ช่วงแรก กรุงเทพฯ 22 เมษา ถึง หนองคาย - เวียงจันทน์ 23 เมษา

ผู้ดูแล: เสือเทคนิค

กฏการใช้บอร์ด
มีหัวหน้าชมรมใช้ชื่อว่า "เสือเษม" (เกษม หลังสัน 089-1120385 )
ผู้ดูแลบอร์ทมีชื่อว่า "เสือเทคนิค" (สุธีร์ กิจฉวี 081-7546499 )
ที่อยู่ วิทยาลัยเทคนิคมีนบุรี 67 ถ.สีหบุรานุกิจ มีนบุรี กรุงเทพฯ 10510 โทร. 02-5172041 02-5175134
ตอบกลับ
รูปประจำตัวสมาชิก
Soo-T
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 1169
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 ส.ค. 2008, 15:47
Tel: 081-7546499
team: เทคนิคมีน BikeClub
Bike: KHS Alite team 4000 Bianchi Nirone7

ช่วงแรก กรุงเทพฯ 22 เมษา ถึง หนองคาย - เวียงจันทน์ 23 เมษา

โพสต์ โดย Soo-T »

หนองคาย - หลวงพะบาง 22 เมษา -1 พค. 2552
เนืองจากมีรูปเยอะมาก เลยแบ่งเป็นช่วงๆ จะได้โหลดรูปมาเร็วหน่อย
1 ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ 22 เมษายน 2552 ถึง หนองคาย - เวียงจันทน์ 23 เมษายน 2552


22 เมษายน 2552 นอนบนรถไฟ
23 เมษายน 2552 ถึงหนองคาย 8.20 น. ปั่นไปนอนที่รีสอร์ทในเขื่อนที่น้ำงึม ห้องพักอย่างดี คืนละ 600 บาท
24 เมษายน 2552 นอนที่วังเวียง ที่เรือนพักสีสมบัติ พ้องพักดีห้องน้ำในตัว คืนละ 400 บาท
25 เมษายน 2552 นอนที่กาสี เรือนพักวันพิสิต คืนละ 440 บาท ค่อนข้างดีห้องน้ำในตัว
26 เมษายน 2552 นอนที่กิ่วกะจำ เป็นห้องพักหลังร้านอาหาร ห้องน้ำรวม พอนอนได้ คืนละ 200 บาท
27 เมษายน 2552 ถึงหลวงพะบางประมาณ 18.00น. คุณฤทธิ์ กับคุณวรมินทร์ พักที่ Villa PHILAYLACK ห้องพักอย่างดีเหมือนโรงแรงชั้นหนึ่ง แต่ที่นี่ห้องเตียงคู่ว่างเพียงห้องเดียว ราคาห้องพักคืนละ 450 บาท สำหรับตัวผมกับพี่หว่าง เลยต้องไปนอนเรือนพักสมจิตร ห้องพักอย่างดี คืนละ 500 บาท (ประทับใจ คุณสมจิตร ครับ บริการดีมากๆ มีกาแฟลาว ให้เราชงกินฟรีไม่จำกัด มีกล้วยน้ำว้าให้กินฟรีๆ ทั้งวัน)

เดินทางด้วยรถไฟขบวนที่ 69 กรุงเทพฯ - หนองคาย ออกเวลา 2 ทุ่ม ตั๋วเรามีแล้ว พอ 6 โมงครึ่ง เราก็ไปถึงหัวลำโพง ผมเอาเจ้า KHS ALITE 4000 ไปครับ ส่วนพี่หว่าแกเอาเจ้า KONA SUTRA ไป ก่อนอื่นเราก็ต้องไปที่ช่องสัมภาระก่อน เพื่อตีตั๋วให้กับจักรยานของเรา ค่าตั๋วคันละ 90 บาท

รูปภาพ

ตู้สัมภาระอยู่ติดกับหัวรถจักร เราก็แบกขึ้นไปเอาตตึ๋งหนืด (เรียกตามอีตาอู๊ดเครายาวๆ) มัดติดกับรางข้างๆ ตู้เลย แถมดันเอากูญแจไปล็อกซะอีก พอถึงหนองคายพนักงานเลงไม่ได้เราต้องมาปลดล็อกก่อน ใครจะเอาจักรยานไปไม่ต้องล็อกนะ เขาจะดูแลอย่างดี มีใบรับรถแสดงถึงจะเอาออกมาได้ พี่หว่างติ๊ปพนักงานไปร้อยนึง เขาดูแลให้อย่างดีเลย

รูปภาพ

รถไฟถึงสถานีหนองคายประมาณ 8.20am คุณฤทธิ์มารอรับอยู่แล้ว แกล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งวันเพราะไม่มีตั๋ววันที่ 22 เมษา พร้อมแล้วเราก็ปั่นไปที่ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับ ตม. เติมพลังมื้อเช้าก่อน

รูปภาพ

คุณวรมินทร์ แกขับรถมาจากแปดริ้ว มาจอดที่หนองคาย ทีแรกแกว่าจะจอดในวัด ผมบอกว่าอย่าเสี่ยง ผมก็เลยโทนไปหาพวกที่ วิทยาลัยเทคนิคหนองคาย อาจารย์เฉลิมพจน์ (แกเป็นรองผูอำนวยการ) แกบอกให้จอดที่ของเขาเลย แล้วยังสั่งให้ยามดูแลเป็นอย่างดีด้วย สักพักคุณวรมินทร์ก็ปั่นจักรยานตามมา

รูปภาพ

มือนี้เป็นกาแฟโบราณ ไข่กะทะ ของผมแถมด้วยข้าวผัดกะเพราอีกจานนึงด้วย

รูปภาพ

สำหรับพี่หว่างต้องทำใบผ่านแดนเพราะไม่ได้เอาหนังสือเดินทางไปด้วย ทีแรกเราก็คิดว่าคงอยู่ในลาวได้ 3 วัน 2 คืน คงไปได้แคเขื่อนน้ำงึมแล้วก็ต้องกลับ พี่หว่างแกบอกว่าไหนๆ มาแล้วเป็นไงก็เป็นกัน ไปให้ถึงหลวงพะบางเลยค่าทำ ถ่ายรูป จ่ายไป 120 บาท ทำที่ร้านข้างๆ ที่นั่งกินมื้อเช้ากันนั่นแหละ ที่รับทำเขาจมีเด็กขึ่มอไซค์ไปทำที่ คม. ให้เสร็จเลย สะดวกดี
เมื่อใบผ่านแดนพี่หว่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ลือเตรียมหาน้ำดื่มพกติดตัวไปอีก ไม่ไว้ใจระหว่างทาง เดี๋ยวน้ำหมดมาแล้วแย่เลย ยอมหนักขึ้นอีกนิดนึงดีกว่า
เวลาประมาณ 10 โมง 15 นาที เราก็ไปถึง ตม. หนองคายเริ่มก็กรอกเอกสารขาออกที่ด่านหนองคาย แล้วยื่นหนังสือเดินทาง

รูปภาพ

รูปภาพ

เมื่อออกจาก ตม. ที่หนองคายแล้ว เราก็ปั่นจักรยานข้ามสะพานมิตรภาพข้ามไปฝั่งลาวเลย ที่ฝั่งลาวรถยนต์ทุกคันเขาจะมีน้ำฉีกล้างล้อรถ จักรยานไม่ต้อง

รูปภาพ

เวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง เรามาถึง ตม.ฝั่งลาว กรอกเอกสารขาเข้านิดหน่อย และยังกรอกขาออกเตรียมไว้เลย ยื่นหนังสือเดินทางเสร็จก็ปั่นจักรยานออกไปได้เลย ไม่มีการตรวจกระเป๋าอะไรเลย ทางฝั่งไทยก็เหมือนกัน คราวนี้เราต้องปรับตัวนิดหน่อย โดยการปั่นจักรยานชิดขวามือ

รูปภาพ

รูปภาพ

พี่หว่างแกก็กังวลว่าจะต้องทำไง หากอยู่เกิน 3 วัน 2 คืน แกบอกกับผมว่าก็ปั่นกันไปเถอะ หมดเวลาผมแล้ว จะไล่ผมกลับตรงไหนก็บอกมา แกเล่นพูดน่าสงสารหยั่งงี้ ผมก็บอกว่าถ้าพี่หว่างกลับผมก็ต้องกลับด้วย พอดีมีคนลาวมาคุยด้วย เขาบอกว่าไปเถอะไม่เป็นไรหรอก ไม่มีใครตรวจหนังสือเดินทางหรอก พี่หว่างแกเลยใจดีสู้เสือ บอกกับผมว่าเป็นไงเป็นกันวะ มาแล้วต้องปั่นให้ถึงหลวงพะบางให้ได้ คนมีเงินร้อยล้านพันล้านยังไปเที่ยวแบบเราไม่ได้เลย (เขาไม่เอาด้วยต่างหาก)

รูปภาพ

จากนั้นปั่นเข้าตัวเมืองเวียงจันทน์ ปั่นมาได้สักพักเห็นที่สี่แยกมีโม่ปูนหลุ่นอยู่กลางภนน ไม่เห็นมีใครเก็บ

รูปภาพ

รูปภาพ

ปั่นมาสักพักนึงเวลาราวๆ ก่อนเที่ยงเล็กน้อย ดูเวลาของภาพถ่ายเวลา 11 โมงครึ่ง ผ่านโรงเรียนมัธยม เห็นนักเรียนนักเรียนกำลังบ้านไปกินข้าวกลางวัน มีมัธยมกลุ่มนึงกำลังซื้อผลไม้กิน เลยเข้าไปคุยด้วย

รูปภาพ

รูปภาพ

สักพักนักเรียนบอกว่าคุณครูมาแล้ว ก็เลยขอถ่ายรูปด้วย

รูปภาพ

ผมนัดเจอพี่เสือหางแฮ้ม บอกว่าเมื่มาถึงเวียงจันมน์แล้วให้โทรหา เมื่อโทรติดต่อได้แล้ว พี่หางแฮ้มแกออกมารอที่สี่แยกไปแดงที่สองจาก ตม. (คนลาวเรียกไฟแดงว่าไฟอำนาจ) จากโรงเรียนที่แวะเมื่อกีใช้เวลาปั่นประมาณ 1 ชั่วโมง ประมาณเที่ยงตรง เราก็เจอพี่เสือหางแฮ้ม แนะนำการเดินทางนิดหน่อย แถมให้แผนที่เวียงจันทน์มาแผ่นนึงเป็นภาษาลาว พี่เสือหางแฮ้มแกเป็นคนไทยที่มาทำมาหากิน ขายมอไซค์ซูซูกิ (ลาวเรียก "ลดจัก") อยู่เวียงจันทน์สิบกว่าปีแล้ว ใครจะไปลาวต้องถามข้อมูลกับพี่แกทั้งน้าน

รูปภาพ

หลังจากคุยกับพี่เสือหางแฮ้มแล้ว เราก็เดินทางต่อ เสลาประมาณ บ่ายโมงครึ่ง เห็นข้างทางมีร้านอาหารเราก็แวะเข้าไป เป็นอาหารมื้อแรกในประเทศลาว เป็น ข้าวเหนียว 2 กะติ๊บ ต้มโคล้งเนื้อวัว ปลาปิ้ง (ไม่ใช่ปลาย่างนะ ถ้าปลาย่างหมายความว่าปลากำลังเดิน เช่นเดียวกับของเราเรียกไก่ย่าง ลาวเรียกไก่ปิ้ง ถ้าเป็นไก่ย่างก็คือไก่กำลังเดิน) ผมได้แต่ซดน้ำแกง กับปลาอีกนิดหน่อน แต่ตุนข้าวเหนียวไว้ใพ้มีกำลังถึงเขื่อนน้ำงึมให้ได้

รูปภาพ

รูปภาพ

ตอนนั้นก็เวลาล่วงเข้าไปประมาณบ่ายสองโมงได้แล้ว จากนั้นก็ปั่นต่อไปจนถึงเชื่อนน้ำงึม ระยะทางจากเวียงจันทน์มาเขื่องน้ำงึมก็ประมาณ 90 กว่ากิโล เราจึงปรึกษากันว่าเราต้องรึบอัดให้ถึงเขื่อนน้ำงึมก่อนค่ำให้ได้ เราเกรงว่าพอมืดแล้วจะเดินทางลำบากมีอันตรายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมก็เลยถามเจ้าของร้านอาหารว่า "ถ้าปั่นรถถีบในลาวตอนกลางคืนเนี่ย มีอันตะลายบ่" เจ้าของร้านแกตอบว่า "บ่อันตะลายดอก ที่ลาวบ่มีเสื้เหลืองเสื้อแดง" เราสี่คนเลยได้แต่ยิ้มๆ กัน ถามต่อว่าทางไปเขื่อนน้ำงึมเป็นยังไง เจ้าของร้านแกบอกว่า "พอใกล้จะถึงเขื่อนต้องปั่นขึ้นเขาค่อนข้างชัน (คนลาวบอกว่าปั่นติ๊กๆ ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง) ระยะทางก็หลายกิโล ตามทางมืดมากไม่มีไฟแสงส่าง อาศัยไฟฉายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น" เราก็จ่ายเงินเป็นเงินบาท แล้วเริ่มปั่นต่อ ตามทางขึนเขื่อนมืดมากต้องแวะถามชาวบ้านตลอดทางที่เจอบ้านคน เราต้องเกาะกลุ่มกันติดๆ ช่วงทางขึ้นขึ้นยากนิดหน่อยชทางชันมาก ของข้างหลังก็ถ่วงแทบหงายหลัง ใช้เกียร์ 1 เกียร์ 2 ตลอด เราพักกันเป็นระยะๆ

รูปภาพ

รูปภาพ

ในที่สุดเราก็มาถึงรึสอร์ทที่เขื่อนน้ำงึม ประมาณ เกือบๆ 3 ทุ่มเห็นจะได้ รวมระยะทางจากหนองคายมาถึงเขื่อนน้ำงึม 118 กิโลเมตร เราติดต่อเข้าพัก ค่าเช่าห้องพักคืนละ 600 บาท ทั้งรีสอร์ทมีคนไทยมาพักก่อนหน้าเราคนเดียว เราเป็นกลุ่มที่สองมาพักอีกสองห้อง

รูปภาพ

หิวมากครับ กว่าจะได้กินมือ้ค่ำ ก็เล่นเบียร์ลาวซะก่อน อาหารมื้อค่ำวันนี้ ก็เป็นเมนูปลา กับไข่เจียว เบียร์ลาว มื้อนี้รวมกับค่าห้องพัก มื้อนี้จ่ายไป 600500 กีป (2520 บาท)

รูปภาพ

เราเข้านอนกันประมาณ เที่ยงคืน เช้าพี่หว่างแกตื่นตั้งแต่ตี 5 ผมก็เลยต้องตื่นตามมาด้วย ออกมาดูวิวเขื่อนสวยมากครับ

รูปภาพ

หน้าห้องพัก ตอนเช้า
รูปภาพ

ห้องอาหาร
รูปภาพ

ทางเดินไปห้องพักอีกฝั่งนึง
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

หลังจากกินมื้อเข้า เป็นอาหารที่เหลือจากเมื่อคืนฝากแม่ครัวไว้ และอาหารเช้าใหม่จากรีสอร์ท มีไข่ดาว กาแฟลาว เมื่อเติมพลังกันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางออกจากเขื่อนน้ำงึมมาถึง บ้านโพนโฮง เวลาประมาณ 9 โมงเช้า ระยะทางจากเขื่อนประมาณ 20 กิโลเมตร
จากเขื่อนน้ำงึม ถึง บ้านโพนโฮง

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เราแวะตรงสามแยกบ้านโพนโฮง แวะซื้อน้ำดื่ม คุณฤทธิ์ซื้อยาดม ผมจำได้ว่าเมื่อสองปีก่อนตรงสามแยกนี้แหละเห็นฝรั่งสองคนปั่นจักรยานมี BackPack ติดมาพะรุงพะรัง เข้าไปคุยด้วยเขาบอกว่ามาปั่นจักรยานมาจากเบลเยี่ยมจะไปจีน ค่ำไหนอนนั่น กางเต๊นนอนบ้าง จุดนี้แหละมั้งจึงเกิดแรงบันดาลใจให้มาปั่นจักรยานไปหลวงพะบางจนได้

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

เชาวันที่ 24 เมษายน 2552 เราเดินทางออกมาจากเขื่อนน้ำงึม มาถึงแยกโพนโฮง เวลา ประมาณ 9 โมงเช้า หลังจากซื้อน้ำดื่มที่แยกโพนโฮงเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเดินทางต่อ ไปยังวังเวียง มาถึงวังเวียงก็ค่ำแล้ว เวลาประมาณ ทุ่มครึ่ง

ภาพจากแยกโพนโฮง มายังวังเวียง

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


รวมระยะทางจากหนองคาย ถึง หลวงพะบาง ประมาณ 475 กิโลเมตร

ขากลับ นั่งรถประจำทางจากหลวงพะบาง กลับมาเวียงจันทน์ ค่ารถ คนละ 95000 กีป ค่ารถจักรยาน (ลาวเรียกรถถีบ) ขึ้นวางบนหลังคา อีกคันละ 50000 กีป รวมแล้วเป็นเงิน 145000 กีป แปลงเป็นเงินบาท 145000/240=605บาท
รถที่นั่งเป็นรถด่วน ออกจากหลวงพะบาง 6.30pm ถึงเวียงจันทน์ประมาณ 5.30am
เป็นรถแอร์แต่เขาปิดแอร์ เพราะต้องการกำลังเต็มที่ เนื่องจากวิ่งขึ้นเขาตลอด เวลานั่งมาต้องแง้มกระจกหน้าต่างนิดนึงให้อากาศถ่ายเท อากาศเย็นมาก ตรงช่วง กิ่วกะจำ ภูคูน กาสี หนาวมาก
รถออกมาจากหลวงพะบางซักประมาณชั่วโมงก็จอดข้างทาง แล้วมีคนลงไป ผมหันไปถามคนลาวที่นั่งข้างว่าจอดทำไม เขาบอกว่า "จอดเบา" ผมก็ลงไปบ้าง เห็นผู้หญิงลาวหลายๆ คนลงไปในรางระบายน้ำข้างถนน เป็นรางกว้างประมาณเกือบๆ เมตรนึง ลงไปนั่งยองๆ เดาได้เลยว่าลงไปทำอะไร ผมกับพี่หว่างลงไป มันก็มืดมีคนบอกว่า "ระวังเยี่ยวรดหลังเขานะ"


รูปภาพ


สรุปแล้วก็รอดกลับมาได้อย่างปลอดถัยทุกคน สำหรับพี่หว่างโดนค่าปรับไปวันละ 300 บาท เราก็เลยได้ความรู้มาว่าทำใบผ่านแดน (เสีย 120 บาท) นั้นเข้าลาวแล้วออกไปนองแขวงไม่ได้ เช่น เข้าไปเวียงจันทน์ก็ต้องอยู่แค่เวียงจันทน์ แต่ที่กล้าไปถึงหลวงพะบาง เพราะว่ามีคนลาวบอกว่า "ไปเถอาะ ไม่มีใครเขาตรวจหรอกกลัยมาก็เสียค่าปรับเอาเท่านั้นแหละ"

---------------------------------------------------------------------------------------------

กลับเมนูหลัก
aunpungjo
ขาประจำ
ขาประจำ
โพสต์: 223
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2010, 02:51
Tel: 0830083895
team: -------
ตำแหน่ง: ลาดกระบัง กรุงเทพฯ

Re: ช่วงแรก กรุงเทพฯ 22 เมษา ถึง หนองคาย - เวียงจันทน์ 23 เมษา

โพสต์ โดย aunpungjo »

สุดยอดทริปเลยครับสักวันอยากลองไปไกล ๆ อย่างนี้ดูบ้าง
ปั่นแบบผู้เฒ่า เอาชนะแค่ใจตน
ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุสัพพะทา
ตอบกลับ

กลับไปยัง “เทคนิคมีน BikeClub”