - 18.30 น.
แก้ไขล่าสุดโดย somsak tarasunton เมื่อ 22 ม.ค. 2014, 13:55, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง